ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทที่หนึ่ง

หลงเอ้อร์ นายท่านรองสกุลหลงมีชื่อจริงว่าหลงเยวี่ย ปีนี้อายุยี่สิบหกปี

น้อยนักที่จะมีคนเรียกชื่อจริงของเขา ทุกคนต่างเรียกเขาว่าท่านหลงเอ้อร์

ท่านหลงเอ้อร์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง และไม่เพียงแต่ตัวเขาเท่านั้น สามพี่น้องแห่งคฤหาสน์สกุลหลงล้วนเป็นผู้องอาจกล้าหาญทั้งสิ้น หลงต้าพี่ใหญ่เป็นแม่ทัพฮู่กั๋ว (แม่ทัพปกป้องแคว้น) หลงซานน้องสามเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ ส่วนหลงเอ้อร์นั้นเป็นเศรษฐีซึ่งทำการค้ากับราชสำนักและคหบดีรายใหญ่ในแคว้น

ที่หลงเอ้อร์มีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เพียงเพราะเขาเป็นเจ้าบ้านผู้ปกครองคฤหาสน์สกุลหลง แต่เพราะเขายังเป็นสหายรักของจักรพรรดิองค์ใหม่ที่เพิ่งสืบราชบัลลังก์อีกด้วย ส่วนการที่จักรพรรดิองค์ใหม่มีความโดดเด่นเหนือเหล่าองค์ชายทั้งหลายจนได้ครอบครองราชบัลลังก์นั้น ก็หนีไม่พ้นเพราะได้รับการสนับสนุนจากคฤหาสน์สกุลหลงและได้รับความช่วยเหลือจากหลงเอ้อร์นั่นเอง

เรื่องที่ท่านหลงเอ้อร์มีคนหนุนหลังแข็งแกร่งมั่นคง ทุกคนไม่พูดซึ่งหน้าแต่ในใจต่างรู้ดี กอปรกับหลงเอ้อร์เองก็มั่งมีเงินทองเปี่ยมด้วยอำนาจ ทั้งกว้างขวางมากบารมีเจนจัดรอบด้าน ประกอบกิจการงานใดก็สำเร็จได้ผลประโยชน์จนทุกคนต่างรู้กันทั่ว ดังนั้นเหล่าขุนนางและพ่อค้าวาณิชจึงยกย่องไว้หน้าเขาอยู่หลายส่วน

บัดนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ครองราชย์มาเป็นเวลาสองปี แผ่นดินร่มเย็นราษฎรเป็นสุข ลมฝนเป็นไปตามฤดูกาล ส่วนกิจการของหลงเอ้อร์ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ

หากมองตามสภาพการณ์เช่นนี้ ชีวิตของท่านหลงเอ้อร์ควรจะหวานชื่นและสุขสบาย แต่เขาเองก็มีเรื่องยุ่งยากใจของตัวเองเช่นกัน

เรื่องยุ่งยากใจนั้นก็คือ…การแต่งงาน

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเมื่อชายหนุ่มแคว้นเซียวอายุครบสิบห้าปีก็สามารถแต่งภรรยาได้ ดังนั้นอายุของหลงเอ้อร์ในตอนนี้จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘ชายแก่’ สำหรับหลงต้าและหลงซานต่างตบแต่งภรรยากันไปนานแล้ว มีเพียงท่านหลงเอ้อร์ที่ไม่รู้สึกสนใจจะแต่งงาน ตัวเขาไม่รีบร้อน แต่กลับทำให้ผู้อาวุโสในบ้านร้อนใจแทน

พ่อแม่ของสามพี่น้องสกุลหลงล่วงลับไปแล้วทั้งคู่ แม่นมอวี๋กับพ่อบ้านเถี่ยเป็นคนคอยดูแลพวกเขาจนเติบโต เรื่องความโสดของหลงเอ้อร์ทำให้สองผู้เฒ่ามักจะหาโอกาสมาคอยบ่น จำนวนครั้งที่บ่นก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามอายุของหลงเอ้อร์ แม้หลงเอ้อร์จะแข็งข้อกับคนภายนอก แต่กับคนในครอบครัวนั้นเขากลับรักและทะนุถนอมเป็นอย่างดี ถึงแม้สองผู้เฒ่าจะเป็นบ่าวเป็นหญิงรับใช้ แต่ทั้งสองคนก็ดูแลเขาเหมือนคนในครอบครัวมานานหลายปี ดังนั้นถึงเขาจะไม่ชอบฟังแต่ก็ไม่ได้โต้เถียง ทว่าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ครั้งใดเขาเป็นต้องรู้สึกปวดหัวทุกครั้งไป

 

วันนี้หลงเอ้อร์ไปตรวจกิจการร้านน้ำชาเซิ่งหลงของตัวเอง เขาเพิ่งก้าวเข้าไปข้างในก็ ‘บังเอิญ’ พบหญิงสาวผู้หนึ่ง หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือบุตรสาวคนรองของติงเซิ่งเสนาบดีกรมอาญา มีนามว่าติงเหยียนซาน

เพราะเห็นแก่หน้าเสนาบดีกรมอาญา หลงเอ้อร์จึงไม่กล้าไม่ให้เกียรติติงเหยียนซาน ดังนั้นด้วยมิตรภาพที่นางมีให้ เขาจึงต้องอยู่สนทนากับนางภายในห้องดื่มชาส่วนตัวของร้านน้ำชา

บทสนทนาไม่น่าสนใจ ตัวหลงเอ้อร์เองก็รู้สึกเบื่อ เขากำลังใจลอยคิดไปถึงเรื่องการค้าเครื่องหยก แต่กลับได้ยินคำถามหนึ่งดังขึ้น

“ซานเอ๋อร์ขอบังอาจเรียนถามท่านหลงเอ้อร์ว่าที่บัดนี้ยังไม่แต่งงานเป็นเพราะสาเหตุใด”

คำถามนี้ช่างอุกอาจนักเมื่อออกมาจากปากหญิงสาวคนหนึ่ง หลงเอ้อร์ตะลึงไปชั่วครู่ แอบบ่นในใจว่า ‘เจ้าคือซานเอ๋อร์ของผู้ใดหรือ’ แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มบางๆ เขาเทน้ำชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างช้าๆ “เพราะข้าไม่อยากให้เงินตอบแทนแก่แม่สื่อ”

ติงเหยียนซานนิ่งไป แทบจะรักษารอยยิ้มให้อยู่เหมือนเดิมไม่ไหว ไม่อยากให้เงินตอบแทนแก่แม่สื่ออย่างนั้นหรือ

“หากข้าหลงเอ้อร์ต้องการแต่งภรรยาก็จะอาศัยความสามารถของตัวเอง ใช่ว่าข้าต้องอาศัยปากของแม่สื่อมาคอยช่วยพูดกับฝ่ายตรงข้ามให้จึงจะสำเร็จเสียเมื่อไร ซ้ำยังต้องจ่ายเงินให้แก่แม่สื่ออีก เจ้าว่าการค้านี้ขาดทุนมากเกินไปหรือไม่”

คราวนี้ติงเหยียนซานยิ้มไม่ออก แม้แต่การแต่งภรรยาเขาก็ยังพูดเหมือนการค้าขาย ห่วงแต่ว่าจะขาดทุนหรือไม่ สมกับเป็นท่านหลงเอ้อร์จริงๆ นางสะกดอารมณ์เอามือป้องปากหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์มีอารมณ์ขันยิ่ง”

หลงเอ้อร์เม้มปากเล็กน้อย ตอบกลับอย่างเกรงใจ “ไม่ใช่มีอารมณ์ขัน แต่ข้าเป็นคนตระหนี่ต่างหาก” เขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว ผู้ที่รู้ความก็ควรจะจากไปได้แล้วกระมัง

แต่ติงเหยียนซานไม่ได้ไป นางก้มหน้าดื่มน้ำชาเพื่อปรับอารมณ์ ไม่คิดจะรามือไปเช่นนี้

