ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด
บทที่สิบสอง
หลงเอ้อร์ไม่รู้ถึงความคิดในใจของจวีมู่เอ๋อร์ ด้านหนึ่งเขาทำงานวุ่น แต่อีกด้านก็ตั้งตารอวันแต่งงานที่จะมาถึง
ก่อนพิธีแต่งงาน ยังมีอีกหลายอย่างต้องจัดเตรียม ไหนจะของขวัญพิธีการ ไหนจะเกี้ยวเจ้าสาว ชุดมงคล ไหนจะอาหารงานฉลอง ยังมีการตกแต่งบ้านเรือน และค่าใช้จ่ายอีกสารพัด
เพียงแค่เตรียมของขวัญพิธีการและชุดมงคลก็เขียนร่างไว้สามหน้ากระดาษแล้ว รวมกับเรื่องจิปาถะอื่นๆ ที่ต้องเตรียมสำหรับพิธีแต่งงานทั้งหมดก็สามารถเขียนออกมาได้เต็มสมุดหนึ่งเล่ม
หลงเอ้อร์คิดไว้แล้วว่าพิธีแต่งงานต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ ของทุกอย่างต้องใช้สิ่งที่ดีที่สุด ส่วนรายชื่อแขกเหรื่อก็ร่างเอาไว้เต็มสิบหน้ากระดาษ ความคิดเช่นนี้ไม่เพียงทำให้แม่นมอวี๋วุ่นวายอย่างหนักเท่านั้น แต่คนทั้งคฤหาสน์สกุลหลงต่างพากันวุ่นวายจนแทบอยากให้มีมืองอกออกมาเพิ่มอีกคู่หนึ่ง
เหตุใดต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่เล่า คำตอบคือแม้หลงเอ้อร์กำลังจะแต่งงาน เขาก็ยังไม่ลืมที่จะหาเงิน
เชิญแขกเหรื่อมาได้มากเท่าใด ของขวัญและซองอวยพรที่ได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น งานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่เพียงใด ปริมาณของขวัญและซองอวยพรที่แขกนำมามอบให้ก็ต้องเหมาะสมตามไปด้วย เมื่อคำนวณดูแล้ว หลงเอ้อร์ก็เห็นว่าการจัดการเช่นนี้มีแต่ได้ไม่มีเสีย
สิ่งเหล่านี้เขาคำนวณไว้ตั้งแต่แรก ทั้งเงินตอบแทนของแม่สื่อ ค่าใช้จ่ายจิปาถะต่างๆ ในงานแต่งงาน เขาล้วนต้องเอาคืนมาทั้งหมด เช่นนั้นเขาจึงจะรู้สึกสบายใจ
ในระหว่างที่หลงเอ้อร์กำลังวุ่นวายกับการคำนวณเรื่องเงิน จวีมู่เอ๋อร์ก็กำลังคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับความลับของนาง
วันหนึ่ง จวีมู่เอ๋อร์ใช้ข้ออ้างว่าจะไปซื้อของแล้วเข้าเมืองไป นางเดินผ่านหน้าประตูหอซีชุนอย่างช้าๆ สามรอบแล้วจึงไปซื้อของ หลังจากนั้นจึงไปนั่งที่ร้านเต้าหู้ตรงปากทางไปหอซีชุนแล้วสั่งเต้าฮวยเค็มหนึ่งชาม ขณะที่นางกำลังนั่งกินอยู่ที่มุมหนึ่งภายในร้าน หญิงสาวผู้หนึ่งก็นั่งลงข้างกายนาง กระซิบเรียกเสียงเบา “แม่นางมู่เอ๋อร์”
“แม่นางเยวี่ยเหยา”
หลินเยวี่ยเหยามองไปซ้ายขวา เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีผู้คน คนที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่ได้สังเกตพวกนาง จึงเอ่ยถามเสียงเบา “แม่นางมาหาข้ามีข่าวอะไรแล้วหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินนางถามเช่นนี้ก็รู้ว่าตอนนี้สามารถพูดคุยได้ ดังนั้นจึงหยิบตำราเพลงพิณสองเล่มออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ “ยังไม่มีข่าวอะไร เพียงแต่อยากรบกวนแม่นางเยวี่ยเหยาช่วยเก็บตำราเพลงพิณสองเล่มนี้เอาไว้ให้ที”
หลินเยวี่ยเหยารับไป “ในนี้มีอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่จดอะไรบางอย่างเอาไว้ วันข้างหน้าอาจใช้ได้ แต่ที่บ้านข้ามีคนไปมาบ่อยครั้ง ข้าตาไม่ดี ไม่รู้ว่าจะถูกใครพลิกอ่านหรือไม่ ดังนั้นจึงขอฝากไว้ที่แม่นางคงจะปลอดภัยกว่า”
“เรื่องเกี่ยวกับท่านซือป๋ออินกับอีไป๋มี…” หลินเยวี่ยเหยายังพูดไม่จบ เถ้าแก่ร้านเต้าหู้ก็ยกเต้าฮวยเค็มอีกถ้วยมาให้ ดังนั้นนางจึงรีบปิดปาก
