บทที่ 2
ในใจเถาซื่ออึดอัดคับข้องอย่างมาก นางทั้งอึดอัดคับข้องกับสภาพการณ์ตอนนี้ ทั้งอึดอัดคับข้องกับความไร้น้ำใจของผู้คน ยิ่งคิดถึงเหตุที่กู้จิ้งหยวนต้องโทษ นางก็ยิ่งอึดอัดคับข้องใจ
เหตุที่กู้จิ้งหยวนต้องโทษ เป็นเพราะขืนใจหลีกุ้ยเฟย
ตอนกลางคืนขณะเถาซื่อห่มผ้าให้กู้จิ้งหยวนได้ยินเสียงเขาละเมอ นางขยับเข้าใกล้จึงได้ยินคำว่า ‘หลี’ อย่างเลือนราง เถาซื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดถึงภรรยาคนแรกของตนเองอยู่
กู้จิ้งหยวนเป็นทั้งสามีและวีรบุรุษที่นางนับถือ เป็นนางเองที่เสนอตัวเข้ามาเป็นภรรยาคนใหม่โดยไม่สนใจสิ่งใด ความรักลึกซึ้งที่กู้จิ้งหยวนมีต่อภรรยาคนแรกนั้นนางเข้าใจมากกว่าผู้ใด และนางก็เชื่อมั่นในมโนธรรมของเขา มั่นใจเป็นที่สุดว่าเขาไม่มีทางรังแกข่มเหงสตรีโดยเด็ดขาด
ทว่า…หลีกุ้ยเฟยเป็นน้องสาวภรรยาคนแรกของเขา รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันอย่างมาก
ใจเถาซื่อกระตุกวูบ จู่ๆ ก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา
นางไม่อาจคิดต่อ ซ้ำยังไม่กล้าคิดต่อ เพียงแต่ซับรอยชื้นตรงหางตาก่อนเดินไปผลักประตูห้องกู้เจี้ยนหลีที่อยู่ด้านในให้เปิดออก
กู้เจี้ยนหลีนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง คางของนางแนบไปกับหัวเข่า ดูไปแล้วคล้ายขดตัวเป็นก้อนอยู่ในห้องเล็กมืดทึม นางเอียงศีรษะมา ช้อนตาขึ้นมองเถาซื่อ จากนั้นตบที่นั่งข้างตัวเบาๆ เป็นเชิงเชิญเถาซื่อเข้ามานั่ง
เถาซื่อข่มกลั้นอารมณ์ปวดใจก่อนเข้าไปนั่งข้างๆ พยายามฝืนยิ้มออกมา ด้านหนึ่งสังเกตสีหน้ากู้เจี้ยนหลี ด้านหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเอาใจระคนลองเชิง “ข้าเพียงแต่อยากมาคุยกับเจ้า ไม่ได้รบกวนใช่หรือไม่”
ยามเผชิญหน้ากับผู้อื่นเถาซื่อไม่เคยเสียเปรียบเรื่องฝีปาก มีเพียงยามอยู่ต่อหน้าสามพ่อลูกสกุลกู้เท่านั้นที่พูดจาอึกอักเงอะงะขึ้นมาบ้าง บางทีอาจเพราะรู้ดีว่าฐานะต่ำต้อยกว่าจึงพาให้รู้สึกว่าตนเองด้อยค่ากระมัง
กู้เจี้ยนหลีทาบมือบนหลังมือของเถาซื่อ เถาซื่อมองมือที่ซ้อนทับกันไว้คู่นั้น พลันรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
“ขอบคุณท่านมาก” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยปาก
เถาซื่อเอ่ยอย่างลนลาน “นี่…พูดอะไรของเจ้า…”
กู้เจี้ยนหลีส่ายหน้ายิ้มๆ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนเจี้ยนหลียังเด็กไม่รู้ความ ไม่เคารพท่านเท่าที่ควร…”
“ไม่มีเรื่องเช่นนี้เสียหน่อย! พูดเหลวไหลอะไรกัน” เถาซื่อรีบเอ่ยขัดคำพูดของอีกฝ่าย นางเข้าใจลูกเลี้ยงทั้งสองดี ไม่มีใครชื่นชอบมารดาเลี้ยงของตนจากใจจริงหรอก ซ้ำลูกเลี้ยงสองคนของนางนี้เมื่อก่อนก็เพียงแค่เย็นชาห่างเหินกับนางมากหน่อยเท่านั้น ไม่อาจนับว่าไม่เคารพนาง
สองแม่ลูกสบตาแล้วยกยิ้ม ถ้อยคำที่เหลือไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความแล้ว
เถาซื่อเปลี่ยนมาเอ่ยปลอบกู้เจี้ยนหลีแทน “คนใกล้ตายบางคนพอจัดงานมงคลปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง เจี้ยนหลีของเราดวงดีมาตั้งแต่เด็ก ถึงการแต่งงานครั้งนี้จะขลุกขลักอยู่สักหน่อย สุดท้ายจับพลัดจับผลูต้องแต่งงานกับนายท่านห้าสกุลจี แต่อาจไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไป ไม่แน่ว่าเจ้าอาจช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บของนายท่านห้าผู้นั้น แต่งไปสักวันสองวันเขาอาจจะกลับมามีกำลังวังชาเหมือนเก่าก็เป็นได้”
กู้เจี้ยนหลีไม่ค่อยเชื่อเรื่อง ‘งานมงคลปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย’ นัก ทว่าเถาซื่อปลอบโยนนาง นางก็ไม่อยากให้มารดาเลี้ยงของนางเป็นกังวลมากเกินไปจึงยิ้มรับเออออกับอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำกึ่งเล่นกึ่งจริง “ขอให้เป็นดังคำท่านก็แล้วกัน แต่ข้าหวังว่าเขาจะนอนป่วยหายใจโรยรินต่อไปเรื่อยๆ อย่าได้กลับมามีกำลังวังชาเลยจะดีกว่า”