ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด – หน้า 10 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

บทที่สิบ

 

วันต่อมา หลงเอ้อร์กำลังคุยงานกับหลงจู๊ทั้งหลายอยู่ภายในโถงของคฤหาสน์สกุลหลง เด็กช่วยงานร้านเหล้าสกุลจวีคนหนึ่งก็รีบร้อนมาขอพบ

หลงเอ้อร์ออกมาพบเขาที่นอกโถง คนผู้นั้นกระหืดกระหอบพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์ แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ คือว่า…คือว่า…มีแม่สื่อนำสินสอดมาส่ง นายท่านคิดว่าเป็นของท่านหลงเอ้อร์จึงไม่ได้ถามอะไรมากแล้วรับเอาไว้ แต่พอดูหนังสือหมั้นหมาย กลับเป็นของผู้อื่น…”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว ถามเสียงดัง “เจ้าว่าอะไรนะ”

เด็กช่วยงานผู้นั้นกลืนน้ำลาย พูดซ้ำประเด็นสำคัญอีกครั้งหนึ่ง “ท่านผู้เฒ่ารับของหมั้นผิดคนขอรับ!”

รับของหมั้นผิดคน?

หลงเอ้อร์นิ่วหน้า ของพวกนี้รับกันผิดได้ด้วยหรือ

เป็นที่รู้กันว่าชายหญิงจะหมั้นหมาย หากฝ่ายหญิงรับของหมั้นและหนังสือหมั้นจากฝ่ายชายแล้วก็หมายความว่าตอบรับการแต่งงาน จากนั้นครอบครัวของฝ่ายหญิงจะส่งวันเดือนปีเกิดของฝ่ายหญิงและของตอบแทนจากฝ่ายหญิงให้ฝ่ายชาย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะถือว่าได้ตกลงแต่งงานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

บัดนี้เมื่อผู้เฒ่าจวีรับของหมั้นและหนังสือหมั้นไว้ก็เป็นการตอบรับให้จวีมู่เอ๋อร์แต่งงานกับคนอื่น ทำให้สิ่งที่เขากับจวีมู่เอ๋อร์เคยพูดและกำหนดกันไว้ล้วนเป็นโมฆะทั้งหมด

เรื่องราวฟังดูร้ายแรง แต่หลงเอ้อร์กลับสงบนิ่งอย่างมาก ยิ่งเจอเรื่องที่จัดการได้ยาก เขาก็จะยิ่งเยือกเย็น

หลงเอ้อร์เรียกพ่อบ้านเถี่ยออกมาจากในโถง บอกเขาว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบไปจัดการนอกคฤหาสน์ ให้พ่อบ้านเถี่ยไปรับรองหลงจู๊ทั้งหลายแทนก่อน จากนั้นจึงสั่งบ่าวคนหนึ่งให้ไปตามแม่นมอวี๋ และให้อีกคนหนึ่งไปเตรียมรถม้า

เมื่อสั่งการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็เรียกหลี่เคอมา จากนั้นถามเด็กช่วยงานผู้นั้นว่า “แม่สื่อคนนั้นยังอยู่ที่ร้านเหล้าใช่หรือไม่ และผู้เฒ่าจวีรอให้ข้าไปอยู่ใช่หรือไม่” หากไม่เป็นเช่นนั้นผู้เฒ่าจวีคงต้องมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ส่งเด็กช่วยงานที่เขาไม่คุ้นเคยมาส่งข่าว

“ถูกต้องๆ ผู้เฒ่าจวีอยู่ขวางพวกเขาที่นั่นขอรับ”

หลงเอ้อร์โบกมือ แล้วหันไปพูดกับหลี่เคอว่า “เจ้าขี่ม้านำคนล่วงหน้าไปก่อน ดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร กันคนพวกนั้นไว้ที่นั่นเพื่อรอข้าไปถึง หากฝ่ายตรงข้ามมีใครกล้าลงมือรุนแรงก็ไม่ต้องไว้หน้าพวกเขา”

หลี่เคอตอบรับ รีบนำคนออกเดินทางทันที

หลงเอ้อร์นำเด็กช่วยงานผู้นั้นไปรอรถม้าที่ประตูด้านข้างแล้วพูดกับเขาว่า “เล่าเรื่องราวมาให้ละเอียด”

เด็กช่วยงานที่ตอนนี้หายใจทันแล้ว และได้เห็นท่านหลงเอ้อร์เตรียมการพร้อมสรรพก็เกิดมีพลังขึ้นมาในทันใด พูดจาคล่องแคล่วกว่าเมื่อครู่มาก “วันนี้ยามเช้าตรู่มีแม่สื่อสองคนพาคนนำของหมั้นกล่องใหญ่เล็กมากมายมาส่ง ผู้เฒ่าจวีเห็นแม่สื่อก็นึกว่าเป็นคนที่ท่านหลงเอ้อร์ส่งมา เพราะแม่นมอวี๋บอกว่าภายในสองวันนี้หากเตรียมการเสร็จแล้วก็จะให้คนส่งของหมั้นมาให้ ผู้เฒ่าจวีจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เชิญพวกนางเข้าไปนั่งด้านใน แม่สื่อทั้งสองคนก็เพียงแค่พูดอวยพรเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน ผู้เฒ่าจวีเทน้ำชาให้พวกนางแล้วรีบเรียกให้พวกข้าออกมารับรอง ส่วนเขาเข้าไปด้านหลังเพื่อหยิบใบชื่อแซ่ดวงชะตาและของตอบแทนจากฝ่ายหญิงที่เตรียมไว้แต่แรก”

เขาพูดถึงตรงนี้ แม่นมอวี๋ก็มาถึงพอดี ตอนนี้รถม้าเตรียมเสร็จแล้ว คนทั้งหลายจึงขึ้นรถรีบรุดไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีทันที เด็กช่วยงานร้านเหล้าเคยพบกับแม่นมอวี๋ เขาจึงเล่าเรื่องอย่างคร่าวๆ อีกครั้ง จากนั้นก็พูดต่อ “ข้าคิดว่าเรื่องนี้จะโทษท่านผู้เฒ่าฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ข้าเป็นคนรับรองแม่สื่อทั้งสองคน และยังได้พูดคุยกับพวกนางด้วย แต่พวกนางกลับไม่แสดงท่าทางอะไรที่ผิดปกติออกมาเลย ตอนที่ท่านผู้เฒ่านำใบชื่อแซ่ดวงชะตาและของตอบแทนจากฝ่ายหญิงออกมามอบให้พวกนาง ยังถามพวกนางว่าเหตุใดจึงมาเร็วเช่นนี้ แม้แม่นมอวี๋เคยบอกไว้ว่าวันนี้กับวันมะรืนเป็นวันดีในการส่งมอบของหมั้น แต่เขาคิดว่าจะมาวันมะรืนเสียอีก”

แม่นมอวี๋พยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง วันนี้และวันมะรืนล้วนเป็นวันดี แต่ข้าบอกกับผู้เฒ่าจวีแล้วว่าก่อนจะนำของหมั้นไปให้ ข้าจะบอกวันที่แน่นอนกับเขาอีกครั้ง เพราะเรื่องการมอบของหมั้นนี้เป็นเรื่องสำคัญ ข้าต้องไปพร้อมกับแม่สื่อจึงจะถูก และที่ยังไม่ได้กำหนดวันเพราะมีผ้าต่วนพับหนึ่งที่ข้าคิดว่าแม่สื่อเลือกได้ไม่ดีนักจึงอยากไปดูที่ร้านด้วยตัวเอง รวมทั้งวันมะรืนเป็นวันเกิดของนายท่านรอง ย่อมเป็นวันที่ดีกว่า ดังนั้นเดิมทีข้าจึงคิดจะตรวจของดูอีกรอบแล้วไปบอกผู้เฒ่าจวีว่าวันมอบของหมั้นคือวันมะรืน”

เด็กช่วยงานร้านเหล้ารีบหันไปพูดกับหลงเอ้อร์ “ท่านหลงเอ้อร์ เรื่องนี้จะโทษท่านผู้เฒ่าไม่ได้จริงๆ นะขอรับ ทั้งๆ ที่เขาพูดเช่นนี้กับแม่สื่อทั้งสองคนแล้ว แต่พวกนางกลับไม่ได้บอกว่าเป็นตัวแทนจากสกุลอื่น พูดเพียงว่าวันนี้ดีเพียงใด เมื่อส่งของหมั้นครบถ้วน ลำดับต่อไปควรจัดงานมงคลเลย พอพวกนางรับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงจากผู้เฒ่าจวีแล้ว ชาก็ไม่ดื่ม ไม่พูดอะไรแล้วทำท่าจะจากไปทันที ในตอนนี้เองผู้เฒ่าจวีจึงเปิดหนังสือหมั้นที่ห่อเอาไว้อย่างดีออกดู เมื่อได้เห็นก็ต้องตะลึงไป”

“เป็นของสกุลใด” หลงเอ้อร์เอ่ยถามเสียงเย็นชา แม้เขาจะคาดเดาไว้แล้ว แต่ยังคงถามเพื่อความมั่นใจ

“ข้าได้ยินผู้เฒ่าจวีวิ่งตามออกไป เขาตะโกนว่า ‘ผิดแล้วๆ เหตุใดจึงเป็นของสกุลอวิ๋นเล่า’ ”