หลงเอ้อร์อาศัยจังหวะที่ติงเหยียนซานก้มหน้าลง เหลือบมองเด็กร้านน้ำชาที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา ร้านน้ำชาเซิ่งหลงแห่งนี้เป็นหนึ่งในกิจการของคฤหาสน์สกุลหลง เขาแค่มาตรวจกิจการแต่กลับถูกติงเหยียนซานรั้งตัวไว้ เรื่องความบังเอิญอะไรนั้นเขาไม่เชื่อ คงเป็นเพราะเด็กร้านน้ำชาได้ผลประโยชน์อะไรบางอย่างจึงแพร่งพรายกำหนดการไปมาของเขาให้นางรู้

การที่เขาถูกหญิงสาวผู้นี้รั้งตัวไว้เป็นเรื่องเล็ก แต่การขายผู้เป็นนายนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หลงเอ้อร์คิดเอาไว้แล้วว่าต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดแจ้ง ผู้ทำผิดต้องถูกลงโทษอย่างหนัก

ตอนนี้ติงเหยียนซานควบคุมอารมณ์ได้แล้ว นางหาหัวข้อสนทนามาคุยกับหลงเอ้อร์ระหว่างดื่มชาอีกหลายเรื่อง เขารู้สึกรำคาญใจอย่างมาก หากจะว่าไปแล้วหญิงสาวผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวของท่านเสนาบดี อำนาจบารมีของสกุลนั้นไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งยังมีรูปโฉมเป็นเลิศ ย่อมเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ในการแต่งภรรยา แต่หลงเอ้อร์กลับไม่อยากแต่งงานกับนาง

ตามความคิดของเขา หญิงสาวยิ่งโดดเด่นเท่าไรก็ยิ่งยุ่งยากมากเท่านั้น เพราะความต้องการของพวกนางจะมีมากกว่าหญิงสาวทั่วไป เมื่อความต้องการยิ่งมากก็แสดงว่าจะเข้ากันได้ยากขึ้น

และสิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือความยุ่งยาก

เรื่องท่านหลงเอ้อร์ใจไม่อยู่กับตัว ติงเหยียนซานย่อมรู้ดี แต่การที่เขายอมอดทนอยู่คุยเป็นเพื่อน สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกได้ใจขึ้นมาบ้าง นางรู้มาว่าครั้งก่อนที่บุตรสาวของสกุลหลิวและสกุลหลี่ว์ไปชมสวนและได้พบกับท่านหลงเอ้อร์นั้น เขาคุยด้วยเพียงไม่กี่คำก็สลัดพวกนางทิ้งเสียแล้ว

พอติงเหยียนซานคิดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ นางเทน้ำชาให้หลงเอ้อร์อีกถ้วย

แท้จริงแล้วสองคนนั้นไม่รู้จังหวะนัก ตอนที่พวกนางชมสวนท่านหลงเอ้อร์กำลังต้อนรับแขกอยู่จะมีเวลามาชมดอกไม้เป็นเพื่อนหญิงสาวได้อย่างไร ตัวนางติงเหยียนซานฉลาดกว่ามากนัก นางสืบกำหนดการวันนี้ทั้งวันของท่านหลงเอ้อร์ รู้ว่าเขาไม่มีสิ่งใดต้องทำต่อจากนี้ กอปรกับนางบอกว่าต้องการเลือกชาดีไปให้ท่านพ่อ ท่านหลงเอ้อร์ย่อมต้องอดทนคอยอยู่เป็นเพื่อนนาง

ติงเหยียนซานอาศัยช่วงที่ยกถ้วยน้ำชาลอบสังเกตท่านหลงเอ้อร์ เขามีใบหน้าหมดจด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง เค้าหน้าดุเล็กน้อย แต่ต้องเป็นเช่นนี้จึงจะสามารถแสดงบารมีความเป็นผู้นำให้เห็นได้ ท่านหลงเอ้อร์ขี้โมโหนางรู้ดี นิสัยเข้าหน้าได้ยากเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างรู้กัน แต่นางก็ยังอยากจะแต่งงานกับเขา นี่ไม่ได้เป็นเพียงความปรารถนาของท่านพ่อนางเท่านั้น แต่เป็นความปรารถนาของนางเองด้วย

ติงเหยียนซานกำลังจะหาหัวข้อสนทนาอื่น หลี่เคอองครักษ์ของหลงเอ้อร์ก็เข้ามารายงานว่าด้านนอกมีหญิงสาวมารอขอพบอยู่นานแล้ว

ก่อนหน้านี้หลงเอ้อร์ส่งสายตาให้หลี่เคออ้างเหตุผลอะไรก็ได้มารายงานเพื่อให้เขาปลีกตัวออกไปได้ หลี่เคอติดตามเขามานานหลายปี ย่อมต้องรู้ถึงความหมายของเขา แต่เมื่อหลงเอ้อร์เห็นสายตาของหลี่เคอในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าหญิงสาวที่มาเยือนนี้มีตัวตนจริง

สีหน้าหลงเอ้อร์ไม่น่าดูนัก หญิงสาวตรงหน้าทำให้เขาแทบจะไม่เหลือความอดทนแล้ว ตอนนี้ยังมีมาอีกคนอย่างนั้นหรือ

ติงเหยียนซานรู้สึกโกรธมากเช่นกัน นางมองไปทางหลงเอ้อร์ หวังจะได้ยินเขาพูดคำว่า ‘ไม่พบ’

แต่หลงเอ้อร์กลับพยักหน้าให้หลี่เคอ หลี่เคอรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ติงเหยียนซานรู้สึกผิดหวัง แต่ยังคงยิ้มบางๆ ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ท่านหลงเอ้อร์ไปพบแขกอย่างสบายใจเถอะ ซานเอ๋อร์จะรออยู่ที่นี่”

นางคิดจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนจริงๆ หรือ หลงเอ้อร์หางตากระตุก เรื่องการรักษาท่าทีเช่นนี้ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนเช่นกัน

เห็นทีว่าเขาคงจะไล่นางไปทันทีไม่ได้ หลงเอ้อร์ในใจเคืองขุ่นแต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มพูดว่า “ขอตัว” จากนั้นก็ลุกเดินไปยังห้องดื่มชาส่วนตัวอีกห้องที่มุมฝั่งตรงกันข้าม

ไม่นานคนงานในร้านน้ำชาก็พาตัวหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามา หลงเอ้อร์เห็นแล้วต้องตกตะลึง

หญิงสาวผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดสีเขียวอ่อน ดูไปแล้วคงจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี รูปร่างสันทัดผอมบาง รูปโฉมหมดจดงดงาม ท่าทางผ่าเผยมีภูมิรู้

ก่อนที่หลงเอ้อร์จะเห็นหน้านาง เขาไม่รู้มาก่อนว่าคำว่า ‘ผ่าเผยมีภูมิรู้’ จะใช้กับหญิงสาวได้ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจไม่ใช่สิ่งนี้ แต่เป็นไม้เท้าที่มือนางถือเอาไว้ ไม้เท้าที่คนตาบอดใช้

หญิงสาวคนนั้นเดินตามคนงานเข้ามาในห้อง คนงานเปิดม่านมุกให้ บอกเสียงเบาว่าตรงหน้ายกพื้นขึ้นขั้นหนึ่ง นางใช้ไม้เท้าเคาะดู จากนั้นจึงค่อยๆ ก้าวขึ้นมา เดินไปอีกสองก้าวอย่างระมัดระวัง ไม้เท้าก็แตะโดนเก้าอี้ นางยื่นมือออกมาคลำพนักเก้าอี้

หลงเอ้อร์มองดูกิริยาเชื่องช้าของนาง ความรู้สึกเหลือจะทนที่สะสมมาจากติงเหยียนซานพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เขาเม้มริมฝีปากแน่น แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “นั่งสิ”

รีบไล่หญิงตาบอดคนนี้กลับไปก่อน แล้วค่อยกลับไปไล่บุตรสาวสกุลติงที่ไม่น่าสนใจคนนั้นอีกที เขาจะได้กลับคฤหาสน์ไปดูสมุดบัญชีเพื่อปรับอารมณ์เสียหน่อย

คนงานรีบพูดเตือนเสียงเบาข้างกายนางว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือท่านหลงเอ้อร์

