ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด – หน้า 13 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

บทที่สิบสาม

 

เกิดเรื่องกับหญิงตาบอดจวีมู่เอ๋อร์อีกแล้ว!

คู่หมั้นหมายของท่านหลงเอ้อร์ถูกลักพาตัวไปจากหน้าวัดฝูหลิง!

ในวันปีใหม่ โจรภูเขาออกมาลักพาตัวคนแล้ว!

ข่าวกระจายจากปากต่อปากลุกลามรวดเร็วดั่งไฟเข้าไปในเมือง

หลงเอ้อร์รีบกลับไปที่คฤหาสน์สกุลหลง องครักษ์ทั้งสองคนที่ส่งไปยังสกุลจวีมีเลือดท่วมตัว ท่านหมอกำลังช่วยชีวิตอยู่ ส่วนผู้เฒ่าจวีน้ำมูกน้ำตาไหลพราก มือเท้าสั่นเทา พูดอะไรไม่ออก

พอเขาเห็นหลงเอ้อร์กลับมาก็กระโจนเข้าไปหา กุมมือเอาไว้แน่น ริมฝีปากสั่นเทาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ระหว่างทางที่กลับมาหลงเอ้อร์ได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว ตอนนี้เขายังไม่มีใจไปปลอบใจผู้เฒ่าจวี จึงกดตัวผู้เฒ่าจวีให้นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดว่า “ท่านนั่งเฉยๆ ข้าจะจัดการเอง”

ผู้เฒ่าจวีน้ำตาอาบใบหน้า พยักหน้าไม่หยุด

ตอนที่องครักษ์ทั้งสองคนถูกส่งกลับมา พ่อบ้านเถี่ยก็รีบสอบถามเรื่องราวจากพวกเขาเอาไว้ ในตอนนี้นายท่านรองกลับมาแล้ว พ่อบ้านเถี่ยจึงรีบเข้าไปเล่ารายละเอียดให้ฟัง หลงเอ้อร์รับฟังด้วยสีหน้าเยือกเย็นราวน้ำแข็ง เขาเข้าไปดูอาการขององครักษ์ทั้งสองคนก่อน จากนั้นจึงหันหน้าไปถามหลี่เคอว่า “คนพร้อมแล้วหรือ”

“พร้อมแล้วขอรับ มีแปดคนออกไปสืบข่าวก่อนแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ต่างรอคำสั่งของนายท่านรองอยู่ขอรับ”

หลงเอ้อร์พยักหน้าแล้วหันไปทางพ่อบ้านเถี่ย “เจ้าไปแจ้งความที่จวนว่าการ นอกจากนี้ไปสอบถามดูว่าระยะนี้มีความเคลื่อนไหวใดเกี่ยวกับโจรภูเขาบ้างหรือไม่ แล้วนำข่าวทั้งหมดที่พวกเขาบันทึกเกี่ยวกับคดีกลับมารายงานข้า อีกอย่างหนึ่ง ให้จวนว่าการจัดกำลังคนไปตรวจค้นรอบเขตที่โจรภูเขาเคยลงมือเคลื่อนไหวด้วย”

พ่อบ้านเถี่ยรับคำ หลงเอ้อร์ถามอีกว่า “เจ้าสามกลับมาหรือยัง”

“กลับมาแล้ว” ผู้ที่ตอบคือเฟิ่งอู่ “ท่านพี่ได้ยินเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้กำลังออกไปพบสหายเพื่อสืบข่าว”

หลงเอ้อร์พยักหน้าอีกครั้ง เดินออกไปด้านนอกพลางสั่งการแก่หลี่เคอ “เหลือสองกลุ่มไว้รอคำสั่ง ที่เหลือกระจายออกไปให้หมด ส่งคนไปจับตาดูที่คฤหาสน์สกุลติงและสกุลอวิ๋นเอาไว้ด้วย วันนี้ต้องหาตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้เจอ”

หลี่เคอรับคำสั่ง คนในเรือนรีบกระจายตัวออกไปทำหน้าที่ของตน ส่วนหลงเอ้อร์เดินตรงออกไปขึ้นม้าแล้วขี่ไปทางวัดฝูหลิงทันที

ในตอนนี้นอกวัดฝูหลิงเงียบสงบมาก ทุกคนกลัวว่าหากอยู่นานจะถูกโจรปล้นจึงพากันรีบกลับบ้านไป เมื่อหลงเอ้อร์ไปถึงที่นั่น รอยเลือดบนพื้นทำให้เขารู้ว่ามาถึงสถานที่ที่พวกองครักษ์เฉินต่อสู้กับคนร้ายแล้ว ซึ่งก็คือสถานที่ที่จวีมู่เอ๋อร์ถูกลักพาตัวไปเช่นกัน

หลงเอ้อร์ลงจากหลังม้า เดินวนดูรอบๆ สถานที่แห่งนั้นหนึ่งรอบ เมื่อสายสืบของคฤหาสน์สกุลหลงสองคนที่ล่วงหน้ามาก่อนเห็นผู้เป็นนายก็รีบเข้ามาทำความเคารพ แล้วแจ้งข่าวที่สืบความมาได้ทั้งหมดแก่หลงเอ้อร์

ตามที่ผู้เห็นเหตุการณ์เล่า โจรเหล่านั้นเดินทะลุออกมาจากป่าอีกฝั่งหนึ่ง พวกเขาพูดเพียงว่าจะมาหาเมีย ไม่ได้เรียกชื่อกันและกัน และไม่ได้พูดถึงสถานที่ใดๆ ฟังดูเหมือนไม่มีเป้าหมายเจาะจง หลังจากจับตัวคนได้แล้วก็มีรถม้ากับม้าวิ่งเข้ามารับตัวพวกเขา จากนั้นจึงรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว สายสืบทั้งสองคนเดินสำรวจตามเส้นทางที่ผู้เห็นเหตุการณ์บอกเอาไว้แล้ว แต่ไม่พบเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์

หลงเอ้อร์ฟังแล้วก็มีสีหน้าเคร่งเครียด นิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่นาน

เป็นโจรประเภทใดกัน พวกมันถูกลาเตะหัวมาหรือจึงกล้ามาลักพาตัวคนจากหน้าวัดที่มีคนมารวมตัวกันราวกับมดแมลงเช่นนี้ กลัวจะไม่มีใครรู้หรืออย่างไร

แม้มู่เอ๋อร์จะเป็นคนที่เขาชอบ แต่หากวิเคราะห์ตามความจริงแล้ว นางเป็นเพียงหญิงที่มีรูปลักษณ์ปานกลาง มีดีที่ความสุภาพเรียบร้อย และฉลาดหลักแหลมเท่านั้น หญิงสาวที่มาขอพรในวัดฝูหลิงมีมากมายขนาดนั้น เขาไม่เชื่อว่าโจรเหล่านั้นเพียงแค่มองก็จะหมายตามู่เอ๋อร์ของเขาเอาไว้ดังที่พูดออกมา

รวมทั้งในมือมู่เอ๋อร์ยังถือไม้เท้าของคนตาบอดเอาไว้ ยิ่งเป็นที่สะดุดตา เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพวกโจรจะเลือกลงมือกับคนตาบอด หากเป็นโจรธรรมดาจริงจะทำเรื่องยุ่งยากเช่นนั้นไปทำไม

อีกอย่างหนึ่ง แม้องครักษ์ทั้งสองคนที่เขาส่งไปจะไม่มีวรยุทธ์เหนือคนเหมือนหลี่เคอ แต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มีฝีมือไม่เลวนัก การที่โจรเหล่านั้นสามารถทำร้ายองครักษ์ทั้งสองคนให้บาดเจ็บเช่นนี้ได้ ดูแล้วคงไม่ใช่ระดับธรรมดาสามัญ และหากพวกเขามีฝีมือถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงไม่ปล้นทรัพย์จับหญิงสาวไปให้มากหน่อย ทำไมจึงจับเพียงมู่เอ๋อร์ของเขาไป เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร

หลงเอ้อร์ยิ่งคิดสีหน้ายิ่งไม่น่าดู เขาสั่งการให้เหล่าสายสืบไปสืบต่อ บอกพวกเขาว่าได้ส่งคนออกมาเพิ่มแล้ว ดังนั้นให้พวกเขาตามดูไปตลอดทางสายนี้ หากมีข่าวอะไรก็ให้กลับไปรายงานที่คฤหาสน์สกุลหลง

สายสืบรับคำ หลงเอ้อร์จึงขึ้นม้าและควบไปทางจวนที่พักของติงเซิ่งเสนาบดีกรมอาญา

วันนี้อากาศหนาวเป็นพิเศษ ลมที่พัดมาตลอดทางจึงเย็นเฉียบ หลงเอ้อร์ลงแส้อย่างหนักเพื่อให้ม้าวิ่งเร็วดังใจหวัง แต่กลับรู้สึกว่าได้ลงแส้ไปที่ใจของตัวเอง เจ็บจนเขาหายใจแทบไม่ออก

ท่าทางของจวีมู่เอ๋อร์ที่ขมวดคิ้วเม้มปากตอนที่ไม่พอใจเขา สีหน้าตอนที่นางแกล้งเขาแล้วแอบหัวเราะ รวมถึงการแกล้งทำโอนอ่อนผ่อนตามทั้งๆ ที่ไม่ยินดี…ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นในสมองของหลงเอ้อร์เป็นฉากๆ

หลงเอ้อร์มีสีหน้าเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง แต่ในใจลุกโชนด้วยไฟแค้น เขาสาบานว่าจะจับตัวคนที่รังแกและลักพาตัวนางให้ได้ จากนั้นก็จะเฉือนร่างมันออกเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น สับให้ละเอียดแล้วเอาไปเลี้ยงสุนัข

ติงเซิ่งรู้สึกประหลาดใจกับการมาของหลงเอ้อร์ แต่ครั้งนี้หลงเอ้อร์ไม่มีอารมณ์มาพูดจามีมารยาทกับเขา จึงพูดตามตรง “วันนี้คู่หมั้นของข้าถูกลักพาตัวที่หน้าวัดฝูหลิง ข้ามาพบแม่นางติงเพื่อถามอะไรบางอย่าง”

ติงเซิ่งรีบสั่งให้คนไปที่เรือนพักด้านหลัง ตามติงเหยียนซานออกมา จากนั้นจึงเตรียมน้ำชา เชิญให้ท่านหลงเอ้อร์นั่งรออย่างมีมารยาทก่อนจะสอบถามเรื่องราวอย่างละเอียด ติงเซิ่งสัญญาว่าเขาจะส่งคนไปช่วยตามหาอีกแรง