หลงเอ้อร์หรี่ตาลง ท่าทางน่ากลัวของเขาทำให้เด็กช่วยงานร้านเหล้าตกใจจนหดตัวอย่างหวาดเกรง ภายในรถเงียบลงในทันใด

ผ่านไปสักครู่ เด็กช่วยงานผู้นั้นก็เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ท่านผู้เฒ่าเห็นชื่อบนหนังสือหมั้นไม่ถูกต้องจึงรีบตามออกไป บอกว่ารับของผิด จะคืนของหมั้น และขอใบชื่อแซ่ดวงชะตากับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงคืนมา แต่แม่สื่อทั้งสองคนกลับเล่นแง่ขึ้นมา พวกนางบอกว่าของหมั้นคิดจะคืนก็คืนง่ายๆ ได้อย่างไร ยังบอกอีกว่าเมื่อใบชื่อแซ่ดวงชะตาและของตอบแทนจากฝ่ายหญิงออกจากบ้านมาแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องคืนกลับไป งานมงคลนี้ได้กำหนดเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านผู้เฒ่าจวีรอเกี้ยวเจ้าสาวก็พอ

ท่านผู้เฒ่าถกเถียงกับพวกนางอยู่นาน พวกข้าก็เข้าไปช่วยขวางทางเอาไว้ แต่แม่สื่อทั้งสองคนนำบ่าวรูปร่างกำยำมาด้วยหลายคน พวกเขาย่อมไม่กลัวพวกข้า เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมคืนของให้พวกเรา สุดท้ายจึงเกิดการยื้อยุดไปมา พอพวกนางคิดจะจากไป ท่านผู้เฒ่าก็ร้อนใจ รีบไปหยิบไม้มายืนขวางทางพวกนาง เสียงถกเถียงโวยวายนี้ดังจนทำให้แม่นางจวีได้ยินและออกมา พอแม่นางจวีรู้เรื่องทั้งหมดก็พยายามพูดคุยอธิบายเหตุผลกับพวกนาง แต่แม่สื่อกลับเริ่มพูดคำไม่น่าฟัง ดังนั้นท่านผู้เฒ่ากับพวกข้าก็ยื้อยุดกับบ่าวเหล่านั้นอีกครั้ง ภายหลังเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น ท่านผู้เฒ่าจึงให้ข้ามาเชิญท่านหลงเอ้อร์ขอรับ”

หลงเอ้อร์นิ่งเงียบไม่พูดจา เด็กช่วยงานผู้นั้นมองหน้าแม่นมอวี๋ที่นั่งถอนหายใจ แม่นมอวี๋ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นางอยู่มาจนแก่ปูนนี้ยังไม่เคยได้ยินเรื่องความผิดพลาดในการรับของหมั้นเช่นนี้มาก่อน

คนทั้งสามจึงนั่งเงียบไร้คำพูดจนกระทั่งมาถึงร้านเหล้าสกุลจวีอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกร้านแล้ว มีเพียงองครักษ์จากคฤหาสน์สกุลหลงสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงปากประตู พวกเขาเห็นหลงเอ้อร์มาถึงก็รีบคำนับแล้วพูดว่า “นายท่านรอง” พร้อมกัน

หลงเอ้อร์เอามือไพล่หลัง เดินเข้าไปในร้านเป็นคนแรก

ภายในโถงของร้านเหล้ามีคนไม่น้อย ทุกคนต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ แม่สื่อที่สวมเสื้อสีแดงสองคนกับบ่าวในชุดเสื้อฟ้าอีกห้าคนยืนชิดอยู่ตรงมุมโถง ในมือยังอุ้มของตอบแทนจากฝ่ายหญิงที่ห่อด้วยผ้าแดงเอาไว้ ผู้เฒ่าจวีมีใบหน้าแดงก่ำ เขากับเด็กช่วยงานร้านเหล้าอีกคนหนึ่งต่างถือไม้เอาไว้ในมือ จ้องเขม็งไปยังพวกแม่สื่อ หลี่เคอกับองครักษ์สองคนยืนคุมอยู่ทั้งสองข้าง กันพวกแม่สื่อให้ถอยไปติดอยู่ตรงมุมโถง ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าจวี กอดไม้เท้าของนางเอาไว้แน่น สีหน้าไม่ค่อยดีนัก

พอหลงเอ้อร์เข้ามา หลี่เคอกับเหล่าองครักษ์ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกัน “นายท่านรอง”

ผู้เฒ่าจวีเหมือนเห็นดวงดาวช่วยชีวิต แทบจะร้องไห้ออกมาจริงๆ “ท่านหลงเอ้อร์ ข้ารับของผิด แต่ข้าไม่ได้ปล่อยให้พวกนางจากไปนะ ข้าขวางพวกนางเอาไว้แล้ว”

หลงเอ้อร์พยักหน้า มองไปทางจวีมู่เอ๋อร์

นางไม่มีผ้าพันแผลบนหัวแล้ว ปล่อยผมยาวสยาย เห็นได้ชัดว่าตอนที่แม่สื่อพวกนี้มา นางยังไม่ตื่นนอน เป็นเสียงอึกทึกพวกนั้นที่ทำให้นางตื่นและรีบออกมา แม้กระทั่งผมก็ยังไม่ได้หวี

หลงเอ้อร์เดินเข้าไปใช้นิ้วมือสางผมที่ยุ่งเหยิงให้นาง “เหตุใดจึงออกมาทั้งสภาพเช่นนี้”

“ท่านหลงเอ้อร์” จวีมู่เอ๋อร์เรียกเขาเสียงเบา น้ำเสียงร้อนใจแฝงการขอร้อง

เขาไม่ได้ตอบนาง แต่พูดกับแม่นมอวี๋แทน “รบกวนแม่นมพานางกลับเข้าไป ให้นางแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกมา ข้าจะรออยู่ที่นี่”

แม่นมอวี๋รับคำ รีบประคองจวีมู่เอ๋อร์เข้าไปหวีผมแต่งกาย

หลงเอ้อร์หมุนตัวกลับ หยิบเก้าอี้มาตัวหนึ่ง วางลงบนพื้นเสียงดังปังตรงหน้าแม่สื่อทั้งสองคน จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ จ้องไปที่พวกนางด้วยแววตาเย็นชา

คนทั้งหมดในร้านล้วนยืน มีเพียงหลงเอ้อร์คนเดียวที่นั่ง เขาอยู่ต่ำสุดแต่รังสีแห่งอำนาจกลับแผ่กระจาย แม่สื่อทั้งสองคนถูกเขาจ้องจนตัวแข็ง ทำได้เพียงสบตากัน ไม่กล้าส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย

เขาไม่พูด คนอื่นก็ไม่กล้าพูด ภายในโถงจึงเงียบสนิท แท้จริงแล้วผู้เฒ่าจวีรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง เขากำลังคิดว่าท่านหลงเอ้อร์มาถึงแล้ว ดังนั้นไม้ในมือเขาก็ควรจะวางลงได้แล้วใช่หรือไม่ แต่เมื่อเห็นคนอื่นไม่ขยับ เขาก็ไม่กล้าขยับเช่นกัน

ผ่านไปสักครู่ แม่นมอวี๋จึงพาจวีมู่เอ๋อร์กลับเข้ามา นางหวีผมเรียบร้อยและสวมเสื้อผ้าฝ้ายชั้นนอกเพิ่มอีกตัว ดูแล้วสดใสขึ้นเล็กน้อย หลงเอ้อร์เห็นนางเดินมาใกล้จึงพูดว่า “นั่งลง”

แม่นมอวี๋รีบขยับเก้าอี้มาให้นางตัวหนึ่ง จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าไม่ยอมนั่ง นางกลับเดินไปอยู่ด้านหลังหลงเอ้อร์แล้วแตะไหล่เขา หลงเอ้อร์ยื่นมือไปกุมมือนาง เมื่อสัมผัสได้ว่านิ้วมือทั้งห้าของนางเย็นเฉียบ เขาก็ขมวดคิ้วแน่น

หลงเอ้อร์หันหน้าไปมองผู้เฒ่าจวี ผู้เฒ่าจวีรู้ว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่ เมื่อถูกลูกเขยในอนาคตมองเช่นนี้จึงอดรู้สึกละอายใจขึ้นมาไม่ได้

หลงเอ้อร์พูดว่า “ท่านผู้เฒ่า นั่งลงเถอะ”

ผู้เฒ่าจวีเหลือบมองจวีมู่เอ๋อร์ ถ้าบุตรสาวยังยืนอยู่ เขาก็จะยืนเช่นกัน เมื่อผู้เฒ่าจวีส่ายหน้าไม่ยอมนั่ง หลงเอ้อร์ก็ไม่ได้สนใจเขาอีก

หลงเอ้อร์ย้ายสายตากลับมาที่แม่สื่อสองคนนั้น จ้องหน้าพวกนางเขม็ง พูดออกมาเพียงสามคำ “มอบออกมา”

เขาพูดเสียงเบามาก แต่เย็นชาจนทำให้แม่สื่อทั้งสองคนตัวสั่น พวกนางมองตากัน ลังเลอยู่นาน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะวางซองกระดาษสีแดงไว้บนโต๊ะด้านข้างด้วยมือสั่นเทา ส่วนอีกคนหนึ่งโบกมือให้พวกบ่าวนำของตอบแทนจากฝ่ายหญิงวางไว้บนโต๊ะเช่นกัน