หญิงตาบอดพยักหน้าขอบคุณแล้วหันมาย่อตัวคำนับหลงเอ้อร์ “คารวะท่านหลงเอ้อร์ ข้ามีชื่อว่าจวีมู่เอ๋อร์…”

นางยังพูดไม่ทันจบ หลงเอ้อร์ก็พูดขัดขึ้น “ไม่ต้องมากพิธี มีเรื่องอะไรก็พูดมา”

จวีมู่เอ๋อร์ชะงัก คิดไม่ถึงว่าท่านหลงเอ้อร์จะไร้ความเกรงใจถึงเพียงนี้ สีหน้านางสลด กัดริมฝีปากแล้วกลั้นใจบากหน้าเอ่ยพูด “ข้ามาขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง”

ขอร้องเขา? หลงเอ้อร์หรี่ตาลง เขาไม่ชอบช่วยเหลือใคร แต่กลับชอบความรู้สึกที่มีผู้อื่นมาขอร้องตน เขามองดูดวงตาของหญิงสาวแล้วมองดูไม้เท้าของนาง จากนั้นจึงเอ่ยพูด “นั่งลงก่อนแล้วค่อยพูดกัน”

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยขอบคุณ ใช้มือคลำเก้าอี้จนเจอที่พักแขน จากนั้นนางจึงขยับตัวไปด้านหน้าเก้าอี้อย่างช้าๆ เอามือแตะตรงที่นั่งแล้วจึงค่อยๆ นั่งลง

คนงานใช้ช่วงเวลานี้ยกน้ำชาเข้ามากาหนึ่ง เทให้ท่านหลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์จนเต็มถ้วย จากนั้นจึงวางถ้วยชาไว้ข้างมือของจวีมู่เอ๋อร์ ส่งเสียงบอกนางแล้วถอยออกไป

จวีมู่เอ๋อร์ใช้มือคลำถ้วยอย่างช้าๆ กุมเอาไว้ แต่ไม่ได้ดื่ม

หลงเอ้อร์เอ่ยถาม “แม่นางจะมาขอร้องข้าเรื่องใด”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบเสียงเบา “ร้านค้าบนถนนตงต้านี้ล้วนเป็นกิจการของท่านหลงเอ้อร์ ข้าขอบังอาจให้ท่านช่วยทำกันสาดหน้าร้านทั้งหมด”

หลงเอ้อร์รู้สึกตกใจ “ทำกันสาดหน้าร้านตลอดช่วงถนนทั้งหมด?”

“ใช่แล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ตอบกลับเสียงเบา

หลงเอ้อร์หัวเราะ เรื่องนี้ช่างน่าสนใจนัก เขาจึงเอ่ยถามต่อ “แม่นาง ข้ากับเจ้าไม่รู้จักกัน ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เหตุใดแม่นางจึงคิดว่าข้าจะทำกันสาดหน้าร้านค้าตลอดช่วงถนนทั้งหมดเพื่อเจ้า”

จวีมู่เอ๋อร์อ้าปาก คำพูดของเขาช่าง…

“ไม่ใช่เพื่อข้า…ข้าหมายความว่าที่ข้ามาขอร้องท่านเรื่องนี้ ไม่ทำให้ท่านขาดทุนอย่างแน่นอน ข้า…”

นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหลงเอ้อร์พูดขัดอีกครั้ง “เช่นนั้นหรือ” เขาถามพร้อมหัวเราะ “แม่นางยังมีคำขอร้องที่เสียมารยาทกว่านี้ ไร้เหตุผลกว่านี้ ไร้สาระกว่านี้อีกหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น นางถูกเขาพูดเหน็บจนใบหน้าแดงก่ำ แน่นอนว่าการมาหาคนที่ไม่รู้จักและขอร้องให้ควักเงินออกมาทำสิ่งไร้ประโยชน์ต่อตัวเขา จะพูดอย่างไรก็คงฟังว่าไร้เหตุผล แต่การที่เขาประชดประชันเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกกระดากอายอย่างมาก

หลงเอ้อร์หัวเราะอย่างเย็นชา

เขาเกลียดคนที่มาหลอกเอาเงินเขาที่สุด ดังนั้นจึงคิดจะทำให้จวีมู่เอ๋อร์อับอายโดยไม่ยอมอ่อนข้อให้ จึงเอ่ยถามพร้อมแค่นหัวเราะเย็นชา “แม่นางรู้หรือไม่ว่าบนถนนตงต้านี้มีร้านค้ากี่ร้าน”

เช่นนี้นางก็จะต้องตอบว่าไม่รู้ จากนั้นเขาก็สามารถพูดเหน็บนางได้ว่าไม่รู้ไปเอาความคิดเพ้อฝันนี้มาจากที่ใด

“ร้านค้าที่หันไปทางใต้จากตะวันออกไปตะวันตกมีสามสิบเจ็ดร้าน ส่วนร้านค้าที่หันไปทางเหนือจากตะวันตกไปตะวันออกมีสามสิบสามร้าน”

หลงเอ้อร์ตะลึงไปในทันที เขาคิดไม่ถึงว่าจวีมู่เอ๋อร์จะตอบได้และถูกต้องทั้งหมด

จวีมู่เอ๋อร์เหมือนจะรู้ถึงความสงสัยของเขา จึงอธิบายต่อว่า “ข้าตาบอด ดังนั้นเพื่อไม่ให้หลงทาง เวลาเดินจึงมักจะนับเอาไว้”

หลงเอ้อร์ไม่พูดอะไรอีก ตัวเขาเวลาเดินไม่เคยนับอะไร แต่สำหรับคนตาบอดแล้วคำตอบเช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล

แต่เขาจะยอมให้คนตาบอดคนหนึ่งมาถือไพ่เหนือกว่าได้อย่างไร ดังนั้นจึงเอ่ยถามอีก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าร้านค้าเจ็ดสิบร้านนี้ถ้าทำกันสาดจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าใด”

ขณะที่เขาพูดอยู่นี้ หางตาก็มองเห็นห้องดื่มชาที่มุมฝั่งตรงข้าม ติงเหยียนซานชะโงกหน้ามองมาทางเขาไม่หยุด พอหลงเอ้อร์คิดว่าตรงหน้ามีหญิงสาวที่ทำให้เขาโกรธอยู่หนึ่งคน อีกครู่ยังต้องกลับไปรับมือกับหญิงสาวน่าเบื่อผู้นั้นอีกหนึ่งคน ในใจก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเงินจำนวนเท่าใด ข้าก็สามารถทำให้ท่านหลงเอ้อร์ได้เงินจำนวนนั้นกลับมา”

ช่างกล้าพูดเสียจริง!

หลงเอ้อร์มองดูเสื้อผ้าเนื้อหยาบและดวงตาที่มืดบอดของจวีมู่เอ๋อร์แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อว่าความสามารถในการหาเงินของข้าไม่ด้อยไปกว่าแม่นางแน่นอน”

เขาพูดเหน็บนางอีกแล้ว!

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก “ท่านหลงเอ้อร์ทำการค้าใหญ่โตมั่งคั่ง ย่อมไม่เห็นค่าของคนตัวเล็กๆ เช่นพวกเรา แต่ไม่ว่าท่านจะมีเงื่อนไขอะไร หากข้าสามารถทำได้ ข้ายินดีทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ท่านจะทำกันสาดหน้าร้านค้าบนถนนตงต้าให้”

ขอร้องไม่สำเร็จ ใช้ผลประโยชน์หลอกล่อก็ไม่ได้ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีแลกเปลี่ยนแทนอย่างนั้นหรือ

หลงเอ้อร์รู้สึกสงสัยขึ้นมา “เจ้าลองพูดมาสิว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงอยากให้ร้านค้าบนถนนตงต้ามีกันสาด”

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก สำหรับเขาคำขอร้องของนางเป็นเรื่องไร้สาระ เช่นนั้นเหตุผลของนางก็เกรงว่าคงจะทำให้เขารู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดีกระมัง

“เจ้าลองพูดมาสิ” หลงเอ้อร์จ้องหน้าจวีมู่เอ๋อร์ เขาเห็นความลำบากใจและอึดอัดบนใบหน้าของนาง ไม่รู้ว่านางมีเรื่องเบื้องหลังอะไรที่ยากจะปริปากพูดหรือไม่