จวีมู่เอ๋อร์กินเต้าฮวยเค็มจนหมดด้วยสีหน้าปกติ เอ่ยกับหลินเยวี่ยเหยาว่า “แม่นางมีใจอยากฝึกพิณนับเป็นเรื่องที่ดี ในตำราเล่มนี้ไม่มีวิธีลัดอะไรทั้งสิ้น เพียงต้องฝึกฝนให้มากเข้าไว้ ข้าต้องไปแล้ว หากแม่นางฝึกเล่นพิณแล้วมีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้”
เถ้าแก่ร้านเต้าหู้ที่อยู่ด้านข้างรีบพูดขึ้นว่า “แม่นางเดินระวังด้วย”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไป หลินเยวี่ยเหยากินเต้าฮวยเค็มโดยไม่ได้พูดอะไร นางหยิบตำราเพลงพิณทั้งสองเล่มเก็บเข้าอกเสื้อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จวีมู่เอ๋อร์มีเรื่องในใจ นางจึงเดินช้าๆ พลางคิดใคร่ครวญ แต่กลับพบติงเหยียนซานเข้าโดยบังเอิญ
ติงเหยียนซานเห็นจวีมู่เอ๋อร์ก็เกิดโทสะขึ้นมาทันที หญิงตาบอดผู้นี้ทำให้ท่านหลงเอ้อร์หลงใหล แย่งตัวสามีที่นางหมายตาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้พี่สาวของนางไม่อาจสู้หน้าพี่เขย และเป็นต้นเหตุให้พี่สาวของนางต้องแอบไปร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น พี่สาวของนางยังถูกพ่อว่ากล่าวสั่งสอนอย่างแรงอีกด้วย
ความแค้นเคืองเหล่านี้ ติงเหยียนซานล้วนหมายไว้บนหัวของจวีมู่เอ๋อร์
ดังนั้นเมื่อนางได้พบหน้าจวีมู่เอ๋อร์จึงเหมือนกับได้เจอศัตรูคู่อาฆาต รู้สึกมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างรุนแรง ด้วยนิสัยของติงเหยียนซานแล้ว นางต้องไม่ยอมปล่อยให้จวีมู่เอ๋อร์อยู่อย่างเป็นสุขแน่นอน นางเดินเข้าไปตบหน้าจวีมู่เอ๋อร์อย่างแรง แย่งไม้เท้าจากมือจวีมู่เอ๋อร์แล้วโยนทิ้งออกไปไกล จากนั้นติงเหยียนซานก็ชี้หน้าจวีมู่เอ๋อร์ เอ่ยปากด่านางว่าเป็นนางจิ้งจอก บอกว่าการที่จวีมู่เอ๋อร์อยากแต่งเข้าสกุลหลงเป็นเรื่องเพ้อฝัน ให้คอยดูต่อไป พอด่าจบติงเหยียนซานก็เดินอาดๆ จากไปอย่างรวดเร็ว
จวีมู่เอ๋อร์ที่ล้มลงบนพื้น พอลุกขึ้นมาก็หลงทิศ ส่วนไม้เท้านางก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใดเสียแล้ว ถูกคนด่าต่อหน้าธารกำนัล ดูทุลักทุเลยิ่งนัก สุดท้ายคนข้างทางเห็นนางตาบอด เลยมีน้ำใจเก็บไม้เท้ามาคืน แล้วชี้บอกทางให้นาง นางจึงสามารถกลับบ้านได้
ในคืนวันนั้น พอเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของหลงเอ้อร์ เขาก็โกรธจนควันแทบจะออกมาจากทั้งเจ็ดทวาร
เขาคิดถึงจวีมู่เอ๋อร์จนปวดใจ ดังนั้นจึงไม่สนว่าตอนนี้จะเป็นเวลาค่ำมืดซึ่งไม่เหมาะไม่ควร แอบขี่ม้าไปที่ป่าด้านหลังของร้านเหล้าสกุลจวีตามลำพัง กระโดดข้ามกำแพงเรือนด้านหลังเข้าไปข้างใน แล้วมุ่งตรงไปที่ห้องนอนของจวีมู่เอ๋อร์
จวีมู่เอ๋อร์นอนหลับไม่สนิท สะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น ระหว่างงัวเงียก็รู้สึกว่ามีคนมาอยู่ข้างเตียง นางตกใจจนรีบลืมตาขึ้น ยังไม่ทันได้ตะโกนร้อง มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นมาปิดปากนางไว้ “ข้าเอง” จวีมู่เอ๋อร์ค่อยสงบลง หลงเอ้อร์พูดอีกครั้ง “ข้าเอง วันนี้ได้ยินว่าเจ้าถูกคนรังแกที่ถนน ข้าจึงมาดูเจ้า”
“ท่านหลงเอ้อร์”
“ถูกต้อง”
จวีมู่เอ๋อร์ดีดตัวโผเข้ามากอดอย่างแรง หลงเอ้อร์ตกใจรีบรับตัวนางเอาไว้ หากเขาช้าเพียงก้าวเดียวนางคงจะตกเตียงไปแล้ว
การที่จวีมู่เอ๋อร์กอดเขาไว้แน่นทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกสงสารเหลือเกิน “หญิงบ้านั่นทำให้เจ้าตกใจใช่หรือไม่”
จวีมู่เอ๋อร์ไม่ตอบ หลงเอ้อร์จึงอบรมนาง “เหตุใดจึงแอบออกไปโดยไม่พาองครักษ์ไปด้วย แล้วทำไมถูกคนรังแกจึงไม่มาหาข้า…นี่เจ้ายังนอนหลับได้อีกหรือ!”