ผู้เฒ่าจวีรีบทะยานเข้าไปหยิบซองกระดาษ เปิดออกดูอย่างตั้งใจแล้วพูดว่า “อันนี้ล่ะ เป็นใบชื่อแซ่ดวงชะตาที่ข้าเตรียมเอาไว้” เขามองหน้าหลงเอ้อร์ด้วยความยินดี ของที่แม้เขาจะใช้ท่อนไม้ก็ทวงคืนมาไม่ได้ แต่ท่านหลงเอ้อร์สามารถทำได้โดยอาศัยเพียงแค่คำสามคำ เห็นได้ชัดว่าระหว่างคนทั้งสองนั้นมีความแตกต่างกัน

หลงเอ้อร์ไม่ได้หันหน้าไปมองผู้เฒ่าจวี เขายังคงจ้องไปที่แม่สื่อสองคนนั้น แล้วยื่นมือไปทางผู้เฒ่าจวี “ของของพวกนางล่ะ”

“เอ๋?” ผู้เฒ่าจวีที่กำลังอยู่ในห้วงความยินดีคิดตามไม่ทัน

“หนังสือหมั้นกับหนังสือแจ้งพิธี”

“อ๋อๆ” ผู้เฒ่าจวีรีบนำของออกมา ก้าวเท้าจะเข้าไปส่งคืนให้แม่สื่อทั้งสองคน

หลงเอ้อร์กลับพูดขึ้นว่า “เอามาให้ข้า”

ผู้เฒ่าจวีงุนงง แต่ยังคงหมุนตัวกลับมาอย่างเชื่อฟัง มอบหนังสือหมั้นและหนังสือแจ้งพิธีให้แก่หลงเอ้อร์

หลงเอ้อร์เปิดออกดูอย่างตั้งใจ อ่านไล่ทีละตัวอักษร เมื่อเห็นชื่อของ ‘อวิ๋นชิงเสียน’ เขาก็หัวเราะเสียงเย็นชา การที่หลงเอ้อร์มีรอยยิ้มเช่นนี้ยิ่งทำให้เหล่าแม่สื่อตัวเกร็งมากกว่าเดิม

หลงเอ้อร์เหลือบตาขึ้นมองพวกนาง เอ่ยถามเสียงเบา “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”

แม่สื่อทั้งสองคนพยักหน้าโดยแรง

“ดีมาก” หลงเอ้อร์พูดช้าๆ “เช่นนั้นพวกเจ้าก็มีข้ออ้างแล้ว” พูดจบก็ยกมือฉีกหนังสือหมั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โปรยต่อหน้าแม่สื่อทั้งสองคน

เหล่าแม่สื่อตกใจจนหน้าซีดขาว

แม่สื่อผู้หนึ่งทำใจกล้าพูดขึ้นมาว่า “อวิ๋นฮูหยินบอกเอาไว้ว่าแม่นางจวีตกปากรับคำเรื่องการแต่งงานแล้ว เมื่อพวกเรารับเงินเขามาก็ต้องทำงาน การมอบของหมั้นส่งหนังสือหมั้นเหล่านี้ล้วนเป็นไปตามธรรมเนียม” นางเกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรตามมาในภายหลังจึงรีบเอ่ยปากอธิบายทันที

“ข้าไม่” จวีมู่เอ๋อร์พูด มือที่ปล่อยข้างลำตัวกำหมัดแน่น “ข้าไม่ได้ตอบตกลงกับนาง”

“แต่อวิ๋นฮูหยินมาพูดทาบทามแทนใต้เท้าอวิ๋นด้วยตัวเอง และแม่นางก็ตอบรับแล้วไม่ใช่หรือ หากไม่ใช่ ใต้เท้าอวิ๋นกับฮูหยินคงไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน” แม่สื่อพูดพลางมองสังเกตสีหน้าของหลงเอ้อร์อย่างระวังตัว

จวีมู่เอ๋อร์ขบกรามแน่น “นางเคยมาจริง แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง”

ผู้เฒ่าจวีก็พูดขึ้นว่า “หลายวันก่อนใต้เท้าอวิ๋นก็มาที่นี่ แต่มู่เอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ ข้าจึงไม่ได้ให้เขาพบนาง ตอนนั้นเขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้”

แม่สื่อยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่หลงเอ้อร์หรี่ตามอง บีบให้นางเก็บคำพูดกลืนลงท้องไป จากนั้นเขาจึงเอ่ยปาก “ไม่ว่าใครจะมาหรือมู่เอ๋อร์จะตอบตกลงหรือไม่ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ลองถามว่าข้ายอมตกลงด้วยหรือไม่”

แม่สื่อทั้งสองคนก้มหน้าลงทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก

“ใต้เท้าอวิ๋นชิงเสียนเป็นแค่รองเสนาบดีกรมอาญาไม่ใช่หรือ พ่อตาของเขาคือใครกันนะ อ๋อ…ท่านเสนาบดีติงนั่นเอง แล้วเครือญาติของใต้เท้าและพรรคพวกมีใครอีก พ่อตาของเสนาบดีติง ใต้เท้าหยางอดีตหัวหน้าสำนักราชบัณฑิต ดูเหมือนยังมีผู้ตรวจการหลิว ผู้ช่วยเสนาบดีจั่ว ผู้ตรวจฎีกาซือหม่า” หลงเอ้อร์ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเย็นชา “ข้ายังสามารถพูดออกมาได้อีกยี่สิบกว่าชื่อ แต่คิดว่าพวกเจ้าคงฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก”

แม่สื่อทั้งสองคนยิ่งหดตัวถอยไปทางด้านหลังมากขึ้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง

“แต่ว่า…” หลงเอ้อร์พูดต่อ “หากขุนนางเหล่านี้ไปอยู่ตรงหน้าองค์จักรพรรดิ ข้าคงต้องขอถามให้ละเอียดว่าการที่ข้ากับมู่เอ๋อร์รักใคร่กัน พูดคุยเรื่องหมั้นหมายกันไว้ สองสกุลก็ตกลงเรื่องงานมงคลกันเรียบร้อยแล้ว และตั้งใจจะจัดการทุกอย่างในเร็ววันนี้ แต่เหตุใดสกุลอวิ๋นยังกล้าทำเรื่องน่าอายอย่างการหลอกลวงแย่งชิงงานมงคลของผู้อื่นเช่นนี้ได้”

ประโยคนี้พูดได้หนักนัก แม่สื่อผู้หนึ่งอ้าปากคิดจะโต้แย้ง แต่กลับไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว

หลงเอ้อร์ตบหลังมือของจวีมู่เอ๋อร์แล้วพูดว่า “มู่เอ๋อร์ พวกแม่สื่อบอกว่าในตอนนั้นเจ้าตอบตกลงกับอวิ๋นฮูหยินว่าจะแต่งเป็นอนุของสามีนาง ส่วนข้าก็พูดว่าข้าได้ตกลงกับเจ้าไว้แล้ว จะให้เจ้าแต่งเข้าสกุลหลงเป็นฮูหยินของข้า ในเมื่อพวกเราต่างพูดกันไปคนละทาง ดังนั้นเจ้าก็บอกให้ชัดเจนต่อหน้าทุกคนเลยดีกว่าว่าเจ้าจะแต่งงานกับใคร”

พวกแม่สื่อรีบเงยหน้าขึ้นมองจวีมู่เอ๋อร์ ท่านหลงเอ้อร์พูดว่าเขาและพวกนางต่างพูดกันไปคนละทาง แต่แท้จริงแล้วพวกนางไม่อาจกล่าวโต้แย้งใดๆ ได้เลย…ผู้ใดจะกล้าล่ะ ซ้ำร้ายเขายังพูดว่าแต่งกับคนหนึ่งได้เป็นอนุ แต่งกับอีกคนได้เป็นฮูหยิน นี่เป็นคำพูดเสียดสีแอบด่าอย่างเห็นได้ชัด จวีมู่เอ๋อร์จะตอบเช่นไร พวกนางย่อมรู้ดี

จวีมู่เอ๋อร์ตอบตามที่คิด “ข้าจะแต่งกับท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์พูดว่า “ทำไมเสียงเบาเช่นนี้ หูของพวกแม่สื่อไม่ค่อยดี เกรงว่าคงได้ยินไม่ชัด เจ้าเพิ่มเสียงให้ดังอีกนิดได้หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ขยับเข้าใกล้เขาอย่างอดไม่ได้ นางเพิ่มเสียงแล้วพูดซ้ำอีกครั้ง “ข้าจะแต่งกับท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์พยักหน้าอย่างพอใจแล้วถามแม่สื่อทั้งสองคน “ได้ยินชัดหรือยัง”

“ชัดแล้ว ชัดเจนแล้ว” พวกแม่สื่อรีบพยักหน้าตอบรับ

“เช่นนั้นคงไม่เข้าใจผิด แล้วมาบอกว่ามู่เอ๋อร์ของข้าตอบตกลงแต่งงานกับสกุลอวิ๋นอีกสินะ”

“ไม่แล้ว ไม่มีแล้ว”

“ดีมาก” หลงเอ้อร์พยักหน้า เขาหันไปมองกล่องใหญ่เล็กที่ห่อด้วยผ้าแดงซึ่งวางกองอยู่บนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามผู้เฒ่าจวี “นี่คือของที่พวกนางนำมาใช่หรือไม่”

ผู้เฒ่าจวีตอบว่า “ใช่”

เขาเอ่ยถามอีก “อยู่ตรงนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่”

