จีอู๋จิ้งยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ ไม่ว่าใครในที่นี้ก็ล้วนแต่ตีหน้าเครียด ในโถงเต็มไปด้วยผู้คนทั้งนายบ่าว ทว่าไร้ซึ่งเสียงเอะอะ เงียบเสียจนเสียง ‘เพียะ’ ที่ดังขึ้นฟังดูก้องกว่าปกติ
จีเยวี่ยหมิงถูกตบจนมึนงง นางซวนเซไปสองก้าวก่อนจะล้มลง ตอนที่ล้มลงไปยังกระแทกโต๊ะสามเหลี่ยมทรงสูงเข้า เครื่องลายครามที่เดิมวางอยู่บนนั้นตกลงมาแตกกระจายเต็มพื้น
ทุกคนต่างมองภาพนี้อย่างตกใจ ต่อให้เป็นฮูหยินทั้งหลายที่ผ่านโลกมามากก็ยังตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ หนึ่งฝ่ามือของกู้เจี้ยนหลีนี้ตบลงเพียงบนใบหน้าของจีเยวี่ยหมิง กลับคล้ายตบคนทั้งหมดในห้องนี้ให้มึนงงไปตามกัน
จีเยวี่ยหมิงกุมใบหน้าที่เริ่มรู้สึกเจ็บของตนแล้วหันไปมองกู้เจี้ยนหลีอย่างคาดไม่ถึง
กู้เจี้ยนหลียืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เหลือบมองจีเยวี่ยหมิงเช่นผู้อยู่เหนือกว่า “คุณหนูหมิง ปกติเจ้าไร้มารยาทไม่เคารพผู้ใหญ่ก็แล้วไปเถิด อายุยังน้อย ข้าไม่ถือสาหาความก็ได้ ทว่าวันนี้เจ้าพูดถึงท่านอาห้าของตนเองพล่อยๆ เช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน ท่านอาห้าของเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจให้ลูกหลานเช่นเจ้าเอาชีวิตเขามาสาปแช่งส่งเดช! ที่ตบเจ้าคราวนี้เป็นการลงโทษแทนท่านอาห้าของเจ้า หากยังคิดสาปแช่งเขาอีกแม้แต่ประโยคเดียว หนังสือกราบทูลจะส่งถึงเบื้องพระพักตร์ กล่าวโทษเจ้าที่อกตัญญูไร้เมตตาไร้คุณธรรม!”
กู้เจี้ยนหลีเพิ่งจะถึงวัยปักปิ่น เสียงของนางก็ฟังดูอ่อนหวาน ทว่ายามสั่งสอนคนด้วยแววตากรุ่นโกรธกลับน่าเกรงขามยิ่ง ทำเอาทุกคนถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
พอถูกสถานการณ์บีบบังคับ แม้กู้เจี้ยนหลีอดกลั้นมานานก็มิได้แปลว่าต้องอดกลั้นไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะกับจีเยวี่ยหมิงที่โง่เง่าถึงขั้นยื่นหน้ามาให้ตบถึงที่ หากนางยังอดกลั้นต่อจะไม่กลายเป็นคนโง่งมเช่นกันหรอกหรือ
“เจ้า…” จีเยวี่ยหมิงชี้หน้ากู้เจี้ยนหลี นางโกรธจัดจนสั่นไปทั้งตัว “เจ้ากล้าใช้ท่านอาห้าเป็นข้ออ้างหยามเกียรติข้า!”
“เยวี่ยหมิง!” ฮูหยินใหญ่ผุดลุกขึ้นทันที “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว!”
ชื่อเสียงของสตรีสำคัญยิ่งนัก เดิมทีการหมั้นหมายของจีเยวี่ยหมิงก็ไม่ราบรื่นอยู่แล้ว ไม่อาจให้นางแบกรับชื่อเสียงเลวร้ายเช่นนี้เพิ่มมาอีกเป็นอันขาด
“ด้านนอกโวยวายอะไรกัน ไม่รู้หรือว่าเจ้าห้าไม่อาจฟังเสียงหนวกหู!” ฮูหยินผู้เฒ่าเดินออกมาโดยมีซ่งหมัวมัวคอยประคอง นางกวาดสายตามองรอบโถงพลางขมวดคิ้ว
หมัวมัวผู้หนึ่งก้าวเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อนรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังอย่างละเอียด
กู้เจี้ยนหลีหลุบตาลง มือขวาที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อกำเข้าหากันแล้วจึงแบออก จากนั้นก็กำใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางตบผู้อื่น ไม่รู้จังหวะเลยสักนิดจึงรู้สึกเจ็บมือมาก…นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงจี้ซย่า หากจี้ซย่ากลับมา นางก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองแล้ว
ตอนนั้นเองจู่ๆ กู้เจี้ยนหลีก็สัมผัสได้ถึงสายตาเคียดแค้นของจีเยวี่ยหมิง นางหันไปมองตอบอย่างไม่เกรงกลัว อันที่จริงนางไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดจีเยวี่ยหมิงจึงจ้องจะหาเรื่องนางอยู่ตลอด หาเรื่องกันถึงขั้นนี้ไม่น่าจะเพียงแค่รู้สึกไม่ถูกชะตาแล้ว หรือว่ามีเรื่องใดที่นางไม่รู้กัน