ตัวเขาเองนอนไม่หลับจนต้องมาดูนาง แต่ปรากฏว่านางกลับหลับสนิทเหมือนลูกหมู หลงเอ้อร์มีคำพูดเต็มท้องที่เตรียมไว้อบรมนาง แต่ยังพูดไม่ทันจบ จวีมู่เอ๋อร์ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ฟ้าสว่างแล้วหรือ” เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าเพิ่งนอนได้ไม่นาน
คำพูดของหลงเอ้อร์ถูกกลืนกลับลงท้องไป
ดียิ่งนัก พวกเขาสองคน คนหนึ่งพูดตะวันออก แต่อีกคนพูดตะวันตกอีกแล้ว
“ฟ้ายังไม่สว่าง” คำตอบนี้เขากัดฟันพูดออกมา
“อ้อ” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างใจลอย เอาหัวซบลงที่อ้อมอกของหลงเอ้อร์ เมื่อครู่นางฝันร้าย ตอนนี้ได้เขามาอยู่ข้างกายนางเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน นางรู้สึกผ่อนคลายและเริ่มง่วงอีกครั้ง
หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว สงสัยมากว่าหญิงโง่ผู้นี้ได้สติหรือยัง
“ข้าเป็นใคร”
“ท่านหลงเอ้อร์” นางงัวเงียตอบ
“ใช่หรือ” เขาจงใจพูดกวน
พอคำพูดนี้เข้าไปในสมองของจวีมู่เอ๋อร์ที่ช้าไปครึ่งจังหวะ นางก็ดีดตัวนั่งตรง ตกใจจนได้สติกลับมาครึ่งหนึ่ง “ไม่ใช่ท่านหลงเอ้อร์หรือ”
“ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร” หลงเอ้อร์โกรธจนมันเขี้ยว หญิงสาวผู้นี้ตอนตื่นสามารถทำให้เขาโกรธได้เช่นไร ตอนงัวเงียก็ยังคงสามารถทำให้เขาโกรธได้เช่นนั้น
จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา เรียกสติกลับมาได้กว่าครึ่ง “ฟ้ายังไม่สว่างเหตุใดท่านจึงเข้ามาในห้องของข้า”
หลงเอ้อร์ปั้นหน้านิ่งไม่พูดจา ใจคิดว่าหากนางกล้าบ่นว่าไม่เหมาะไม่ควร เขาก็จะโกรธให้นางดู
แต่จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้พูดคำเหล่านั้นออกมา สิ่งที่นางพูดคือ “หนาวจัง ท่านหลงเอ้อร์ ข้าห่มผ้าคุยกับท่านได้หรือไม่”
หลงเอ้อร์ใจอ่อนลงมาทันใด “เจ้ารีบนอนลง”
จวีมู่เอ๋อร์รีบนอนลงอย่างเชื่อฟัง ดึงผ้าห่มมาห่มตัวไว้อย่างแน่นหนา
“ห้ามหลับตา” หลงเอ้อร์นั่งพิงหัวเตียง อาศัยแสงจันทร์มองพินิจนางอย่างละเอียด จากนั้นก็หยิกแก้มนางเบาๆ แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ถูกตบหรือ”
“อืม”
“ถูกตบด้านไหน”
“ก็ด้านที่ท่านหยิกอยู่ตอนนี้แหละ”
หลงเอ้อร์นิ่งไป ก่อนจะดึงมือกลับมา ผ่านไปสักครู่ก็ยื่นมือไปลูบหน้านางแล้วพูดว่า “ข้าจะเอาคืนให้เจ้าเอง”
“อืม” จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ สิ่งที่ทำให้นางกลัวคือเรื่องอื่น
“ไม่ถามหรือว่าจะเอาคืนอย่างไร”
“เอาคืนอย่างไร” นางถามอย่างให้ความร่วมมือ แต่แท้จริงแล้วนางง่วงนอนมาก
“ข้าจะไปพูดเปรยให้พ่อนางฟัง เดี๋ยวพ่อนางก็สั่งสอนนางเอง” เรื่องการชิงวางของหมั้นในครั้งนั้น เขาได้ยินสายสืบมารายงานว่าติงเหยียนเซียงถูกเสนาบดีติงสั่งให้คุกเข่าและโดนตบไปสองฉาด
“อืม” จวีมู่เอ๋อร์ไร้ความรู้สึกเป็นเจ้าทุกข์ การที่นางเฉื่อยชาทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกหมดสนุก เขาเขย่าหัวนาง “ห้ามนอน รีบพูดคำที่ทำให้ข้าเบิกบานใจออกมา”
