“เจี้ยนหลี! เจี้ยนหลี…” เถาซื่อวิ่งหอบแฮกตามมา
กู้เจี้ยนหลีรีบสั่งให้หยุดเกี้ยวแล้วลงไปหาอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ “ท่านตามมาด้วยเหตุใดกัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”
นางจากมาได้สักพักใหญ่แล้ว เถาซื่อวิ่งตามมาเช่นนี้จึงหอบหายใจไม่หยุด ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อไปหมด
เถาซื่อจับแขนเรียวของกู้เจี้ยนหลีไว้ พูดปนหอบว่า “วันนี้เอาแต่สนใจเรื่องพี่หญิงของเจ้า ไม่ได้ถามให้ละเอียดเลยว่าเจ้าไปอยู่จวนก่วงผิงป๋อโดนผู้ใดรังแกเอาเปรียบบ้างหรือไม่”
กู้เจี้ยนหลีพลันรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา
“ท่านถามไปแล้วมิใช่หรือ ข้าก็ตอบท่านแล้วว่าข้าสบายดี ทุกอย่างล้วนเป็นไปด้วยดี” กู้เจี้ยนหลีพยายามปิดบังความทุกข์ในน้ำเสียงอย่างสุดความสามารถ
เถาซื่อส่ายศีรษะไปมา ตอบกลับทั้งที่ยังหอบหายใจ “ข้ากลัวว่าเจ้าจะปิดบังเรื่องร้ายเล่าแต่เรื่องดีน่ะสิ!”
“มิใช่สักหน่อย” กู้เจี้ยนหลีส่ายศีรษะยิ้มๆ “ทุกอย่างดีมากจริงๆ หากว่าไม่ดี วันนี้ข้าก็คงกลับมาไม่ได้จริงหรือไม่”
ตอนนี้เถาซื่อจึงพยักหน้า ก่อนจะยัดรองเท้าคู่หนึ่งใส่มือกู้เจี้ยนหลีพลางเอ่ยยืดยาว “วันนี้เพิ่งจะทำเสร็จ เด็กน้อยเช่นเจ้ากลัวอากาศหนาว ข้าจึงบุผ้าเข้าไปเพิ่ม เวลาใส่จะได้อบอุ่น”
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับพลางกระชับรองเท้าที่เถาซื่อตัดเย็บเองไว้ในมือ ก่อนจะกลับขึ้นเกี้ยวโดยมีอีกฝ่ายคอยเร่ง ตอนที่เกี้ยวถูกยกขึ้นอีกครั้ง กู้เจี้ยนหลีหลุบตามองรองเท้าในมือ น้ำตาพลันพรั่งพรูหยดลงบนรองเท้าสีชมพูอ่อน
นางทำใจจากบิดาไปไม่ได้ ซ้ำยามนี้ยังเป็นห่วงพี่สาวอีก ทว่าด้วยสภาพในยามนี้นางไม่อาจดื้อดึง ทำได้เพียงกลับจวนก่วงผิงป๋อท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง
ยามที่มาถึงจวนกู้เจี้ยนหลียังไม่ทันก้าวเข้าไปในเรือนหลังเล็กก็เห็นจากที่ไกลๆ ว่าผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ในเรือน ฝีเท้าของสาวใช้ที่เดินไปมายังดูรีบร้อนอย่างมาก
“นี่เกิดอะไรขึ้น…” ในใจกู้เจี้ยนหลีพลันรู้สึกหนักอึ้ง มือบางรวบชายกระโปรงวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ะ ในที่สุดอาสะใภ้ห้าก็กลับมาเสียที” จีเยวี่ยหมิงยืนอยู่ตรงประตู บนร่างสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีแดงสด ในมือถือเตาอุ่นมือที่กำลังอุ่นอยู่ไว้ สายตายามมองมาที่กู้เจี้ยนหลีเต็มไปด้วยความปรีดาเมื่อผู้อื่นมีทุกข์มาเยือนอย่างไม่ปิดบัง
กู้เจี้ยนหลีพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง นางไม่ได้สนใจจีเยวี่ยหมิง เพียงรีบเดินเข้าประตูไป
เหล่าสมาชิกสตรีในจวนก่วงผิงป๋อต่างนั่งรอกันอยู่ในห้องโถงชั้นนอก
ภาพนี้ช่างคุ้นตานัก เหมือนเมื่อคืนก่อนยามที่จีอู๋จิ้งเพิ่งฟื้นแล้วพวกเขารีบมาเยี่ยมเยียนไม่มีผิดเพี้ยน
กู้เจี้ยนหลีเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เป็นคนเอ่ยตอบ “น้องห้าจู่ๆ ก็สลบไป หมอหลวงจากในวังกำลังรักษา ตอนนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมาชั่วคราว”
กู้เจี้ยนหลีหันมองไปในห้องช้าๆ ดวงตาจิ้งจอกของจีอู๋จิ้งราวกับปรากฏขึ้นตรงหน้าโดยพลัน คนน่าชังผู้นั้นป่วยจนสลบไปอีกแล้วหรือ ทั้งที่ก่อนนางจะจากไปตอนเช้าแม้หน้าเขาจะยังซีดขาวแต่ก็ยังดูดีอยู่ชัดๆ
ฮูหยินรองมองกู้เจี้ยนหลีแวบหนึ่งก่อนเอ่ยปาก “เจ้าเพิ่งตบแต่งเข้ามา คงไม่เข้าใจอาการป่วยของน้องห้าเท่าใด”
ความนัยในคำพูดนั้นราวกับต้องการจะบอกนางว่า ‘อย่าได้คิดว่าเมื่อคืนจีอู๋จิ้งฟื้นขึ้นมาแล้วโชคจะหล่นทับเจ้าล่ะ’
ทั้งจวนก่วงผิงป๋อล้วนอยากให้กู้เจี้ยนหลีรีบตาย ในบรรดาคนทั้งหมดฮูหยินรองนั้นคาดหวังผลลัพธ์เช่นนี้กว่าใคร เพราะนางยังเป็นกังวลว่าจะไม่มีคำอธิบายให้บุตรชายตนเอง
รอจนความตื่นตระหนกในตอนแรกหายไป ดวงตาของกู้เจี้ยนหลีก็กลับมาเยือกเย็น เพียงแค่มองไปในห้องอย่างเงียบงัน
เมื่อครู่จีเยวี่ยหมิงเดินตามกู้เจี้ยนหลีเข้ามาด้วย ยามนี้นางยกยิ้มพลางเดินมาหยุดอยู่ข้างอีกฝ่าย กล่าวขึ้นเบาๆ พอให้ได้ยินเพียงสองคนว่า “เมื่อวานข้าก็บอกแล้ว ท่านแต่งเข้ามาช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้จริง พอท่านมาท่านอาห้าก็ฟื้น ทว่าพอท่านหายไปจากจวนหนึ่งวันท่านอาห้ากลับสลบไปอีก ลองคิดดูสิว่าเป็นความผิดของท่านหรือไม่”
นางหัวเราะหยัน “ไม่ถูกอยู่ดี บางทีเมื่อคืนท่านอาห้าอาจเพียงฟื้นขึ้นมาด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ได้”
ทันใดนั้นกู้เจี้ยนหลีพลันยกมือขึ้นฟาดลงไปเต็มแรง