“ใช่” ผู้เฒ่าจวีตอบอีกครั้ง

หลงเอ้อร์โบกมือ “นำออกไปทำลายให้หมด”

ผู้เฒ่าจวีตกตะลึง นำไปทำลาย? เหล่าองครักษ์ของคฤหาสน์สกุลหลงไม่รอให้ผู้เฒ่าจวีมีการตอบสนอง พวกเขาลงมือขนของเหล่านั้นออกไปจากโถงแล้วขว้างทิ้งเสียงดังโครมคราม

ผู้เฒ่าจวีเกาหัว สิ่งแรกที่คิดก็คือเสียดายของ สิ่งที่สองคือสงสัยว่าพวกเขารับหน้าที่ทำลายแล้ว จะรับหน้าที่เก็บกวาดด้วยหรือไม่ หน้าร้านของเขาก็ต้องรักษาความสะอาดนะ

หลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าจวีกำลังคิดอะไร แต่เขาฟังเสียงขว้างปาของเหล่านั้นแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย

เขายิ้มกว้าง เหลือบตามองแม่สื่อทั้งสองคนอย่างเย็นชาแล้วกวาดสายตามองบ่าวติดตามเหล่านั้น จากนั้นจึงขยับตัวจัดแขนเสื้อ เอ่ยอย่างช้าๆ “เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้ พวกเจ้ากลับไปรายงานที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋นได้แล้ว”

พวกแม่สื่อทำได้เพียงพยักหน้า สีหน้ายังคงขาวซีด

หลงเอ้อร์ยังพูดต่อ “แต่ข้ามีคำบางคำอยากขอฝากให้ทุกท่านช่วยนำไปด้วย” เขามองไปรอบโถง เมื่อเห็นคนเหล่านั้นตั้งใจฟังก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ “รบกวนช่วยไปบอกแม่สื่อทั่วทั้งเมืองด้วยว่าแม่นางจวีแห่งร้านเหล้าสกุลจวีนอกเมืองทางทิศใต้นี้เป็นภรรยาที่ข้าหลงเอ้อร์หมั้นหมายเอาไว้แล้ว นางเป็นฮูหยินของคฤหาสน์สกุลหลง หากใครคิดกินดีสุนัข* ช่วยเหลือสกุลอื่นมาพูดทาบทามขอนางหรือส่งของขวัญมาที่นี่ ข้าจะทำให้คนผู้นั้นกินไม่ทันเสร็จก็ต้องเผ่นหนีเลยเชียว หากไม่อยากอยู่ในเมืองนี้แล้วก็มาลองดูได้”

เขาเพิ่งจะพูดจบ แม่สื่อทั้งสองคนก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วโขกหัวไม่หยุด พวกนางบอกว่าเรื่องนี้ฮูหยินสกุลอวิ๋นเป็นคนเรียกพวกนางไปพบ บอกให้พวกนางจัดเตรียมสามหนังสือหกพิธีและของอื่นๆ ไว้ให้พร้อม บอกว่าแม่นางจวีตอบตกลงเรื่องงานมงคลแล้ว ใต้เท้าอวิ๋นเองก็รับรู้ ยังให้เงินรางวัลพวกนางอีกด้วย เดิมทีฮูหยินของใต้เท้าอวิ๋นตกลงกับพวกนางไว้ว่าจะต้องเตรียมของให้พร้อมก่อนปีใหม่ แล้วหลังปีใหม่จึงค่อยมามอบของหมั้น แต่ระยะนี้มีชาวเมืองเล่าลือกันว่าคฤหาสน์สกุลหลงจะมามอบของหมั้นให้แก่สกุลจวี อวิ๋นฮูหยินจึงบอกว่าไม่ว่าจะอย่างไรพวกนางต้องจัดการเจรจาเรื่องงานมงคลนี้ให้สำเร็จ พวกนางรับเงินไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงไม่กล้าผิดใจกับสกุลอวิ๋น คิดตัดหน้าชิงนำของหมั้นมามอบให้ก่อน เมื่อผู้เฒ่าจวีรับของจากสกุลใดก็ต้องถือว่ารับปากหมั้นหมายกับสกุลนั้น เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะพวกนางหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ ต่อไปไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว

พวกนางพร่ำพูดขอร้อง หลงเอ้อร์ไม่อยากฟังจึงโบกมือแล้วพูดเสียงดังว่า “ไสหัวไป”

พวกแม่สื่อเงียบเสียงลงทันที จากนั้นก็ลอบมองตากันแวบหนึ่งแล้วพาเหล่าบ่าวทั้งหลายวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดผู้เฒ่าจวีก็โล่งอกเสียที เขายิ้มออกมา กำลังจะเข้าไปขอบคุณหลงเอ้อร์ แต่เพิ่งก้าวเท้า หลงเอ้อร์ก็หันหน้าไปเอ่ยกับจวีมู่เอ๋อร์ว่า “เจ้าตามข้ามา”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่กล้าพูดว่าไม่ นางจึงปล่อยให้ท่านหลงเอ้อร์จูงมือเดินเข้าไปทางเรือนพักด้านหลัง

ตอนนี้ใจของนางวุ่นวายสับสน ทั้งรู้สึกดีใจที่ท่านหลงเอ้อร์จัดการเรื่องยุ่งยากนี้ได้ แต่ก็รู้สึกกังวลใจว่าเรื่องงานมงคลของนางกับเขาจะเปลี่ยนไปด้วยสาเหตุนี้เช่นกัน เพราะเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ท่านหลงเอ้อร์ก็คงพอรู้จุดประสงค์ที่นางขอแต่งงานกับเขาบ้างแล้ว

หากนางเป็นเขา นางต้องโกรธมากอย่างแน่นอน แม้นางจะถูกบีบให้แต่งงานจึงต้องการคนหนุนหลังที่มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่และบ้านสามีที่สามารถต่อกรกับสกุลอวิ๋นได้ แต่เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการ นางถึงขั้นใช้ความบริสุทธิ์ของหลงจู๊หลี่ว์มาข่มขู่เขา อย่างไรเสีย นางก็หลอกใช้เขา…

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าการกระทำของตนต่ำช้าไร้ยางอายมาก หากท่านหลงเอ้อร์จะด่านางแล้วบอกว่าไม่แต่งงานกับนางเด็ดขาด รวมทั้งประกาศยกเลิกการแต่งงาน นางก็ไม่โทษเขาแม้แต่น้อย

หลงเอ้อร์จูงจวีมู่เอ๋อร์ให้เดินไปที่ห้องของนาง เมื่อไปถึงเขาก็นั่งลง ไม่ได้พูดอะไรออกมา จวีมู่เอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านข้างไม่กล้าส่งเสียงเช่นกัน ผ่านไปครู่ใหญ่หลงเอ้อร์จึงสั่งให้จวีมู่เอ๋อร์เทน้ำชาให้เขา

ครั้งนี้นางไม่ได้บ่ายเบี่ยงและไม่ได้กลั่นแกล้งแต่อย่างใด เพียงรีบเทน้ำชาให้เขาอย่างเงียบๆ

หลงเอ้อร์ยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างช้าๆ จนหมด เมื่อมองดูใบหน้าเคร่งเครียดของจวีมู่เอ๋อร์แล้ว เขาก็ขอเติมอีกถ้วย นางคลำหาถ้วยชาแล้วเทน้ำชาให้เขาเต็มถ้วยอีกครั้ง

ครั้งนี้หลงเอ้อร์ไม่ได้ดื่ม เพียงเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงไม่ถามข้าว่าอร่อยหรือไม่”

“ท่านหลงเอ้อร์ น้ำชาอร่อยหรือไม่”

“พอใช้ได้”

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว

“ท่านหลงเอ้อร์ ข้านวดไหล่ให้ท่านดีหรือไม่”

“ดีสิ” หลงเอ้อร์ตอบรับอย่างรวดเร็วแล้วดึงมือของนางมาวางไว้บนไหล่ของตัวเอง

จวีมู่เอ๋อร์นวดไหล่ให้เขาอย่างตั้งใจ สักครู่ก็เปลี่ยนเป็นบีบแทน บ่าไหล่และแผ่นหลังของเขาแข็งแรง ดังนั้นเวลาบีบจึงต้องใช้แรงมาก จวีมู่เอ๋อร์บีบนวดไป ในใจก็มีความทุกข์ที่พูดไม่ออก ด้านหนึ่งโกรธเกลียดตัวเอง แต่อีกด้านก็ยังคงปรารถนาว่าจะสามารถแต่งงานกับเขาได้ นางอยากได้รับการปกป้องจากเขา

ตอนนั้นนางกล้ามาขอเขาแต่งงานเพราะบังเอิญได้รับโอกาสอันดี รู้สึกว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นลิขิตจากสวรรค์ ทั้งมอบเหตุผลและหมากเดินให้แก่นางเพื่อใช้ต่อรอง เขาจึงกลายเป็นตัวเลือกในการเป็นสามีของนางด้วยเหตุนี้ แม้นิสัยของเขาจะน่ารังเกียจอยู่บ้าง เขาชอบรังแกผู้อื่น แต่นางกลับเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างไร้สาเหตุ

นางรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายนาง ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากคลุกคลีกับเขาระยะหนึ่ง นางยังได้รู้อีกว่าเขาสามารถปกป้องนางได้ และเขาก็ยินดีจะปกป้องนาง

