ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด
บทที่สิบเอ็ด
หลังจากนั้น หลงเอ้อร์ไม่ได้ไปหาจวีมู่เอ๋อร์อีก
เหตุผลข้อที่หนึ่งคืองานยุ่ง ข้อที่สองคือกำลังจะส่งของหมั้นไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องทำตามประเพณีที่แม่นมอวี๋กำชับไว้ว่าก่อนการหมั้นชายหญิงทั้งสองฝ่ายไม่อาจพบหน้ากันได้ กระทั่งก่อนแต่งงานหากไม่ได้พบหน้ากันเลยเป็นดีที่สุด
‘ก่อนแต่งงานอย่าพบหน้ากันเลย’ เมื่อได้ยินคำนี้หลงเอ้อร์ก็มีสีหน้าดำคล้ำอยู่บ้าง เพราะตอนนี้ยังห่างจากวันมงคลอีกหลายเดือน และช่วงนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เขากับจวีมู่เอ๋อร์เข้ากันได้ดี จะให้เขาไม่พบหน้านางเลยเช่นนั้น เขาไม่ชอบใจเท่าใดนัก
แม่นมอวี๋ย่อมรู้นิสัยของนายท่านรองของตน ดังนั้นนางจึงพูดโดยอ้อมว่าสามารถไปพบได้เป็นครั้งคราว แต่อย่าบ่อยเกินไป ถ้าจะให้ดีต้องมีสาวใช้ของฝ่ายหญิงอยู่ด้วย แต่ในเมื่อสกุลจวีไม่มีสาวใช้ อย่างนั้นต้องให้พ่อตาอยู่ข้างๆ แทน แม่นมอวี๋ยังบอกอีกว่าเรื่องนี้นางได้แจ้งแก่ผู้เฒ่าจวีไว้แล้ว
หลงเอ้อร์จึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาดื่มเหล้าจนเมา ซ้ำยังตะคอกใส่พ่อตาในอนาคตอีกด้วย
หลงเอ้อร์เริ่มปวดหัวขึ้นมา หากพูดถึงเรื่องความกตัญญู หลงเอ้อร์นั้นเข้าใจดี คิดถึงเมื่อครั้งที่ท่านพ่อท่านแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาสามพี่น้องล้วนเคารพท่านพ่อท่านแม่มาก ภายหลังพวกท่านล่วงลับไป สกุลหลงก็ถูกทางการและเหล่าพ่อค้าใช้อำนาจกดขี่ สามพี่น้องจึงร่วมใจกันปกป้องครอบครัว พี่ใหญ่เข้ารับราชการ น้องสามออกท่องยุทธภพ ส่วนตัวเขาหลงเอ้อร์คอยดูแลกิจการของครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว วางแผนจัดการงานอย่างลำบาก ผ่านมาหลายปี เขาที่เคยปั้นหน้ายักษ์จนเคยชินกลับมีพ่อตาที่ต้องให้ความเคารพเพิ่มมาอีกหนึ่งคนอย่างกะทันหัน เขาจึงยังปรับตัวรับไม่ค่อยทัน
หลงเอ้อร์คิดใคร่ครวญ พ่อตาของเขาคนนี้ชอบดื่มเหล้า เช่นนั้นก็ต้องทำดีในจุดนี้เพื่อเป็นการไถ่โทษ ดังนั้นเขาจึงสั่งพ่อครัวใหญ่ในคฤหาสน์ให้ทำกับแกล้มมากมายหลายชนิดและให้บ่าวส่งไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีทุกวัน
วิธีการไถ่โทษของหลงเอ้อร์ทำให้ผู้เฒ่าจวีเบิกบานใจมาก ยังฝากคำขอบคุณผ่านบ่าวมาเป็นพิเศษ หลงเอ้อร์จึงถามบ่าวที่กลับมารายงานว่าแม่นางจวีได้พูดอะไรบ้างหรือไม่ บ่าวตอบว่าแม่นางจวีเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
หลงเอ้อร์ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง พ่อตายังรู้จักฝากคำมากับบ่าว แต่เหตุใดมู่เอ๋อร์ของเขาจึงทำเฉย คำพูดแม้เพียงคำเดียวก็ไม่มีฝากมาถึง เขาอยากเขียนจดหมายถึงนาง แต่ก็คิดขึ้นได้ว่านางมองไม่เห็น และเขาก็ไม่อยากให้ผู้เฒ่าจวีอ่านจดหมายของเขา ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกไป
ในระหว่างนี้หลงเอ้อร์ยังเดินทางไปมอบของขวัญปีใหม่ที่จวนของติงเซิ่ง เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นนานนัก เพียงแค่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับจิ้งจอกเฒ่าติงเซิ่งผู้นั้นสักครู่ ไม่ได้พูดถึงเรื่องสำคัญแต่อย่างใด แต่แท้จริงแล้วทั้งสองคนต่างก็รู้ถึงความหมายของฝ่ายตรงข้าม
ติงเซิ่งย่อมเคยได้ยินเรื่องที่สกุลอวิ๋นชิงส่งของหมั้นก่อเรื่องใหญ่ เขาจึงรู้ถึงจุดประสงค์การมาของท่านหลงเอ้อร์ เมื่อไม่อยากจะหมางใจด้วย แต่ก็อ่อนข้อให้ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงปัดความเกี่ยวพัน บอกว่าตัวเองอยู่ห่างจากพวกเด็กๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องราวในคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเท่าใดนัก จากนั้นก็เปลี่ยนมาแสดงความยินดีกับเรื่องงานมงคลของเขา
หลงเอ้อร์รู้อยู่แล้วว่าติงเซิ่งต้องพูดเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวถึงผลกระทบแง่ร้ายที่ติงเซิ่งอาจได้รับออกมาหลายเรื่องด้วยสีหน้าแสดงความเป็นห่วง ติงเซิ่งเอ่ยปากรับความหวังดีและขอบคุณคำชี้แนะของเขา จากนั้นเมื่อหลงเอ้อร์บรรลุเป้าหมายแล้วจึงลากลับด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ด้านคฤหาสน์สกุลอวิ๋น สายสืบมารายงานว่าอวิ๋นชิงเสียนออกไปทำงานนอกพื้นที่ตั้งแต่หลายวันก่อน ตอนนี้ยังไม่กลับมา หลงเอ้อร์จึงไม่ไปด้วยตัวเอง เพียงแต่สั่งให้พ่อบ้านเถี่ยส่งของขวัญไปให้ติงเหยียนเซียง
สองวันผ่านไป ในที่สุดก็ถึงกำหนดวันมอบของหมั้นที่ตกลงกันไว้
แม่นมอวี๋เดินนำแม่สื่อ พาบ่าวทั้งหลายถือกล่องสิ่งของกองใหญ่ไปมอบให้เป็นของหมั้นที่ร้านเหล้าสกุลจวี เมื่อไปถึงแม่สื่อก็ตะโกนพูดคำมงคล จากนั้นเหล่าบ่าวทั้งหลายจึงขนกล่องสีแดงเข้าไปด้านในทีละกล่อง การกระทำนี้เสียงดังอึกทึก ทำให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงต่างพากันแห่มาดู
คนทั้งหลายพูดว่าสกุลจวีนี้มากเรื่องจริง เมื่อสองวันก่อนมีคนมามอบของหมั้น ยังเกิดการต่อสู้กันขึ้นมา เหตุใดผ่านไปไม่ถึงสองวันก็มีคนมามอบของหมั้นอีกแล้ว
ผู้เฒ่าจวีเชิญเพื่อนบ้านที่ปกติมักจะไปมาหาสู่กันให้เข้ามานั่งในบ้าน แล้วถือถ้วยเหล้าดื่มกับทุกคน คนทั้งหลายต่างพูดแสดงความยินดี บรรยากาศคึกคักครึกครื้นมาก ผู้เฒ่าจวีสวมเสื้อตัวใหม่ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตั้งใจบรรจงมอบใบชื่อแซ่ดวงชะตากับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงให้แก่แม่นมอวี๋ด้วยตัวเอง ในที่สุดผู้เฒ่าทั้งสองฝ่ายก็วางหินก้อนใหญ่ในใจลงได้เสียที
งานมงคลนี้ถือว่าได้กำหนดเรียบร้อยแล้ว!