ดึกดื่นค่อนคืน เขาตั้งใจมาฟังนางพูดให้เขาเบิกบานใจหรือ “เหตุใดท่านหลงเอ้อร์จึงไม่มีความสุข”
“สองวันก่อนข้าได้รับข่าวว่ากิจการเมืองเม่าผิงกับเมืองเช่อเฉิงถูกร้านอื่นแย่งไป มิน่าเล่าปีนี้เถ้าแก่หลายคนจึงไม่ได้มา”
จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือออกมาจากผ้าห่ม คลำหามือใหญ่ของเขาแล้วเอามากุมไว้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ไม่นานท่านก็สามารถหาเงินกลับมาได้เอง”
“หึ” หลงเอ้อร์บีบมือเล็กของนาง เขาคือท่านหลงเอ้อร์เชียวนะ ย่อมต้องหาเงินคืนมาได้อย่างแน่นอน แต่เงินเหล่านั้นไม่ใช่เงินที่หาได้จากทางนี้ มันไม่เหมือนกัน
“ท่านหลงเอ้อร์ก็ส่งเทียบเชิญมงคลไปให้คนเหล่านั้น พวกเขาที่เพิ่งจะชิงกิจการของท่านไป ในใจย่อมมีความหวั่นเกรงอยู่ การแต่งงานของท่านเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่ส่งของขวัญมาคงไม่ได้ หากจะส่งของขวัญแต่ไม่ส่งของดีมาก็ไม่ได้อีก”
หลงเอ้อร์นิ่งงันไป ในที่สุดก็หัวเราะออกมา หญิงเจ้าเล่ห์ผู้นี้ช่างเข้าใจเขาจริง เมื่อวานเขาส่งเทียบมงคลไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ทำให้พวกชอบ ‘หักหลัง’ เหล่านั้นคายประโยชน์อะไรออกมาบ้าง เขาจะสบายใจได้อย่างไร
“ท่านหัวเราะแล้ว เช่นนั้นหมายความว่าเบิกบานใจแล้วใช่หรือไม่”
หลงเอ้อร์ยกยิ้มที่มุมปาก “ยังไม่”
จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว สีหน้าเป็นทุกข์ “เช่นนั้นทำอย่างไรดีเล่า ข้าว่าท่านหลงเอ้อร์รีบกลับไปนอนดีกว่า นอนหลับแล้วก็จะได้เบิกบานใจ”
“เจ้าคิดว่าทุกคนเหมือนเจ้าหรือ” หลงเอ้อร์เห็นนางหลับตาลงจึงจิ้มหัวนางอย่างอดไม่ได้ “เอาแต่นอน ตอนกลางวันเจอเรื่องเช่นนั้นแล้วกลางคืนยังหลับลงอีก”
“ข้าก็นอนได้ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้ข้าหลับไม่สนิท แต่พอท่านอยู่ที่นี่แล้วข้าจึงรู้สึกสบายใจมาก ง่วงมากเลย ท่านหลงเอ้อร์”
“แต่ข้าไม่ง่วง” หลงเอ้อร์ยิ้มกว้าง อดหยิกแก้มนางไปทีหนึ่งไม่ได้ นางบอกว่าเพราะเขาอยู่ข้างกาย นางจึงสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ คำพูดนี้เป็นการบอกรักเขาสินะ “หญิงโง่ ข้าใจดีอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตรงนี้ เจ้าก็นอนหลับให้สบายเถอะ”
จวีมู่เอ๋อร์ถูกหยิกจนต้องหดคอ ซุกหัวเข้าไปในผ้าห่มครึ่งหัว จากนั้นจึงเอ่ยรับว่า “ได้” แล้วก็หลับไปจริงๆ
หลงเอ้อร์โน้มตัวลงมองนางที่หลับตาพริ้ม ขนตายาวเหมือนพัดเล็กๆ แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าเล็กอีกครึ่งซีกที่โผล่ออกมาจากผ้าห่ม เขายื่นมือไปสอดเก็บมุมผ้าห่มให้ นางเอียงหัวเข้าหาฝ่ามือของเขาเหมือนจะอ้อน
หลงเอ้อร์รู้สึกพึงพอใจมาก เขาคิดว่าจวีมู่เอ๋อร์ต้องมีใจให้เขาอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางคงไม่มาขอเขาแต่งงานหรอก นางเป็นคนฉลาดและมีความหยิ่งทะนงอยู่บ้าง ด้วยนิสัยของนาง การที่มาทำท่าทางเหมือนนกน้อยขอพึ่งพิงเขาเช่นนี้ รวมทั้งไม่ได้ขัดขืนสัมผัสและการกระทำใกล้ชิดบางอย่างของเขา ดังนั้นย่อมสรุปได้ว่านางจะต้องมีใจต่อเขาแน่นอน