อาจจะไม่มีโอกาสเหลือแล้ว แต่นางอยากแต่งงานกับเขาจริงๆ

จวีมู่เอ๋อร์กลั้นสะอื้น บางทีครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้บีบไหล่ให้เขา ดังนั้นนางจึงตั้งใจทำอย่างมาก

จู่ๆ เขาก็กุมมือของนาง จวีมู่เอ๋อร์อยากเรียกชื่อเขา แต่คอของนางเหมือนมีบางอย่างอุดไว้ นางพูดอะไรไม่ออก

นางได้ยินเขาถามว่า “นางบีบบังคับเจ้าอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์หลับตาลง กระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “นางบอกให้พ่อข้ารักษาสุขภาพให้ดี” เขารู้แล้วจริงๆ จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกถึงความสิ้นหวังที่ค่อยๆ ซึมลึกเข้ามาในใจ

เมื่อครู่ที่เขาพูดกับแม่สื่อล้วนเป็นการแสดงอำนาจเท่านั้นกระมัง เขาคงไม่แต่งงานกับนางแล้วใช่หรือไม่

หลงเอ้อร์ลุกขึ้นยืน หมุนตัวกลับไปมองหน้านางอย่างละเอียด เมื่อเห็นนางมีท่าทางเหมือนจะร้องไห้ เขาก็เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าถูกคนรังแก เหตุใดจึงไม่บอกข้า”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งงัน คำพูดนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไร

หลงเอ้อร์ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด แล้วพูดซ้ำอีกรอบ “เจ้าถูกคนรังแก เหตุใดจึงไม่บอกข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ตัวสั่นเล็กน้อย นางกัดริมฝีปาก ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

หลงเอ้อร์กอดนางเอาไว้แนบอก ลูบเส้นผมของนาง “มู่เอ๋อร์ ข้าจะไม่ยอมให้ใครรังแกเจ้าอีก ข้ารับรอง”

จวีมู่เอ๋อร์อดกลั้นต่อไปไม่ไหว นางร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขา

ร้องอย่างน่าสงสาร ร้องจนหลงเอ้อร์ไม่รู้จะทำเช่นใด

หลงเอ้อร์โตมาจนป่านนี้ ทั้งชีวิตเคยกอดผู้หญิงที่ร้องไห้งอแงเพียงสองคน คนหนึ่งคือหลงเป่า ตอนนั้นเจ้าสามกับภรรยาตัวแสบออกไปนอกบ้าน ทิ้งหลงเป่าอายุสามขวบไว้ให้เขาดูแล ตอนที่หลงเป่าคิดถึงพ่อแม่ก็จะกอดเขาแล้วร้องไห้ ในตอนนั้นหลงเอ้อร์คิดว่าต่อไปหากใครกล้ายัดเยียดผู้หญิงขี้แยเข้ามาในอ้อมกอดเขา เขาจะซัดคนผู้นั้นให้ตาย

แต่ตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์กอดเขาร้องไห้อย่างน่าสงสาร เขากลับไม่อยากปล่อย ทั้งๆ ที่นางเป็นหญิงแก่อายุยี่สิบปี มีนิสัยเจ้าเล่ห์และชอบทำให้คนโกรธ เขากลับรู้สึกว่าเสียงร้องไห้ของนางทำให้คนปวดใจเช่นเดียวกับของหลงเป่าในตอนนั้นไม่ผิดเพี้ยน

สำหรับหลงเป่า เขาสามารถใช้ของเล่นมาหลอกล่อได้ แต่จวีมู่เอ๋อร์เป็นหญิงสาวตัวโต เขาไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร

ยังดีที่จวีมู่เอ๋อร์ร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก็หยุด หลงเอ้อร์รู้สึกโล่งอก ให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตัวเองก็ลากเก้าอี้มาอีกตัวแล้วนั่งลงตรงหน้านาง หัวเข่าชนหัวเข่า เผชิญหน้ากัน

จวีมู่เอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาเช็ดน้ำตา หลงเอ้อร์แย่งผ้าเช็ดหน้าจากมือนางมาช่วยเช็ดให้แทน คนทั้งสองนั่งเงียบอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็จับมือนางแล้วถามว่า “ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า

หลงเอ้อร์พูดต่อทันที “ในคฤหาสน์มีหลงจู๊จากที่ต่างๆ รอข้ากลับไปปรึกษางานด้วย”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง

หลงเอ้อร์แสร้งทำทีไม่พอใจ “ตอนนี้เจ้าควรอ้อนแล้วรั้งตัวข้าให้อยู่ต่อไม่ใช่หรือ”

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา “อยู่ต่อเพื่อทำอะไรหรือ”

อยู่เป็นเพื่อนเจ้าน่ะสิ ยังต้องถามอีกหรือ! นางรู้หรือไม่ว่าอะไรคือการอ้อน!

หลงเอ้อร์อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันใด เขายื่นนิ้วไปจิ้มหน้าผากนาง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ทำให้ใครชื่นใจได้”

“ข้าทำเป็น” จวีมู่เอ๋อร์จับมือของเขา น้ำเสียงอ่อนหวานเสียจนแทบจะคั้นเอาน้ำหวานออกมาได้ “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านอยู่เป็นเพื่อนมู่เอ๋อร์นะ”

หลงเอ้อร์ตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ถูกนางทำให้หัวใจหยุดเต้นไปครึ่งจังหวะ เขากระแอม พยายามแสดงอำนาจออกมา “ข้าไม่ว่าง ต้องกลับไปปรึกษางานกับเหล่าหลงจู๊แล้ว”

“มู่เอ๋อร์ไม่ยอม ท่านอยู่ต่อเป็นเพื่อนข้านะ” เสียงของนางอ่อนหวานยิ่งกว่าเดิม

หลงเอ้อร์แทบจะหัวเราะออกมา แต่เขากลั้นไว้ “ไม่ได้ เป็นสตรีอย่ามาขัดขวางการทำงานของข้า”

“ไม่ ไม่ ไม่ยอม…” จวีมู่เอ๋อร์พูดไปพูดมา สุดท้ายก็ทนไม่ไหว หลุดหัวเราะเสียงดังออกมาเอง นางหัวเราะจนเหนื่อย หลงเอ้อร์จึงฉวยโอกาสดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ปากก็ยังพูดอบรม “ถ้ายังเกาะติดข้าอีก ข้าจะโกรธแล้วนะ”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็ยิ่งหัวเราะจนน้ำตาไหล หลงเอ้อร์ก็เช่นกัน เขากอดแล้วบิดติ่งหูของนาง

คนทั้งสองกอดกันหัวเราะ ในที่สุดก็หยุดเมื่อพอใจ จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม “ท่านหลงเอ้อร์ชอบแบบนี้หรือ”

หลงเอ้อร์กระแอม “ถูกต้อง”

จวีมู่เอ๋อร์อดหัวเราะออกมาอีกไม่ได้ “เช่นนั้นมู่เอ๋อร์จะพยายามทำให้ท่านหลงเอ้อร์ชื่นใจ”

หลงเอ้อร์ลองจินตนาการว่าในอนาคตจวีมู่เอ๋อร์พูดจาเช่นนี้ เขาก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที พูดเสียงเข้มว่า “ข้าอนุญาตให้เจ้าทำตัวเช่นเดิม”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มกว้างแล้วดันตัวเขา “ท่านกลับไปเถอะ ต้องปรึกษางานอีกไม่ใช่หรือ”

“อืม” เขากอดนางอีกครั้ง นางไม่ขยับและไม่เอ่ยปากเร่ง ปล่อยให้เขากอดต่อไปเช่นนี้ ผ่านไปสักพักหลงเอ้อร์ก็ปล่อยมือ “ข้าต้องไปจริงๆ แล้ว แต่ต่อไปมีเรื่องใดเจ้าควรบอกให้ชัดแจ้งตั้งแต่แรก ข้าชอบขจัดปัญหาก่อนความเดือดร้อนจะเกิด หากให้ข้าทิ้งงานในมือแล้วรีบมาช่วยเจ้าเช่นนี้ทุกครั้ง ข้าก็ไม่ยินดี”

ปากหลงเอ้อร์พูดว่าไม่ยินดี แต่ความจริงก็ยังคงรีบรุดมา

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาอีกครั้ง “ข้ากับใต้เท้าอวิ๋นไม่มีอะไรกันจริงๆ เขาเคยบอกว่าจะแต่งงานกับข้า แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง ภายหลังอวิ๋นฮูหยินมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้าคิดว่านางมาเพื่อเอาผิดข้า คาดไม่ถึงว่าเพื่อเอาใจใต้เท้าอวิ๋นแล้ว นางถึงกับบีบให้ข้าแต่งงาน”

“แล้วเหตุใดจึงยกเลิกการแต่งงานกับเฉินเหลียงเจ๋อ” หลงเอ้อร์สงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอวิ๋นชิงเสียนอีกหรือไม่

จวีมู่เอ๋อร์ลังเลสักครู่จึงเอ่ยตอบ “ข้าตาบอด”

หลงเอ้อร์มองหน้านาง เขาไม่รู้ว่าควรคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ตอนนี้นางก็ยังคงตาบอด แต่นางกลับอยากแต่งงานกับเขา

จวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็นสีหน้าของหลงเอ้อร์ แต่รู้สึกได้ถึงแรงกดดันภายใต้การจับจ้องของเขา นางก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าควรจะวางสองมือไว้ที่ใด ทำได้เพียงบิดเข้าหากัน