ในตอนนี้เองติงเหยียนซานก็ออกมาพอดี นางที่ได้พบหน้าหลงเอ้อร์เหมือนไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ผ่านมา แต่กลับกระวนกระวายอยู่บ้าง นางมองหน้าติงเซิ่งแล้วสลับไปมองหน้าหลงเอ้อร์ จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ท่านหลงเอ้อร์มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ”

หลงเอ้อร์ถามอย่างตรงไปตรงมา “มู่เอ๋อร์ถูกคนลักพาตัวไป เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่”

ติงเหยียนซานตะลึงไป แต่ต่อมาก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เอ่ยปากพูดอย่างตกใจ “ข้าจะทำได้อย่างไร ข้าไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำไป”

ติงเซิ่งที่อยู่ด้านข้างเล่าเรื่องราวอย่างคร่าวๆ จากนั้นจึงพูดกับบุตรสาวว่า “ซานเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็พูดให้ชัดแจ้งเลยดีกว่า”

ติงเหยียนซานจึงพูดเสียงดัง “ไม่เกี่ยวข้องกับข้าอยู่แล้ว ข้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับโจรเหล่านั้นได้อย่างไร ข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่”

หลงเอ้อร์ยิ้มเย็นชา “แม่นางติงถ่อมตัวเกินไปแล้ว หลายวันก่อนเจ้าหาอันธพาลสองคนมาลงไม้ลงมือกับมู่เอ๋อร์บนถนน แล้วให้คนสาดน้ำสกปรกใส่นาง วันก่อนยังลงมือเองอย่างอาจหาญโดยไม่กลัวเกรง วันนั้นเจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าให้นางรอดูต่อไป เหตุใดวันนี้จึงพูดว่าตัวเองไร้ความสามารถเช่นนี้กันล่ะ”

ติงเหยียนซานถูกคำเหน็บแนมของเขาทำร้ายจิตใจ ใบหน้าแดงก่ำ “นั่นเป็นเพียงการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่เรื่องลักพาตัวฆ่าคนข้าไม่ทำเด็ดขาด ข้าไม่รู้จักโจรภูเขาพวกนั้นด้วย อันธพาลในวันนั้นข้าก็ให้คนในจวนปลอมตัวไป ข้าไม่ได้เป็นคนทำเรื่องลักพาตัวหญิงแพศยาคนนั้น หากข้าใจร้ายถึงเพียงนั้น จะลักพาตัวนางให้ยุ่งยากไปทำไม ฆ่านางให้จบเรื่องไปเลยดีกว่า”

“ซานเอ๋อร์!” ติงเซิ่งตะคอก หยุดยั้งติงเหยียนซานที่พูดโดยไม่คิด

ติงเหยียนซานปิดปากทันที นางกัดริมฝีปากแน่น สุดท้ายจึงพูดว่า “สรุปคือข้ากล้าสาบาน จะให้สาบานอะไรก็ได้ เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น”

หลงเอ้อร์จ้องนางด้วยสายตาเย็นชาอยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าใกล้นางสองก้าว พูดลอดไรฟันว่า “เจ้านั่นแหละหญิงแพศยา!”

ติงเหยียนซานตัวสั่นระริก หันหน้าไปมองหลงเอ้อร์ ขอบตาแดงเรื่อทันที จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา ติงเซิ่งได้ยินคำพูดของหลงเอ้อร์ก็ไม่พอใจมาก กำลังจะตะคอกตำหนิเขา แต่หลงเอ้อร์กลับชิงพูดขึ้นก่อนว่า “อย่าให้ข้าสืบรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนใดคนหนึ่งในสกุลติงนะ”

ความรังเกียจที่ฉายชัดในดวงตาของเขาทำให้ติงเหยียนซานทนไม่ไหว นางตะโกนเสียงดัง “ท่านรังแกกันเกินไปแล้ว” นางหยิบถ้วยชาบนโต๊ะสาดไปที่หลงเอ้อร์

น้ำชาสาดรดแผ่นอกของหลงเอ้อร์ แต่เขาไม่ได้ขยับ เพียงแค่จ้องนางด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นก็ก้มหน้าลง ใช้มือปัดเศษใบชาบนเสื้อ ก่อนหมุนตัวเดินจากไปเขาได้ทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยค

“ไม่ใช่หญิงทุกคนที่สาดน้ำชาใส่ข้าแล้วข้าจะชอบ”

 

รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตัวรถโคลงเคลงอย่างแรง

จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงกอดกันแน่น ซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของรถ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเพราะบนรถยังมีชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย

หัวหน้าโจรคนนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามกับพวกนาง เขามีหนวดเฟิ้มทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ในมือถือมีดสั้นไว้ใช้ขู่หญิงสาวทั้งสองไม่ให้ส่งเสียง ดวงตาที่ฉายแววร้ายกาจกับท่าทางกรุ้มกริ่มรวมทั้งกล่าววาจาน่ารังเกียจบ่อยครั้งทำให้หญิงสาวทั้งสองกลัวจนตัวสั่น

จวีมู่เอ๋อร์พยายามสงบจิตใจ นางแอบเขียนอักษรลงบนฝ่ามือของซูฉิงว่า ’จำทาง’ ซูฉิงบีบมือของจวีมู่เอ๋อร์ บอกเป็นนัยว่าตนเข้าใจแล้ว

รถม้าคันนี้ตกแต่งเรียบง่าย ระหว่างแผ่นไม้ของตัวรถมีร่องไม้ ซูฉิงจึงทำทีกอดจวีมู่เอ๋อร์ไว้ แอบมองลอดระหว่างช่องว่างออกไปดูนอกรถ

ซูฉิงมองอย่างตั้งใจ นางต้องรู้ว่าพวกนางถูกพาตัวไปที่ใด หากโชคดี บางทีอาจมีโอกาสหนีได้

รถเคลื่อนที่อยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม เลี้ยวไปมาหลายโค้ง จากนั้นจึงเข้าสู่ทางขึ้นภูเขา

ทางขึ้นภูเขาอันตราย รถม้าวิ่งไปได้เพียงครึ่งทางก็ไปต่อไม่ได้อีก หัวหน้าโจรเปิดประตูออกด้วยท่าทางกักขฬะ จากนั้นยื่นมือไปดึงตัวซูฉิงแล้วลากนางลงจากรถ

ซูฉิงกับจวีมู่เอ๋อร์หวีดร้องขึ้นพร้อมกัน จับมือกันไว้ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายคนทั้งสองจึงถูกลากตัวลงมาแล้วเหวี่ยงลงพื้นไปด้วยกัน

เหล่าโจรพากันลงจากหลังม้า สามคนในนั้นจูงม้าทั้งหมดเดินเข้าไปในป่าทึบ ซูฉิงเห็นแล้ว ใจคิดว่าในป่านั้นคงมีที่ซ่อนม้าอยู่

ในตอนนี้รถม้าก็เปลี่ยนทิศทางเคลื่อนลงจากเขากลับไปทางเดิม หัวหน้าโจรใช้แรงดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมา ซูฉิงรีบลุกขึ้นกอดจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้แน่น

หัวหน้าโจรคนนั้นเหลือบมองซูฉิงด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วปล่อยตัวจวีมู่เอ๋อร์ ตะโกนเสียงดังว่า “พี่น้องทั้งหลาย ไปกันเถอะ”

ชายฉกรรจ์ทั้งหลายแบ่งกลุ่มคนออกเป็นหน้าหลังสองกลุ่ม ประกบหญิงสาวสองคนไว้ตรงกลาง เดินขึ้นเขาไปพร้อมกัน

จวีมู่เอ๋อร์ที่ตาบอดเดินได้ช้า สะดุดเศษดินเศษหินบ่อยครั้ง ถูกโจรที่อยู่ด้านหลังตะคอกและผลักให้นางเดินเร็วๆ นางเม้มริมฝีปากพยายามเดินต่อไปข้างหน้า ในมือกุมไม้เท้าเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย กลัวว่าหากไม่ระวังจะทำไม้เท้าหล่นหาย และโจรเหล่านี้คงไม่ใจดีถึงขั้นเก็บกลับมาให้นางแน่นอน

ซูฉิงประคองนาง เดินไปพลางแอบจำทางไปพลางอย่างระมัดระวัง

กลุ่มคนทั้งหลายเดินอยู่นาน ในที่สุดก็เข้ามาในป่าลึก เหล่าโจรแหวกกำแพงพุ่มไม้ทึบออก จากนั้นเรือนสีเทาหลายหลังก็ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า

จวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็น เพียงตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียง พยายามเดินตามฝีเท้าของทุกคน ส่วนซูฉิงช้อนตาขึ้นจ้องเรือนนั้น ในใจแทบหมดสิ้นซึ่งความหวัง สถานที่ลึกลับเช่นนี้ คนที่ตามมาช่วยพวกนางจะหาเจอได้อย่างไร

ด้านจวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงกำลังถูกเหล่าชายฉกรรจ์คุมตัวเข้าไปในเรือน ส่วนด้านหลงเอ้อร์ ตอนนี้เขากำลังเดินออกจากคฤหาสน์สกุลติง

เมื่อออกมาก็เหลือบมองเข้าไปในตรอกถนนฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นจึงขี่ม้าจากไปท่ามกลางสายตาคนเฝ้าประตูกับพวกบ่าวของสกุลติง

ภายในคฤหาสน์สกุลติง ติงเซิ่งกำลังโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ส่วนติงเหยียนซานปิดหน้าร้องไห้อย่างปวดใจ

ติงเซิ่งเอ่ยปากด่า “ร้องทำไม ไร้ประโยชน์กันทั้งนั้น!”