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากแน่น นางคิดทบทวนไปมา สถานการณ์เช่นนี้หากนางแต่งเหตุผลขึ้นมาสักเรื่องก็เกรงว่ายากจะเกลี้ยกล่อมเขาได้ ไม่สู้บอกความจริงไปตรงๆ เลยดีกว่า

“น้องสาวข้างบ้านของข้าคนหนึ่งขายดอกไม้ประทังชีวิตอยู่บนถนนตงต้า บนถนนไม่มีกันสาด นางจึงมักจะตากแดดตากฝนอยู่เสมอ ลำบากเป็นอย่างมาก และเพราะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ไม่มีเครื่องเงินทองประดับผม หากวันใดเจอลมเจอฝนก็ไม่อาจเข้าไปหลบในร้านค้าข้างถนนได้ นางต้องป่วยหลายครั้งด้วยสาเหตุนี้ สองวันก่อนหน้านี้ฝนตกหนัก นางตากฝนกลับบ้านจนล้มป่วยลุกไม่ขึ้น เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ในบ้านนางยังมีแม่แก่ๆ ที่ต้องดูแลอีกด้วย ข้าซึ่งช่วยอะไรไม่ได้จึงคิดจะมาขอร้องท่านหลงเอ้อร์ให้ทำกันสาดบนถนนเพื่อให้นางไม่ต้องได้รับความลำบากตากแดดตากฝนตอนทำงานอีกต่อไป”

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็งุนงงจนนิ่งไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยถาม “แค่นี้เองหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า

หลงเอ้อร์อยากหัวเราะอีกครั้ง “แม่นาง น้องสาวข้างบ้านของเจ้าตากแดดตากฝนจนล้มป่วย เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย อย่าว่าแต่น้องสาวของเจ้าเลย หากคนที่ทำการค้าบนถนนตงต้าล้วนล้มป่วยก็ต้องมาคิดบัญชีกับข้าเช่นนั้นหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไป “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”

หลงเอ้อร์ไม่ยอมให้นางพูดจนจบ “แม่นาง เจ้าคิดว่าข้าควรจะเป็นผู้มีเมตตา แต่ข้าไม่อยากเป็นคนที่ถูกหลอกให้เสียเงิน เรื่องนี้ไม่ต้องพูดกันแล้ว ข้าตอบเจ้าตอนนี้ได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้!”

เพียงเพื่อให้สาวน้อยขายดอกไม้คนหนึ่งมีที่บังแดดบังฝน เขาก็ต้องทำกันสาดบนถนนทั้งสายหรือ นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!

จวีมู่เอ๋อร์กล้าเสนอออกมา แต่เขากลับไม่อยากฟังแล้ว

“ท่านหลงเอ้อร์ เรื่องกันสาดนั้นเป็นเรื่องดีที่สามารถทำเงินได้เช่นกัน”

“ช่องทางหาเงินของข้ามีมากมายนับร้อยนับพัน ขาดเรื่องนี้ไปก็คงไม่เป็นไร” หลงเอ้อร์ไม่เกรงใจ “แม่นางจวีเชิญตามสบายเถอะ” เขากำลังจะไล่แขกแล้ว

“ท่านหลงเอ้อร์” จวีมู่เอ๋อร์รีบเรียกเขาไว้ นางเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกร้อนใจและอารมณ์เสียอยู่บ้าง นางลดเสียงลงและเอ่ยพูด “ท่านหลงเอ้อร์ หากข้ามีวิธีทำให้ท่านมีข้ออ้างที่เหมาะสมในการไปจากที่นี่ ไม่ต้องกลับไปต้อนรับคนที่ทำให้ท่านอารมณ์เสียอีก แล้วท่านก็รับปากทำกันสาดให้ ข้อเสนอนี้เป็นเช่นไร”

หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก นางเปลี่ยนมาใช้แผนยุขุนพล* แล้วหรือ

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงตอบของหลงเอ้อร์จึงรีบเอ่ยเสียงเบา

“เมื่อครู่ตอนที่ข้ารออยู่ด้านนอก พี่ชายในร้านน้ำชาบอกว่าท่านหลงเอ้อร์มีแขกคนสำคัญ ข้าได้ยินเสียงของคนผู้นั้นจึงรู้ว่าเป็นแขกสตรี รอจนท่านว่างมาพบข้า ในน้ำเสียงของท่านกลับไม่มีความสุข ข้าวิเคราะห์ว่าท่านคุยกับคนผู้นั้นแล้วไม่เบิกบานใจ ดังนั้นหากข้าสามารถทำให้ท่านมีเหตุผลเหมาะสมที่จะปลีกตัวออกไปและไม่ทำให้แขกคนสำคัญคนนั้นโกรธ ท่านต้องทำกันสาดหน้าร้านค้าบนถนนตงต้า เช่นนี้ได้หรือไม่”

หลงเอ้อร์เห็นจวีมู่เอ๋อร์พูดอย่างมีหลักการก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ เขานึกสนุกขึ้นมาจึงพูดว่า “ข้ามีวิธีจะปลีกตัวจากนางแล้ว เหตุใดต้องให้เจ้ามาวุ่นวายด้วย”

“วิธีของท่านคงจะเป็นการให้คนใต้บัญชามารายงานว่าในคฤหาสน์มีงานด่วนต้องการให้ท่านกลับไปจัดการ ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะทำได้ แต่อย่างไรก็คงทำให้คนฟังรู้สึกสงสัยไม่มากก็น้อย ด้วยฐานะของท่าน หากใช้วิธีนี้หลายๆ ครั้ง แขกคนสำคัญคนนั้นก็จะคิดว่าท่านกำลังหาข้ออ้าง แต่วิธีของข้านั้นง่ายดายไม่ยุ่งยากและสมเหตุสมผลแน่นอน ท่านสามารถเดินจากไปอย่างเปิดเผย รวมทั้งแขกคนสำคัญคนนั้นยังต้องรีบส่งท่านไปอีกด้วย”

เรื่องนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ

หลงเอ้อร์ไม่สนใจว่าติงเหยียนซานจะคิดว่าเขาเสแสร้งหาข้ออ้างหรือไม่ แต่จวีมู่เอ๋อร์สะกิดความสงสัยของเขา นางโอ้อวด พูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเช่นนี้ทำให้เขาอยากรู้เหลือเกินว่านางจะมีวิธีการอย่างไร

“เจ้าลองพูดมาสิ เป็นวิธีแยบยลอันใด”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า “ท่านยังไม่ได้ตอบตกลงจะแลกเปลี่ยนกับข้า หากข้าบอกวิธีไปแล้วท่านนำไปใช้ เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าข้าเสียเปรียบหรอกหรือ”

ใครอยากจะรู้วิธีของเจ้ากัน!

หลงเอ้อร์ถูกคำพูดนี้ของนางทำให้รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่เขาคิดไม่ออกว่านางมีวิธีอะไรกันแน่ ความสงสัยถูกสะกิดจนท่วมท้น ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบ “ได้ ข้ารับปากเจ้า หากเจ้าสามารถทำได้อย่างที่พูด หาเหตุผลเหมาะสมที่ทำให้ข้าจากไปได้ ข้าจะทำกันสาดหน้าร้านค้าที่ถนนตงต้าให้”

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกพอใจ นางพยักหน้าแล้วพูดย้ำอีกครั้ง “ท่านพูดคำไหนคำนั้นจริง?”