หลงเอ้อร์อารมณ์ดีขึ้นมาก เขาถอดรองเท้าออก ขยับเข้าไปนั่งบนเตียงเต็มตัว แนบติดข้างหมอนของนาง เขาปัดขนตา แตะริมฝีปาก แล้วบีบแก้มนางเล่นเบาๆ น่าสนุกจริงๆ แม้คนที่ถูกรบกวนจะไม่สนใจเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกเบื่อเลย จากนั้นเขาก็คิดขึ้นได้ในทันใดว่าจะเพิ่มกฎสกุลอีกหนึ่งข้อ…’หากข้ายังไม่นอน มู่เอ๋อร์ก็ห้ามนอน’
หลงเอ้อร์นั่งไปนั่งมาก็รู้สึกง่วงเช่นกัน เขาอิงแอบข้างตัวจวีมู่เอ๋อร์แล้วหลับไป จากนั้นก็ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกหนาว เขาจึงพลิกผ้าห่มแทรกตัวเข้าอยู่ไปในผ้าห่มผืนเดียวกันกับจวีมู่เอ๋อร์
จวีมู่เอ๋อร์หลับสนิท แม้จะถูกเขารบกวนก็ยังไม่ตื่น กลิ้งตัวไปในอ้อมกอดของเขาทั้งๆ ที่หลับตา เอ่ยถามพึมพำว่า “ท่านหลงเอ้อร์หรือ”
หลงเอ้อร์สะลึมสะลือตอบกลับเพียง “อืม” เช่นกัน
จากนั้นคนทั้งสองก็หาท่าที่นอนกอดกันแล้วสบาย หลับต่อไปด้วยความสบายใจ
จวีมู่เอ๋อร์ที่กำลังหลับสบาย กลับถูกคนแตะตัวปลุกให้ตื่น
“มู่เอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว” เป็นเสียงของหลงเอ้อร์ เขาเรียกนางสี่ห้าครั้ง นางจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับ
จวีมู่เอ๋อร์งัวเงียลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ฟ้าสว่างแล้วหรือ”
“สว่างแล้ว”
“จริงหรือ”
หลงเอ้อร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จริงสิ”
“สว่างนานเท่าใดแล้ว”
“ไม่รู้” ตอนที่เขาลืมตาขึ้นแล้วพบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของตน และเห็นว่านอกหน้าต่างมีแสงสว่างที่บ่งบอกว่าคงจะเช้าแล้ว เขาก็รู้สึกตกใจ คิดได้ว่าวันนี้ยังมีงานอีกมากมายที่ต้องสะสาง แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเป็นเวลาใดแล้ว ในคฤหาสน์ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาไปที่ใด จะวุ่นวายกันหรือไม่
พอเขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็รีบลุกขึ้นทันที เมื่อลุกขึ้นจึงเห็นว่าเมื่อคืนตัวเองไม่ได้ถอดเสื้อผ้านอน ดังนั้นตอนนี้เสื้อผ้าจึงยับย่นเหมือนเอาผักแห้งมาพันไว้เต็มตัว เมื่อลูบไปที่ผม จากการนอนมาทั้งคืนผมย่อมต้องยุ่งเหยิงเป็นธรรมดา
หากเขาออกไปทั้งสภาพเช่นนี้ เมื่อผ่านถนนในเมืองเพื่อกลับไปยังคฤหาสน์ คงได้อับอายขายหน้ามากเป็นแน่ หลงเอ้อร์จึงรีบแต่งกาย แต่พอหมุนตัวไปมากลับหากระจกไม่เจอ เมื่อลองคิดดูก็พบว่ามู่เอ๋อร์ของเขามองไม่เห็น ดังนั้นในห้องของนางตั้งกระจกเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์
เขาหันหน้าไปมองหญิงสาวที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพน่าอึดอัดใจเช่นนี้ นางกำลังกอดผ้าห่มนอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อเขาลำบากย่อมไม่อาจทนเห็นนางมีความสุขได้ ดังนั้นจึงเข้าไปแตะตัวปลุกนาง
จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ได้สติเต็มที่ กอดผ้าห่มท่าทางเหม่อลอยเอ่ยถามอีกว่า “เหตุใดท่านหลงเอ้อร์จึงมาแต่เช้าเช่นนี้”