“เขาดูหมิ่นข้าเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าจะกล้าทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร เขามองข้าเช่นนั้นได้อย่างไร” ติงเหยียนซานทั้งเสียใจและโมโห

ส่วนติงเซิ่งที่ถูกหลงเอ้อร์บุกเข้ามาพูดเหยียดหยามถึงที่มีไฟโทสะเต็มท้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่ตอนนี้บุตรสาวมานั่งร้องไห้ฟูมฟายยิ่งเป็นการกระพือให้ไฟโกรธของเขารุนแรงเพิ่มมากขึ้นไปอีก เขาจึงเอ่ยปากด่า “เจ้าทำเรื่องเช่นนั้นไม่ได้หรอก เจ้าไม่มีสมองถึงขั้นนั้น เจ้าลูกโง่! ข้าให้กำเนิดพวกเจ้ามามีประโยชน์อะไรกัน รู้จักแต่หาความยุ่งยากมาให้”

ติงเหยียนซานถูกตะคอกจนตัวสั่น นางเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ ติงเซิ่งกลับด่าต่อ “กลับห้องเจ้าไปซะ อย่ามาอยู่ตรงนี้ให้ข้ารำคาญใจ”

ติงเหยียนซานกัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น จากนั้นจึงหมุนตัววิ่งออกไปทั้งน้ำตา

เมื่อติงเหยียนซานจากไป บ่าวคนหนึ่งก็เข้ามารายงานติงเซิ่งเสียงต่ำว่า “ท่านหลงเอ้อร์มาคนเดียว เมื่อครู่ก็จากไปตามลำพัง ไม่มีใครติดตามข้างกายขอรับ”

ติงเซิ่งเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ แล้วจึงพยักหน้าโบกมือให้บ่าวคนนั้นถอยออกไป

หลงเอ้อร์ออกจากคฤหาสน์สกุลติง จากนั้นก็ควบม้ามุ่งตรงไปที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋นโดยไม่หยุดพัก

ที่มุมถนนไม่ไกลจากคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเท่าไรนัก มีแผงขายของเล็กๆ สองแผงกำลังร้องเรียกลูกค้า ขณะที่หลงเอ้อร์ผ่านไป ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย เจ้าของแผงยกของเล่นในมือขึ้นตะโกนขาย แต่หลงเอ้อร์ไม่ได้หันกลับมามองพวกเขา ควบม้าตรงไปที่ประตูคฤหาสน์สกุลอวิ๋น

อวิ๋นชิงเสียนเพิ่งได้รับข่าวจวีมู่เอ๋อร์ถูกลักพาตัวไปเช่นกัน ขณะที่เขากำลังบอกกับติงเหยียนเซียงว่าจะนำคนออกไปตามหาจวีมู่เอ๋อร์ก็ได้ยินว่าท่านหลงเอ้อร์มาเยือน จึงรีบให้บ่าวไปเชิญเขาเข้ามา

เมื่อเขาพบหน้า อวิ๋นชิงเสียนก็รีบพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์มาด้วยเรื่องของแม่นางจวีใช่หรือไม่ ข้าเพิ่งได้รับข่าว กำลังคิดจะนำคนออกไปช่วยค้นหา”

หลงเอ้อร์ไม่มีอารมณ์พูดทักทายเป็นมารยาทกับเขา เอ่ยถามเสียงแข็งตรงประเด็นทันที “รู้เบาะแสของนางหรือไม่”

อวิ๋นชิงเสียนตกตะลึง ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์กับน้ำเสียงของหลงเอ้อร์เท่าไรนัก จึงตอบกลับเสียงเย็น “ยังไม่ทันนำคนออกไปค้นหา ย่อมต้องไม่รู้”

หลงเอ้อร์ถามต่อ “ใต้เท้าอวิ๋นคิดจะไปค้นหาที่ใด” น้ำเสียงเหน็บแนมนี้ฟังแล้วน่ารังเกียจยิ่งนัก

“ท่านหลงเอ้อร์!” อวิ๋นชิงเสียนโมโห “ท่านคิดว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนทำหรือ”

“ใต้เท้าอวิ๋นทำคดีมาไม่น้อย ย่อมต้องเข้าใจแจ่มแจ้งถึงคำว่าแรงจูงใจ ตามที่ข้าคิด ใต้เท้าอวิ๋นถูกจวีมู่เอ๋อร์ปฏิเสธการแต่งงานทำให้เสียหน้ามาก ดังนั้นความอับอายจึงกลายเป็นความโมโห สั่งการให้คนมาลักพาตัวจวีมู่เอ๋อร์ไป ใต้เท้าอวิ๋น ท่านเห็นว่าสมมติฐานนี้เป็นอย่างไร”

“ท่านอย่าพูดจาใส่ร้ายคนสิ” ติงเหยียนเซียงที่ยืนดูอยู่ด้านข้างทนไม่ไหว พูดขึ้นด้วยความโมโห “ท่านพี่ไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน”

“หากเขาไม่ทำ แล้วเจ้าล่ะ” หลงเอ้อร์หันหน้าไปมองติงเหยียนเซียง เอาไฟโทสะไปลงที่ตัวนาง “ตอนนั้นที่เจ้าบังคับให้นางแต่งงานก็ใช้ความปลอดภัยของนางกับครอบครัวนางมาบีบบังคับไม่ใช่หรือ เมื่อบังคับให้นางแต่งงานไม่สำเร็จจึงทำตามที่เคยข่มขู่เอาไว้ใช่หรือไม่”

ติงเหยียนเซียงโกรธจนหน้าเขียว แต่หลงเอ้อร์พูดจี้ใจดำนาง นางไม่รู้ว่าควรจะโต้กลับอย่างไร

อวิ๋นชิงเสียนไม่ลงรอยกับหลงเอ้อร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อรวมกับความแค้นที่เขาแย่งตัวจวีมู่เอ๋อร์ไป ทั้งตอนนี้ยังเหยียบเข้ามาในคฤหาสน์ของเขาแล้วพูดจาหยาบคายไร้มารยาทใส่พวกเขาสองสามีภรรยา เมื่อนับรวมเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกันก็ทำให้อวิ๋นชิงเสียนโกรธจนแทบจะชักกระบี่ออกมาต้อนรับแขกผู้นี้เสียตอนนี้เลย

อวิ๋นชิงเสียนสะกดกลั้นความโมโหเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว เขาตะคอกเสียงเข้มใส่หลงเอ้อร์ “ไสหัวไป!”

หลงเอ้อร์ไม่สนใจ เขามองหน้าสองสามีภรรยาสลับกันไปมา ก่อนจะยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “คราวนี้เป็นตาข้าที่จะบอกกับพวกเจ้าแล้วว่าคอยดูกันต่อไป!”

หลงเอ้อร์สะบัดชายเสื้อเดินอาดๆ ออกจากประตูไป

ติงเหยียนเซียงปิดหน้าร้องไห้ พูดปนสะอื้น “ท่านพี่ เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ข้าทำเรื่องโง่ๆ ลงไป หากวันนั้นข้าไม่หน้ามืดตามัวไปที่บ้านสกุลจวี วันนี้คงไม่ทำให้ท่านถูกคนมาดูหมิ่นถึงที่นี่”

อวิ๋นชิงเสียนขบกรามไม่พูดจา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถอนหายใจแล้วโบกมือ พูดออกมาว่า “ช่างเถอะๆ วันนี้พูดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจะมีประโยชน์อะไร”

ติงเหยียนเซียงน้ำตาเอ่อแต่กลับไม่กล้าพูดอะไรอีก อวิ๋นชิงเสียนมองนางหลายครั้ง ในที่สุดก็ทนไม่ได้ ต้องยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นาง จากนั้นก็บอกว่า “ข้าจะออกไปแล้วนะ” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไป

ติงเหยียนเซียงมองตามแผ่นหลังของสามีไปแล้วกัดริมฝีปากแน่น

เมื่อหลงเอ้อร์ออกจากคฤหาสน์สกุลอวิ๋น เขาก็ไปที่จวนว่าการต่อ

พ่อบ้านเถี่ยกำลังสืบข่าวอยู่ที่นั่น พอเขาเห็นว่าหลงเอ้อร์มาจึงรีบเข้าไปรายงาน “นายท่านรอง จวนว่าการรับคดีไว้แล้วขอรับ วันนี้นอกจากแม่นางจวีแล้ว ยังมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งถูกลักพาตัวไปจากนอกเมือง แต่สถานที่และทิศทางในการลงมือแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม่นางจวีเป็นทิศตะวันออก หญิงอีกคนเป็นทิศตะวันตก โจรเหล่านั้นถึงขั้นอาจหาญบอกว่าจะเข้ามาจับผู้หญิงในเมืองอีกจำนวนหนึ่งด้วยขอรับ ตอนนี้ท่านเจ้าเมืองมีคำสั่งให้ค้นหาอย่างเต็มที่ และเพิ่มการป้องกันภายในเมืองให้แน่นหนาขึ้น ข้าน้อยได้รายละเอียดคดีและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับโจรภูเขาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ท่านเจ้าเมืองบอกว่าคดีเหล่านั้นปิดไปเรียบร้อยแล้ว รังโจรก็ถูกทลายจนหมดสิ้น เกรงว่าคงช่วยอะไรได้ไม่มากนัก ส่วนคดีที่ยังปิดไม่ได้ก็ยังไม่พบสถานที่ที่แน่ชัดขอรับ”

หลงเอ้อร์ฟังด้วยสีหน้าสงบนิ่งไร้ความรู้สึก พอฟังจบก็พยักหน้า จากนั้นจึงเข้าไปในจวนว่าการเพื่อเข้าพบท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิง เขาพูดกดดันชิวรั่วหมิงด้วยตัวเอง ขอให้ช่วยตามหาจวีมู่เอ๋อร์อย่างเต็มกำลัง

เรื่องคดีของจูฟู่ในครั้งก่อนทำให้ชิวรั่วหมิงจำจวีมู่เอ๋อร์ได้อย่างแม่นยำ ในตอนนี้จึงพูดชมไม่ขาดปากว่าเพราะวันนั้นได้รับความช่วยเหลือจากแม่นางจวีจึงสามารถจับคนร้ายตัวจริงได้ เขารู้สึกตื้นตันใจมาก ดังนั้นวันนี้จะช่วยตามหานางอย่างเต็มที่แน่นอน

เมื่อหลงเอ้อร์กับชิวรั่วหมิงพูดคุยเตรียมการทุกอย่างชัดเจนแล้ว หลงเอ้อร์ก็กล่าวลาขอตัวกลับ

ระหว่างทางกลับคฤหาสน์ พ่อบ้านเถี่ยเห็นสีหน้าของนายท่านรองไร้ความรู้สึกมาตลอดทาง เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างจึงรู้สึกกังวลใจมาก เขาเห็นพี่น้องสกุลหลงเติบโตขึ้นมาด้วยกัน นายท่านรองเป็นผู้มีความสามารถที่สุดในสามพี่น้อง และมีนิสัยคาดเดาได้ยากที่สุดเช่นกัน เวลาเขาโมโหหรือต้องการประชดกลั่นแกล้งก็มักจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ท่าทางไม่มีความรู้สึกใดเหมือนเช่นตอนนี้กลับพบเห็นได้น้อยนัก