“แน่นอน”

ได้รับคำยืนยันจากหลงเอ้อร์ จวีมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกโล่งอก นางยิ้มออกมาแล้วเอ่ยถาม “แขกคนนั้นสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเราได้หรือไม่”

“เจ้าเดาว่าอย่างไร” หลงเอ้อร์ยังมีแก่ใจจะล้อเล่น

“ข้าเดาว่าได้ เมื่อครู่ท่านยังหันไปมองนางด้วย”

รอยยิ้มบนใบหน้าหลงเอ้อร์แข็งค้างไปทันใด คนผู้นี้ตาบอดจริงหรือแกล้งกันแน่

จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือคลำไปที่ตำแหน่งของกาน้ำชาบนโต๊ะ “ท่านพูดไปพลางหันหน้าไปพลาง สามารถฟังออกได้จากน้ำเสียง” นางพบกาน้ำชาแล้ว ท่าทางเหมือนอยากจะเทน้ำชาให้ตัวเอง “ท่านไม่ปฏิเสธ เช่นนั้นแสดงว่าแขกคนสำคัญคนนั้นสามารถมองเห็นพวกเราได้”

หลงเอ้อร์เม้มปาก จ้องเข้าไปในดวงตาของนาง เอาล่ะ เขามั่นใจแล้วว่านางตาบอดจริงๆ

หลงเอ้อร์คิดว่าตัวเองสามารถแยกแยะคนจากการพูดคุยกันได้ เขามักจะมองเห็นความจริงเท็จจากแววตาและท่าทางของฝ่ายตรงข้าม แท้จริงแล้วส่วนที่งดงามที่สุดบนใบหน้าของจวีมู่เอ๋อร์นั้นเป็นดวงตา น่าเสียดายที่ใต้แผงขนตายาวนั้น ดวงตาดำขลับกลับไร้ซึ่งประกายใดๆ สิ่งนี้ทำให้นางดูสงบนิ่งเป็นอย่างมากตอนที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรมากนัก

ตอนนี้หลงเอ้อร์ไม่เห็นอารมณ์ใดๆ จากใบหน้าของนาง ดังนั้นเขาจึงรออย่างอดทน รอให้นางบอกวิธีออกมาเขาจะได้โต้ตอบกลับได้ เขาไม่เชื่อว่านางจะมีวิธีแยบยลอะไรที่เขาคิดไม่ถึง บางทีนางอาจจะหลอกเขา เขากำลังรอจับผิดนางอยู่

จวีมู่เอ๋อร์หยิบกาน้ำชาขึ้นมา คลำวัดความร้อนและกะน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง หลงเอ้อร์จับจ้องดูกิริยาของนาง เขาไม่รู้ว่าคนตาบอดจะเทน้ำชาให้ตัวเองได้อย่างไร หากตอนนี้เขาแอบหยิบถ้วยของนางไป นางจะเทน้ำชาลงบนโต๊ะหรือไม่

ความคิดของหลงเอ้อร์กำลังหมุนไป พลันเห็นจวีมู่เอ๋อร์พลิกข้อมือ ฝากาเปิดออก น้ำชาทั้งหมดในกาสาดมาที่ตัวเขา

เสียงดังพรึบ น้ำชาที่สาดมาทำให้หลงเอ้อร์นิ่งงัน

เขาคิดไม่ถึงจึงไม่ได้เตรียมป้องกัน น้ำชาอุ่นเปียกชุ่มเสื้อของเขา ไหลจากแผ่นอกลงไปอย่างรวดเร็ว

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยพูดเสียงอ่อนหวาน “ท่านกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด จะได้ไม่เป็นหวัด”

หลงเอ้อร์ทั้งตกใจทั้งโมโห ส่วนติงเหยียนซานที่อยู่อีกฟากนั้นทะยานมาถึงแล้ว นางไม่ได้หันไปด่าจวีมู่เอ๋อร์ เพียงแต่รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบน้ำชาบนตัวหลงเอ้อร์ คนงานด้านข้างก็นำผ้ามาช่วยเช็ดเป็นพัลวันเช่นกัน

จวีมู่เอ๋อร์ยืนขึ้นแล้วย่อตัว “ข้าตาบอดมือไม้จึงเก้งก้าง ทำให้เสื้อผ้าท่านหลงเอ้อร์เปียก ต้องขออภัยจริงๆ”

หลงเอ้อร์โกรธจนหน้าเขียวแต่น่าเสียดายที่ไม่อาจแสดงอาการได้ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า นางหยิบไม้เท้าและลาจากไป

หลงเอ้อร์ส่งสายตาให้หลี่เคอซึ่งเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี หลี่เคอแอบตามจวีมู่เอ๋อร์ออกไป

ติงเหยียนซานไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ นางทั้งร้อนใจและโมโห “ท่านจะปล่อยนางไปเช่นนี้จริงๆ หรือ นางจงใจทำชัดๆ นางมาขอร้องอะไรแล้วท่านไม่ตกลงใช่หรือไม่ ปล่อยนางไปเช่นนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องสั่งสอนนางเสียบ้าง”

“นางเป็นคนตาบอด เจ้าจะสั่งสอนนางอย่างไร หากเรื่องแพร่ออกไปจะน่าฟังหรือ” คำพูดนี้ของหลงเอ้อร์ทำให้ติงเหยียนซานพูดไม่ออก แต่สวรรค์รู้ดีว่าเขาอยากสั่งสอนหญิงตาบอดคนนั้นเหลือเกิน!

ติงเหยียนซานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองดูหลงเอ้อร์ที่เปียกไปทั้งตัว “ฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้หากต้องความเย็นคงไม่ดีต่อสุขภาพ ท่านเปียกไปทั้งตัวแบบนี้รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่คฤหาสน์เถอะ หากโดนไอเย็นจนไม่สบายไปคงจะไม่ดีเป็นแน่”

หลงเอ้อร์พยักหน้า คารวะเป็นการอำลา ก่อนกลับเขาได้สั่งให้หลงจู๊มอบชาชั้นดีให้ติงเหยียนซานนำกลับจวนไปให้ใต้เท้าเสนาบดีชิม เมื่ออำลาพอเป็นพิธีแล้วเขาก็รีบขึ้นรถม้ากลับคฤหาสน์ไป

รถม้าเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วตลอดทาง หลงเอ้อร์ครุ่นคิดไม่หยุด ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตัวเองถูกหญิงตาบอดผู้นั้นแกล้ง ซ้ำร้ายเมื่อถูกแกล้งแล้วเขายังต้องกลืนความแค้นลงท้องไป นอกจากต้องกล้ำกลืนลงไปแล้วเขายังต้องรักษาสัญญาควักเงินออกมาจ่ายให้คนนอกอีก

ขาดทุน ขาดทุนจริงๆ!

หลงเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งโกรธ

หญิงตาบอดคนนั้นเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้! เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!

หลงเอ้อร์ลูบเสื้อที่เปียกบนตัว เมื่อครู่เขาคิดอยู่หลายหนทาง แต่กลับคิดวิธีง่ายๆ เช่นนี้ไม่ออก เป็นเหตุที่ไม่ต้องหาข้ออ้างใดๆ เลยจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อได้หญิงสาวที่มาหาผู้นั้นเป็นคนลงมือ เหตุการณ์นี้ก็มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ติงเหยียนซานรีบส่งเขากลับตามที่นางพูดจริงๆ นางพูดถูกทุกอย่าง เช่นนั้นหากเขาไม่ทำกันสาดตามข้อตกลง ไม่เท่ากับว่าเป็นการตบปากตัวเองหรอกหรือ

หลงเอ้อร์ไม่พอใจ ไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้วก็ต้องยิ้มออกมาในทันใด จวีมู่เอ๋อร์ผู้นั้นคิดแกล้งเขา แต่คงคาดไม่ถึงว่าการทำเช่นนี้จะทำให้บุตรสาวของเสนาบดีโกรธ ติงเหยียนซานมีนิสัยเกรี้ยวกราด ทั้งยังไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน* ที่จะยอมให้ใครมาขัดใจ

หลงเอ้อร์ยิ้ม อืม…ผู้ใดทำให้เขาต้องควักเงินออกมาจ่ายให้คนนอก ผู้นั้นก็ต้องชดใช้

 

ในตอนที่หลงเอ้อร์กลับคฤหาสน์ไป หลี่เคอก็กำลังสะกดรอยตามจวีมู่เอ๋อร์อยู่

เขาตามนางออกไปทางประตูเมืองทิศใต้ เดินต่อไปอีกระยะหนึ่งก็เป็นทางสายเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยป่าไผ่ ข้างทางมีศาลาไผ่อยู่หลังหนึ่ง จวีมู่เอ๋อร์เดินขึ้นไปนั่งในศาลานั้น