หลงเอ้อร์ตัดสินใจคิดไปในทางที่ดี คิดว่ายากนักที่จะได้พบกับหญิงสาวที่เข้ากับเขาได้ดีเช่นนี้ บางทีสวรรค์อาจได้ลิขิตเอาไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องเป็นเขากับนางด้วย

เพราะหากนางไม่ตาบอด คงเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว เป็นภรรยาของผู้อื่นก็คงไม่ถูกอวิ๋นชิงเสียนบีบให้แต่งงาน หากไม่ถูกบีบให้แต่งงาน นางคงไม่มาขอเขาแต่งงาน ถ้าน้องสาวข้างบ้านของนางไม่ป่วยหนัก นางคงไม่มาพบเขา หากหลงจู๊หลี่ว์ไม่ต้องคดี นางคงไม่กล้ามายื่นข้อเสนอกับเขา และหากไม่เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น ความเกี่ยวพันระหว่างเขากับนางก็คงไม่มาถึงขั้นนี้

ดังนั้นต้องเป็นลิขิตสวรรค์แน่นอน

แม้ว่าหลงเอ้อร์จะรู้ว่าการคิดเช่นนี้งมงายและเหมือนเด็กอยู่บ้าง ไม่เข้ากับวิสัยของเขาที่จะทำอะไรต้องมีหลักการรองรับคาดการณ์ผลดีผลเสียไว้หมด แต่เขายังยินดีจะคิดเช่นนี้

อย่างไรเสียก็ต้องเป็นนาง

หลงเอ้อร์กระแอม ลูบผมของจวีมู่เอ๋อร์ พูดเสียงเบาว่า “กลางคืนข้าจะมาเยี่ยมเจ้า”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า รู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ถามอะไรต่อ แต่ก็รู้สึกผิดต่อเขามากเช่นกัน ในใจยังคงรู้สึกเสียใจอยู่ นางต้องทำดีต่อเขามากเพียงใดจึงจะสามารถชดเชยความผิดความละอายใจที่มีต่อเขาได้

“ข้าไปล่ะ” หลงเอ้อร์บอก

จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับ หลงเอ้อร์มองหน้านาง กำลังจะหมุนตัวเดินจากไป แต่นางกลับเข้ามากอดเขาเอาไว้

“ท่านหลงเอ้อร์”

“หืม?”

“ท่านค่อยๆ เดินนะ”

“อืม” หากนางปล่อย เขาคงค่อยๆ เดินได้จริงๆ

แต่นางยังกอดเขาอยู่

“เหตุใดท่านหลงเอ้อร์ยังไม่ไป” เป็นคำถามที่โง่มาก เขาถูกนางกอดเอาไว้ จะไปได้อย่างไร “ถ้าท่านเดิน ข้าก็จะปล่อยมือเอง” จวีมู่เอ๋อร์เหมือนจะรู้ว่าหลงเอ้อร์คิดอะไรในใจ

“เจ้าปล่อยมือ ข้าก็จะเดินไป”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่โต้ตอบ แต่ไม่คลายมือออกเช่นกัน หลงเอ้อร์รอสักพักจนเขาเริ่มรู้สึกใจอ่อน คิดจะยกมือขึ้นกอดนางตอบ จวีมู่เอ๋อร์กลับปล่อยตัวเขา ถอยหลังไปสองก้าวแล้วยิ้มกว้าง “ท่านหลงเอ้อร์ค่อยๆ เดินนะ”

หลงเอ้อร์นิ่งไป เขาถูกยายเด็กคนนี้ปั่นหัวอีกแล้วหรือ นางแกล้งเขาจากนั้นก็ไล่เขาไป?

พอเห็นจวีมู่เอ๋อร์ยิ้มหวาน เขาก็อยากบอกว่าไม่ไปแล้ว แต่รู้ว่าหลงจู๊รออยู่เต็มบ้าน อย่างไรก็ต้องกลับไป

หลงเอ้อร์เดินออกจากห้องด้วยความขุ่นเคือง เดินพลางคิดถึงบทสนทนากับการกระทำเมื่อสักครู่ของจวีมู่เอ๋อร์ คิดไปคิดมากลับยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

ครั้นหลงเอ้อร์เดินกลับมาถึงโถงด้านนอกของร้านเหล้าก็เปลี่ยนกลับเป็น ‘ท่านหลงเอ้อร์’ ที่ฉลาดหลักแหลมและเคร่งขรึมคนเดิมอย่างรวดเร็ว

เขาสั่งให้องครักษ์สองคนเฝ้าอยู่ที่ร้านเหล้า หากมีเรื่องอะไรให้รีบไปแจ้งข่าว จากนั้นกำชับผู้เฒ่าจวีกับแม่นมอวี๋ว่าเรื่องทุกอย่างต้องปรึกษาให้เสร็จและคุยกันให้ชัดแจ้ง อย่าให้เกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นอีก และถ้าพูดคุยตกลงกันเสร็จแล้วต้องมารายงานให้เขาฟัง ผู้เฒ่าทั้งสองคนพยักหน้ารับคำ

หลงเอ้อร์กลับถึงคฤหาสน์ เขาไม่ได้รีบไปปรึกษางานที่โถง แต่กลับเรียกสายสืบคนหนึ่งให้ไปสืบความเคลื่อนไหวในระยะนี้ของสกุลอวิ๋น และคอยดูปฏิกิริยาของสกุลอวิ๋นหลังจากแม่สื่อสองคนนั้นกลับไปรายงาน เขายังให้พ่อบ้านเถี่ยเตรียมของขวัญ บอกว่าภายในสองวันนี้จะไปที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋นและสกุลติงเพื่ออวยพรปีใหม่ล่วงหน้า

นอกจากนี้เขายังสั่งให้หลี่เคอไปหาคนเพื่อขุดคุ้ยเรื่องราวทั้งหลายของอวิ๋นชิงเสียนกับติงเซิ่ง

หลี่เคอตกใจ “นายท่านรอง เหตุใดต้องเป็นปรปักษ์กับกรมอาญาด้วยขอรับ”

“ข้าไม่ได้จะเป็นปรปักษ์กับกรมอาญา ที่ข้าต้องการจัดการคืออวิ๋นชิงเสียน แต่คนผู้นี้ทำงานซื่อตรง ไม่สามารถหาข้อใดมาตำหนิได้ แต่ติงเซิ่งที่เป็นขุนนาง เขาสกปรกมีมลทินมานานแล้ว เจ้าไปสั่งการให้สายลับในราชสำนักเหล่านั้นส่งข่าวกลับมา ข้าต้องการรู้ว่าสองคนนั้นมีเรื่องใดที่จำเป็นต้องปกปิดบ้าง ในเมื่อจับอวิ๋นชิงเสียนไม่ได้ก็จับติงเซิ่งแทน หากจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นถูกแทงสักแผล จะต้องหาคนของตัวเองออกมาช่วยรับหน้าแน่นอน และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอวิ๋นชิงเสียนที่ไม่เพียงเป็นผู้ใต้บัญชา ยังเป็นลูกเขยของเขาอีกด้วย”

หลี่เคอเข้าใจแล้ว นายท่านรองต้องการคิดบัญชีเรื่องการแย่งงานมงคล เขาตั้งใจฟังคำสั่งของนายท่านรองอย่างละเอียด จดจำทุกสิ่งเอาไว้แล้วจึงคำนับถอยออกไป

หลงเอ้อร์กลับไปที่โถงเพื่อปรึกษางานกับเหล่าหลงจู๊ต่อ เขาฟังหลงจู๊จากเมืองเฟิ่งเฉิงรายงานสถานการณ์กิจการ แต่กลับใจลอยคิดไปถึงผมดำเงางามของจวีมู่เอ๋อร์ ใช่แล้ว คงครบกำหนดสิบกว่าวันแล้ว นางจึงสามารถสระผมได้ ในเมื่อวันนี้นางแกะผ้าพันแผลออก เขาก็ควรขอดูบาดแผลบนหัวนางสักหน่อย แต่เขากลับลืมไป

ทางคฤหาสน์สกุลหลง หลงเอ้อร์ปรึกษาเรื่องการค้าขายอย่างไม่ค่อยมีสมาธิ ส่วนทางร้านเหล้าสกุลจวี จวีมู่เอ๋อร์กับจวีเซิ่งสองพ่อลูกก็กำลังพูดคุยกัน

วันนี้ผู้เฒ่าจวีก่อเรื่องใหญ่ เขาจึงละอายใจนัก หากองครักษ์หลี่ไม่ได้นำคนรุดมาถึงทันเวลา เขากับเด็กช่วยงานทั้งสองคนคงขัดขวางบ่าวของแม่สื่อเหล่านั้นไม่อยู่ หากใบชื่อแซ่ดวงชะตากับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงถูกส่งเข้าสกุลอวิ๋นไป คงเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตแน่นอน

เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้น ผู้เฒ่าจวีก็เกิดความกลัวขึ้นมาเต็มอก

“ลูกเอ๋ย วันนี้ท่านหลงเอ้อร์พูดอะไรกับเจ้าบ้าง กล่าวโทษพ่อหรือไม่”

“พ่อวางใจได้ เขาไม่ได้กล่าวโทษพวกเรา”