พ่อบ้านเถี่ยกำลังคิดว่านายท่านรองที่เคยถ่วงเวลาการแต่งงานมาจนถึงทุกวันนี้โชคร้ายนัก ตอนที่คิดจะแต่งงานจริงๆ กลับทำได้ไม่ง่ายเลย ต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย จนกระทั่งสุดท้ายยังมาประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก หากแม่นางจวีโชคร้ายก็คงถึงขั้นเสียชีวิต แต่หากมีชีวิตรอดก็เกรงว่าคงยากจะรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ได้ เดิมทีคำเล่าลือก็ไม่น่าฟังอยู่แล้ว ต่อไปคนจะเอาไปพูดเช่นไรก็สุดรู้ แม้จะช่วยแม่นางจวีกลับมาได้ก็ไม่รู้ว่านางจะมีสภาพเช่นไร และการแต่งงานนี้จะทำอย่างไรต่อไป

หลงเอ้อร์ลงจากม้าเดินเข้าประตูคฤหาสน์โดยมีพ่อบ้านเถี่ยเดินตามด้านหลัง พ่อบ้านเถี่ยทุกข์ใจไม่รู้จะปลอบใจนายท่านรองของตนอย่างไร

จู่ๆ หลงเอ้อร์ที่เดินอยู่ก็หันหน้ากลับมาแล้วพูดว่า “นางไม่เป็นอะไรหรอก”

พ่อบ้านเถี่ยนิ่งงัน ทำได้เพียงอ้าปากไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

หลงเอ้อร์ที่มีสีหน้านิ่งเฉย พูดขึ้นมาอีกว่า “นางจะต้องรอจนกว่าข้าจะไปช่วย นางไม่เป็นอะไรหรอก”

พ่อบ้านเถี่ยขยับปาก คิดจะคล้อยตามพูดว่า ‘ใช่’ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหากเรื่องราวไม่เป็นไปตามที่นายท่านรองคาดหวัง เกรงว่าจะเกิดผลร้ายมากยิ่งกว่าเก่า ดังนั้นเขาจึงปิดปากเงียบดังเดิม

หลงเอ้อร์ยังคงพูดต่ออีก “นางไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าไม่รู้ว่านางฉลาดเพียงใด นางต้องรอจนกว่าข้าจะไปถึงแน่นอน”

พ่อบ้านเถี่ยเห็นท่าทางเขาเป็นเช่นนี้แล้วขอบตาก็รู้สึกร้อนผ่าว น้ำตาแทบจะไหลออกมา แต่หลงเอ้อร์ไม่สนใจ รีบหมุนตัวเดินเข้าไปในเรือน

หลี่เคอรีบเข้ามารายงาน “ติดตามแกะรอยไปทางที่รถม้าลักพาคนไป แต่ระหว่างทางมีทางแยกมากมาย ตอนนี้ยังไม่มีข่าวดีอะไรขอรับ”

“แล้วความเคลื่อนไหวของคฤหาสน์สกุลติงกับสกุลอวิ๋นล่ะ” หลงเอ้อร์เอ่ยถาม วันนี้เขาบุกไปเหยียบย่ำพวกนั้นถึงที่ ปกติควรมีปฏิกิริยาอะไรกลับมาบ้าง

“ใต้เท้าอวิ๋นออกจากคฤหาสน์สกุลอวิ๋นก็ไปรวบรวมกำลังคนที่กรมอาญา จากนั้นนำคนออกไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะไปตามหาแม่นางจวีเช่นกัน สายสืบแยกกันไปตามหลายเส้นทาง เหลือคนสองคนไว้คอยจับตาดูใต้เท้าอวิ๋น ส่วนทางด้านคฤหาสน์สกุลติงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ขอรับ”

หลงเอ้อร์นิ่งเงียบ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นมา “หาโอกาสไปลักพาตัวติงเหยียนซาน ในเมื่อโจรเหล่านั้นบอกไว้ว่าจะมาจับตัวหญิงสาวในเมืองอีก พวกเราก็ช่วยทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ สักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นคนของคฤหาสน์สกุลติงหรือสกุลอวิ๋นที่เป็นคนทำเรื่องนี้ หากติงเหยียนซานหายตัวไป ข้าก็อยากจะดูว่าพวกเขาจะแสร้งทำอย่างไรอีก”

หลี่เคอรับคำแล้วรีบออกไปเตรียมการทันที

หลงเอ้อร์นั่งลง ยื่นมือไปทางพ่อบ้านเถี่ย “เอกสารคดีความล่ะ” พ่อบ้านเถี่ยรีบยื่นเอกสารคดีความส่งให้ หลงเอ้อร์รับมาเปิดอ่านทีละหน้า แล้วถามด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ว่า “เจ้าสามส่งข่าวอะไรกลับมาหรือยัง”

พ่อบ้านเถี่ยรีบตอบกลับ “ยังขอรับ”

หลงเอ้อร์ถามต่อ “ที่หอคณิกาล่ะ ส่งคนไปที่นั่นบ้างหรือยัง โจรพวกนี้ชอบพูดจาโอ้อวด บางทีหญิงในหอคณิกาอาจมีเบาะแสอะไรบางอย่าง ลองไปสืบข่าวดู”

พ่อบ้านเถี่ยเอ่ยตอบ “สั่งการลงไปหมดแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวคราวตอบกลับมาขอรับ”

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็นั่งนิ่งไปสักครู่ จากนั้นจึงก้มหน้าลงอ่านเอกสารคดีความต่อ

พ่อบ้านเถี่ยเห็นนายท่านรองนั่งนิ่งก็ลอบถอนหายใจ รีบสั่งให้บ่าวนำชาร้อนมาให้เขาหนึ่งกา ส่วนตัวเองออกไปจัดเตรียมเรื่องคนที่จะออกไปช่วยตามหาแม่นางจวี

เมื่อหลงเอ้อร์อ่านเอกสารคดีความจบก็หยิบแผนที่นอกและในเมืองหลวงมาคลี่ออกดูอย่างละเอียด ในตอนนี้เองมีสายสืบวิ่งเข้ามารายงานเสียงดัง “นายท่านรอง แม่นางติงถูกลักพาตัวไปจริงๆ แล้วขอรับ”

หลงเอ้อร์ช้อนดวงตาคมกริบขึ้นมา “เป็นฝีมือใคร”

“ชายสองคนที่แต่งตัวเป็นคนส่งของขอรับ” สายสืบตอบ “พวกเราเพิ่งเตรียมการเสร็จ คิดจะหาโอกาสลอบเข้าไปในคฤหาสน์สกุลติง กลับเห็นแม่นางติงออกมาจากทางประตูหลัง ไม่มีสาวใช้ติดตาม ท่าทางเหมือนร้องไห้มาอย่างหนัก ดูจากทิศทางที่นางเดิน น่าจะกำลังไปที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋น ขณะที่พวกเราจะลงมือ กลับมีรถม้าที่บังคับโดยชายฉกรรจ์สองคนผ่านมา พวกเขาเห็นแม่นางติงก็ทุบนางจนหมดสติ ใช้ถุงผ้าคลุมตัวแล้วโยนขึ้นไปบนรถ จากนั้นจึงออกจากเมืองไปทางประตูเมืองทิศตะวันออก”

“ตามไปแล้วหรือยัง”

“ตามไปแล้วขอรับ” สายสืบพยักหน้า “นายท่านรองโปรดวางใจ เหล่าพี่น้องรู้ความดี ไม่มีทางปล่อยให้คลาดสายตาเด็ดขาด พวกเขาไปทางทิศตะวันออก ท่านหลี่บอกให้ข้ารีบกลับมารายงานนายท่านรอง ส่วนตัวเขานำคนแอบตามไปด้วยตัวเองแล้วขอรับ”

หลงเอ้อร์พยักหน้า ก้มหน้ามองแผนที่ทางทิศตะวันออก

จากนั้นก็ตบฝ่ามือใหญ่ของตนลงไปบนแผนที่ส่วนนอกเมืองทางทิศตะวันออก

 

เรือนของกลุ่มโจรใหญ่มาก ภายในเรือนนั้นเย็นมาก ซ้ำยังมีกลิ่นอับ

จวีมู่เอ๋อร์ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง นางเซล้มลงบนพื้น ซูฉิงจึงรีบเข้ามาประคองนางแล้วคล้องแขนดึงตัวนางถอยไปอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือน

จวีมู่เอ๋อร์ลูบนิ้วมือ สัมผัสเปียกชื้นบนพื้นเมื่อครู่ยังติดอยู่ที่ปลายนิ้ว นางคิดว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกโจรพักอยู่เป็นประจำ

แล้วก็เป็นจริงดังคาด โจรคนหนึ่งตะโกนพูดเสียงดัง “หนาวเหลือเกิน ที่นี่มีคนจุดกองไฟไว้บ้างหรือไม่”

โจรอีกคนหนึ่งตอบกลับ “ด้านหลังมีห้องเก็บฟืน เจ้าไปหาเอาเองสิ”

โจรคนที่บ่นว่าหนาวเดินพูดพึมพำออกไป

ต่อมาจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินพลุกพล่าน ฟังดูเหมือนเหล่าโจรกำลังเดินวนไปวนมาภายในเรือน ผ่านไปสักครู่โจรคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ดูจนทั่วแล้ว มีแค่สี่ห้องสามเตียง พวกเราคนเยอะจะพอนอนได้อย่างไร”

โจรคนหนึ่งยิ้มกรุ้มกริ่ม “จะนอนอย่างไรหรือ ก็นอนกับสาวๆ ไง” เหล่าชายฉกรรจ์ต่างพากันหัวเราะเสียงดัง

จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงจับมือกันไว้แน่น เสียงหัวเราะของพวกเขาทำให้พวกนางอดขนลุกไม่ได้

โจรอีกคนหนึ่งพูดอีกว่า “แต่สาวๆ ไม่พอแบ่งนี่นา”

“ร้อนใจอะไรล่ะ!” หัวหน้าโจรพูดเสียงดัง “อีกสักครู่พวกเขาคงกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะมีเหล้ามีสาวๆ พวกเราจะได้ฉลองปีใหม่กันอย่างมีความสุข”

เหล่าโจรได้ฟังก็พากันตอบรับเสียงดังว่าดี

จู่ๆ หัวหน้าโจรก็จ้องไปยังจวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงที่ขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง ลูบปลายคางแล้วพูดว่า “หญิงสาวสองคนนี้ช่างเชื่อฟังนัก ไม่ร้อง ไม่โวยวาย ไม่วิ่งหนี น่ารักจริงๆ”