ในส่วนเรือนพักด้านหลัง ซูฉิงที่วิ่งไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง นำสิ่งที่ได้เห็นได้ยินจากโถงหน้ามาเล่าให้จวีมู่เอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่ในห้องฟังทั้งหมด นางพูดด้วยความตื่นเต้นยินดี “พี่มู่เอ๋อร์ มีของที่ห่ออย่างสวยงามกองเอาไว้ถึงครึ่งห้อง เมื่อก่อนข้าคิดว่าท่านหลงเอ้อร์ตระหนี่แถมยังดุ ยังนึกว่าเขาเป็นคนไม่ดีเสียอีก แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว เขาดีต่อพี่มากเลย”
“ท่านหลงเอ้อร์เป็นคนดีมากจริงๆ”
ซูฉิงมองหน้าจวีมู่เอ๋อร์แล้วถามว่า “พี่มู่เอ๋อร์ เหตุใดพี่จึงไม่ยิ้มเลย พี่ไม่ดีใจ ไม่อยากแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์หรือ”
จวีมู่เอ๋อร์รีบส่ายหน้า แล้วยิ้มกว้าง “ดีใจสิ ข้าอยากแต่งกับเขา เพียงแค่ตื่นเต้นเท่านั้น”
ซูฉิงหัวเราะอย่างมีความสุข “ยังไม่ถึงเวลาแต่งงานพี่ก็ตื่นเต้นเสียแล้ว หากแต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไร”
จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มเศร้า นางหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว เกรงว่าคงต้องแบกรับความละอายใจแล้วเดินหน้าต่อไป
ในคฤหาสน์สกุลหลง หลงเอ้อร์กำลังร้อนใจ กังวลว่าการมอบของหมั้นจะมีอะไรผิดพลาดอีกหรือไม่ เขาทำงานพลางคิดฟุ้งซ่าน รออยู่ครึ่งวัน ในที่สุดแม่นมอวี๋ก็กลับมา ในมือนางถือใบชื่อแซ่ดวงชะตากับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงกลับมาด้วย จากนั้นรีบดึงตัวหลงเอ้อร์ให้ไปคำนับกราบไหว้ป้ายบรรพชน
หลงเอ้อร์เดินตามไปอย่างเชื่อฟัง ได้เห็นใบชื่อแซ่ดวงชะตาของตัวเองกับจวีมู่เอ๋อร์วางไว้ต่อหน้าป้ายบรรพชน เขาก็วางใจลงได้ในที่สุด
อีกไม่นานเขาก็จะได้แต่งงานแล้ว
การกำหนดงานมงคลของสกุลหลงและสกุลจวีเสร็จสิ้นลง แต่ภายในร้านเหล้าสกุลจวีกลับเริ่มวุ่นวายขึ้นมา
เหตุเพราะหนึ่งเมื่อมีงานมงคลใหญ่ใกล้มาถึง ดังนั้นปีนี้ร้านเหล้าสกุลจวีจึงต้องเตรียมการให้มากเพื่อฉลองปีมงคลในปีหน้า สอง ผู้ช่วยว่าที่เจ้าสาวมีเรื่องต้องทำวุ่นวายหลายอย่าง เพราะจวีมู่เอ๋อร์จะตาบอด ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ หญิงชราบ้านใกล้เรือนเคียงและเหล่าสะใภ้ของพวกนางจึงล้วนยินดีมาช่วยเหลือ เพียงไม่นานภายในเรือนที่พักของร้านเหล้าก็มีคนมาเยี่ยมเยือนบ่อยครั้ง ผู้หญิงกลุ่มใหญ่มักอยู่ช่วยงานพลางพูดคุยกันอยู่ในเรือนที่พักเล็กๆ ของจวีมู่เอ๋อร์
ในเวลาเช่นนี้ติงเหยียนเซียงก็มาเยือนอีกครั้ง
ผู้เฒ่าจวีเตรียมพร้อมรับมือกับอวิ๋นฮูหยินผู้นี้เอาไว้แล้ว อย่างไรก็ไม่ยินยอมให้นางพบกับบุตรสาวของตน ติงเหยียนเซียงพูดขอร้องเสียงอ่อน ไม่ยอมจากไป คนของทั้งสองฝ่ายจึงกระจุกตัวกันอยู่ที่โถงด้านหน้าของร้านเหล้า เมื่อจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเรื่องดังกล่าวจึงให้ซูฉิงออกมาบอกว่านางยินดีพบกับอวิ๋นฮูหยิน
ติงเหยียนเซียงเอ่ยขอบคุณเสียงเบา เดินตามซูฉิงไปทางเรือนด้านหลังที่มีผู้หญิงสองคนกำลังนั่งปักผ้ามงคลอยู่ในสวน เมื่อเห็นอวิ๋นฮูหยินพวกนางก็รีบลุกขึ้นคำนับ ติงเหยียนเซียงคำนับกลับเป็นมารยาท จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องของจวีมู่เอ๋อร์ตามลำพัง
ผู้หญิงสองคนได้พบกัน เผชิญหน้ากันแต่กลับนิ่งเงียบไร้คำพูด
สุดท้ายเป็นติงเหยียนเซียงที่เอ่ยปากก่อน “ข้ามาในครั้งนี้เพราะอยากขอโทษแม่นาง”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงว่าได้ยิน แต่ไม่ได้ตอบกลับ ติงเหยียนเซียงยิ้มเศร้า ลังเลอยู่นานจึงพูดต่อ “เป็นข้าไม่ดีเอง เพราะร้อนใจอยากเอาใจท่านพี่จึงได้พูดคำเหล่านั้นออกมา ตอนนั้นข้านึกว่าแม่นางตอบตกลงแล้ว คิดว่าหากแม่นางแต่งเข้าบ้านมา ข้าจะทำดีต่อแม่นางแน่นอน จะไม่ให้แม่นางต้องลำบากใจแม้แต่น้อย หากรอให้เวลาผ่านไปแม่นางคงสามารถเข้าใจจิตใจของข้าได้ วันนั้นข้าบอกข่าวกับท่านพี่ เขาดีใจมาก แต่ยังคงไม่เชื่ออยู่บ้าง เขาบอกว่าจะมาถามแม่นางด้วยตัวเอง ตอนนั้นปรากฏว่าแม่นางได้รับบาดเจ็บและพักรักษาตัวอยู่พอดี เขาจึงถูกผู้เฒ่าจวีขวางไว้ที่หน้าประตู เขากลับมาถามข้าครั้งแล้วครั้งเล่าว่าแม่นางตอบตกลงแล้วจริงหรือ ข้าก็ตอบว่าจริง ในตอนนั้นข้าจึงคิดได้ว่าเรื่องมอบของหมั้นต้องทำโดยไวจึงจะดี”
จวีมู่เอ๋อร์ฟังด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ติงเหยียนเซียงมองอีกฝ่ายแล้วกัดริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ส่งผ่านความเสียใจออกมา “วันต่อมาท่านพี่ได้รับงานหลวงต้องออกไปนอกพื้นที่ ข้าจึงหาแม่สื่อมาพูดคุยเรื่องการมอบของหมั้น แต่ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินว่าแม่นางกับท่านหลงเอ้อร์จะหมั้นหมายกัน ข้ารู้สึกร้อนใจจึงไปเร่งให้แม่สื่อรีบมาเจรจา บอกว่าต้องจัดการเรื่องให้สำเร็จ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะใช้วิธีการสวมรอยวางของหมั้นเช่นนั้น แม้เรื่องก่อนหน้าข้าจะมีความผิดจริง แต่ยังคงอยากมาบอกกับแม่นางว่าข้าไม่ได้สั่งให้พวกนางทำเช่นนั้น หวังว่าแม่นางจะใจกว้างไม่ถือโทษโกรธข้า”
จวีมู่เอ๋อร์คิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตอบกลับมาประโยคหนึ่ง “ในเมื่อเรื่องผ่านไปแล้ว ฮูหยินก็อย่าเก็บมาใส่ใจอีกเลย”
ติงเหยียนเซียงได้ฟังก็ยิ้มกว้าง น้ำตาสองหยดไหลออกมาจากหางตา นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด สูดจมูกแล้วพูดว่า “ได้ยินแม่นางพูดเช่นนี้ข้าก็ดีใจนัก ข้าไม่ควร…ไม่ควรทำเรื่องเช่นนั้นเลย ช่างโง่เหลือเกิน แม้ข้าเคยพูดคำเหล่านั้นแต่ก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายคนในบ้านของแม่นางจริงๆ ข้าเพียงแต่…เพียงแต่อยากให้แม่นางตอบตกลง หวังว่าแม่นางจะให้อภัยด้วย”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“พรุ่งนี้ท่านพี่คงกลับมา ข้า…ข้ายังไม่รู้ว่าจะพูดกับเขาเช่นไร ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นตอนที่เขาขอแม่นางแต่งงานไม่สำเร็จ ในตอนนั้นเขามีสีหน้าเสียใจถึงเพียงใด ข้าก็ยังจำได้และรู้สึกไม่สบายใจนัก เดิมทีข้าอยากทำให้เขามีความสุข แต่ตอนนี้เกรงว่าคงทำให้เขาขุ่นเคืองใจแทน ข้า…” นางสูดจมูก น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง “สองวันนี้ใจข้าไม่เป็นสุขเลย ข้าละอายจนไม่มีหน้าจะมาพูดอะไรกับแม่นาง แต่คำขอโทษนี้อย่างไรก็ต้องพูดออกมาให้ได้ ตอนนี้ข้าได้พูดจนหมดสิ้นแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้น”
“ฮูหยินคิดมากเกินไปแล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ก้มหัวลงเป็นการคำนับ “ข้าเป็นเพียงหญิงตาบอดธรรมดา ไม่มีความสามารถอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องถือโทษโกรธฮูหยิน เรื่องผ่านไปแล้วก็แล้วกันไปเถอะ ใต้เท้าอวิ๋นกับฮูหยินรักใคร่ลึกซึ้ง จะต้องอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า มีใจสมัครสมานกันอย่างแน่นอน ฮูหยินอย่าคิดมากอีกเลย”
“ได้ๆ” ติงเหยียนเซียงกุมมือของจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้ มือของนางเย็นมาก แตกต่างกับมือใหญ่ที่อบอุ่นของท่านหลงเอ้อร์ จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ หวังให้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านไปโดยเร็ว
วันต่อมาอวิ๋นชิงเสียนก็มาหา เขายังไม่ได้เปลี่ยนชุดขุนนาง ใบหน้าอิดโรย ทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นผง
ผู้เฒ่าจวีไม่อยากให้อวิ๋นชิงเสียนพบหน้าบุตรสาว แต่ครั้งก่อนกับอวิ๋นฮูหยินผู้นั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ต้องการพบหน้าพูดคุย เขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นใด ดังนั้นจึงไปถามความประสงค์ของบุตรสาว
ปรากฏว่าจวีมู่เอ๋อร์บอกให้ผู้เฒ่าจวีอยู่ข้างกาย แล้วออกไปพบอวิ๋นชิงเสียนที่โถงด้านหน้าของร้านเหล้า
เสียงของอวิ๋นชิงเสียนแหบแห้งไปบ้าง ประโยคแรกที่เขาพูดก็คือ “ข้าเพิ่งกลับมาและได้ฟังเรื่องทุกอย่างแล้ว”