หลี่เคอที่มองอยู่ไกลๆ รู้สึกตกใจกับความสามารถในการจดจำเส้นทางของหญิงตาบอดผู้นี้ ตลอดทางนางไม่ได้เดินเลี้ยวผิดไปที่ใดเลย ซ้ำยังก้าวขึ้นไปนั่งในศาลาได้อย่างแม่นยำ เขาที่กำลังจ้องมองจู่ๆ กลับได้ยินจวีมู่เอ๋อร์พูดขึ้นว่า “ท่านผู้กล้า เรามาสนทนากันสักหน่อยได้หรือไม่”

หลี่เคอตกใจ เขาหันไปมองรอบตัว ตรงนี้นอกจากเขากับจวีมู่เอ๋อร์แล้วไม่มีผู้ใดอีก

จวีมู่เอ๋อร์พูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านผู้กล้าตามข้ามาตลอดทาง เหตุใดจึงไม่มาคุยกันสักหน่อยเล่า”

หลี่เคอรู้สึกว่า ‘ท่านผู้กล้า’ ที่จวีมู่เอ๋อร์พูดถึงก็คือตัวเขาเอง ดวงตานางมองไปด้านหน้าเหมือนไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด หลี่เคอไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไรอีก ดังนั้นจึงไม่ขยับเขยื้อน

จวีมู่เอ๋อร์รอสักพัก เมื่อไม่มีคนเดินเข้ามานางจึงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ข้าเพียงอยากขอร้องท่านผู้กล้าว่าอย่าให้พ่อข้ากับน้องสาวข้างบ้านรู้เรื่องวันนี้ หากข้าไร้มารยาทไปบ้าง หวังว่าท่านหลงเอ้อร์จะให้อภัย”

ในที่สุดหลี่เคอก็ทนไม่ไหว เขาเดินเข้าไปในศาลาแล้วเอ่ยถาม “แม่นางรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่แถวนี้”

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลี่เคอทำให้จวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง หลี่เคอประสานหมัดเอ่ยขออภัย จากนั้นจึงคิดขึ้นได้ว่าแม่นางผู้นี้มองไม่เห็น

เขาเอ่ยถามอีกครั้ง จวีมู่เอ๋อร์ถึงควบคุมสติได้แล้วตอบกลับ “ข้าคิดว่าท่านหลงเอ้อร์คงไม่ไว้ใจคนที่ไม่รู้จักเทือกเถาเหล่ากอมาก่อน เมื่อครู่นี้ข้าเองก็เสียมารยาทต่อเขา เขาคงจะส่งคนมาสืบความ ข้าออกจากร้านน้ำชามาแล้วถึงเพิ่งคิดได้ว่าลืมขอร้องเรื่องนี้กับท่านหลงเอ้อร์จึงคอยระวังตัวตลอดทาง ตาข้ามองไม่เห็น ท่านผู้กล้าจึงเบาใจตามมาโดยไม่ได้ลดเสียงฝีเท้าลง ดังนั้นจึงทำให้ข้ารับรู้ได้”

หลี่เคอรู้สึกตกใจ เขารีบเอ่ยปาก “เป็นข้าที่รบกวนแม่นางแล้ว โปรดอย่าถือสา ข้ามีนามว่าหลี่เคอ เป็นองครักษ์ของท่านหลงเอ้อร์ นายท่านรองเกรงว่าแม่นางจะเดินทางไม่สะดวก ดังนั้นจึงให้ข้าตามมาส่งเพื่อความปลอดภัย”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย ไม่เอ่ยคำพูดหักหน้าเขา เพียงแต่พูดว่า “เช่นนั้นขอให้พี่หลี่กลับไปขอบคุณท่านหลงเอ้อร์แทนข้าด้วย” หลี่เคอรับคำ จวีมู่เอ๋อร์พูดขึ้นอีกครั้งในทันใด “ข้าชื่อจวีมู่เอ๋อร์ บ้านข้าเปิดร้านเหล้าห่างจากตัวเมืองไปทางทิศใต้ห้าลี้ พ่อข้าชื่อจวีเซิ่ง เหล้าที่บ้านข้าหมักพอจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง สืบหาได้ง่ายดายยิ่ง ปีนี้ข้ามีอายุยี่สิบปี ยังไม่ได้แต่งงาน สองปีก่อนเคยป่วยเป็นโรคตาจึงทำให้มองไม่เห็นอะไรอีกเลย เดิมทีข้าเป็นนักเล่นพิณ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ดีดพิณแล้ว เพียงสอนเด็กดีดพิณ เทียบเสียงสายพิณให้ร้านขายพิณ หาเงินเล็กน้อยมาใช้จ่ายเท่านั้น”

หลี่เคอได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็พูดอะไรไม่ออก ที่แท้จวีมู่เอ๋อร์ผู้นี้รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยต่อ “ภูมิหลังของข้ามีเพียงเท่านี้ รบกวนพี่หลี่กลับไปรายงานด้วย ท่านหลงเอ้อร์จะได้วางใจ พ่อข้ากับน้องสาวข้างบ้านเป็นห่วงข้ามาก ขอพี่หลี่โปรดเข้าใจ อย่าได้ไปรบกวนพวกเขาให้ตกใจเลย”

จวีมู่เอ๋อร์พูดเช่นนี้ทำให้หลี่เคอกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าการที่ตัวเองสะกดรอยตามนางมานั้นเหมือนเป็นการรังแกหญิงตาบอดที่อ่อนแอคนหนึ่งจึงรีบพยักหน้าแล้วเอ่ยปากรับคำ

จวีมู่เอ๋อร์ขอบคุณอย่างจริงใจ นางหยิบไม้เท้าลุกขึ้นยืน หลี่เคอส่งนางกลับไปบนทางสายเล็กตรงป่าไผ่ จู่ๆ นางก็เอ่ยถามขึ้นอย่างฉับพลัน “พี่หลี่ วันนี้ข้ารบกวนการพูดคุยระหว่างดื่มชาของท่านหลงเอ้อร์กับแขกคนสำคัญ คนผู้นั้นคือใครหรือ”

“คุณหนูรองสกุลติง บุตรสาวของท่านเสนาบดีกรมอาญา”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็ตอบรับเสียงเบา ขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลี่เคอคิดได้ว่าไม่ควรพูดมาก เขาจึงรีบเอ่ยลา แต่ยังคงแอบตามอยู่ไกลๆ จนกระทั่งจวีมู่เอ๋อร์กลับถึงบ้าน

เมื่อตามไปจนสุดทาง หลี่เคอก็พบว่าเป็นจริงดังที่จวีมู่เอ๋อร์บอก บ้านของนางเป็นร้านขายเหล้า เขาแอบเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณบ้านข้างเคียงอย่างละเอียด จากนั้นจึงเข้าไปในร้านขายพิณหลายร้าน ใช้ข้ออ้างว่าจะซื้อพิณเพื่อสืบความ แล้วก็ไปสอบถามจากขอทานสืบข่าวในเมือง สุดท้ายจึงกลับคฤหาสน์สกุลหลงไปรายงานท่านหลงเอ้อร์

ที่แท้จวีมู่เอ๋อร์ผู้นี้มีชื่อเสียงภายในเมืองอยู่บ้าง นางฉลาดเหนือใครมาตั้งแต่เด็ก อ่านหนังสือโคลงกลอนมามากมาย ทั้งยังมีฝีมือการดีดพิณเหนือธรรมดา หญิงสาวเช่นนี้ย่อมถูกกล่าวขานถึงกันไปทั่ว แม่ของจวีมู่เอ๋อร์ป่วยตายตั้งแต่นางอายุได้สิบปี จวีเซิ่งผู้เป็นพ่อมีบุตรสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงรักใคร่นางเป็นอย่างมาก เขายอมให้นางได้ทำในสิ่งที่นางรักและไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย

จวีมู่เอ๋อร์มีน้องสาวข้างบ้านที่พักห่างออกไปไม่ไกลจริงๆ สาวน้อยผู้นั้นมีนามว่าซูฉิง ในบ้านนางมีแม่ที่ป่วยหนัก ซูฉิงจะเก็บดอกไม้หรือบางครั้งก็เป็นสมุนไพรไปขายเพื่อประทังชีวิต ซึ่งปกติจะเร่ขายไปตามถนนตงต้า วันก่อนซูฉิงตากฝนจนป่วยหนัก เกือบจะก้าวเข้าสู่ประตูยมโลกจริงๆ