พอเขาพูดคำนี้แล้ว โจรคนอื่นๆ ก็ต่างหันไปจ้องมองหญิงสาวทั้งสองคน หนึ่งในนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “นางเป็นคนตาบอด จะวิ่งไปที่ใดได้เล่า ไม่รู้ว่าหญิงตาบอดกับหญิงตาดีจะมีรสชาติแตกต่างกันอย่างไร”

คำพูดหยาบโลนนี้ทำให้เหล่าโจรทั้งหลายพากันหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

จวีมู่เอ๋อร์กลัวจนตัวเกร็ง รู้สึกเจ็บไปทั้งร่าง ส่วนซูฉิงจับแขนนางเอาไว้แน่น เผยความกลัวในใจออกมาเช่นกัน

ผ่านไปชั่วครู่ ด้านนอกก็มีเสียงดังอึกทึก ก่อนที่ชายฉกรรจ์สี่คนจะคุมตัวหญิงสาวสองคนและแบกถุงใหญ่สามถุงเดินเข้ามา เมื่อเหล่าโจรได้พบหน้ากันแล้วก็ต่างพูดคำหยาบทั้งหัวเราะทั้งโวยวาย ชายฉกรรจ์วางถุงในมือลง จากนั้นพูดว่า “พวกเราเอาเหล้า เนื้อ และของกินจำนวนหนึ่งกลับมาด้วย วันนี้พวกเราพี่น้องมาสนุกกันสักหน่อยเถอะ”

ซูฉิงแอบมองไปโดยรอบแล้วนับจำนวน ในห้องมีโจรทั้งหมดแปดคน นางพยายามจดจำใบหน้าของพวกเขาเอาไว้ โจรคนหนึ่งหันหน้ามาสบตากับนางพอดี ซูฉิงตกใจกลัวจนห่อไหล่ก้มหน้าลง

ในตอนนี้เองหัวหน้าโจรก็พูดขึ้นว่า “ยังไม่ต้องรีบกิน รอพวกหมาจื่อสองคนนั้นกลับมาก่อน ตอนนี้พวกเรามาปรึกษาเรื่องสำคัญกัน” เขาพูดถึงตรงนี้แล้วกวาดตามอง ก่อนจะชี้นิ้วไปยังจวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิง “นำสองคนนี้ไปโยนไว้ในห้องในสุดด้านหลัง”

ครั้นจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินคำนี้ นางจึงรู้แล้วว่าตอนนี้พวกนางสองคนยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต หากพวกโจรไม่อยากให้พวกนางได้ยินความลับ นั่นก็เท่ากับว่ายังไม่อยากสังหารพวกนางเร็วนัก

โจรคนหนึ่งเดินเข้ามาลากตัวพวกนางสองคนออกไป จวีมู่เอ๋อร์ยังคงได้ยินเสียงของหัวหน้าโจรสั่งให้นำตัวหญิงสาวที่จับมาอีกสองคนไปขังไว้ในอีกห้องหนึ่ง จากนั้นพวกเขาพูดอะไรกันอีก จวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่ได้ยินแล้ว

พวกนางถูกผลักเข้าไปในห้องที่หนาวเย็นห้องหนึ่ง นางล้มลงบนพื้น จากนั้นประตูห้องจึงปิดลงเสียงดังกึก

“พี่มู่เอ๋อร์” ซูฉิงเห็นว่าตอนนี้ไม่มีใครจึงรีบวิ่งเข้าไปหาจวีมู่เอ๋อร์

จวีมู่เอ๋อร์กุมมือซูฉิงไว้แน่น แม้ตัวนางจะตกใจแทบตายเหมือนกัน แต่ยังคงพูดปลอบใจซูฉิง “ไม่ต้องกลัว”

ซูฉิงกวาดสายตามองไปรอบห้อง เห็นตรงริมผนังมีเตียงอยู่หนึ่งหลัง จึงประคองจวีมู่เอ๋อร์ไปนั่งลงบนเตียงก่อน

“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด” จวีมู่เอ๋อร์ถาม

“อยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง” ซูฉิงบรรยายสภาพแวดล้อมภายในห้องให้จวีมู่เอ๋อร์ฟัง “มีหน้าต่างเล็กหนึ่งบาน มีเตียงหนึ่งหลัง ก็คือที่ที่พวกเรานั่งอยู่นี่แหละ ยังมีโต๊ะไม้ผุกับเก้าอี้ขาหักอีกอย่างละหนึ่งตัว”

จวีมู่เอ๋อร์ให้ซูฉิงพานางไปคลำดูสภาพภายในห้อง นางลูบโต๊ะเก้าอี้ แล้วจับหน้าต่าง ตัวหน้าต่างสูงไปบ้าง นางต้องยืดมือขึ้นไปจึงจะจับถูกส่วนล่างของหน้าต่างได้ นางลองดึงแต่มันไม่ขยับ สุดท้ายพวกนางจึงกลับไปนั่งที่เตียง

ห้องนี้อยู่ห่างจากห้องด้านนอกอยู่มาก ซูฉิงจึงวิ่งไปที่ประตูแล้วเอาหูแนบลงไป นิ่งอยู่สักครู่ก็บอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลย

ตอนนี้ไม่มีคนร้ายคอยจับตามองแล้ว พวกนางจึงไม่กลัวเท่าเมื่อครู่ ซูฉิงวิ่งกลับไปอยู่ข้างกายจวีมู่เอ๋อร์แล้วพูดเสียงเบา “ไม่รู้ว่าแม่นางสองคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง”

จวีมู่เอ๋อร์ก้มหน้าลง นิ้วมือที่กุมไม้เท้าไว้แน่นของนางซีดขาว “ข้าทำให้เจ้าลำบาก ฉิงเอ๋อร์”

“พี่อย่าพูดแบบนี้ สถานการณ์ในตอนนั้นข้าทิ้งพี่ไปโดยไม่สนใจไม่ได้ หากข้าจะโทษต้องโทษคนร้ายเหล่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่เลย” ซูฉิงกัดริมฝีปาก “น่าโมโหที่ข้าไร้ความสามารถจึงช่วยพี่ไม่ได้ หากคราวนี้พวกเรามีบุญหนักวาสนาใหญ่สามารถรอดกลับไปได้ ข้าจะไปหาอาจารย์สักคนเพื่อให้เขาสอนวรยุทธ์ให้ หากคราวหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้อีกจะได้ไม่ถูกคนรังแก”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร เหมือนนางกำลังใช้ความคิดอยู่ ผ่านไปสักครู่นางจึงยื่นมือมาทางซูฉิงแล้วดึงตัวซูฉิงเข้ามาในอ้อมกอด “ฉิงเอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากรบกวนเจ้า หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าต่อไปอาจไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

ซูฉิงตกใจ ลุกขึ้นยืนมองหน้านาง “พี่มู่เอ๋อร์”

จวีมู่เอ๋อร์ดึงตัวซูฉิงเข้ามาแนบอก กระซิบข้างหูนาง “เจ้าฟังข้าให้ดี…”

นางพูดยังไม่ทันจบ ประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง หญิงสาวทั้งสองคนตกใจจนดีดตัวลุกขึ้นยืน ปรากฏว่ามีโจรคนหนึ่งเปิดประตูเพื่อดูว่าพวกนางยังเชื่อฟังกันดีอยู่หรือไม่ เมื่อเขาเห็นพวกนางกอดกันกลมและมีท่าทางตกใจไม่น้อยก็หัวเราะอย่างได้ใจ ก่อนจะพูดว่า “อยู่นิ่งๆ นะ หากไม่เชื่อฟังจะสับมือและขาของพวกเจ้าทิ้งซะ”

จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไร โจรคนนั้นเห็นแล้วพอใจมากจึงลงกลอนประตูแล้วจากไป

ในตอนแรกหญิงสาวทั้งสองคนไม่กล้าขยับตัว ผ่านไปสักครู่ซูฉิงก็ดีดตัวขึ้น เดินย่องไปที่ประตู แนบหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก จากนั้นหมุนตัววิ่งกลับไปอยู่ข้างกายจวีมู่เอ๋อร์แล้วกระซิบเสียงเบาว่า “พี่มู่เอ๋อร์ ไม่มีเสียงใดแล้ว”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า กดเสียงต่ำพูดต่อ “หากครั้งนี้ข้าหนีไม่รอด ให้เจ้านำตำราเพลงพิณและตัวพิณไปให้หมด หากวันหน้าเจ้าได้พบกับคนมีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกคดีของท่านซือป๋ออินได้ และเขารู้สึกว่าการตายของพี่หฺวาอีไป๋กับข้ามีพิรุธก็ให้เจ้ามอบตำราเพลงพิณของข้าให้แก่เขา”

ซูฉิงตกใจอย่างมาก “พี่มู่เอ๋อร์ พี่จะบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของท่านซือป๋ออินกับพี่หฺวาหรือ”

“ข้าไม่แน่ใจ เพียงแต่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ หากข้าตาย…”

“พี่ไม่เป็นไรหรอก” ซูฉิงร้อนใจจนอยากร้องไห้ “พี่มู่เอ๋อร์ พี่ต้องไม่เป็นไร ข้าไม่ต้องการของของพี่ ข้าไม่เอา”

“ฉิงเอ๋อร์ ข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้าไม่อยากทำที่สุดคือการทำให้เจ้าต้องลำบาก ข้า…” จวีมู่เอ๋อร์แทบจะพูดต่อไปไม่ได้ “ข้า…ข้าทำผิดต่อท่านหลงเอ้อร์เช่นกัน”

“ใช่ๆ ยังมีท่านหลงเอ้อร์ เดี๋ยวท่านหลงเอ้อร์ต้องมาช่วยพวกเราแน่นอน พี่มู่เอ๋อร์ อย่าเพิ่งสิ้นหวัง…”

ซูฉิงยังพูดไม่จบ นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าและเสียงต่อสู้ขัดขืนของหญิงสาวดังขึ้น ซูฉิงกับจวีมู่เอ๋อร์รีบหยุดพูดทันที ยื่นมือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า

จากนั้นประตูห้องของพวกนางก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง หญิงสาวในเสื้อผ้างดงามแต่สภาพทุลักทุเลถูกโยนเข้ามาในห้อง

เจ้าโจรตะคอกเสียงดัง “อยู่นิ่งๆ ถ้ากล้าส่งเสียงข้าจะตบปากเจ้าให้ฟันร่วง”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางได้ยินเสียงฝีเท้าหนักของเจ้าโจรเดินออกไป แล้วได้ยินเสียงปิดประตูลงกลอน จากนั้นนางได้ยินซูฉิงเรียกชื่อคนผู้นั้นอย่างตกใจ “แม่นางติง!”