จวีมู่เอ๋อร์คำนับเป็นมารยาท “ใต้เท้าออกไปทำงานลำบากแล้ว” ผู้เฒ่าจวีที่ยืนมองอยู่ด้านข้างก็คำนับตามบุตรสาว
อวิ๋นชิงเสียนไม่มีใจจะพูดคำตามมารยาท เขามองจวีมู่เอ๋อร์ “ข้ายังคิดว่า…”
ผู้เฒ่าจวีลอบมองเขา เห็นท่าทางทั้งเศร้าทั้งเจ็บปวดก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาบ้าง แต่ว่าใต้เท้าท่านแต่งฮูหยินแล้วนี่นา ในชามมีของเต็มแล้วยังจะจ้องของในหม้อ* อีกทำไม
“เจ้าอยากจะแต่งงานกับเขาจริงหรือ” อวิ๋นชิงเสียนถาม
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ข้าอยากแต่งงานกับเขา”
อวิ๋นชิงเสียนเม้มริมฝีปากปากแน่น สีหน้าดูน่ากลัวอยู่บ้าง ผู้เฒ่าจวีจึงรีบขยับเข้าใกล้ร่างบุตรสาว แสดงท่าทางปกป้องออกมา
อวิ๋นชิงเสียนไม่ได้พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินจากไปในทันที
ในวันนั้นผู้เฒ่าจวีตามถามบุตรสาวจนรู้ว่าอวิ๋นฮูหยินพูดอะไรกับนาง จากนั้นก็ไปที่คฤหาสน์สกุลหลง เล่าเรื่องสองสามีภรรยาสกุลอวิ๋นแยกกันมาหาที่บ้านให้หลงเอ้อร์ฟัง ทั้งยังเลียนเสียงเลียนแบบลักษณะท่าทางของสองสามีภรรยานั้นอีกด้วย
หลงเอ้อร์ได้ฟังก็พูดปลอบใจผู้เฒ่าจวีไปหลายคำ บอกว่าช่วงสองสามวันนี้เขาไม่ว่างไปเยี่ยมจวีมู่เอ๋อร์ ขอให้ผู้เฒ่าจวีดูแลนางให้ดี อย่าให้นางไม่สบายใจ เมื่อผู้เฒ่าจวีเห็นบุตรเขยเป็นห่วงบุตรสาวของตนเช่นนี้ก็ดีใจมาก กลับบ้านไปด้วยความเบิกบานใจ
หลงเอ้อร์คิดทบทวนเรื่องนี้ เขาไม่กลัวสกุลอวิ๋นจะมาหาเรื่องอะไรอีก อย่างไรเสียเขากับจวีมู่เอ๋อร์ก็หมั้นหมายกันแล้ว เวลาแต่งงานก็กำหนดเสร็จแล้ว สองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ ทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมสรรพ ไม่ว่าสกุลอวิ๋นจะขัดใจเพียงใดก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และทางฝ่ายติงเซิ่งก็แสดงท่าทีชัดเจน เขาเชื่อว่าการที่ติงเหยียนเซียงไปแสดงความอ่อนน้อมขอโทษถึงบ้านจวีมู่เอ๋อร์ก็คงเพราะถูกตำหนิมาแล้ว
หลงเอ้อร์เพียงแต่กังวลใจว่าว่าที่ภรรยาผู้มีใจละเอียดอ่อนราวเส้นไหมของเขาคนนั้น จะถูกเรื่องนี้ทำให้รำคาญใจหรือไม่
วันต่อมาหลงเอ้อร์กำลังคิดว่าจะส่งของอะไรไปที่บ้านสกุลจวีอีก บังเอิญเห็นบ่าวนำส้มหวานที่เพิ่งเก็บจากต้นมาให้พอดี แม้ผลจะเล็ก แต่หวานราวกับน้ำผึ้ง หลงเอ้อร์จึงให้บ่าวเลือกมาหนึ่งตะกร้าเล็กเพื่อส่งไปให้บ้านสกุลจวีชิมดู บ่าวตอบรับแล้วรีบไปทำตามคำสั่ง
หลงเอ้อร์เปลี่ยนเสื้อผ้า และให้คนเตรียมรถม้าเพื่อจะออกไปตรวจร้านค้า ในตอนกลางวันเขายังต้องไปร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่หอสุราอีก
เขาเดินไปทางประตูด้านข้างของคฤหาสน์ ระหว่างทางกลับเห็นสาวใช้สองคนเดินถือส้มสีเหลืองทองมาหนึ่งตะกร้าใหญ่ ผลโตอวบอิ่ม เปลือกเงางดงาม ดูเหมือนเป็นของที่เพิ่งได้รับมาและกำลังจะขนไปที่คลัง
หลงเอ้อร์รั้งพวกนางเอาไว้ ถามว่าในตะกร้าเป็นส้มหวานเช่นกันใช่หรือไม่ เขาคิดว่าส้มเมื่อครู่ที่บ่าวเอามาให้กินแม้จะอร่อย แต่ผลเล็กเกินไปดูไม่สวยเท่าใดนัก หากส้มนี้ดีก็จะส่งส้มตะกร้านี้ไปแทน
เหล่าสาวใช้รีบบอกว่าส้มนี้เปรี้ยวมาก กินไม่ได้ ทางห้องครัวจะเอาไปทำผลไม้เคลือบน้ำผึ้ง
เปรี้ยวมาก? ดูหน้าตาก็น่าจะรสชาติพอใช้ได้ หลงเอ้อร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงปอกมาชิมหนึ่งผล กินเข้าไปเพียงคำเดียวก็เปรี้ยวจนทำหน้าย่น เหล่าสาวใช้เห็นแล้วอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า หลงเอ้อร์พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจทันที เขายื่นมือไปหยิบส้มมาหนึ่งผลแล้วเดินจากไป
หลงเอ้อร์ไปขึ้นรถม้าที่ประตูข้าง บอกคนรถให้ไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีก่อน จากนั้นค่อยเร่งรุดไปตรวจร้านค้า คนรถรับคำแล้วรีบลงแส้เพื่อส่งหลงเอ้อร์ไปให้ถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว
การมาของหลงเอ้อร์ทำให้ผู้เฒ่าจวีประหลาดใจมาก ตัวหลงเอ้อร์เองก็ไม่มีเวลาทักทายมากนัก จึงรีบตรงไปพบจวีมู่เอ๋อร์ที่เรือนด้านหลังทันที
จวีมู่เอ๋อร์กำลังนั่งคุยกับเพื่อนบ้านหญิงหลายคนอยู่ในสวน เพื่อนบ้านเหล่านั้นมาช่วยปักของมงคลให้กับนาง เมื่อทุกคนเห็นหลงเอ้อร์มาต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
หลงเอ้อร์ไม่สนใจพวกนาง เขาดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์เข้ามาแล้วแกะส้มกลีบหนึ่งป้อนใส่ปากนาง
จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงอ้าปากรับ พอเคี้ยวไปหนึ่งคำก็รู้สึกเปรี้ยวจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา หน้านางย่นคล้ายซาลาเปา ท่าทางเปรี้ยวเข็ดฟันจนน่าเกลียดนั้นทำให้หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดังด้วยความเบิกบานใจ
เขาแตะใบหน้าเล็กของนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไปทำงานแล้ว เจ้าดูแลตัวเองนะ” จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
เพื่อนบ้านหญิงเหล่านั้นนั่งมองอย่างงงงัน ผู้เฒ่าจวีก็งงไม่ต่างกัน ท่านหลงเอ้อร์เดินทางมาไกลเพื่อแกะส้มป้อนบุตรสาวกลีบหนึ่งแล้วจากไป นี่หมายความว่าอย่างไรกัน เขาหันไปเอ่ยถามจวีมู่เอ๋อร์ “นี่มันเรื่องอะไรหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์กลืนส้มเปรี้ยวลงท้องอย่างไม่ง่ายนักแล้วตอบกลับ “ไม่มีอะไร แค่คฤหาสน์ท่านหลงเอ้อร์ใกล้บ้านพวกเรามากเกินไปเท่านั้น”
ใกล้เกินไป หมายความว่าอย่างไร ผู้เฒ่าจวีเกาหัว
ปีใหม่ใกล้จะมาถึง กำหนดการแต่งงานก็ยิ่งใกล้เข้ามาเช่นกัน
วันนี้จวีมู่เอ๋อร์ให้ซูฉิงเป็นเพื่อนนางไปที่ตรอกสือฮวา ภายในตรอกมีเรือนหลังหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่นางใช้เพื่อแอบสอนหญิงคณิกาดีดพิณ
ก่อนหน้านี้นอกจากซูฉิงก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้ท่านหลงเอ้อร์ส่งองครักษ์สองคนให้คอยติดตามอยู่ที่ร้านเหล้า ดังนั้นหากจวีมู่เอ๋อร์จะออกจากบ้านย่อมไม่อาจหลบพวกเขาพ้น
เมื่อถึงกำหนดสอนพิณ จวีมู่เอ๋อร์จึงให้องครักษ์แซ่เฉินผู้หนึ่งตามไปด้วย แต่เมื่อถึงปากตรอกก็บอกว่ารบกวนให้เขารออยู่ด้านนอกเพราะว่าเหล่าหญิงสาวที่มาเรียนพิณไม่สะดวกจะพบกับคนนอก
องครักษ์ผู้นั้นจึงนั่งรอพวกนางอยู่ที่แผงขายน้ำชาตรงปากตรอก
ซูฉิงเดินนำจวีมู่เอ๋อร์เข้าไปในเรือน เรือนนี้มีประตูสองชั้น ชั้นในและนอกมีห้องอย่างละหนึ่งห้อง ภายในห้องชั้นในมีพิณหลายตัววางเรียงเอาไว้ ส่วนห้องชั้นนอกมีเพียงโต๊ะเก้าอี้จัดวางไว้อย่างเรียบง่าย
ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จวีมู่เอ๋อร์จะมาสอนพิณ อย่างไรเสียงานนี้ก็ต้องติดต่อกับหญิงคณิกา หากนางแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลหลงแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่เหมาะสมที่จะทำต่อไป
จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงรอสักครู่ หญิงคณิกาห้าคนก็ทยอยเดินเข้ามา พวกนางทุกคนล้วนใช้ผ้าบางปิดหน้า ไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง ซูฉิงที่รู้กฎในการสอนพิณดีจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงแค่นั่งเฝ้าอยู่ที่ห้องชั้นนอกเท่านั้น
พอเหล่าหญิงคณิกาเข้าไปถึงเรือนชั้นในก็เริ่มพูดคุยหัวเราะกันขึ้นมา ทุกคนต่างพูดเย้าแหย่เรื่องการแต่งงานของจวีมู่เอ๋อร์ ล้อมตัวนางสอบถามเกี่ยวกับท่านหลงเอ้อร์ จวีมู่เอ๋อร์พยายามทำตัวสงบนิ่ง แต่ยังคงถูกคำพูดที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งของพวกนางทำให้ใบหน้าแดงก่ำ
ผ่านไปสักครู่ จวีมู่เอ๋อร์จึงปั้นหน้าเคร่งขรึม บอกว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางมาสอนพิณแล้ว เหล่าหญิงคณิกาจึงรีบนิ่งเงียบ แล้วพูดถึงปัญหาที่พวกนางแต่ละคนพบตอนดีดพิณ จวีมู่เอ๋อร์ให้พวกนางดีดบทเพลงหนึ่งทีละคน จากนั้นจึงให้คำชี้แนะอย่างละเอียด สอนอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดการสอนในครั้งนี้ก็เป็นอันจบลง