“ข้าไม่ได้มา แต่ข้าไม่ได้กลับไป”
“อ๋อ ดึกเพียงนี้แล้วเหตุใดท่านจึงยังไม่กลับอีก”
หลงเอ้อร์หยิกแก้มนาง “ตื่นหรือยัง”
“เจ็บ…” จวีมู่เอ๋อร์ย่นหน้าเหมือนซาลาเปา ตอนนี้นางตื่นแล้ว
“หวีของเจ้าล่ะ”
จวีมู่เอ๋อร์ชี้ไปที่ตู้เล็กๆ “อยู่ในลิ้นชัก”
“ไม่มีกระจกใช่หรือไม่”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า
หลงเอ้อร์เดินไปเปิดลิ้นชักหาหวีมาหวีผมให้ตัวเอง หวีไปพลางก็หันหน้ากลับไปมองนาง เห็นจวีมู่เอ๋อร์ที่ใช้ผ้าห่มลายดอกเก่าๆ ห่อตัวเอาไว้กำลังอ้าปากหาว นางสยายผมตาปรือ ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย แต่ในสายตาเขากลับรู้สึกว่านางน่าหลงใหลอย่างมาก
หลงเอ้อร์ไม่มีกระจกส่องหน้า จำต้องใช้มือสัมผัสรวบผมให้เรียบร้อย จากนั้นก็เข้าไปดึงมือของจวีมู่เอ๋อร์ “อย่านั่งสัปหงกอีกเลย มาฝึกปรนนิบัติดูแลข้าตื่นนอนสักนิดเถอะ”
“อ๋อ ได้ๆ” จวีมู่เอ๋อร์นั่งตัวตรง “ต้องทำอะไรบ้าง”
หลงเอ้อร์นิ่งไป นางมองไม่เห็น จะปรนนิบัติเขาได้อย่างไร หวีผมให้ก็ไม่ได้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็ไม่ได้ จะให้นางยกน้ำล้างหน้ามาให้คงยิ่งเป็นไปไม่ได้ และการที่เขาบุกเข้าห้องหญิงสาวยามวิกาล จะให้เดินอาดๆ ออกไปอย่างเปิดเผยก็ทำไม่ได้เสียด้วย เห็นทีวันนี้เขาต้องกลับคฤหาสน์ด้วยความทุลักทุเลแล้ว
หลงเอ้อร์ขบกราม พูดเสียงแข็ง “ข้าไปล่ะ” กล่าวจบก็เดินลงส้นเท้าไปทางประตูห้อง
จวีมู่เอ๋อร์ร้องเรียกเสียงดังขึ้นอย่างฉับพลัน “ไม่ได้!”
หลงเอ้อร์ชะงักฝีเท้า มุมปากยกยิ้มขึ้น “ทำไม ไม่อยากให้ข้าไปหรือ”
“ออกทางประตูไม่ได้ ตอนกลางวันในสวนหน้าเรือนพักมีคนเดินไปมา หากมีใครเห็นท่านหลงเอ้อร์เข้าคงไม่ดี” จวีมู่เอ๋อร์ชี้ไปทางหน้าต่างด้านหลัง “ท่านออกไปทางหน้าต่างเถอะ”
หลงเอ้อร์โกรธจนควันขึ้นหัว
“เจ้าจะให้ข้าปีนหน้าต่างหรือ” เขาไม่มีทางออกไปทางนั้นอย่างแน่นอน เขาจะรอดูให้แน่ใจก่อนว่าด้านนอกไม่มีคนแล้วค่อยเปิดประตูออกไป แม้ว่าคำพูดของนางจะมีเหตุผล แต่การบอกให้เขาปีนหน้าต่างตรงๆ เช่นนี้ ยังคงทำให้เขาไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
“ไม่ต้องปีนก็ได้ ท่านต้องมีวิชาตัวเบาเป็นแน่ กระโดดออกไปดีกว่า”
“มีอะไรแตกต่างกัน?” หลงเอ้อร์ยังคงโกรธอยู่ หากรู้แต่แรกคงไม่มาหานางแล้วทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบากเช่นนี้
ในตอนนี้เองนอกประตูก็มีเสียงร้องเพลงเบาๆ ของผู้เฒ่าจวีดังลอดเข้ามา ผ่านไปสักครู่ก็ได้ยินเสียงเขายกของ จวีมู่เอ๋อร์ตื่นตัวขึ้นมาบ้าง ส่วนหลงเอ้อร์สองแขนกอดอก ตั้งใจพูดให้นางกังวล “ข้าจะไม่ออกทางหน้าต่าง”
“เช่นนั้นเมื่อคืนท่านเข้ามาอย่างไร” นางพูดเพียงประโยคเดียวก็อุดปากเขาไว้ได้
ก่อนนอนนางลงกลอนประตูแล้ว แต่แง้มหน้าต่างไว้เพื่อระบายลม เมื่อคืนท่านหลงเอ้อร์ไม่ได้เรียกให้นางเปิดประตู และด้วยนิสัยของเขาคงไม่ลอบถอดสลักกลอนประตูแน่นอน ดังนั้นคงจะกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง
แต่การกระโดดเข้ามาเองกับถูกคนบอกให้กระโดดออกไปเป็นคนละเรื่องกัน