“แม่นางติง?” จวีมู่เอ๋อร์ตกใจมาก

ซูฉิงกระซิบข้างหูนาง “บุตรสาวเสนาบดีไงล่ะ คนที่ดุๆ น่ะ”

ติงเหยียนซานลุกขึ้นจากพื้น พอเงยหน้ามองเห็นพวกจวีมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกขายหน้า นางอ้าปากเตรียมจะด่า แต่เมื่อเห็นว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ตัวนางยังมีสภาพดีกว่าพวกจวีมู่เอ๋อร์มากมายนัก นางจึงสะบัดหน้ามองไปรอบห้องแทน ทั้งรู้สึกกลัวและเหน็บหนาว จึงกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นไม่พูดจา เพียงแค่ยืนพิงอยู่ข้างโต๊ะผุพังตัวนั้น

“นางได้รับบาดเจ็บหรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของติงเหยียนซานจึงเอ่ยถามซูฉิง

ซูฉิงเหลือบมองติงเหยียนซานอยู่หลายครั้ง “ดูแล้วยังดีอยู่” นางคิดสักครู่แล้วส่งเสียงเอ่ยถาม “นี่ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

“ไม่ต้องยุ่ง!” ติงเหยียนซานตวัดหางตามองพวกนาง

“ใครอยากยุ่งกับเจ้ากัน!” ซูฉิงโต้ตอบกลับ

เมื่อจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงอันทรงพลังของติงเหยียนซานก็รู้ว่านางคงไม่เป็นอะไรมาก ดังนั้นจึงไม่ส่งเสียงพูดอะไรอีก เพียงก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ตามลำพัง แต่ซูฉิงกับติงเหยียนซานสองคนต่างจ้องตากันด้วยความโมโห ยิ่งมองยิ่งเห็นอีกฝ่ายดูขัดตา

ผ่านไปครู่ใหญ่ จวีมู่เอ๋อร์จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “แม่นางติง เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ลักพาตัวพวกเรามาเป็นใคร”

ก่อนหน้านี้ติงเหยียนซานที่ถูกหลงเอ้อร์สงสัยก็ปวดใจเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงอยู่แล้ว รู้สึกไม่พอใจเป็นทุนเดิม มาตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถามเช่นนี้อีก ยิ่งทำให้ไฟโทสะของนางลุกโชนขึ้นมาทันที “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร พวกเจ้าแต่ละคนล้วนคิดว่าข้าเป็นคนทำหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ก็แค่คนที่จะแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์เท่านั้น ไม่อยู่ในสายตาข้าหรอก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางหาคนมาลักพาตัวเจ้าหรอก เรื่องที่ข้าไม่ได้ทำ พวกเจ้าห้ามใส่ร้ายป้ายสีข้า พวกเจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าก็ถูกลักพาตัวมาเหมือนกันไม่เห็นหรือ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครจริงๆ”

“ถามเจ้าคำเดียว เจ้าตอบเสียหลายคำเชียว” ซูฉิงจ้องเขม็ง “ถ้าเจ้าไม่พูดข้ายังคิดไม่ถึงเลย ที่แท้เจ้าก็น่าสงสัยมากเหมือนกัน หากเจ้าแกล้งเข้ามาเพื่อลวงให้พวกเราคิดว่าเจ้าถูกลักพาตัวมาด้วยเล่า ใครจะไปรู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ เจ้าอิจฉาที่พี่มู่เอ๋อร์จะได้แต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์ เจ้าใจร้ายมาก ยังเคยตบพี่มู่เอ๋อร์อีกด้วย ตอนนี้กล้าทำเรื่องลักพาตัวเช่นนี้ออกมาก็ไม่แปลกอะไร”

“เจ้ากล้าใส่ร้ายข้า ข้าจะฉีกปากเจ้า” ติงเหยียนซานโกรธราวสายฟ้าฟาด จะกระโจนเข้าใส่ซูฉิง

ท่านหลงเอ้อร์ว่านางก็แล้วไป ตอนนี้คนธรรมดาสามัญพวกนี้ยังกล้ามาว่านางแบบนี้อีก จะให้นางไม่โกรธได้อย่างไร

ซูฉิงไม่กลัวนางแม้แต่น้อย “จะสู้กันหรือ ข้าไม่กลัวหรอก” นางหมุนตัวไปหยิบไม้เท้าของจวีมู่เอ๋อร์ “พี่มู่เอ๋อร์ ขอยืมไม้เท้าสักหน่อยนะ ข้าจะใช้ตีนาง”

ยังกล้าถืออาวุธด้วยหรือ ติงเหยียนซานมองไปซ้ายขวา ไม่สนใจรักษากิริยาอะไรแล้ว นางยกเก้าอี้ขาหักตัวนั้นขึ้น คิดจะสั่งสอนยายเด็กคนนี้สักหน่อย

จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ทันจะเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมก็มีเสียงฝีเท้าดังลอดเข้ามาจากนอกประตู จากนั้นประตูก็เปิดออกอย่างแรง โจรทั้งสองคนเหมือนจะดื่มเหล้ามาเพราะมีกลิ่นเหล้าติดทั่วกาย หนึ่งในนั้นตะโกนด่าอยู่ตรงหน้าประตู “ส่งเสียงเอะอะอะไรกัน”

ติงเหยียนซานกับซูฉิงตกใจจนหลบไปอยู่ข้างกายจวีมู่เอ๋อร์พร้อมกัน จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงดื่มเหล้าเล่นทายนิ้วแว่วมาจากด้านนอก จึงเดาได้ว่าโจรเหล่านั้นกำลังจัดงานฉลองกันอยู่

โจรคนหนึ่งตรงประตูพูดว่า “โอ้ สาวๆ ในห้องนี้ดูมีชีวิตชีวาดีจริง น่าสนใจกว่าสองคนนั้นตั้งเยอะ”

โจรอีกคนหนึ่งรีบบอก “เจ้าร้อนใจทำไม พี่ใหญ่บอกไว้แล้วว่าหากจะลงมือก็ให้เลือกสองคนนั้นก่อน สาวๆ ในห้องนี้ต้องรออีกสักนิด” พอเขาพูดคำนี้ออกมา ห้องด้านข้างก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือและเสียงหวีดร้องของผู้หญิงดังเล็ดลอดมา

โจรคนนั้นไม่พอใจมาก “พี่ใหญ่อยากจะเก็บไว้คนเดียวสินะ เลวจริง” พอเขาพูดจบก็หมุนตัวเดินไปห้องด้านข้าง “นี่ พวกเจ้าต้องทำรุนแรงถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เหลือให้ข้าสักคนสิ”

ไม่นานพวกจวีมู่เอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวในห้องอีกห้องหนึ่งหวีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง พวกนางทั้งสามคนตกใจกลัวจนหน้าซีดขาว กอดกันกลม

โจรที่ยังเหลืออีกคนหนึ่งจ้องมองพวกนางแล้วยิ้มเย็นชา “พวกเจ้ามีแรงก็เก็บไว้เถอะ พวกเราพี่น้องมีกันหลายคน ยังมีเวลาให้พวกเจ้าได้ออกแรงอีกมากแน่นอน หากไม่ใช่เพราะห้องไม่พอก็คงไม่ขังพวกเจ้าไว้รวมกัน อย่าคิดว่าพวกข้าให้พวกเจ้ามาอยู่ด้วยกันเพื่อพูดคุยตบตีกันนะ อยู่นิ่งๆ หน่อยเข้าใจหรือไม่ ไม่เช่นนั้นหากส่งเสียงเอะอะจนทำลายความสนุกของพวกเรา พวกเจ้าโดนดีแน่”

หญิงสาวทั้งสามคนตกใจจนพูดอะไรไม่ออก โจรคนนั้นเห็นแล้วรู้สึกพึงพอใจจึงปิดประตูแล้วเดินจากไป

พอเขาจากไป ติงเหยียนซานก็ร้องไห้ออกมา สิ่งที่หญิงสาวข้างห้องได้รับทำให้นางไม่เหลือความกล้าอีกแล้ว นางกลัวเหลือเกิน นางไม่อยากมีสภาพเหมือนหญิงเหล่านั้น

“พวกเจ้าต้องหนีออกไป” จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยขึ้นในทันใด

“หนี?” ติงเหยียนซานตกใจ

“ ’พวกเจ้า’ หมายความว่าอย่างไร” ซูฉิงตกใจยิ่งกว่า

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบ แต่กลับถามอีก “แม่นางติง เจ้าถูกจับมาได้อย่างไร”

ตอนนี้ติงเหยียนซานไม่มีเวลาสนใจความแค้นที่มีต่อจวีมู่เอ๋อร์ นางรีบตอบ “ข้าออกจากบ้าน คิดจะไปพบพูดคุยกับพี่สาวที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋น ปรากฏว่าออกมาได้สักครู่ก็ถูกคนทุบจนหมดสติ พอตื่นมาก็พบว่าตัวเองนอนโคลงเคลงอยู่บนรถม้า ยังไม่ทันจะได้รู้เรื่องอะไรก็ถูกลากตัวลงจากรถม้าและคุมตัวมาที่นี่แล้ว ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้านะ ไม่ได้แกล้งทำเป็นถูกลักพาตัวด้วย เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำจริงๆ”

“เป็นโจรกลัวความผิดน่ะสิ” ซูฉิงที่อยู่ด้านข้างใช้แววตาดูแคลนจ้องมองนาง

“ว่าอย่างไรนะ เจ้ายังกล้าใส่ร้ายป้ายสีข้าอีก!” ติงเหยียนซานเดินผ่านหน้าจวีมู่เอ๋อร์คิดจะไปตบหน้าซูฉิง ซูฉิงที่รออยู่แล้วใช้ไม้เท้าตวัดถูกหน้าอกของติงเหยียนซานจนนางรู้สึกเจ็บหน้าอก พอเจ็บก็ยิ่งโกรธ กำลังจะแผลงฤทธิ์ กลับได้ยินจวีมู่เอ๋อร์ปรามเสียงเข้ม

“พวกเจ้าสองคนหุบปากซะ”

ซูฉิงใช้ปลายไม้เท้าชี้ไปที่ติงเหยียนซาน แต่ปิดปากแน่น ติงเหยียนซานกัดฟันไว้ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