เมื่อเหล่าหญิงคณิกาเห็นว่าเรียนจบแล้วก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “แม่นางจวี ในเมื่อเป็นการพบหน้าครั้งสุดท้ายแล้ว แม่นางช่วยดีดเพลงทีเด็ดสักเพลงให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตากันสักนิดเถอะ” พอคำพูดนี้ออกมา เหล่าหญิงคณิกาต่างพากันกล่าวเห็นด้วย
พูดถึงศิลปะการดีดพิณ จวีมู่เอ๋อร์นั้นมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ยังเด็ก ภายในเมืองต่างเล่าลือกันมานานว่า ‘ร้านเหล้าทางทิศใต้ของเมือง มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อจวีมู่เอ๋อร์ เป็นเซียนพิณฝีมือดี เสียงพิณของนางราวกับดังมาจากสวรรค์’
นี่คือเหตุผลว่าทำไมในงานฟังพิณก่อนการประหารซือป๋ออินซึ่งมีการเชิญนักพิณชื่อดังไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง จวีมู่เอ๋อร์จึงมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปร่วมฟังด้วย ในตอนนั้นนางเป็นนักพิณหญิงเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าไปร่วมงานได้ และขณะเดียวกันก็เป็นนักพิณที่มีอายุน้อยที่สุดเช่นกัน
เพียงแต่ภายหลังเกิดเรื่องตาบอด ยกเลิกการแต่งงาน รวมทั้งเกี่ยวพันกับชายที่มีภรรยาแล้วตามมาเป็นพรวน ชาวเมืองจึงเล่าลือถึงฝีมือบรรเลงพิณของนางน้อยลงเปลี่ยนเป็นนินทาเรื่องอื่นของนางมากขึ้น น้อยคนนักจะพูดถึงนางในทำนองว่า ‘เป็นเซียนพิณฝีมือดี เสียงพิณราวกับดังมาจากสวรรค์’ เช่นในอดีต
แท้จริงแล้วจวีมู่เอ๋อร์ชอบเก็บตัวเงียบ ตอนที่นางสอนเหล่าหญิงคณิกาดีดพิณก็เพียงแต่สอนวิธีพื้นฐานตามความสามารถของพวกนางแต่ละคน แต่ไม่เคยดีดพิณโอ้อวดฝีมือของตน ทำให้เหล่าหญิงคณิกาเกิดความสงสัยในคำเล่าลือที่ถูกกล่าวถึงอย่างน่าอัศจรรย์นั้น ไม่รู้ว่าฝีมือดีดพิณของจวีมู่เอ๋อร์เป็นเช่นใดกันแน่ ในเมื่อวันนี้มีคนเสนอขึ้นมาเช่นนี้ พวกนางจึงพร้อมใจกันขอให้จวีมู่เอ๋อร์ดีดพิณให้ฟัง
จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “เพลงทีเด็ดเป็นอย่างไร”
หญิงคณิกาผู้หนึ่งพูดอย่างมีเลศนัย “ข้าเคยได้ยินแขกหลายคนถกกันว่าเทพพิณซือป๋ออินนั้นจึงจะนับว่าเป็นปรมาจารย์เพลงพิณตัวจริง หากพูดถึงฝีมือดีดพิณแล้ว เกรงว่าตอนนี้บนโลกนี้คงไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้ ทั้งยังได้ยินมาอีกว่ามีเหล่าขุนนางและเศรษฐีมากมายยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อจะได้ฟังเขาบรรเลงพิณเพียงหนึ่งเพลง แต่ซือป๋ออินผู้นี้มีนิสัยประหลาดนัก เขามีกฎข้อหนึ่งว่าจะดีดพิณให้แก่เพื่อนผู้รู้ใจฟังเท่านั้น”
“เพื่อนผู้รู้ใจ?” มีคนเอ่ยด้วยความสงสัย “อย่างไรจึงจะนับเป็นเพื่อนผู้รู้ใจของเขา”
“คงเป็นคนที่รู้เรื่องพิณ เข้าใจเรื่องพิณกระมัง” อีกคนหนึ่งคาดเดา
หญิงคณิกาผู้เล่าเรื่องเป็นคนตอบ “คงเป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินแขกพูดว่าท่านสื่อเจ๋อชุนเสนาบดีกรมปกครองก็คือคนที่มีลักษณะเช่นนั้น”
จวีมู่เอ๋อร์เกิดความคิดขึ้นในใจ ฟังพวกนางคุยกันอย่างเงียบๆ
หญิงคณิกาอีกผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “เสนาบดีกรมปกครองคือคนที่ถูกซือป๋ออินทำร้ายจนตายไม่ใช่หรือ”
หญิงคณิกาผู้นั้นพยักหน้า “เป็นเขานั่นแหละ ได้ยินมาว่าเสนาบดีกรมปกครองหลงใหลในพิณมาก ภายในจวนของเขามีตำราเพลงพิณกับพิณชื่อดังเก็บไว้จนเต็ม เมื่อได้ข่าวว่าที่ใดมีตำราเพลงใหม่ ตำราเพลงสุดยอด หรือพิณดี พิณชื่อดัง เขาก็จะไปขอดูทุกครั้ง หากพบสิ่งที่ถูกใจ แม้ว่าต้องเสียเงินมากมายเท่าไรก็ต้องซื้อกลับมาให้ได้ เขารักและหลงใหลในเสียงพิณ จนคิดหาทุกวิถีทางเพื่อขอพบซือป๋ออิน ทั้งสอบถามไปทั่ว ไหว้วานให้คนไปแจ้งความประสงค์ รวมทั้งไปแสดงฝีมือดีดพิณหลายเพลงหน้าที่พักของซือป๋ออิน เขาจริงใจถึงเพียงนี้ ซ้ำยังมีฝีมือในการดีดพิณ ในที่สุดซือป๋ออินจึงใจอ่อน เล่าลือกันว่าคนทั้งสองบรรเลงพิณร่วมกันอยู่สามวันสามคืน สุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกัน”
“อ้าว เป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกัน แล้วเหตุใดเทพพิณซือป๋ออินจึงต้องฆ่าเขาด้วย”
“ได้ยินว่าเสนาบดีสื่อได้ตำราเพลงพิณสุดยอดมาเล่มหนึ่ง เขารู้ไม่กระจ่างดีดได้ไม่ดีจึงเชิญซือป๋ออินไปที่จวนเพื่อขอคำชี้แนะ แต่เมื่อพบว่าตำราเพลงพิณนี้ยอดเยี่ยมมาก ซือป๋ออินก็เกิดความโลภขึ้นในใจ อยากให้เสนาบดีสื่อสละของรักให้ แต่เสนาบดีสื่อไม่ยอม ทั้งสองคนจึงขัดแย้งกัน เพียงเพื่อแย่งชิงตำราเพลงพิณซือป๋ออินถึงกับวางยาพิษลงในเครื่องดื่มและอาหารของจวนเสนาบดีสื่อเจ๋อชุน”
“ร้ายกาจนัก” หญิงคณิกาทั้งหลายร้องตกใจ พูดว่าไม่ยุติธรรมสำหรับเสนาบดีสื่อที่ต้องตายอย่างไร้ความผิด
หญิงคณิกาผู้นั้นยังพูดต่ออีกว่า “ตอนที่ซือป๋ออินอยู่ในงานฟังพิณก่อนการประหาร คนที่ได้ฟังเล่ากันว่าเขาได้บรรเลงเพลงต่อกันอย่างยาวนาน หนึ่งในนั้นมีสุดยอดเพลงพิณรวมอยู่ด้วย แม่นางจวี เจ้าลองบรรเลงสุดยอดเพลงพิณนั้นให้พวกเราได้ฟังเพื่อเปิดหูเปิดตาสักนิดเถอะ”
พอนางกล่าวซ้ำออกมาอีกครั้ง เหล่าหญิงคณิกาก็ส่งเสียงเห็นด้วย สุดยอดเพลงพิณที่ทำให้เกิดคดีใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนั้นย่อมทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยจนอยากลองฟัง
จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มบาง “ข้าไม่เคยเห็นสุดยอดตำราเพลงพิณอะไรนั่น จะรู้ได้อย่างไรว่าเพลงพิณที่ท่านซือป๋ออินบรรเลงก่อนถูกประหารเป็นทำนองในตำราเล่มนั้นหรือไม่ อีกอย่างหนึ่ง ท่านซือป๋ออินมีฝีมือพิณราวกับเป็นเทพพิณจากสวรรค์จริงๆ บทเพลงในพิธีประหารเหล่านั้นซับซ้อนล้ำเลิศ ข้าฟังจนเคลิบเคลิ้มจึงจำไม่ค่อยได้นัก ที่พวกเจ้าเสนอมายากเกินไป ข้าดีดไม่ได้หรอก”
เหล่าหญิงคณิกาต่างบ่นว่าเสียดาย จวีมู่เอ๋อร์จึงพูดอย่างช้าๆ พร้อมเริ่มเกาสายพิณบรรเลงเพลง “ข้าดีดเพลง ‘ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น’ ที่พวกเจ้าคุ้นเคยที่สุดดีกว่า พวกเจ้าลองฟังดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิม และหากคิดว่าข้าดีดได้ดี ลองคิดดูว่าดีอย่างไร”
นางพูดพลางเริ่มบรรเลงเพลง ‘ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น’ ซึ่งเป็นหนึ่งในบทเพลงที่หญิงสาวในหอคณิกาชอบเล่นกัน ด้วยทำนองเพลงที่อ่อนหวานงดงาม เรียบง่าย ซ้ำยังมีเหตุผลคือหนึ่ง ดีดง่าย สอง จินตนาการเห็นภาพงดงาม สาม ไม่ล้าสมัยและไม่ใช่เพลงที่เข้าใจยาก ดังนั้นเพลงนี้จึงได้รับความนิยมจากเหล่าหญิงคณิกา
เพลงพิณนี้หญิงคณิกาที่เรียนพิณย่อมดีดเป็นทุกคน ดังนั้นเมื่อพวกนางได้ยินจวีมู่เอ๋อร์บอกว่าจะบรรเลงเพลง ‘ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น’ จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร
จวีมู่เอ๋อร์เหมือนไม่ได้ยินเสียงโอดครวญของพวกนาง บรรเลงเพลงต่อไปอย่างไม่รีบเร่งและไม่ช้าจนเกินไป แรกเริ่มนั้นเป็นทำนองที่ทุกคนต่างรู้จักดี ฟังดูอ้อยอิ่งและอ่อนหวาน นี่เป็นทำนองที่หญิงในหอคณิกาชอบดีดที่สุด แต่เมื่อจวีมู่เอ๋อร์ดีดต่อไป กลับเปลี่ยนทำนองให้เร็วขึ้นอย่างฉับพลัน เปรียบกับการเริ่มต้นทำนาในฤดูใบไม้ผลิที่เหล่าเกษตรกรต่างทำงานกันอย่างคึกคัก ทำให้คนฟังรู้สึกขึงขังมีพลังเพิ่มขึ้นมาก เมื่อดีดไปถึงรอบที่สามกลับเปลี่ยนเป็นทำนองช้าเจ็บปวดลึกซึ้ง ทำให้รู้สึกว่าเหมือนรอจนอากาศอบอุ่นดอกไม้ผลิบานแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นเงาของคนรักกลับมา…
จวีมู่เอ๋อร์ดีดทั้งหมดหกรอบ แต่ละรอบมีการเปลี่ยนแปลงทำนองอยู่บ้าง ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปแก่คนฟัง เมื่อดีดรอบที่หกเสร็จนางก็หยุด
เหล่าหญิงคณิกาต่างตกตะลึง แม้ผู้มีฝีมือเพลงพิณระดับทั่วไปจะฟังอะไรไม่ได้ลึกซึ้งนัก แต่พวกนางก็ยังฟังออกว่าทำนองเพลงเรียบง่ายนี้ถูกเปลี่ยนไปถึงหกแบบ เพลงนี้เป็นเพลงที่พวกนางฟังบ่อยที่สุด แต่วันนี้กลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างคาดไม่ถึง
จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยปาก “เรียนพิณใช่ว่าจะเรียนเล่นๆ แล้วเก่งได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนให้มาก หากต้องการความงดงามที่ผกผันเปลี่ยนแปลงหลากหลายก็สามารถดีดได้ตามใจชอบ นำความรู้สึกใส่ลงไป ย่อมทำให้เกิดเป็นเสียงพิณที่น่าฟังได้ สิ่งที่ข้าสอนพวกเจ้าได้ก็มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น”
เหล่าหญิงคณิการีบเอ่ยขอบคุณ จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มบางแล้วพูดว่า “เวลาผ่านไปนานแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ ข้าจะไม่มาที่นี่อีกต่อไป ขออำลาแม่นางทุกคนไว้ ณ ที่นี้ด้วย”
เหล่าหญิงคณิกายืนขึ้นกล่าวลา ก่อนอำพรางใบหน้าด้วยผ้าบางแล้วทยอยกันออกไป
ซูฉิงที่รออยู่ห้องชั้นนอกเห็นทุกคนออกไปหมดแล้ว แต่รออยู่นานจวีมู่เอ๋อร์ก็ยังไม่ออกมา นางจึงวิ่งเข้าไปเรียกที่ประตูห้องชั้นใน กลับเห็นจวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ในตอนนี้เองหญิงสาวคลุมผ้าบางพรางใบหน้าผู้หนึ่งก็เดินกลับมา นางเดินผ่านข้างกายซูฉิงเข้าไปในห้อง แล้วเอ่ยเรียก “แม่นางมู่เอ๋อร์”
จวีมู่เอ๋อร์ตกใจ เรียกชื่อนางกลับไปทันที “แม่นางเยวี่ยเหยา”
ซูฉิงยืนเอียงหัวมองพวกนางอยู่ตรงปากประตู
หลินเยวี่ยเหยาเดินเข้าใกล้จวีมู่เอ๋อร์ “ข้ามีปัญหาเรื่องพิณบางอย่างอยากจะขอคำชี้แนะจากแม่นางอีก”
จวีมู่เอ๋อร์เข้าใจ นางหันไปทางประตูแล้วพูดว่า “ฉิงเอ๋อร์ เจ้ารอข้าอีกสักนิดนะ”
ซูฉิงรับคำ แม้รู้สึกสงสัยแต่ยังคงปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็กลับไปนั่งรอที่ห้องชั้นนอก
หลินเยวี่ยเหยาเห็นในห้องเหลือเพียงตัวเองกับจวีมู่เอ๋อร์จึงวางใจแล้วหยิบพิณขึ้นมาตัวหนึ่ง ทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าจวีมู่เอ๋อร์ “แม่นางกำลังจะแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลหลง เช่นนั้นเรื่องสาเหตุการตายของอีไป๋ แม่นางยังคงจะช่วยข้าสืบต่อไปหรือไม่”
“แน่นอน” จวีมู่เอ๋อร์ตอบอย่างไม่ลังเล
หลินเยวี่ยเหยาได้ยินคำนี้ก็โล่งอก “แม่นางให้ความสำคัญกับมิตรภาพยิ่งนัก ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ ตอนที่ได้ยินข่าวมงคลของแม่นาง ข้ายังคิดว่าหลังจากนี้คงต้องอาศัยแรงตัวเองเพียงคนเดียวเพื่อล้างมลทินให้อีไป๋เสียแล้ว”
‘อีไป๋’ ที่หลินเยวี่ยเหยาพูดถึงคือหฺวาอีไป๋ เขาเป็นนักพิณที่มีชื่อเสียงในแคว้น และเป็นนักพิณอายุน้อยที่มีฝีมือดีผู้หนึ่ง มีนิสัยรักอิสระ เอาแต่ใจไม่ยอมแพ้ ชอบดื่มเหล้าประชันพิณ เป็นแขกประจำของหอคณิกาต่างๆ
ในวันงานฟังพิณก่อนการประหารซือป๋ออิน หฺวาอีไป๋กับเหล่านักพิณที่อยู่ในงานหลายคนฟังออกถึงความยอดเยี่ยมในเสียงพิณของซือป๋ออิน ดังนั้นหลังจบงานจึงมารวมตัวกันเพื่อถกเรื่องนี้
ทำนองเพลงที่ซือป๋ออินเล่นก่อนตายช้ามาก เป็นการผสมผสานหลายบทเพลงเข้าด้วยกัน ทุกคนเดาว่าความหมายของบทเพลงเหล่านั้นคือถูกใส่ร้าย และหลังจากนั้นจึงตามติดด้วยสุดยอดทำนองเพลงที่ทุกคนไม่เคยได้ยินมาก่อน ซึ่งทุกคนล้วนคิดว่าในทำนองเพลงนี้จะต้องมีความจริงของคดีเสนาบดีสื่อซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน
ในตอนนั้นซือป๋ออินเป็นเสมือนเซียนในวงการนักพิณที่ทุกคนต่างเคารพนับถือและหวังอยากรู้จัก ถ้าได้รับการชี้แนะจากเขา คงไม่เสียใจไปชั่วชีวิต หากบุคคลเช่นนี้ถูกใส่ร้ายจนต้องโทษประหาร เหล่านักพิณก็คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง
แต่คดีนี้กรมอาญาเป็นผู้พิจารณาและองค์จักรพรรดิก็ทรงดูแลด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่หน้าที่ของนักพิณธรรมดาเช่นพวกเขาที่อาศัยเพียงเดาเรื่องราวจากการฟังเพลงพิณแล้วนำมาอ้างเป็นหลักฐานในคดี ดังนั้นหฺวาอีไป๋จึงเสนอให้จดทำนองเพลงฉบับสมบูรณ์ที่ท่านซือป๋ออินบรรเลงที่ลานประหารเพื่อให้ทุกคนนำไปศึกษากันครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามค้นหาเบาะแสให้พบ
เพราะจวีมู่เอ๋อร์เป็นหญิง ดังนั้นจึงไม่เคยเข้าร่วมงานชุมนุมของนักพิณชายเหล่านั้น และในตอนนั้นนางก็กำลังเตรียมจะแต่งงานกับเฉินเหลียงเจ๋อ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด นางจึงไม่ได้ออกไปรวมกลุ่มพูดคุยกับนักพิณคนใด
แต่ความหมายของบทเพลงที่บอกว่าถูกใส่ร้าย จวีมู่เอ๋อร์เองก็ฟังเข้าใจ แม้นางจะเป็นหญิง แต่ก็มีความกล้าราวกับจอมยุทธ์ หากเทพพิณถูกใส่ร้ายจนต้องตายไป นางก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเช่นกัน ในวันนั้นขณะที่กำลังใคร่ครวญอยู่ว่าควรทำเช่นไรดี หฺวาอีไป๋กลับลอบมาพบนาง
การสืบความเพื่อล้างมลทินให้เทพพิณซือป๋ออินนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงความเลวร้ายมากมายหลายอย่าง ดังนั้นหฺวาอีไป๋จึงเชิญเพียงนักพิณที่รู้จักกันมานานแค่ไม่กี่คนมาร่วมสนทนาศึกษาบทเพลงนั้น ไม่แพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้ หฺวาอีไป๋รู้จักกับจวีมู่เอ๋อร์ดี ปกติคนทั้งสองจะร่วมกันให้คำชี้แนะปรึกษาเรื่องศิลปะเพลงพิณซึ่งกันและกัน ดังนั้นนิสัยและความสามารถของจวีมู่เอ๋อร์นั้นหฺวาอีไป๋รู้เป็นอย่างดี เขาจึงตั้งใจมาพบนาง หวังให้นางช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ คนทั้งสองพูดคุยปรึกษากัน แล้วก็พบว่าพวกเขาต่างมีความเห็นว่าทำนองเพลงทั้งเพลงบ่งบอกถึงการถูกใส่ร้ายเช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงตกลงกันไว้เช่นนี้ แต่การให้หญิงสาวไปร่วมเจรจาเรื่องงานคงไม่น่าดูนัก หนำซ้ำยังเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย กอปรกับเหล่านักพิณชายมักดูถูกนักพิณหญิง คิดว่าพิณที่ผู้หญิงดีดเป็นเพียงการขายศิลปะเท่านั้น ส่วนผู้ชายศึกษาเรื่องพิณจึงจะนับเป็นความรู้ความสามารถอย่างหนึ่ง หฺวาอีไป๋มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่เขาก็เข้าใจถึงความคิดแย่ๆ ของนักพิณชายเหล่านั้น เพื่อไม่ให้จวีมู่เอ๋อร์ต้องลำบากใจ เขาจึงยืนยันกับนางว่าจะไม่บอกผู้ใดอย่างเด็ดขาดว่านางมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย
ในตอนนั้นจวีมู่เอ๋อร์ยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง นางพยายามนึกย้อนกลับไปและจดทำนองเพลงทั้งวันทั้งคืน จากนั้นก็แอบมอบส่วนที่นางจดเอาไว้ให้หฺวาอีไป๋ เมื่อหฺวาอีไป๋เปรียบเทียบกับส่วนที่ตัวเองจดได้ก็สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นตำราเพลงพิณครึ่งท่อนแรกได้ในที่สุด
คำร้องทุกข์ท่อนแรกแม้จะใช้ทำนองเพลงหลายเพลงมาประกอบกัน แต่ล้วนเป็นทำนองเพลงที่ทุกคนต่างคุ้นเคย ดังนั้นจึงจดจำได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่สำหรับสุดยอดทำนองท่อนหลังนั้น เพราะทุกคนได้ฟังเป็นครั้งแรกและเพียงครั้งเดียว ผู้ที่สามารถจดได้จึงมีไม่มากนัก
หฺวาอีไป๋ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่จวีมู่เอ๋อร์ แต่ตอนนั้นจวีมู่เอ๋อร์ไม่อาจเขียนทำนองเพลงได้อีกแล้ว เพราะดวงตาของนางแย่ลงทุกที นางตกปากรับคำกับหฺวาอีไป๋ว่ารอให้ดวงตาของนางดีขึ้นสักนิด จากนั้นนางจะลองจดทำนองเพลงท่อนหลังอีกครั้ง
แต่คิดไม่ถึงว่าดวงตาของนางยังไม่ดีขึ้น หฺวาอีไป๋กลับดื่มเหล้าเมาจนตกแม่น้ำจมน้ำตาย เมื่อหฺวาอีไป๋ตาย จวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่เคยได้ยินข่าวอีกเลยว่าจะมีนักพิณคนไหนคิดช่วยล้างมลทินให้ท่านซือป๋ออิน ไม่รู้ว่าสุดท้ายพวกเขาคิดทำเช่นไร เพียงแต่เรื่องนี้เหมือนกับหินที่จมลงไปก้นทะเลสาบ ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีกเลย
และสุดท้ายดวงตาของนางก็รักษาไม่หาย กลายเป็นคนตาบอดไปในที่สุด
จวีมู่เอ๋อร์ได้รู้จักกับหลินเยวี่ยเหยาหลังจากที่นางตาบอด
หลินเยวี่ยเหยาเป็นคนรู้ใจของหฺวาอีไป๋ เขาเป็นผู้มีความสามารถแต่กลับชอบหมกตัวเล่นพิณดื่มเหล้าอยู่ในหอคณิกา หลังจากได้รู้จักกับหลินเยวี่ยเหยาจึงสงบลงไปมาก เขามักจะไปที่หอซีชุนเพื่อเรียกให้หลินเยวี่ยเหยามาอยู่เป็นเพื่อน บางครั้งถึงกับอยู่ที่นั่นติดต่อกันหลายวัน เรื่องเหล่านี้จวีมู่เอ๋อร์รู้มาจากคำบอกเล่าของหญิงคณิกาคนอื่นตอนที่สอนพวกนางดีดพิณ
