บทที่ 10
กู้ไจ้หลีพยักหน้ารับ “ไม่มีสิ่งใดควรค่าให้เก็บไว้ระลึกถึงหรอก”
เถาซื่อเผยอปากอ้า อยากจะโน้มน้าวนางอีกแรง ทว่าสุดท้ายก็อดใจไม่เอ่ยออกไป นางเข้าใจลูกเลี้ยงทั้งสอง พูดอีกนัยหนึ่งคือนางเข้าใจวิธีการเลี้ยงลูกของกู้จิ้งหยวน เขามักสอนบุตรสาวว่าเส้นทางที่แตกต่างนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน ทว่าจะเลือกทางใด สิทธิ์ในการตัดสินใจล้วนเป็นของพวกนาง ต่อให้เขาไม่เห็นด้วย เขาก็จะไม่ห้ามปราม ดังนั้นบุตรสาวทั้งสองที่เสียมารดาบังเกิดเกล้าไปตั้งแต่เล็กจึงมีความคิดของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร พึ่งพาตนเองเก่งเป็นที่สุด ซ้ำแม่นางน้อยสองคนนี้ยังเป็นจอมดื้อดึง หากเป็นเรื่องที่ตัดสินใจแล้ว ผู้อื่นจะขัดขวางมิได้เด็ดขาด คนในสกุลกู้ล้วนแต่เคยชินแล้ว
พวกนางจะรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง และไม่เข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจของใคร
กู้ไจ้หลีต้มยาด้วยตนเอง จากนั้นยกชามขึ้นดื่มอย่างเยือกเย็น
ยามยาขมไหลลงสู่ลำคอ นางนึกถึงตำรับยาช่วยให้ตั้งครรภ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ตนเองดื่มลงไป ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกราวกับหลุดพ้น
สามปีมานี้นางตั้งมั่นจะมีบุตรสักคนเพื่อสิ่งใดกัน
มิใช่เพียงเพราะคาดหวังหรือชื่นชอบเด็กเล็กเท่านั้นหรอก
กล่าวกันว่าสตรีอยู่บ้านเชื่อฟังบิดา ออกเรือนเชื่อฟังสามี สิ้นสามีเชื่อฟังบุตร ถ้อยคำเรียบง่ายแสนธรรมดานี้ครอบคลุมทั้งชีวิตของสตรีผู้หนึ่ง สตรีมักเป็นฝ่ายต้องโอนอ่อนอยู่เสมอ มารดาจะรุ่งโรจน์ได้ก็ต้องพึ่งบุตร ความหมายของทั้งชีวิตสตรีราวกับมีไว้เพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลเท่านั้น เมื่อมีบุตรของตนเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ หากไม่มีบุตรหรือมีเพียงบุตรสาวกลับต้องแบกรับคำติฉินนินทา หากสามีกล่าวว่าไม่เป็นไรก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งยิ่งยวด
ช่างน่าเวทนา
ที่ทนทุกข์ทรมานเสาะหาวิธีมีบุตรมาสามปีก็เพียงเพราะต้องการบรรเทามิให้บ้านสามีเรียกร้องเข้มงวด มิให้ผู้อื่นติฉินนินทา มิให้ตนเองคอยกังวลว่าตำแหน่งภรรยาจะสั่นคลอน มิให้ต้องรู้สึกโทษตนเองทั้งที่ไม่ควรรู้สึกเลยเท่านั้น ความลำบากสามปีนี้ได้ชะล้างความต้องการแรกเริ่มที่เพียงแค่อยากมีบุตรน่ารักๆ สักคนจนหมดสิ้นแล้ว
กู้ไจ้หลีดื่มยาขมจนหยดสุดท้าย มุมปากพลันยกขึ้นบางเบา
ดีจริงๆ ในที่สุดก็จบลงแล้ว
กู้เจี้ยนหลีกุมมือพี่สาวไว้ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่หญิง ท่านรอข้านะ รอข้าได้หย่าและออกจากจวนก่วงผิงป๋อแล้ว ต่อไปจะอยู่เป็นเพื่อนท่านทุกวัน”
“ได้สิ” กู้ไจ้หลียิ้มมองน้องสาว “บุรุษในโลกก็เหมือนกันหมด ไม่มีใครดีกับข้าได้ครึ่งหนึ่งของน้องหญิงหรอก”
“อื้ม!” กู้เจี้ยนหลีรับคำอย่างจริงใจ
เถาซื่อมองสองพี่น้องที่จับมือสนทนากันโดยไม่เอ่ยวาจา
กู้เจี้ยนหลีขึ้นมานอนบนเตียงกับผู้เป็นพี่ พูดคุยไปพลางจับมือไปพลางเหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก พวกนางผลัดกันเล่าเรื่องสนุกในอดีต รวมถึงแผนการมากมายที่หวังจะทำในอนาคต ยามกู้เจี้ยนหลีอยู่กับพี่สาวนางมีเรื่องมากมายให้แลกเปลี่ยนอย่างไม่รู้จบ น่าเสียดายที่เวลากลางวันช่างแสนสั้น นางจำเป็นต้องกลับจวนก่วงผิงป๋อแล้ว
ระหว่างทางกลับไปจวนก่วงผิงป๋อ กู้เจี้ยนหลีเอนศีรษะลงแนบขมับกับด้านหนึ่งของเกี้ยว ศีรษะของนางสั่นไปมาเล็กน้อยตามจังหวะโคลงเคลงยามเกี้ยวเคลื่อนไปข้างหน้า ทว่านางไม่รู้สึกเลยสักนิด เพียงจดจ่ออยู่กับเรื่องมากมายในบ้านตนเอง คิดถึงโทษที่บิดาถูกปรักปรำ คิดถึงความยากลำบากของมารดาเลี้ยง คิดถึงชีวิตในวันข้างหน้าของพี่สาว ตลอดจนคิดถึงน้องชายคนเล็กที่ต้องหยุดเรียนหนังสือไปอย่างน่าเสียดาย