“หากเป็นเช่นนี้ สิ่งที่จวีมู่เอ๋อร์พูดก็เป็นจริงทุกคำหรือ”

หลี่เคอตอบกลับ “เป็นเช่นนั้นขอรับ”

“นางตาบอดได้อย่างไร” หลงเอ้อร์ถาม

“สองปีก่อนมีคดีใหญ่สะเทือนขวัญคดีหนึ่ง เทพพิณซือป๋ออินต้องการแย่งชิงสุดยอดตำราเพลงพิณ จึงสังหารครอบครัวของเสนาบดีกรมปกครองสื่อเจ๋อชุน ภายหลังซือป๋ออินถูกตัดสินประหารชีวิต เนื่องด้วยเทพพิณผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดัง องค์จักรพรรดิทรงเสียดายความสามารถของเขาจึงทรงอนุญาตให้เขาบรรเลงบทเพลงได้หนึ่งบทก่อนตาย”

หลงเอ้อร์พยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้ ซือป๋ออินขอให้มีคนรู้ดนตรีอยู่ในที่แห่งนั้นด้วยจึงจะยอมบรรเลงเพลง ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงทรงอนุญาตให้นักพิณมีชื่อทั่วทั้งใต้หล้าเข้าไปฟังและดูการลงโทษได้”

แท้จริงแล้ว องค์จักรพรรดิทรงเคยส่งเทียบเชิญให้หลงเอ้อร์ไปร่วมงานเช่นกัน แม้ตอนนั้นการดีดพิณจะเป็นที่ชื่นชอบไปทั่วแคว้นเซียว และคนในแคว้นต่างก็ฝึกฝนเรียนรู้ศิลปะการดีดพิณ แต่หลงเอ้อร์กลับเป็นผู้ไม่รู้เรื่องพิณเลยสักนิด ดังนั้นจึงไม่สนใจจะไปร่วมงานในครั้งนั้นแม้แต่น้อย

เขาไม่ได้ไป แต่จวีมู่เอ๋อร์ไปเช่นนั้นหรือ

หลี่เคอพยักหน้า “แม่นางจวีไปร่วมฟังพิณก่อนการประหารครั้งนั้น เมื่อนางกลับมาก็หลงใหลศิลปะการบรรเลงพิณมากยิ่งขึ้น ได้ยินว่านางศึกษาตำราเพลงพิณทั้งวันทั้งคืนจนทำให้ดวงตาเสีย เรื่องนี้ไม่ต่างจากที่นางเคยบอกกับข้าน้อยว่าตาบอดเพราะป่วย”

“นางบอกเจ้าด้วยตัวเองว่านางตาบอดเพราะป่วยอย่างนั้นหรือ”

“ขอรับ” หลี่เคอเล่าเรื่องที่เขาสะกดรอยตามจวีมู่เอ๋อร์ จากนั้นก็ถูกนางจับได้และพูดถึงสิ่งที่พวกเขาทั้งสองคุยกันออกมาจนหมดสิ้น

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็แค่นหัวเราะเย็นชา “หญิงตาบอดคนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ” หลี่เคอไม่เข้าใจ หลงเอ้อร์จึงพูดต่อ “นางร่างกายบอบบางและมีฝีเท้าหนัก เห็นได้ชัดว่าไม่มีวรยุทธ์ เช่นนั้นจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าได้อย่างไรกัน นางเพียงแค่หลอกล่อเจ้าเท่านั้น พอเจ้ายอมรับ นางก็มั่นใจว่าข้าส่งคนตามนางไป”

หลี่เคอคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด นี่เขาถูกหลอกจริงๆ หรือ

หลงเอ้อร์พูดต่อ “นางบอกเล่าภูมิหลังที่ไม่สำคัญของตัวเองออกมาเพื่อให้เจ้าลดความแคลงใจลง แล้วจึงเอ่ยปากถามถึงแขกคนสำคัญที่คุยกับข้าว่าเป็นใคร และเจ้าก็บอกนางไป”

จุดนี้หลี่เคอเองก็รู้ตัวดี เขารีบก้มหน้าขอรับโทษ “ข้าน้อยทำงานผิดพลาด ขอนายท่านรองลงโทษด้วย”

“ไม่ลงโทษ” หลงเอ้อร์นั่งพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ ริมฝีปากบางยกยิ้ม “เจ้าทำได้ดีมาก ตอนนี้นางรู้แล้วว่าตัวเองทำผิดต่อผู้หญิงที่ไม่ควรจะไปยั่วโทสะ ดังนั้นให้นางว้าวุ่นใจเสียบ้างก็สมควรแล้ว”

หึ! หญิงผู้นั้นสาดน้ำชาใส่เขาจนเปียกไปทั้งตัว ทั้งยังทำให้เขาต้องควักเงินออกมาทำกันสาดโดยไร้ประโยชน์ เขาจะปล่อยให้นางมีความสุขไปได้อย่างไรกัน!

หลงเอ้อร์ยังโกรธอยู่ แต่หลี่เคอมีเรื่องจะรายงานต่อ

แท้จริงแล้วคดีของเทพพิณซือป๋ออินเป็นหน้าที่ของกรมอาญา รองเสนาบดีกรมอาญาอวิ๋นชิงเสียนเป็นผู้สอบสวนคดีเองตั้งแต่ต้นจนจบ นักพิณที่เข้าร่วมฟังพิณก่อนการประหารนั้นเขาก็เป็นผู้ตรวจสอบประวัติแล้วอนุญาตให้รับเทียบเข้าชม อวิ๋นชิงเสียนเป็นผู้รักในเสียงพิณคนหนึ่งเช่นกัน เขาดีดพิณได้ยอดเยี่ยม ดังนั้นภายหลังจากการฟังพิณก่อนการประหารเสร็จจึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนและผูกสัมพันธ์กับนักพิณจำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีจวีมู่เอ๋อร์รวมอยู่ด้วย

หลงเอ้อร์ได้ฟังดวงตาก็เป็นประกาย “เจ้าบอกว่าอวิ๋นชิงเสียนผู้น่ารังเกียจคนนั้นไปมาหาสู่กับจวีมู่เอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”

หลี่เคอคลึงขมับ เมื่อพูดถึงศัตรู ผู้เป็นนายของเขาก็แสดงอาการสนใจเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบรายงานต่อ

เดิมทีจวีมู่เอ๋อร์มีคู่หมั้นหมายแซ่เฉินอยู่คนหนึ่ง เรื่องการแต่งงานก็ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ยังเด็ก จวีมู่เอ๋อร์กับคุณชายเฉินผู้นั้นเติบโตขึ้นมาด้วยกันจึงมีความสัมพันธ์ทางใจลึกซึ้ง แต่ด้วยความหลงใหลที่นางมีต่อเสียงพิณทำให้ต้องเลื่อนเวลาการแต่งงานออกไปหลายครั้ง ตกลงว่าจะรอให้นางอายุครบสิบแปดปีแล้วค่อยแต่งคาดไม่ถึงว่าพอใกล้จะครบกำหนด จวีมู่เอ๋อร์ที่เพิ่งกลับมาจากการไปร่วมฟังพิณก่อนการประหารของซือป๋ออินนั้นจะหลงใหลพิณเหมือนถูกมารเข้าแทรก จากนั้นนางก็เป็นโรคตา สุดท้ายจึงจำต้องถอนหมั้นล้มเลิกการแต่งงานไป นับจากนั้นเป็นต้นมาอวิ๋นชิงเสียนก็แสดงความรักต่อนางอย่างเปิดเผยกระทั่งทุกคนต่างรับรู้ได้อย่างชัดเจน

หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดัง “อวิ๋นชิงเสียนผู้นั้นมีฮูหยินแล้วมิใช่หรือ เขาเป็นพี่เขยของติงเหยียนซาน เป็นลูกเขยผู้เพียบพร้อมของท่านเสนาบดีติง แล้วเหตุใดยังคงไปเกาะแกะกับหญิงสาวคนอื่นนอกบ้าน ซ้ำยังเป็นหญิงสาวตาบอดอีกด้วย” เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกสนใจ “เรื่องนี้น่าสนุกจริง”