ในตอนนั้นหฺวาอีไป๋ประสบเหตุตายจากไป ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ก็เพิ่งตาบอด เป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดรวดร้าว แต่หลินเยวี่ยเหยากลับลอบมาพบนาง บอกกับนางว่าการตายของหฺวาอีไป๋อาจไม่ใช่อุบัติเหตุ
การที่หลินเยวี่ยเหยาบอกเรื่องนี้แก่จวีมู่เอ๋อร์ เพราะหฺวาอีไป๋ไม่ได้เก็บความลับเรื่องที่จวีมู่เอ๋อร์เป็นผู้เขียนทำนองเพลงเอาไว้จากหลินเยวี่ยเหยา เขาบอกนางตามตรง ดังนั้นหลินเยวี่ยเหยาจึงคิดว่าจวีมู่เอ๋อร์เป็นผู้ที่สามารถเชื่อใจได้ นางบอกแก่จวีมู่เอ๋อร์ว่านางตัดสินใจจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของหฺวาอีไป๋ และถามจวีมู่เอ๋อร์ว่าสามารถช่วยนางได้หรือไม่
จวีมู่เอ๋อร์ตอบตกลง
เรื่องนี้จึงกลายเป็นความลับที่บอกใครไม่ได้ของจวีมู่เอ๋อร์
การสอนหญิงคณิกาดีดพิณเป็นวิธีรวบรวมข่าวสารวิธีหนึ่งของจวีมู่เอ๋อร์ และใช้บังหน้าสำหรับการส่งข่าวระหว่างนางกับหลินเยวี่ยเหยาอีกด้วย
“พี่อีไป๋เป็นทั้งพี่ชาย อาจารย์ และเพื่อนของข้า ในเมื่อเขาถูกคนทำร้าย ข้าย่อมไม่อาจมองข้ามไปได้ สองปีก่อนข้าพูดไว้เช่นนั้น ในตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม” จวีมู่เอ๋อร์กดเสียงเบา “เพียงแต่เมื่อข้าแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลหลง ย่อมไม่สะดวกจะติดต่อกับเหล่าหญิงคณิกาอีก ดังนั้นการสอนพิณเช่นนี้จึงทำต่อไปไม่ได้ คงต้องรบกวนแม่นางเยวี่ยเหยาสืบข่าวหาความจากทางหอคณิกาให้มากขึ้นสักนิด”
หลินเยวี่ยเหยาพยักหน้า “เมื่อครู่คนที่ถามเรื่องทำนองเพลงของท่านซือป๋ออินคือซีเหยียนจากหอหรั่นชุ่ย ไม่รู้ว่านางจงใจทดสอบแม่นางหรืออย่างไร เรื่องนี้ข้าจะลองสืบดูว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงอื่นใดหรือไม่ แม่นางต้องระวังตัวให้มากด้วย”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณ
หลินเยวี่ยเหยาพูดต่อว่า “ข้าสืบรู้มาเรื่องหนึ่ง ได้ความว่าสุดยอดตำราเพลงพิณที่เสนาบดีสื่อให้ท่านซือป๋ออินช่วยแนะนำนั้น แท้จริงแล้วเป็นเคล็ดวิชา และเพราะเหตุนี้จึงเกิดคดีน่าสลดตามมา”
จวีมู่เอ๋อร์ตะลึงไป “แต่ท่านซือป๋ออินไม่รู้วรยุทธ์”
“รายละเอียดข้าไม่รู้แจ้ง เพียงแต่มีคำเล่าลือหนาหูเท่านั้น ตอนนี้ได้ยินว่ามีหลายคนกำลังตามหาตำราเพลงพิณเล่มนั้นอยู่ เป็นเช่นนั้นจริงก็ดี หากมีคนสนใจตำราเพลงพิณมากสักนิด อาจจะสามารถพบเบาะแสการตายของท่านซือป๋ออินกับอีไป๋ได้” จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วไม่พูดจา หลินเยวี่ยเหยาพูดอีกว่า “เมื่อครู่ตอนที่ซีเหยียนขอให้แม่นางดีดเพลงนี้ ข้ายังรู้สึกกลัว”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกลัว ข้าดีดเพลงนั้นไม่เป็น”
“แม่นางใช้เพลง ‘ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น’ เบนความสนใจของพวกนาง ฉลาดยิ่งนัก เรื่องนี้ข้าจะสืบดูอีกครั้ง หากมีข่าวใดจะรีบมาแจ้งแม่นางอีกครั้ง”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ข้าก็จะตั้งใจสังเกตให้มากขึ้น”
คนทั้งสองปรึกษากันต่อครู่ใหญ่ หลินเยวี่ยเหยาจึงเอ่ยลาจากไป รอจนหลินเยวี่ยเหยาไปแล้ว ซูฉิงจึงวิ่งเข้ามา นางย่นปากไม่พอใจ “คนผู้นี้เหตุใดจึงน่ารำคาญนัก ถามนานถึงเพียงนี้นับว่าเป็นการสอนล่วงเวลาแล้ว นางได้ให้เงินเพิ่มหรือไม่”
จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “เจ้าเห็นแก่เงินเกินไปแล้วนะ”
“ไม่ได้ไปแย่งไปขโมยมาเสียหน่อย ที่ควรเก็บก็ต้องเก็บสิ” ซูฉิงพูดอย่างมีหลักการ นางประคองจวีมู่เอ๋อร์เดินออกไปอย่างช้าๆ
เมื่อออกมาจากตรอก จวีมู่เอ๋อร์จึงถอนใจออกมาในทันใด “ฉิงเอ๋อร์ เจ้าอยู่นอกบ้านบ่อยๆ ต้องระวังให้มาก สังเกตทุกอย่างให้มากนะ”
ซูฉิงกำลังจะรับคำ แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “นั่นรถม้าของท่านหลงเอ้อร์นี่” พูดจบก็เห็นหลงเอ้อร์ก้าวลงมาจากรถม้า
ซูฉิงหัวเราะคิกคัก พาจวีมู่เอ๋อร์เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
หลงเอ้อร์เอ่ยถาม “สอนเสร็จนานแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ในนั้นนานถึงเพียงนี้ ข้ากำลังจะเข้าไปตามพอดี”
จวีมู่เอ๋อร์ไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “เหตุใดท่านหลงเอ้อร์จึงอยู่ที่นี่”
“ข้าผ่านมาเห็นองครักษ์เฉินอยู่ข้างทางจึงหยุดถาม เขาบอกว่าเจ้าสอนพิณอยู่ด้านใน แต่เพิ่งถึงเวลาเลิกพอดี เจ้าคงออกมาในไม่ช้า ข้าคิดว่ายังพอมีเวลาจึงอยู่รอ จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องรอนานถึงเพียงนี้”
นานที่ไหนกัน จวีมู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปาก อยากจะตอบโต้แต่กลับไม่พูด หลงเอ้อร์จ้องหน้านาง จวีมู่เอ๋อร์เหมือนรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา ใบหน้านางร้อนผ่าวขึ้นอย่างไร้สาเหตุ
ซูฉิงที่ยืนมองท่าทางของคนทั้งสองอยู่ด้านข้างเอามือปิดปากแอบหัวเราะคิกคัก
หลงเอ้อร์ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์เข้าใกล้แล้วเอ่ยถาม “จะกลับหรือยัง ข้ายังพอมีเวลาอยู่บ้าง จะไปส่งเจ้าให้เอง”
จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ทันได้พูดอะไร ซูฉิงก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “อ้อ พี่มู่เอ๋อร์ ข้านึกขึ้นได้ว่าหลายวันก่อนไปส่งดอกไม้ที่จวนหม่าฝู่สองตะกร้าแล้วยังไม่ได้เก็บเงิน ข้าจะรีบไปเก็บเงิน กลับไปกับพี่ไม่ได้แล้ว”
เป็นหญิงสาวที่รู้กาลเทศะเสียจริง หลงเอ้อร์ส่งสายตาชื่นชมซูฉิงแล้วพูดกับนางว่า “ต่อไปส่งดอกไม้มาที่คฤหาสน์สกุลหลงหนึ่งตะกร้าทุกวัน”
ซูฉิงดีใจมาก รีบตอบรับเสียงดัง “ขอบคุณท่านหลงเอ้อร์ ข้าจะเลือกดอกไม้ที่ดีที่สุดสวยที่สุดส่งไปที่คฤหาสน์สกุลหลงอย่างแน่นอน” นางพูดพลางบีบมือจวีมู่เอ๋อร์ จู่ๆ ก็มีเงินหล่นลงมาจากฟ้า เป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก
จวีมู่เอ๋อร์ถูกพวกเขาทั้งสองคนทำให้หัวเราะ หลงเอ้อร์หันไปสั่งองครักษ์เฉินให้ไปส่งซูฉิงเก็บเงิน ส่วนเขาจะพาจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้ากลับบ้านไป
คนสองคู่แยกกันบนถนนแห่งนี้ จวีมู่เอ๋อร์ถูกประคองขึ้นรถม้า เพิ่งจะนั่งลงก็ได้ยินเสียงปิดประตู จากนั้นตามด้วยเสียงของท่านหลงเอ้อร์พูดว่า “ไม่ได้พบกันเสียนาน มาให้ข้าดูเจ้าหน่อยสิ”
“ข้ายังมีหน้าตาเหมือนเดิม” จวีมู่เอ๋อร์ตอบเช่นนี้จึงถูกหลงเอ้อร์จิ้มหน้าผากไปหนึ่งที
“วันนี้ข้าให้บ่าวส่งสาลี่กรอบที่เพิ่งเก็บมาใหม่ไปให้ เจ้าได้กินหรือยัง”
“กินแล้ว” จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า สาลี่กรอบนั้นทั้งหอมและหวาน
“ชอบหรือไม่ หากชอบข้าจะให้พวกเขาส่งไปอีก” หลงเอ้อร์ลูบมือของนาง พบว่ามือนางเย็นเฉียบ จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปลูบที่ใบหน้าของนาง ยังคงรู้สึกเย็นอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงยื่นมือสองข้างไปกุมใบหน้าเล็กของนางเอาไว้ ปากก็พูดว่า “เหมือนน้ำแข็งเลย”
จวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็นเขา แต่จินตนาการท่าทางของเขาอยู่ในสมอง นางกุมหลังมือของเขาแล้วเรียก “ท่านหลงเอ้อร์”
นางอยากเข้าใกล้เขาสักนิด แต่ก็ยังคิดว่าควรห่างเขาสักหน่อย
“หืม?” หลงเอ้อร์ตอบรับ ท้ายเสียงยกสูง เขาพูดเสียงช้าๆ เอื่อยๆ “เจ้าคิดถึงข้าแล้วใช่หรือไม่”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ ต้องไว้หน้าท่านหลงเอ้อร์ เรื่องนี้นางเข้าใจดี
“แล้วคิดถึงอย่างไร ลองบอกให้ข้าฟังสิ”
คิดถึงอย่างไรก็ต้องรายงานด้วยหรือ
“แบบเวลาลูบถูกไม้เท้าก็จะคิดว่าท่านก็ชอบไม้เท้าเช่นกัน…”
นางหาคำตอบแย่ๆ นี้มาจากที่ใดกัน
ใบหน้าของหลงเอ้อร์ยังไม่ทันเขียว จวีมู่เอ๋อร์ก็รีบพูดต่อ “ตอนพ่อข้าดื่มเหล้าข้าก็คิดว่าไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านต้อนรับแขกอยู่ที่หอใด จะดื่มมากเกินไปจนกลับบ้านไม่ได้หรือไม่ หรือตอนลูบพิณก็ยังคิดว่าไม่รู้ว่าจะดีดเพลงใดให้ท่านฟังจึงจะทำให้ท่านเบิกบานใจ”
เช่นนี้เรียกว่าคิดถึงเขาหรือ นี่เป็นการเหน็บแนม หยิบข้อด้อยของเขาขึ้นมาพูดชัดๆ หากจะคิดถึงเช่นนี้ก็ไม่คิดถึงเสียเลยดีกว่า!