หลงเอ้อร์จ้องหน้าจวีมู่เอ๋อร์ แต่นางมองไม่เห็นเขา ดังนั้นจึงแสดงสีหน้าใสซื่อใส่เขา หลงเอ้อร์ยิ่งจ้องยิ่งหมดอารมณ์สนุก มีคนจำนวนมากยอมจำนนต่อแววตาดุดันของเขา แต่วิธีการนี้ใช้ไม่ได้กับคนตาบอดเช่นนาง
ตอนนี้หญิงตาบอดผู้นี้ยังเอ่ยถามอีกว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านยังจ้องข้าอยู่อีกหรือ”
หลงเอ้อร์ไม่ได้ตอบ เพียงกระโดดออกทางหน้าต่างไปอย่างไร้เสียง
หลงเอ้อร์ไม่ได้ล้างหน้าไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังต้องแอบมาปลดทุกข์ในป่าอีกด้วย จากนั้นเขาจึงขี่ม้ากลับคฤหาสน์ไปด้วยสภาพเนื้อตัวไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก ตลอดทางยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ หากเขายังไปเยี่ยมนางอีก เขาก็ไม่ใช่หลงเอ้อร์แล้ว!
เหตุใดเขาจึงคิดว่าหญิงผู้นั้นมีใจต่อเขาได้ นางแค่อยากทำให้เขาโกรธจนตายต่างหาก หึ รอดูต่อไปแล้วกันว่าหากนางแต่งเข้าสกุลหลงแล้ว เขาจะให้นางได้เรียนรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าอำนาจของสามี
แต่ก่อนจะแสดงอำนาจของสามี ต้องเป็นสามีแล้วจึงจะทำได้ และการเป็นสามีต้องเข้าพิธีไหว้ฟ้าดินอย่างเป็นทางการก่อนจึงจะสมบูรณ์
ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงเก็บความคิดของตนเอาไว้ก่อน รอคอยวันแต่งงานที่จะมาถึงอย่างยากลำบาก
ตามประเพณีของแคว้นเซียว ก่อนแต่งงานชายหญิงสองสกุลต้องนำใบชื่อแซ่ดวงชะตาของทั้งสองฝ่ายไปขอพรจากพระโพธิสัตว์เพื่อขอให้คุ้มครองชีวิตหลังแต่งงานให้มีความสุขงดงาม มีลูกเต็มบ้าน อยู่กันจนแก่เฒ่า
ตามประเพณีแล้ว วันนี้เป็นวันที่จวีมู่เอ๋อร์ต้องไปจุดธูปขอพรที่วัดฝูหลิง และตามธรรมเนียมแล้ว ชายหญิงทั้งสองฝ่ายต้องแยกวันกันไป ดังนั้นวันนี้หลงเอ้อร์จึงไม่อาจไปด้วยได้ มีเพียงผู้เฒ่าจวีกับซูฉิงตามนางไป ส่วนองครักษ์สกุลหลงอีกสองคนนั้นคอยเฝ้าอยู่ห่างๆ
หลังจากจวีมู่เอ๋อร์ไหว้พระโพธิสัตว์เสร็จแล้ว ผู้เฒ่าจวีอยากจะซื้อธูปมาไหว้แม่ของจวีมู่เอ๋อร์บ้าง อยากบอกให้นางที่อยู่ในปรโลกสบายใจ เขาจึงบอกให้บุตรสาวอยู่รอด้านนอก
วัดฝูหลิงเป็นวัดใกล้เมืองหลวงที่มีคนมาจุดธูปไหว้พระมากที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาสิ้นปี ผู้คนจำนวนมากจึงพากันมาจุดธูปขอพร ในวัดมีผู้คนพลุกพล่าน ควันธูปลอยคลุ้ง ดังนั้นคนเดินสวนกันไปมาย่อมเกิดการชนขึ้นมาได้ จวีมู่เอ๋อร์ตาบอดเดินไม่สะดวก นางจึงบอกว่าจะกลับไปรอที่รถม้า ผู้เฒ่าจวีตอบตกลง ดังนั้นซูฉิงจึงประคองจวีมู่เอ๋อร์เดินช้าๆ ไปยังลานพักรถม้านอกวัด
เนื่องจากวันนี้มีคนมาจุดธูปไหว้พระเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องจอดรถม้าไว้ค่อนข้างไกล จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงสองคนเดินไปครู่ใหญ่ ซูฉิงก็วิ่งกระโดดไปมาแวะเข้าไปเด็ดผลไม้ป่าในป่าเล็กข้างทาง ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ยืนรออยู่ข้างทาง จู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์หลายคนโผล่มาจับตัวจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้