จวีมู่เอ๋อร์พูดว่า “แม่นางติง เรื่องที่เจ้าถูกลักพาตัวมีความเป็นไปได้สามอย่าง หนึ่งคือบังเอิญถูกโจรเห็นเข้าพอดีจึงลักพาตัวมาด้วย สองคือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของเจ้าหรือคนรู้จัก ที่ลักพาตัวเจ้ามาเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจออกจากตัวเอง สามคือพวกโจรคิดจะใช้เจ้าเป็นตัวประกัน พวกเขาอาจจะคิดทำเรื่องเลวร้ายอะไรบางอย่าง และใช้เจ้าที่อยู่ในกำมือไปต่อรองควบคุมครอบครัวของเจ้า หากท่านพ่อของเจ้าหรือพี่เขยของเจ้าหวาดกลัว เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยลงมาย่อมถูกควบคุมไปด้วย”

ติงเหยียนซานได้ฟัง ในใจก็รู้สึกเคร่งเครียด ความเป็นไปได้อย่างที่สองและสามล้วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวของนาง หากเป็นเช่นนั้นจริง การลักพาตัวจวีมู่เอ๋อร์มาก็เพื่อต่อกรกับท่านหลงเอ้อร์อย่างนั้นหรือ

ติงเหยียนซานคิดแล้วก็รู้สึกอับอายขึ้นมาในทันใด สิ่งที่นางไม่ยินดีที่สุดก็คือการต้องขายหน้าต่อหน้าท่านหลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์ ตอนนี้นางไม่สามารถกลืนความโกรธลงท้องไปได้ แต่ก็ต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ หากเรื่องการลักพาตัวนี้เป็นฝีมือของคนในครอบครัวนางจริง ต่อไปนางจะกล้าเชิดหน้าชูคอต่อหน้าท่านหลงเอ้อร์ได้อย่างไร

“แม่นางติง ไม่ว่าจะเป็นอย่างใด เจ้าล้วนมีอันตรายมาก”

“อันตรายอะไร” ติงเหยียนซานยังคงจมอยู่ในความรู้สึกเสียหน้าเพราะคนในครอบครัวของตนอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จึงยังคิดอะไรไม่ออก

“หากเป็นความเป็นไปได้อย่างแรก สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องด้านข้างก็อาจเกิดขึ้นกับเจ้า” จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก สะกดความหวาดกลัวและความรังเกียจภายในใจเอาไว้ รีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว “หากเป็นอย่างที่สอง ผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังอาจใช้ชีวิตของเจ้าเพื่อหลอกลวงปิดบังหูตาของผู้คน หากเจ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เจ้าก็คงไม่รู้เช่นกันว่ามาอยู่ที่นี่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

คำพูดนี้เปรียบได้กับมีดที่ปักใส่ตัวติงเหยียนซานอย่างแรง

จวีมู่เอ๋อร์พูดต่อ “หากเป็นอย่างที่สาม เจ้าก็ยิ่งมีอันตราย เพราะหากพวกโจรบรรลุเป้าหมาย ข่มขู่ครอบครัวเจ้าสำเร็จและสามารถบังคับให้คนในครอบครัวเจ้าทำตามต้องการได้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าต่อไป และหากข่มขู่ไม่สำเร็จ เจ้าก็ไม่มีประโยชน์อย่างใดต่อพวกโจร”

หากไม่มีประโยชน์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น พวกนางล้วนรู้อยู่แก่ใจ

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยอีกว่า “ฉวยโอกาสตอนนี้ที่พวกเขาไม่ทันระวัง พวกเจ้ารีบคิดหาทางหนีออกไป หากชักช้าแล้วเกิดมีการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาหรือพวกโจรจะแยกพวกเราออกจากกัน เช่นนั้นพวกเราก็คงหมดโอกาสแล้ว”

“แต่จะมีวิธีอะไรล่ะ” ติงเหยียนซานยิ่งฟังจวีมู่เอ๋อร์พูดก็ยิ่งรู้สึกกลัว นางอยากจะหนีไป แต่นางไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไร

“เหตุใดจึงพูดว่า ‘พวกเจ้า’ ” ซูฉิงไม่ชอบใจกับคำนี้เลย “ควรจะพูดว่าพวกเราสิ พี่มู่เอ๋อร์ พวกเราจะหนีไปด้วยกัน”

“ข้าไปกับพวกเจ้าไม่ได้ ข้าเดินได้ไม่เร็ว เป็นภาระให้พวกเจ้าเปล่าๆ พวกเจ้าสองคนรีบหนีไป หากออกไปได้แล้วค่อยตามคนมาช่วยข้า”

“ไม่ได้ ไม่มีพี่ข้าก็ไม่ไป” ซูฉิงลดไม้เท้าลง กอดแขนจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้

“พวกเจ้าจับประเด็นสำคัญเป็นหรือไม่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกกันว่าใครจะไปใครไม่ไปหรอกกระมัง วิธีหนีต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ” ติงเหยียนซานเห็นซูฉิงบ่นอุบก็โมโห “ไม่มีทางหนีไปได้เลย พวกเราถูกคุมตัวอยู่ ซ้ำร้ายด้านนอกยังมีโจรเหล่านั้นเฝ้าอยู่อีก แม้พวกเราจะหนีออกจากเรือนนี้ได้ แต่เมื่อเข้าไปในป่าทึบ หากเดินหลงทางก็ต้องกลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าอยู่ดี”

ซูฉิงจ้องเขม็ง “เช่นนั้นเจ้าก็รอให้คนเลวเหล่านั้นมาสับนิ้วมือของเจ้าเฉือนใบหูของเจ้าส่งไปให้ที่คฤหาสน์สกุลติงแล้วกัน หรือจะรอให้โจรพวกนั้นดื่มกินจนหนำใจแล้วมาย่ำยีเจ้าก็ได้”

“เจ้า…” ติงเหยียนซานโกรธจนอยากจะด่ากลับ แต่ถูกจวีมู่เอ๋อร์พูดขัดขึ้นก่อน

จวีมู่เอ๋อร์ถามซูฉิงว่า “ฉิงเอ๋อร์ เจ้าจำทางได้ทั้งหมดหรือไม่”

“จำได้” ปกตินางก็ขึ้นเขามาเก็บดอกไม้ขายอยู่แล้ว ซ้ำยังเดินวนเวียนไปมาบนถนนหลายสาย ดังนั้นจึงมีความสามารถในการจำทิศทางอยู่มาก

“ดี นับจากนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทั้งสองคนต้องร่วมแรงร่วมใจ ห้ามทะเลาะกันอีก”

ซูฉิงกับติงเหยียนซานจ้องตากันเขม็ง แต่ยังคงตอบรับคำพร้อมกัน “ได้”

จวีมู่เอ๋อร์พอใจ จึงพูดว่า “รบกวนแม่นางติงไปอยู่ที่ประตูเพื่อฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอก ส่วนฉิงเอ๋อร์ หน้าต่างนั้นสูงเกินไป เจ้ายกเก้าอี้ไปวางไว้ด้านล่างหน้าต่าง ข้าจะช่วยจับเก้าอี้ให้ แล้วเจ้าขึ้นไปดูว่าด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง”

ทั้งสามคนรีบขยับตัว ติงเหยียนซานแนบหูกับบานประตู โบกมือแสดงท่าทางว่าด้านนอกไม่มีเสียงใด ซูฉิงจึงยกเก้าอี้ไปวางไว้ด้านล่างหน้าต่าง ส่วนจวีมู่ก็ใช้แรงจับเก้าอี้เอาไว้ให้มั่น เก้าอี้ขาหักเช่นนี้ต้องใช้แรงมากจึงจะตั้งให้คนเหยียบขึ้นไปได้ จากนั้นเมื่อซูฉิงขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ นางก็สามารถมองผ่านช่องหน้าต่างได้อย่างพอดี

นางมองออกไปเห็นเพียงผืนป่าทึบ ห้องพักนี้อยู่ด้านหลังสุดของเรือนหลังนี้ ใกล้กับผืนป่าด้านหลังเพียงนิดเดียว เมื่อมองต่อไปก็พบผืนป่าทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ซูฉิงมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นว่าด้านนอกมีผู้ใด นางจึงคิดจะเปิดหน้าต่างออก แต่พอลองดึงดูมันกลับไม่ขยับ เมื่อดูอย่างละเอียดก็พบว่าด้านล่างหน้าต่างมีการลงกลอนเอาไว้

ซูฉิงเล่ารายละเอียดของสภาพแวดล้อมด้านนอกให้ฟัง จวีมู่เอ๋อร์จึงเอ่ยถามว่า “ในห้องนี้มีของอะไรมาดึงสลักกลอนออกได้หรือไม่”

ซูฉิงกับติงเหยียนซานรีบหาของในห้อง แต่ไม่พบอะไรเลย

“ของประเภทปิ่นก็ได้” จวีมู่เอ๋อร์ถามอีกครั้ง

ติงเหยียนซานลูบไปบนหัว “ข้ามี ข้ามี”

นางดึงปิ่นลงมา วิ่งไปส่งให้ซูฉิง ซูฉิงหยิบไปแล้วใช้ปลายปิ่นเขี่ยกลอนไม้นั้นทีละนิดๆ ติงเหยียนซานดูอยู่ด้านล่างอย่างร้อนใจ รีบถามว่า “เจ้าทำได้หรือไม่ หากไม่ได้ข้าจะทำเอง”

“อย่าพูดมาก รีบไปฟังเสียงที่ประตู” ซูฉิงที่เขี่ยกลอนไม้จนรู้สึกเครียดอยู่แล้ว ถูกนางเซ้าซี้เช่นนี้ก็ยิ่งไม่พอใจ

ติงเหยียนซานคิดอยู่สักครู่ สุดท้ายก็กัดริมฝีปากแล้วเดินกลับไปที่ประตู

ผ่านไปสักพัก ในที่สุดซูฉิงก็ดึงสลักกลอนไม้ออกมาได้ นางกำลังจะร้องด้วยความดีใจ ติงเหยียนซานก็กดเสียงเบากระซิบว่า “เหมือนจะมีคนมาแล้ว”

นางพูดพลางวิ่งกลับมา ซูฉิงกระโดดลงจากเก้าอี้ในทันที นางกับติงเหยียนซานสองคนประกบซ้ายคนขวาคน ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ไปที่เตียง

แต่พวกนางลืมไปว่าเก้าอี้ตัวนั้นขาหัก ดังนั้นเมื่อจวีมู่เอ๋อร์ปล่อยมือ เก้าอี้ตัวนั้นจึงเริ่มคลอน โอนเอนทำท่าจะล้มลง แต่ตอนนี้เสียงฝีเท้านอกประตูดังขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่ามีผู้กำลังเดินมาที่หน้าห้อง