หลงเอ้อร์หยิกแก้มนาง “จะหาเรื่องข้าอีกใช่หรือไม่”
จวีมู่เอ๋อร์เอาหัวซุกหลบในอ้อมอกเขา “ท่านถามเองนะ”
“กฎสกุลข้อที่หนึ่ง ห้ามพูดจาประชดข้า จำไม่ได้หรือ” หลงเอ้อร์ดึงตัวนางออกจากอ้อมอกของตน ตั้งใจจะคิดบัญชีกับนาง
ที่แท้กฎสกุลข้อที่หนึ่งว่าไว้เช่นนี้เองหรือ จวีมู่เอ๋อร์อยากหัวเราะ นางเอ่ยถามว่า “แล้วข้อที่สองคืออะไร”
“ข้อที่สองคือห้ามทำให้ข้าเบื่อ”
คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ นางหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา หากต้องทำผิดกฎข้อที่หนึ่งเพื่อไม่ให้ผิดกฎข้อที่สอง เช่นนั้นจะทำอย่างไร
หลงเอ้อร์เห็นนางหัวเราะเบิกบานใจก็ยกมุมปากยิ้มตามอย่างอดไม่ได้ เขาบิดติ่งหูของจวีมู่เอ๋อร์ “กฎสกุลที่ข้าเขียนขึ้นทำให้เจ้าสำราญใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะร่างกฎสกุลบ้าง”
“ว่าอย่างไร”
“กฎข้อที่หนึ่ง ห้ามบิดติ่งหู” จวีมู่เอ๋อร์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับคิดว่ากฎข้อที่หนึ่งคืออย่าดีกับข้าเช่นนี้ ข้อที่สองคืออย่าดีกับข้าเช่นนี้ และข้อที่สามคืออย่าดีกับข้าเช่นนี้…
หลงเอ้อร์ไม่รู้สิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ เขาไม่พอใจมากกับกฎห้ามบิดติ่งหู “กฎข้อนี้ผิดต่อกฎสกุลข้อที่สองของข้า ดังนั้นไม่อนุญาต”
“เช่นนั้นกฎสกุลข้อที่สามของท่านคืออะไร”
“ต้องเชื่อฟังคำของข้า”
“ข้อที่สี่ล่ะ”
“เรื่องที่ทำให้ข้าไม่มีความสุขล้วนห้ามทำ”
จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะออกมาอีกครั้ง หลงเอ้อร์ก็หัวเราะเช่นกัน แต่ปากยังคงพูดต่อ “หากเจ้าทำผิดกฎสกุล ข้าก็จะจัดการด้วยบทลงโทษของสกุล”
จวีมู่เอ๋อร์แสร้งตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “มู่เอ๋อร์ขี้ขลาดที่สุดเลย กลัวบทลงโทษของสกุล ดังนั้นไม่กล้าขัดความประสงค์ของท่านแน่นอน”
นางหัวเราะจนแก้มแดงเรื่อ ท่าทางแก่นแก้วสดใส สองตาเหมือนมีประกาย ทันใดนั้นหลงเอ้อร์ก็คิดถึงคืนที่นางซบอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม ริมฝีปากและลิ้นของนางล้วนอ่อนนุ่มหอมหวาน
เขาเชิดใบหน้านางขึ้นอย่างอดไม่ได้ ใช้ริมฝีปากแตะริมฝีปากนาง รอยยิ้มของจวีมู่เอ๋อร์หายวับไป ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ท่าทีเขินอายของนางทำให้เขายิ้มกว้าง เขาจุมพิตนางเบาๆ อีกครั้ง กระซิบข้างหูเสียงเบา “จูบข้าที”
จวีมู่เอ๋อร์ใบหน้าร้อนจนแดงก่ำ แต่ยังคงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใช้ริมฝีปากของนางประกบไปบนปากของเขา พอทำเสร็จนางก็รู้สึกอายเป็นอย่างมากจึงถอยหลังนั่งห่างออกไปเล็กน้อย
เดิมทีหลงเอ้อร์คิดจะแกล้งนางเล่น ทำให้นางเขินอายแล้วค่อยจุมพิตต่อ คิดไม่ถึงว่านางจะเชื่อฟังคำสั่งถึงเพียงนี้ เขาดีใจเบนสายตามองออกไปด้านนอก แต่จู่ๆ กลับโมโหขึ้นมาอีก “ใครเป็นคนกำหนดกฎห้ามพบหน้ากันก่อนแต่งงานนะ”
จวีมู่เอ๋อร์ถูกน้ำเสียงของเขาทำให้หัวเราะ หลงเอ้อร์ก้มหน้าลงจุมพิตนางอีกครั้ง พูดทั้งที่กำลังแนบปากอยู่บนริมฝีปากนาง “หัวเราะอะไร ข้ากลัวว่าเจ้าจะคิดถึงข้ามากเกินไปจนเป็นทุกข์”
จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็ยิ่งอยากหัวเราะ แต่พริบตาต่อมาหลงเอ้อร์กลับจุมพิตลึกซึ้งมากขึ้น นางหัวเราะไม่ออก ทำได้เพียงยื่นแขนไปคล้องคอของเขาเอาไว้ ลิ้นของเขาแทรกเข้าไปเกี่ยวกับลิ้นของนาง กำลังลิ้มชิมรส เกิดอารมณ์คล้อยตาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนรถพูดขึ้นมาว่า “นายท่านรอง ถึงร้านเหล้าสกุลจวีแล้วขอรับ”
หลงเอ้อร์ขุ่นเคืองอยู่ในใจ ไม่คิดจะหยุด แต่ประตูกลับถูกคนเคาะอย่างแรง เสียงของผู้เฒ่าจวีดังลอดเข้ามา “ท่านหลงเอ้อร์มาแล้วหรือ”
หลงเอ้อร์ตัวแข็งทื่อ จวีมู่เอ๋อร์จึงบอกว่า “พ่อข้าเอง”
“ข้ารู้ว่าเป็นพ่อเจ้า” หลงเอ้อร์หัวเสียอย่างหนัก อยากจะให้ตอนนี้เป็นวันแต่งงานไปเสียเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงสามารถเก็บนางไว้ในห้องของตัวเองได้ อยากจะแสดงความสนิทสนมอย่างไรก็ทำได้ แล้วมาดูกันสิว่าจะมีผู้ใดกล้ามาเคาะประตูรบกวนเขาอีกหรือไม่
จวีมู่เอ๋อร์ดันตัวเขาออก หลงเอ้อร์ถอนหายใจ โน้มตัวไปเปิดประตูอย่างไม่ยินดี
ผู้เฒ่าจวีที่อยู่นอกรถม้าเรียกอย่างตื่นเต้น “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านมาแล้วหรือ”
ถามแล้วไม่รอให้หลงเอ้อร์ตอบกลับ ผู้เฒ่าจวีก็หันไปเห็นจวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในรถเช่นกัน “เอ๋? มู่เอ๋อร์ เจ้าก็มาด้วยหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ “พ่อ ไม่ใช่ข้า ‘มาด้วย’ แต่ข้ากลับมาแล้วต่างหาก”
“อ๋อ ใช่ๆ พ่ออยากพูดว่าเจ้ากลับมาแล้วนั่นแหละ แล้วเหตุใดจึงมากับท่านหลงเอ้อร์ได้”
หลงเอ้อร์ก้าวลงจากรถ หมุนตัวกลับไปรับจวีมู่เอ๋อร์ “ข้าเห็นนางอยู่ในเมือง จึงผ่านมาส่งนางกลับบ้าน”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านหลงเอ้อร์มาก ท่านรีบเข้ามานั่งสักครู่เถอะ ว่าแต่ท่านมาทำอะไรแถวนี้หรือ”
มาทำอะไร? หลงเอ้อร์ตะลึงไป เมื่อครู่เขาบอกไปแล้วว่ามาส่งจวีมู่เอ๋อร์กลับบ้านไม่ใช่หรือ
ผู้เฒ่าจวีเห็นท่านหลงเอ้อร์มีสีหน้างุนงง เหมือนไม่เข้าใจว่าเขาถามอะไร จึงยกมือขึ้นเกาหัว งงไปด้วยอีกคน “ก็ท่านหลงเอ้อร์บอกว่าผ่านมาไม่ใช่หรือ ดังนั้นจะต้องมาทำอะไรแถวนี้จึงผ่านมาส่งมู่เอ๋อร์ได้ไม่ใช่หรือ”
หลงเอ้อร์นิ่งไป เขารู้ว่าผู้เฒ่าจวีไม่มีจุดประสงค์จะหาเรื่อง แต่คำพูดนั้นฟังไม่เข้าหูจริงๆ แม้การที่เขามาส่งจวีมู่เอ๋อร์กลับบ้านจะไม่ใช่เพียงการผ่านมาแล้วอย่างไร เขาชอบที่ได้มาส่งจวีมู่เอ๋อร์จึงมา เขาจะต้องหาธุระอะไรแถวนี้ทำก่อนจึงจะเรียกว่าผ่านมาได้อย่างนั้นหรือ
จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองก็ลอบถอนหายใจอยู่ภายใน “พ่อ ท่านหลงเอ้อร์อยากมาซื้อเหล้าสักหน่อย ช่วงฉลองปีใหม่ ในคฤหาสน์ต้องมีเหล้าดีเตรียมเอาไว้ เหล้าในร้านเหล้าสกุลจวีของเรามีชื่อเสียงโด่งดัง ท่านหลงเอ้อร์จึงมาตามคำเล่าลือ”
“อ๋า ใช่ๆ เหล้าของพวกเราดีมากเลย ปีนี้ข้าโกรธคนในเมือง สิ้นปีจึงไม่ได้ส่งเหล้าไปที่หอสุรา ท่านหลงเอ้อร์มาเอาที่ข้าก็ถูกต้องแล้ว ถ้าท่านชอบก็เอาไปหมดได้เลย ไม่ต้องซื้อหรอก” ผู้เฒ่าจวีได้ยินคนชมเหล้าของเขา ก็ดีใจจนมือเท้าเต้น เอ่ยต้อนรับไม่หยุดปาก “ท่านหลงเอ้อร์รีบเข้าไปนั่งสักครู่เถอะ ข้าจะไปเลือกเหล้ามาให้ท่าน” พูดจบก็วิ่งหายเข้าไปในร้านเร็วราวกับควัน
หลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์เดินเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ เขาเข้าไปกระซิบข้างหูนาง “ข้ามาตามคำเล่าลือ? มาขอซื้อเหล้าด้วย?”