อวิ๋นชิงเสียนเป็นใครน่ะหรือ…

เขาเป็นลูกน้องคนสนิทและเป็นลูกเขยของติงเซิ่งผู้เป็นเสนาบดีกรมอาญาซึ่งเป็นคนสนิทขององค์จักรพรรดิ ขณะเดียวกันก็เป็นศิษย์รักของสื่อเจ๋อชุนเสนาบดีกรมปกครองที่ถูกซือป๋ออินฆ่าตาย ในอดีตเป็นเพราะสื่อเจ๋อชุนให้การอุ้มชู เสนอต่อองค์จักรพรรดิให้อวิ๋นชิงเสียนเข้าทำงานในกรมอาญาเขาจึงได้มีตำแหน่งอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้ เขากับสื่อเจ๋อชุนรักกันเหมือนพ่อลูก ดังนั้นคดีที่สื่อเจ๋อชุนถูกสังหาร อวิ๋นชิงเสียนจึงใช้ความสามารถทั้งหมด ไม่ยอมละความพยายาม จนท้ายที่สุดก็สามารถนำคนร้ายมารับโทษทัณฑ์ได้

อวิ๋นชิงเสียนมีรูปร่างหน้าตาสง่างามเป็นที่น่าเคารพนับถือ จะทำการใดล้วนมีกฎระเบียบตายตัว ไม่ปรับเปลี่ยนอ่อนข้อใดๆ เขามีตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีกรมอาญา ส่วนหลงเฟยนายท่านสามแห่งสกุลหลงเป็นจอมยุทธ์ที่มักจะมีเรื่องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีการตายของคนในยุทธภพจำนวนมาก อวิ๋นชิงเสียนซึ่งไม่สนใจคำทัดทานทั้งทางตรงและทางอ้อมขององค์จักรพรรดิกับเสนาบดีกรมอาญาจึงมักจะเข้ามาหาเรื่องหลงซานอยู่เสมอ

ควรจะรู้ก่อนว่าการหาเรื่องหลงซานก็คือการสร้างความไม่พอใจให้หลงเอ้อร์ เมื่อมีเขาอยู่ทั้งคน มีหรือที่เขาจะยอมให้คนสกุลหลงถูกรังแกได้ ดังนั้นปมความบาดหมางระหว่างคนทั้งสองจึงเกิดขึ้นและนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปทุกทีๆ

หลงเอ้อร์ไม่พอใจที่อวิ๋นชิงเสียนชอบวางท่า ดื้อรั้นไม่ยืดหยุ่น เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน คอยแต่จะหาเรื่องสกุลหลงให้ได้ ส่วนอวิ๋นชิงเสียนไม่พอใจที่หลงเอ้อร์หาผลประโยชน์จากการค้า หลอกลวงลื่นไหล ใช้ผลประโยชน์ซื้อตัวคนในราชสำนัก คนทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกัน คนหนึ่งเป็นขุนนางอีกคนหนึ่งเป็นพ่อค้า มีความสามารถโดดเด่นด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นจึงมักจะถูกผู้คนนำมาเปรียบเทียบกันเสมอ ต่างฝ่ายต่างก็มีคนคอยสนับสนุน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองคนต่างเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามมากยิ่งขึ้นไปอีก

คนทั้งสองหากพบหน้าเป็นต้องทะเลาะกัน ขุนนางผู้ทรงเกียรติทั้งหลายในเมืองหลวงต่างก็รู้ดี ดังนั้นงานเลี้ยงหรืองานพบปะสังสรรค์ทั้งหลาย หากมีผู้หนึ่งอยู่ในงานก็จะไม่เชิญอีกผู้หนึ่งมาร่วมงาน

บัดนี้หลงเอ้อร์ได้รู้ว่าอวิ๋นชิงเสียนมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกยินดีนัก “หากติงเหยียนซานรู้ว่าพี่เขยไปติดพันจวีมู่เอ๋อร์ นางจะต้องโมโหมากเป็นแน่ อีกทั้งวันนี้จวีมู่เอ๋อร์ไม่เคารพข้าต่อหน้านาง ทำลายโอกาสอันดีของนาง เรื่องนี้คงทำให้นางโมโหมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อความโมโหมารวมกัน ด้วยนิสัยของนางคงจะไม่ยอมให้จวีมู่เอ๋อร์อยู่เป็นสุขอย่างแน่นอน”

หลี่เคอลอบถอนใจ หญิงสาวอ่อนแอน่าสงสารคนหนึ่งจะถูกคนรังแก มีเรื่องอะไรให้นายของเขาภาคภูมิใจอย่างนั้นหรือ

“หลี่เคอ…” หลงเอ้อร์หรี่ตามอง เอ่ยพูดเย็นชา “ทำไม เจ้าสงสารจวีมู่เอ๋อร์หรือ”

“ข้าน้อยไม่กล้าขอรับ”

“พบหน้าเพียงครั้งเดียว เจ้าก็ชอบนางแล้วหรือ”

“ข้าน้อยไม่ได้ชอบขอรับ” หลี่เคอเหงื่อผุด นายท่านรองขอรับ ได้โปรดอย่าล้อเล่นเลย ข้าน้อยเป็นคนใต้บัญชาที่ทำงานด้วยความจริงจังนะขอรับ

“เจ้าดูสิ การแสร้งทำตัวให้น่าสงสารเป็นอาวุธชั้นดีของผู้หญิง” หลงเอ้อร์ลุกขึ้นตบไหล่ของหลี่เคอ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้แต่อวิ๋นชิงเสียนยังหลงกล หากเจ้าเกิดความสงสารต่อนางก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่ไม่ใช่หรือ”

นายท่านรองคิดจะบอกว่าเป็นเพราะตัวเองฉลาดหลักแหลมจึงไม่ถูกวิธีนี้ทำให้หลงใหลใช่หรือไม่ หลี่เคอไม่กล้าเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมา ทำได้แต่กลืนมันลงท้องไปเท่านั้น

รอยยิ้มบนใบหน้าหลงเอ้อร์ยังไม่จางไป “ท่ามกลางเมืองนี้ยังมีเรื่องน่าดึงดูดใจซ่อนอยู่ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!”

หลี่เคอเม้มปากแน่น พยายามไม่พูดอะไรออกมา ในเมืองมีข่าวลือว่านายท่านรองของเขาเห็นแก่เงินทอง เจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอีกด้วย ถึงตอนนี้ที่ยังไม่แต่งงานก็เพราะเป็นโรคประหลาดส่วนตัว แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เขาพูดออกมาไม่ได้ พูดไม่ได้อย่างเด็ดขาด เขายังไม่อยากถูกส่งไปขัดห้องสุขา

หลงเอ้อร์ยังคงคิดแต่เรื่องดีงามของตน “หากติงเหยียนซานคิดจะจัดการจวีมู่เอ๋อร์ นางคงไม่มีเวลามาวุ่นวายกับข้ามากนัก ส่วนจวีมู่เอ๋อร์เมื่อถูกคนรังแก อวิ๋นชิงเสียนคงอยู่ไม่เป็นสุข หากเขายื่นมือเข้าไปช่วย จะแก้ตัวกับสกุลติงว่าอย่างไร และหากไม่ช่วยจวีมู่เอ๋อร์ก็จะเสียเปรียบ เขาเองคงรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก”

เมื่อหลงเอ้อร์คิดถึงสภาพของอวิ๋นชิงเสียนที่จะเลือกทางใดก็ลำบากใจแล้วเขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“หากเขาทนไม่ไหวและใช้กำลังยับยั้งติงเหยียนซาน ทำให้ฮูหยินและน้องภรรยาของเขาโมโห จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะยอดเยี่ยมนัก”

หลงเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งทนรอไม่ไหว อยากจะให้ติงเหยียนซานรีบลงมือ ลูกหินหนึ่งก้อนยิงนกได้สามตัว เพียงแค่คิดว่าจะจัดการคนที่ทำให้เขาไม่ชอบใจได้ก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขเหลือเกินแล้ว

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com