“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” ผู้เฒ่าจวีกอดไหเหล้า เมื่อได้ยินว่าหลงเอ้อร์ไม่ได้โทษเขาก็รู้สึกวางใจ รีบดื่มเหล้าเข้าไปอึกใหญ่

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของพ่อก็หัวเราะ

“ลูกเอ๋ย แท้จริงแล้วท่านหลงเอ้อร์ก็ไม่เลวนัก เจ้าเลือกได้ดีมาก สายตาดีเหมือนแม่ของเจ้าเลย”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าแล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีก

“พ่อคิดว่าชาตินี้เจ้าจะไม่แต่งงานเสียแล้ว เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องดูแลเจ้าไปชั่วชีวิต ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะมีสามีที่ดีเช่นนี้ได้”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง

ผู้เฒ่าจวีดื่มเหล้าสองอึกแล้วมองหน้าบุตรสาว “ลูกเอ๋ย เจ้าไม่ดีใจหรือ เจ้าโกรธพ่อหรือ”

“พ่อพูดอะไรอย่างนั้น” จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือไปลูบที่แขนของผู้เป็นพ่อ คล้องแขนเขาแล้วเอนหัวซบไหล่อย่างออดอ้อน

ผู้เฒ่าจวีวางใจ เขาแตะหัวบุตรสาวแล้วดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถามขึ้นว่า “พ่อว่าการที่ข้าแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์เป็นการทำร้ายเขาหรือไม่”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ลูกสาวของพ่อเป็นหญิงสาวที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้”

หญิงสาวที่ดีซึ่งทั้งตาบอด ทั้งวุ่นวาย และนำพาอันตรายมาด้วยน่ะหรือ

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มกับตัวเอง นางต้องการแต่งงานกับเขา นางเลวเกินไปหรือไม่

 

คืนนั้นหลงเอ้อร์มาหาจวีมู่เอ๋อร์ที่ร้านเหล้าสกุลจวี

ยังนั่งมองหน้ากันได้ไม่นานเท่าไร ผู้เฒ่าจวีก็ดึงตัวเขาไปดื่มด้วยกัน บอกว่าพวกเขาหนึ่งพ่อตาหนึ่งลูกเขยไม่ได้พูดคุยกันดีๆ นานแล้ว

ปากบอกว่าพูดคุยกัน แต่แท้จริงแล้วผู้เฒ่าจวีเป็นคนพูดเสียส่วนมาก หลงเอ้อร์ที่ดื่มเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ พูดเสริมบ้างเป็นครั้งคราว ยังดีที่หัวข้อสนทนาของผู้เฒ่าจวีล้วนวนเวียนอยู่ที่ตัวจวีมู่เอ๋อร์ หลงเอ้อร์จึงยังรู้สึกสนใจบ้าง ยอมนั่งฟังเรื่องราวด้วยความอดทน

ดื่มไปได้สักพัก ผู้เฒ่าจวียิ่งดื่มยิ่งสดชื่น ส่วนหลงเอ้อร์เริ่มรู้สึกมึนหัว จนเขาลดความเร็วในการดื่มลง แต่ผู้เฒ่าจวีกลับรู้สึกว่ายังดื่มได้ไม่สะใจจึงตามเด็กช่วยงานของตน หลี่เคอ และองครักษ์อีกสองคนมาร่วมดื่มด้วยกัน

เดิมทีเหล่าองครักษ์ไม่กล้า แต่หลงเอ้อร์พูดเพียงคำเดียวว่า “ดื่ม” ทำให้พวกเขาทั้งหมดพากันนั่งลง เมื่อคนเยอะขึ้น หัวข้อสนทนาก็หลากหลายขึ้น หลงเอ้อร์รู้สึกเบื่อจึงแอบลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปหาจวีมู่เอ๋อร์ที่เรือนพักของนาง

จวีมู่เอ๋อร์นั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเตียง วางพิณไว้บนตักตัวหนึ่ง เกาสายพิณบรรเลงเพลงเล่น หลงเอ้อร์เคาะประตูสองทีพอเป็นพิธี ไม่รอให้มีเสียงตอบกลับก็ผลักประตูเดินเข้าไปแล้ว

“ท่านหลงเอ้อร์?” จวีมู่เอ๋อร์หยุดดีดพิณ เอียงหัวเอ่ยถาม

“เดินเข้ามาในห้องเจ้าได้เช่นนี้ยังจะเป็นใครอีกล่ะ” หลงเอ้อร์พูดอย่างไม่เกรงใจ ไม่รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องเสียมารยาทแม้แต่น้อย

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มกว้าง เอ่ยอย่างประนีประนอมคล้อยตาม “ก็มีเพียงท่านหลงเอ้อร์เท่านั้น”

หลงเอ้อร์พึงพอใจมาก เขาเดินเข้าไปนั่งลงบนขอบเตียงของนางแล้วถอนหายใจ ผู้เฒ่าจวีคอแข็งจริงๆ พาดื่มจนเขารู้สึกมึนหัวไปหมด

จวีมู่เอ๋อร์เอียงหัวมาทางเขา รอเขาเอ่ยปาก แต่ตอนนี้หลงเอ้อร์กลับมองพิณบนตักของนาง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าถูกพิณนั้นแย่งตำแหน่งไป ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเสียงเข้มกับพิณนั้นว่า “เจ้าถอยไป”

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา นางไม่เข้าใจ ให้นางถอยไปหรือ

นางกำลังถาม กลับได้ยินท่านหลงเอ้อร์พูดขึ้นอีก “นี่เป็นที่ของข้า”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไปแล้วหัวเราะ “ท่านเมาแล้วหรือ”

“ไม่เมา” หลงเอ้อร์พูดพลางยกพิณโยนไปที่ปลายเตียง จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงพิณที่รักตกกระทบเตียงก็รู้สึกปวดใจ แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกหนักที่หน้าตักทันที ท่านหลงเอ้อร์นอนหนุนตักนางเสียแล้ว

จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือออกไปลูบถูกหัวของหลงเอ้อร์ เขาจึงดึงมือนางลงไปประกบบนแก้มของตน

ใบหน้าของหลงเอ้อร์ร้อนเพราะดื่มเหล้า ส่วนมือของจวีมู่เอ๋อร์เย็นเฉียบ เมื่อสัมผัสกันแล้วทำให้เขารู้สึกสบายพอดี เขากระแอมหนึ่งทีแล้วหลับตาลง

“ท่านดื่มไปมากเท่าใด”

“ไม่ได้นับ” ผู้เฒ่าจวีใช้ชามเป็นภาชนะ ไหเหล้าหลายใบวางเรียงกันอยู่ด้านข้าง เทเหล้าจากไหลงชามไปแล้วเท่าใดหลงเอ้อร์ไม่รู้จริงๆ แต่ถึงขั้นสามารถทำให้เขาที่ร่วมงานเลี้ยงเหล้ามานานรู้สึกมึนหัวได้ก็คงดื่มไปไม่น้อยเท่าไรนัก

จวีมู่เอ๋อร์ใช้มือลูบหน้าผากเขาเบาๆ ถามเสียงหวาน “ท่านหลงเอ้อร์อยากอาเจียนหรือไม่”

“ไม่”

“มึนหัวหรือไม่”

“เล็กน้อย”

“ข้าชงชาแก้เมาให้ท่านสักชามดีหรือไม่”

“ดี” หลงเอ้อร์ตอบรับแต่ไม่ยอมขยับตัว ได้นอนเช่นนี้เขารู้สึกสบายยิ่งนัก

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ ไม่ได้เร่งให้เขาลุก เพียงแค่ลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน หลงเอ้อร์นอนไปสักพักก็เริ่มโอดครวญ “เตียงของเจ้าเล็กจริง”

“เทียบกับที่คฤหาสน์ของท่านไม่ได้อยู่แล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ลูบผมของเขา

“เจ้าง่วงหรือยัง” หลงเอ้อร์เพิ่งคิดได้ว่าหญิงขี้เกียจผู้นี้ชอบนอนเป็นชีวิตจิตใจ

“เล็กน้อย” นางลูบหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน

“ง่วงก็ทนไว้ มีอย่างที่ไหนมานอนได้ทั้งวี่ทั้งวัน”

“เจ้าค่ะ ท่านหลงเอ้อร์สั่งสอนได้ถูกต้อง” จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ

“รอจนแต่งงานแล้ว เจ้าต้องตื่นมาปรนนิบัติข้าแต่เช้าทุกวัน” หลงเอ้อร์ฉวยโอกาสตอนเมาเริ่มบอกความต้องการ

“ได้”

“หากข้าอ่านเอกสารเขียนหนังสือ เจ้าต้องฝนหมึกให้ข้า หากข้าเบื่อ เจ้าต้องคลายเบื่อให้ข้า หากข้าไปตรวจงานนอกบ้าน เจ้าก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกให้ดี”

“ได้” จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา พยายามกดความคิดรบกวนใจบางอย่างเอาไว้ เขาพูดถึงเรื่องต่างๆ อย่างสวยงาม นางฟังแล้วมีความสุข

“พี่ชายข้ามีลูกชายหนึ่งคน เจ้าสามมีลูกสาวสองคน พวกเราก็มีลูกสักสองคน ข้าอยากได้ลูกชาย”

“ได้”

“คลอดลูกชายไม่ได้ข้าจะหย่าเจ้าทิ้ง”