ชายคนที่เป็นหัวหน้าพูดเสียงดังว่า “รีบมาดูหญิงคนนี้สิ ข้าหมายตาเอาไว้แล้ว ปีใหม่เช่นนี้ควรหาเมียกลับบ้านไปอุ่นเตียงให้สักคน”
ชาวบ้านรอบข้างต่างตกใจจนรีบวิ่งหนี ผู้ที่มีสตรีหรือสาวใช้มาด้วยพากันวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ซูฉิงตะโกนเรียกเสียงดัง “พี่มู่เอ๋อร์” จากนั้นก็วิ่งทะยานไปหาจวีมู่เอ๋อร์ทันที นางวิ่งพลางร้องเรียก “พี่เฉินช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”
ในตอนนี้เองมีรถม้าคันหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่มาเพื่อรับชายฉกรรจ์เหล่านั้น
เหล่าชายฉกรรจ์ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ที่ต่อสู้ขัดขืนตะโกนขอความช่วยเหลือ จะฉุดกระชากนางขึ้นไปบนรถ จากนั้นองครักษ์เฉินที่เร่งรุดมาถึงก็กระโดดลอยตัว ชักกระบี่แทงไปยังหัวหน้าชายฉกรรจ์ที่จับตัวจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้
ชายฉกรรจ์เหล่านั้นรู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี สามคนในนั้นหมุนตัวกลับ ตวัดดาบไปทางองครักษ์เฉินที่ตามมา องครักษ์สกุลหลงอีกคนหนึ่งที่ตามมาถึงแล้วเช่นกันคิดจะตัดเชือกที่เชื่อมรถม้ากับตัวม้า แต่ถูกชายฉกรรจ์สองคนขวางเอาไว้
ซูฉิงหวีดร้องเสียงดังแต่ไม่ได้หยุดฝีเท้า จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงก็ตะโกนพูดลนลาน “ฉิงเอ๋อร์เจ้ารีบหนีไป อย่าเข้ามา หนีไป!”
นางพูดยังไม่ทันจบก็ถูกผู้เป็นหัวหน้าโยนขึ้นไปบนรถม้าเสียแล้ว จวีมู่เอ๋อร์หัวชนเข้ากับตัวรถ ปลายคางถูกไม้เท้ากระแทก นางมองไม่เห็นอีกทั้งยังได้ยินรอบข้างมีเสียงดังอึกทึกครึกโครมจึงไม่กล้าขัดขืน เพียงจับไม้เท้าเอาไว้แน่น นางได้ยินซูฉิงตะโกนว่า ‘ปล่อย’ ได้ยินเสียงหวีดร้องของนาง และเสียงคนต่อสู้กัน
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “สาวน้อยคนนี้ดูท่าจะชอบพวกเรานะ เอาตัวไปด้วยดีกว่า เพิ่มมาอีกคนก็ดี” จวีมู่เอ๋อร์ทั้งตกใจและหวาดกลัว กลัวว่าจะเป็นอย่างที่นางคิด ปรากฏว่ามีคนคนหนึ่งถูกโยนเข้ามาปะทะตัวนางอย่างแรง พิสูจน์ได้ว่าการคาดเดาของนางเป็นจริง
จวีมู่เอ๋อร์ร้องอย่างตกใจ “ฉิงเอ๋อร์?”
ซูฉิงกอดนางไว้แน่น “พี่มู่เอ๋อร์”
“ข้าบอกให้เจ้าหนีไป ให้เจ้าหนีไป ทำไมจึงไม่ทำ” จวีมู่เอ๋อร์ทั้งลนลาน ว้าวุ่น และร้อนใจ นางทำอะไรไม่ได้เลย ดวงตามืดบอดของนางคือภาระ
รถม้าเริ่มเคลื่อนที่ จากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงร้องขององครักษ์เฉิน ตามด้วยเสียงหัวเราะได้ใจของเหล่าชายฉกรรจ์ ซูฉิงน้ำเสียงสั่นเครือ “พี่เฉิน พี่เฉินล้มลงแล้ว”
ล้มลงแล้ว? เลือดในกายจวีมู่เอ๋อร์พลันแข็งตัวลงในทันใด
รถม้ายิ่งวิ่งยิ่งเร็ว หัวหน้าชายฉกรรจ์กระโดดขึ้นรถแล้วปิดประตู ส่วนคนอื่นๆ ต่างขึ้นขี่ม้า คุมขนาบข้างรถม้าจากมาพร้อมกัน ปากก็พร่ำพูดเสียงดังว่า “ปีใหม่ได้แต่งเมียแล้วโว้ย!”
ท่ามกลางสายตาชาวเมืองทั้งหลาย พวกเขาชิงตัวคนจากไปอย่างไม่หวาดเกรงผู้ใด