“อืม ท่านหลงเอ้อร์ไม่ต้องเกรงใจ เหล้าของพ่อข้านั้นดีมาก” จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าราวกับว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ทำให้หลงเอ้อร์เกิดความรู้สึกอยากบิดหูนางขึ้นมา
คนทั้งสองเข้าไปในโถงของร้านเหล้า หลงเอ้อร์กำลังคิดจะเดินไปบอกผู้เฒ่าจวีว่าเขาไม่มีเวลาแล้ว ต้องขอตัวกลับก่อน แล้วจะส่งบ่าวมารับเหล้าไป แต่ยังไม่ทันได้ไป ผู้เฒ่าจวีก็วิ่งโขยกเขยกกลับมาพร้อมพูดเสียงดัง “จริงสิ มู่เอ๋อร์ ข้านึกขึ้นได้ว่ามีสหายนักพิณแซ่เฉียนมาหาเจ้า ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่อยู่ แต่เขาพูดว่าอยากขอดูตำราเพลงพิณของเจ้า ข้าไม่ได้ให้เขานำกลับไป แต่อนุญาตให้เขานั่งเปิดอ่านในห้องพิณของเจ้า ตอนนี้คงยังอยู่ที่นั่น”
“ผู้ชายหรือ” หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว จับประเด็นหลักในคำพูดได้อย่างรวดเร็ว
“ถูกต้อง” ผู้เฒ่าจวีพยักหน้า เฉียนเจียงอี้ผู้นี้ก่อนหน้านี้สนิทกับจวีมู่เอ๋อร์ดี พวกเขาเหล่านักพิณไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ดังนั้นเมื่อเขาอยากดูตำราเพลงพิณ ผู้เฒ่าจวีจึงปล่อยให้เข้าไป เพราะบุตรสาวไม่อยู่ ดังนั้นก็ไม่มีเรื่องผิดจารีตที่ว่าชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังไม่ได้ ผู้เฒ่าจวีไม่คิดว่าการทำเช่นนี้จะมีอะไรไม่ถูกต้อง
หลงเอ้อร์มองหน้าใสซื่อของผู้เฒ่าจวีแล้วเอ่ยปากพูดอะไรไม่ออก เห็นทีเขาต้องหาโอกาสมาคุยกับท่านพ่อตาที่ชอบ ‘ทำอะไรตามอำเภอใจ’ บ้างแล้ว อยากบอกท่านพ่อตาว่านอกจากบุตรเขยคนนี้แล้ว ต้องไม่อนุญาตให้ชายหนุ่มคนใดเข้าไปในเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์อีกเป็นอันขาด
จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินผู้เป็นพ่อพูดเช่นนี้จึงบอกว่า “ข้าจะไปดูที่ห้องพิณ”
“พ่อไปเป็นเพื่อนเจ้านะ” ผู้เฒ่าจวีรีบพูดขึ้น แล้วหันไปบอกหลงเอ้อร์ว่า “ท่านหลงเอ้อร์เชิญนั่งสักครู่ ข้าใช้ให้เด็กไปหยิบเหล้าแล้ว อีกครู่ก็คงมา”
หลงเอ้อร์ถอนหายใจ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ได้ตะคอกผู้เฒ่าจวีว่า ‘ท่านให้ลูกเขยตัวเองนั่งรอด้านนอก จากนั้นก็พาลูกสาวตัวเองเข้าไปพบชายอื่นที่เรือนพักด้านหลัง ท่านพ่อตา ท่านคิดว่าจะไม่มีปัญหาใดจริงหรือ’
หลงเอ้อร์ท่องอยู่ในใจสามรอบว่า…เขาเป็นพ่อตา เขาเป็นพ่อตา เขาเป็นพ่อตา
จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฉีกยิ้มกว้าง พูดว่า “ข้าไปเป็นเพื่อนมู่เอ๋อร์เองดีกว่า ท่านทำงานของท่านไปเถอะ” เขาพูดพลางประคองแขนของจวีมู่เอ๋อร์ นำนางเดินไปทางเรือนพักด้านหลังทันที
การที่โดนแย่งตัวบุตรสาวไปเช่นนี้ ผู้เฒ่าจวีก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรไม่ดี “เช่นนั้นข้าไปเลือกเหล้าให้ท่านเองดีกว่า ข้าเลือกย่อมดีกว่าเด็กเลือกแน่นอน” พูดจบก็วิ่งหายไปเร็วราวกับสายลม
หลงเอ้อร์กัดฟันพูดอย่างอดไม่ได้ “ท่านพ่อตาช่างน่ารักจริงๆ”
จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “หากพ่อข้าได้ยินท่านชมเขาจะต้องดีใจมากแน่นอน”
“เจ้าประชดข้าอีกแล้วใช่หรือไม่ รอข้ากลับไปจะเตรียมบทลงโทษของสกุลไว้ หากเจ้าแต่งเข้าบ้านเมื่อไร เกรงว่าคงได้ใช้ทุกวัน”
คนทั้งสองต่อปากต่อคำกันไปมาจนเดินมาถึงหน้าประตูห้องพิณอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องพิณ ชายหนุ่มอายุสามสิบกว่าปีผู้หนึ่งกำลังเปิดตำราเพลงพิณอ่านอย่างตั้งใจ พอเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที เมื่อเห็นจวีมู่เอ๋อร์กับชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งเดินเข้ามาก็รีบทักทายอย่างมีมารยาท “แม่นางจวี เจ้ากลับมาแล้ว” จากนั้นจึงหันไปพูดกับหลงเอ้อร์ “คารวะคุณชาย ข้าน้อยเฉียนเจียงอี้”
หลงเอ้อร์พยักหน้าตอบรับพอเป็นมารยาท จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างจึงแนะนำให้คนทั้งสองรู้จักกัน
เมื่อจวีมู่เอ๋อร์บอกว่านี่คือท่านหลงเอ้อร์ เฉียนเจียงอี้จึงเข้าใจในทันที รีบทำความเคารพทักทายอีกครั้ง ส่วนเฉียนเจียงอี้นั้นเป็นสหายนักพิณคนหนึ่งที่จวีมู่เอ๋อร์คบหาด้วย เขามีฝีมือดีดเพลงพิณได้เหนือคน สอนศิษย์มาจำนวนไม่น้อย ตัวเขาเองยังได้สร้างหอศิลป์เพลงพิณขึ้นหนึ่งแห่ง ถือได้ว่าพอมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง
หลงเอ้อร์ไม่สนใจ เขาไม่รู้ดนตรี ไม่รู้จักนักพิณหอศิลป์เพลงพิณอะไรทั้งนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมีความสนใจต่อเรื่องพวกนี้เลย ตอนนี้เขาสนใจเพียงว่าเหตุใดชายหนุ่มผู้นี้มีตำราเพลงพิณของตัวเองแต่ไม่ไปดู กลับวิ่งมาพลิกอ่านตำราเพลงพิณของมู่เอ๋อร์ของเขาด้วย
ตามความคิดของหลงเอ้อร์ คำว่า ‘คนของตน’ หมายถึงเมื่อจวีมู่เอ๋อร์เป็นคนของเขา เช่นนั้นของของนางก็เท่ากับว่าเป็นของของเขา แม้มู่เอ๋อร์ของเขาจะตาบอดมองไม่เห็น แต่ตำราเพลงพิณเหล่านั้นก็ยังคงเป็นของของนาง เพราะฉะนั้นของของนางก็คือของของเขา ผู้อื่นจะมาแตะต้องของของเขาทำไม!
เฉียนเจียงอี้เห็นสีหน้าของท่านหลงเอ้อร์ไม่น่าดูจึงรู้สึกอึดอัดใจ แต่เขายังคงออกปากกับจวีมู่เอ๋อร์ว่าอยากจะขอยืมตำราเพลงพิณของนางกลับไปดู เพราะมีตำราบางเล่มที่นางมีแต่เขาไม่มี เขาอยากยืมกลับไปคัดลอก แล้วจะนำกลับมาคืนให้ดังเดิม
หลงเอ้อร์อดทนไม่พูดอะไร จวีมู่เอ๋อร์กลับตอบตกลงอย่างใจกว้าง
เฉียนเจียงอี้ดีใจมาก เขาจึงยกหัวข้อสนทนาเรื่องการดีดพิณหลายประเด็นขึ้นมาคุยกับจวีมู่เอ๋อร์ หลงเอ้อร์ที่ฟังอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองหน้าเฉียนเจียงอี้อย่างเคร่งขรึม มองเสียจนเฉียนเจียงอี้จำต้องพูดความให้สั้น รีบรวบตำราเพลงพิณหลายเล่มที่เขาเลือกไว้ จากนั้นก็เร่งอ่านชื่อหนังสือให้จวีมู่เอ๋อร์ฟังแล้วเตรียมจะนำกลับไปทันที
แต่หลงเอ้อร์ไม่ยอม เขาเรียกให้องครักษ์ที่อยู่เฝ้าสกุลจวีไปหยิบพู่กันกับหมึกมา คัดลอกชื่อตำราที่เฉียนเจียงอี้ต้องการยืม และตอนนำกลับมาคืนจะต้องเทียบรายชื่อให้ถูกต้องด้วย
“คุณชายเฉียนโปรดอภัยด้วย ในเมื่อตำราเหล่านี้เป็นของสะสม คิดว่าคงหาได้ยากอยู่บ้าง มู่เอ๋อร์ของข้ารักพิณเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้นางมองไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าคุณชายหยิบตำราอะไรไปบ้าง ข้าจึงขอทำตัวเป็นคนตระหนี่โดยการจดรายชื่อตำราเอาไว้เพื่อให้คุณชายสามารถยืมคืนได้ง่าย ทุกคนไม่ต้องหมางใจกัน ท่านว่าจริงหรือไม่”
เฉียนเจียงอี้รีบตอบกลับว่าดี รอจนองครักษ์เขียนรายชื่อตำราเสร็จ เขาก็รีบกล่าวลาจากไป
จวีมู่เอ๋อร์ส่งเขาออกจากบ้านด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับครุ่นคิด เฉียนเจียงอี้เป็นหนึ่งในนักพิณที่ร่วมศึกษาคดีของท่านซือป๋ออิน เรื่องนี้จวีมู่เอ๋อร์รู้ดี แต่เฉียนเจียงอี้นั้นไม่รู้ว่านางเองก็เคยเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน วันนี้มีหญิงคณิกาใช้ข้ออ้างว่าสงสัยในศิลปะเพลงพิณของนางขอให้นางเล่นสุดยอดเพลงพิณนั้นออกมา และบังเอิญเหลือเกินที่วันนี้เฉียนเจียงอี้ก็มาพลิกดูตู้ตำราเพลงพิณของนางด้วยเช่นกัน
จวีมู่เอ๋อร์กังวลอยู่ในใจ หลังจากที่นางตาบอด ความขี้ระแวงสงสัยของนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น