“ได้”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว ยื่นมือไปบีบคางของนาง “ได้อะไรกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็ตอบตกลงง่ายๆ กำลังหาเรื่องข้าอีกแล้วใช่หรือไม่”

“มู่เอ๋อร์ไม่กล้า”

“หึ มีเรื่องที่เจ้าไม่กล้าด้วยหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “ตอนนี้ท่านหลงเอ้อร์ยังไม่ได้ทิ้งข้านี่นา รอให้ถึงตอนที่จะทิ้งจริงๆ ข้าค่อยหาเรื่องท่าน”

“เจ้าคิดจะทำอย่างไร”

“ต้องดูว่าท่านชอบมองคนร้องไห้ฟูมฟาย นอนกลิ้งไปมาบนพื้น หรือโวยวายขู่จะแขวนคอตาย ข้าล้วนสามารถทำได้หมด”

หลงเอ้อร์หัวเราะ ลุกขึ้นนั่ง กอดนางแล้วบีบแก้มของนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าน่าสนใจที่สุด”

“มู่เอ๋อร์จะถือการทำให้ท่านหลงเอ้อร์มีความสุขเป็นหน้าที่ ต้องพยายามทำสุดกำลังจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดัง วางท่าแสดงอำนาจ แตะหลังนางแล้วสั่งว่า “ไป เทน้ำชาให้ข้าสักถ้วย”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับ นางก้าวลงจากเตียงเดินไปที่โต๊ะ หยิบขวดเล็กสองใบออกมาจากตู้ข้างโต๊ะ เดินออกไปด้านนอกสักครู่ก็ถือชามกับช้อนกลับมา จากนั้นจึงตักน้ำข้นๆ ออกมาจากในขวดทั้งสองใบ แล้วเทน้ำร้อนลงไป

หลงเอ้อร์มองดูกิริยาของนางอย่างเงียบๆ ได้กลิ่นหวานของส้มลอยมาในอากาศ เขาจึงพูดว่า “ข้าไม่ดื่มของหวาน ข้าจะดื่มชา”

จวีมู่เอ๋อร์หันหน้ามายิ้มให้เขา “นี่คือชาสร่างเมา เหล้าที่พ่อหมักมีฤทธิ์แรงมาก พรุ่งนี้ท่านต้องปวดหัวแน่นอน”

หลงเอ้อร์ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของนางรวมกับกลิ่นหอมหวานอบอวลก็พลันรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องงดงามขึ้นมาทันใด เขายืนขึ้น เดินเข้าไปกอดนางจากทางด้านหลัง

แม้จวีมู่เอ๋อร์จะเป็นคนขี้หนาว แต่ตอนนี้ภายในห้องจุดเตาถ่านเพื่อให้ความอบอุ่นไว้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้สวมเสื้อผ้าฝ้ายชั้นนอกตัวหนา เมื่อหลงเอ้อร์เข้าไปกอด มือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาจึงเลื่อนไปกุมเข้าที่หน้าอกของนางพอดี จวีมู่เอ๋อร์ตัวแข็งแต่ไม่ได้ขัดขืน

“มู่เอ๋อร์” หลงเอ้อร์กระซิบข้างหูนาง ลมหายใจผสมกลิ่นเหล้าคลุ้งอยู่ข้างแก้ม

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ขยับ เพียงเรียกเขาเสียงเบา “ท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์กอดนางไว้แน่น ก้มหน้าต่ำลง เลื่อนให้หน้าของเขาแนบกับใบหน้าของนาง ปากก็เอ่ยเรียกว่า “มู่เอ๋อร์”

จวีมู่เอ๋อร์ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าแดงก่ำ นางไม่ขยับแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของเขา เมื่อนางทำเช่นนี้ หลงเอ้อร์ก็ยิ่งได้ใจ เขางับติ่งหูและหายใจรดต้นคอนางเบาๆ รับรู้ได้ว่าร่างของนางสั่นระริก จากนั้นจึงประทับจูบบนลำคอของนาง

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก แม้จะรู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่นางหลับตาลง ปล่อยตัวให้อิงแอบในอ้อมกอดของเขา พริบตาต่อมานางถูกจับให้หมุนตัวกลับ แล้วเขาก็เข้าครอบครองริมฝีปากของนางทันที

ในขณะที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความปรารถนา นอกประตูกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงของผู้เฒ่าจวีที่เล็ดลอดเข้ามา “มู่เอ๋อร์ มู่เอ๋อร์…”

หลงเอ้อร์ไม่สนใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาจุมพิตต่อไป ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ถูกประกบปากไว้จึงพูดอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงทุบแผ่นหลังของเขา จากนั้นผู้เฒ่าจวีที่อยู่ด้านนอกก็เคาะประตูอีกครั้ง “มู่เอ๋อร์ ท่านหลงเอ้อร์อยู่หรือไม่”

“ไสหัวไป!” หลงเอ้อร์ที่ถูกรบกวนจนโมโหหันหน้าไปตะโกนใส่ประตู คนนอกห้องเงียบเสียงลงทันที

จวีมู่เอ๋อร์ทุบเขาอย่างแรง พูดเสียงเบาว่า “นั่นพ่อข้านะ”

เขาต้องตะโกนคำว่า ‘ไสหัวไป’ ใส่พ่อตาของตนเช่นนี้ด้วยหรือ อีกอย่างนางกับเขายังไม่ได้แต่งงานกัน การที่เขามาอยู่ในห้องนอนของนางก็นับว่าเป็นการล้ำเส้นแล้ว นางตัดสินใจยอมตามใจเขาทุกอย่าง แต่ไม่รวมไปถึงท่าทางที่เขาเพิ่งทำกับพ่อของนางเมื่อสักครู่!

หลงเอ้อร์กะพริบตา ก้มลงมองจวีมู่เอ๋อร์ที่ใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกสร่างเมาไปแล้วครึ่งหนึ่ง นางผลักตัวเขา “ไปเปิดประตูให้พ่อข้า”

หลงเอ้อร์ปล่อยตัวนางอย่างอาลัยอาวรณ์ จัดผมและเสื้อผ้าให้นาง จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูอย่างไม่สบอารมณ์นัก แล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม “มีเรื่องอะไร”

ผู้เฒ่าจวีที่เดิมยืนหดคออยู่นอกห้องไม่กล้าส่งเสียงพูด เมื่อถูกถามก็นิ่งอึ้งไป คิดไม่ออกว่าควรจะพูดอย่างไรดี

จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ จำต้องเดินออกมาแก้ไขสถานการณ์เอง “พ่อ พวกท่านดื่มกันเสร็จแล้วหรือ”

“อืม ใช่ๆ ดื่มเสร็จแล้ว ล้มพับไปสามคน ส่วนคนอื่นๆ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน ดังนั้นพ่อจึงจะมาถามท่านหลงเอ้อร์ว่าควรทำอย่างไรดี”

“รบกวนพ่อช่วยชงชาสร่างเมาให้พวกเขาสักนิด”

“ได้ๆ พ่อจะไปชงชาสร่างเมา” ผู้เฒ่าจวีรีบวิ่งเหยาะๆ จากไปทันที

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของผู้เฒ่าจวีอย่างไม่พอใจนัก แล้วจวีมู่เอ๋อร์ที่กลับเข้าห้องก็เรียกเขา “ท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์ตอบเสียงกระด้าง “มีอะไร”

“ท่านมานี่สิ” จวีมู่เอ๋อร์กวักมือเรียกเขา

หลงเอ้อร์เดินลงส้นตึงตังไปหานาง จวีมู่เอ๋อร์หมุนตัว หยิบชามชาที่เมื่อครู่ชงเสร็จแล้วขึ้นมาจากโต๊ะ ยื่นมาตรงหน้าเขา “ท่านหลงเอ้อร์เชิญดื่มชา”

สีหน้าหลงเอ้อร์อ่อนลง รับชามชามาดื่มรวดเดียวจนหมด กลิ่นหอมหวานของส้มทำให้เขาสดชื่นขึ้นหลายส่วน

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงชามถูกวางลงจึงรู้ว่าเขาดื่มหมดแล้ว นางเอ่ยถามเสียงหวาน “พรุ่งนี้ท่านหลงเอ้อร์มีกำหนดการทำอะไรหรือไม่”

หลงเอ้อร์คิดดูแล้วก็พบว่าพรุ่งนี้ยังมีงานให้ทำอีกทั้งวันจริงๆ เขายิ้มออกมาในทันใด ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์เข้ามาในอ้อมกอด หญิงผู้ฉลาดเฉลียวคนนี้ไม่ได้ไล่เขากลับตรงๆ แต่กลับถามถึงกำหนดการในวันพรุ่งนี้ของเขา ให้เขารู้ว่าตนยังมีงานต้องทำ ควรรีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว

หลงเอ้อร์โยกตัวนางเบาๆ อยากรีบแต่งนางเข้าบ้านแล้วเก็บนางไว้ในห้อง จะได้ไม่มีใครมารบกวนเขา เวลาว่างก็สามารถเห็นหน้านางได้ทันที เช่นนี้คงดีไม่น้อย!

ตอนกลางคืนขณะที่หลงเอ้อร์นอนอยู่บนเตียงในห้องของตัวเองก็อดคิดถึงจวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ คิดว่านางชอบนอน ตอนนี้คงหลับแล้วกระมัง คิดไปอีกว่านางจะคิดถึงเขาหรือไม่ เขาว่านางต้องคิดถึงเขาอย่างแน่นอน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com