หญิงสาวทั้งสามคนไม่สนใจสิ่งใด รีบกลับไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว แล้วรวมตัวกอดกันกลม ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยปากใดๆ

นอกประตูมีเสียงปลดกลอนดังขึ้น เก้าอี้ตัวนั้นยังคงตั้งอยู่ตรงหน้าต่าง คลอนแคลนอยู่เช่นเดิม

เสียงดังกุกกักหยุดลง จากนั้นประตูก็เปิดออก

ในตอนนี้เองเก้าอี้ขาหักตัวนั้นพลันหยุดนิ่งลงทันใด

ซูฉิงใช้หางตาแอบเหลือบมอง รู้สึกหวาดกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น นางไม่กล้ามองนาน กลัวว่าพวกโจรจะรู้สึกตัวและสังเกตเห็นเก้าอี้ที่ถูกย้ายไปอยู่ตรงหน้าต่าง รวมทั้งพบว่าพวกนางดึงสลักกลอนไม้ของหน้าต่างออก สรุปก็คือนางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

คนที่เปิดประตูคือโจรตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขากวาดตามองไปรอบห้อง เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสามคนนั่งนิ่งอยู่บนเตียงจึงปิดประตูลงกลอนดังเดิม

หญิงสาวทั้งสามคนนิ่งไปครู่ใหญ่ จากนั้นจึงกล้ากลับมาขยับตัว ซูฉิงวิ่งไปแนบหูเข้ากับหลังบานประตู จากนั้นก็วิ่งกลับมา พูดเสียงเบาว่า “เอาล่ะ พวกเราลงมือกันต่อเถอะ เปิดหน้าต่างออกไปดูสภาพด้านนอกก่อน”

ติงเหยียนซานพยักหน้า แล้วกลับทำหน้าที่เหมือนเมื่อครู่คือไปแนบหูฟังเสียงตรงประตู ส่วนซูฉิงปีนเก้าอี้ขึ้นไปผลักหน้าต่างนั้นเบาๆ แต่มันยังคงไม่ขยับ ซูฉิงตกตะลึง สังเกตอย่างละเอียดอีกครั้งก็เห็นว่ากลอนไม้นั้นถูกดึงสลักออกแล้ว แต่เหตุใดหน้าต่างจึงยังเปิดไม่ออกอีก

นางสงบสติอารมณ์ ครั้งนี้ออกแรงผลักให้มากขึ้น แต่ก็ยังคงเปิดไม่ออก นางเริ่มรู้สึกตระหนก ลองเพิ่มแรงผลักอีกครั้ง แต่หน้าต่างไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว

ติงเหยียนซานที่อยู่หลังประตูมองอย่างร้อนใจ นางวิ่งเข้ามาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

“เปิดไม่ออก ทั้งๆ ที่ดึงสลักกลอนออกแล้วแท้ๆ” ซูฉิงร้อนรนจนเหงื่อตก

“ยังมีส่วนอื่นติดอยู่หรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์รีบเอ่ยถาม

“ไม่มีนี่นา” ซูฉิงมองหาอีกรอบอย่างละเอียด พอนางเงยหน้าขึ้นก็ร้องออกมาทันที “อ๋า ด้านบนก็ลงกลอนไว้เหมือนกัน” นางดึงสลักกลอนเพียงแค่ด้านล่าง แต่ด้านบนยังมีอีกอัน

ซูฉิงสูงไม่ถึงสุดขอบหน้าต่าง นางลองเขย่งเท้าดู แต่ก็ยังเอื้อมไม่ถึง

ติงเหยียนซานพูดอย่างร้อนใจ “ยายเตี้ย เจ้าลงมานี่ ข้าทำเอง” นางพูดพลางใช้แรงดึงตัวซูฉิงลงมา

ซูฉิงไม่ยอม บ่นพึมพำว่า “ข้าอายุแค่สิบสี่ รอให้ข้าโตจนอายุเท่าเจ้า ข้าก็สูงได้เช่นกัน”

ติงเหยียนซานไม่สนใจ นางแย่งปิ่นมาแล้วยืนขึ้นบนเก้าอี้ ใช้ปลายปิ่นเขี่ยกลอนไม้อันนั้น ซูฉิงเห็นติงเหยียนซานทำงานแทน ตัวนางจึงรีบวิ่งไปแนบหูฟังการเคลื่อนไหวของด้านนอก

ผ่านไปครู่ใหญ่จนกระทั่งติงเหยียนซานรู้สึกเมื่อยแขน ในที่สุดก็สามารถถอดสลักกลอนไม้นั้นออกมาได้ นางสะกดความรู้สึกอยากจะร้องตะโกนเอาไว้ เพียงเอ่ยเสียงเบา “ข้าทำได้แล้ว ทำได้แล้ว”

ซูฉิงรีบวิ่งเข้ามา “อย่าเพิ่งรีบร้อนเปิดออก ดูก่อนว่าด้านนอกมีคนหรือไม่”

ติงเหยียนซานมองลอดผ่านช่องออกไป ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มี”

ซูฉิงพูดว่า “ขอข้าดูสักหน่อย”

ติงเหยียนซานเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ตื่นเต้นน่ากลัวเกินไป ดังนั้นจึงก้าวลงมาจากเก้าอี้อย่างไม่ขัดขืน เปลี่ยนให้ซูฉิงขึ้นไปยืนแทน

ซูฉิงค่อยๆ แง้มเปิดหน้าต่างแล้วยื่นหัวออกไปดู จากนั้นจึงปิดหน้าต่างลงอย่างเบามือ แล้วกระโดดลงมา

“ข้าคิดว่าหนีได้” นางพูดเสียงเบา น้ำเสียงมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง “แม้หน้าต่างจะสูง แต่ข้างล่างเป็นพื้นโคลน หากพวกเรากระโดดลงไป ขอเพียงอดทนไว้อย่าส่งเสียงร้องออกมา คงไม่ทำให้เกิดเสียงอะไรมากมายนัก หลังจากออกไปแล้ว ป่าด้านทิศใต้อยู่ใกล้ตรงนี้ที่สุด พวกเราก็วิ่งเข้าไปที่นั่นให้เร็วหน่อย ขอเพียงเข้าไปแล้วก็จะสามารถปิดบังซ่อนตัวได้ง่าย”

“ตอนนี้เป็นเวลาอะไร” จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม

“ดวงอาทิตย์ใกล้จะคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว” ซูฉิงตอบ

“เช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นโอกาสดี พวกเจ้ารีบไป พวกเขาเพิ่งจะมาตรวจคงยังไม่กลับมาเร็วนัก ตอนนี้ได้ดื่มเต็มที่กินเต็มอิ่ม พวกเขาคงจะคลายความระวังลงบ้างแล้ว พวกเจ้ารีบหนีไปตอนนี้เลย หากเร่งเดินทางก่อนฟ้ามืดก็ยังมีโอกาสจะออกจากป่านั้นไปได้”

“แล้วพี่ล่ะ” ซูฉิงรู้สึกไม่พอใจมากกับคำว่า ‘พวกเจ้า’ ของจวีมู่เอ๋อร์ “หากพี่ไม่ไป ข้าก็ไม่ไป”

“ไม่ได้ เจ้าต้องไป” จวีมู่เอ๋อร์กล่าวเสียงดุ “หากข้าตามพวกเจ้าไป นอกจากจะเป็นภาระทำให้พวกเจ้าเดินทางช้าลงแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าเพราะข้า ข้าคงไม่สบายใจไปชั่วชีวิต ฉิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมสิ ข้ายังมีเรื่องต้องรบกวนเจ้า ดังนั้นเจ้าจะต้องปลอดภัย” ซูฉิงยังมีท่าทางไม่ยินยอม จวีมู่เอ๋อร์จึงพูดอีกว่า “เจ้าออกไปแล้วรีบตามคนมาช่วยข้าจึงจะถูก”

ซูฉิงกัดฟันแน่น “ได้ ข้าจะไปตามคนกลับมาช่วยพี่”

“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”

ซูฉิงขอบตาร้อนผ่าว “พี่มู่เอ๋อร์ พี่ต้องรอข้านะ ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด”

จวีมู่เอ๋อร์ร้อนใจเช่นกัน แต่นางรู้ดีว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องแสดงท่าทางสงบนิ่งเอาไว้ “ชักช้าไม่ได้แล้ว พวกเจ้ารีบไปเถอะ”

ในตอนนี้ติงเหยียนซานจึงถามขึ้นว่า “ไปอย่างไร”

“ตามข้ามา!” เมื่อซูฉิงคิดว่าตนต้องไปพาคนมาช่วยจวีมู่เอ๋อร์ก็พลันรู้สึกมีพลังขึ้นมา “พี่มู่เอ๋อร์ ข้าจะพาคนกลับมาช่วยพี่แน่นอน”

“หากกลับมาแล้วไม่เจอข้าและโจรเหล่านี้ก็หนีไปแล้ว เช่นนั้นฉิงเอ๋อร์เจ้าจำไว้ให้ดี ยังมีอีกเบาะแสหนึ่งก็คือรถม้าที่ลักพาตัวพวกเรามาที่นี่ ข้าเขียนชื่อของตัวเองเอาไว้ในรถ” นางยื่นมือที่ปลายนิ้วมีบาดแผลออกมา เป็นบาดแผลซึ่งนางใช้นิ้วขูดร่องกระดานรถอย่างแรงตอนอยู่ในรถม้า และใช้เลือดเขียนชื่อเอาไว้บนแผ่นกระดานของรถ คิดว่าอาจใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อค้นหารถคันนี้ต่อไปในภายหน้าได้

“ข้าเข้าใจแล้ว” ซูฉิงสูดลมหายใจเข้าลึก กลั้นน้ำตาเอาไว้ ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจว่าจะหารถม้าเจอหรือไม่ เหตุการณ์ตรงหน้าจึงจะสำคัญที่สุด

“พี่มู่เอ๋อร์ ข้าไปแล้วนะ”

“ดูแลตัวเองด้วยนะ ฉิงเอ๋อร์ หาก…เจ้าช่วยดูแลพ่อแทนข้าด้วย” จวีมู่เอ๋อร์กุมมือซูฉิงไว้แน่นแล้วดึงนางมากอด บางทีนี่อาจเป็นการกอดครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ จวีมู่เอ๋อร์ใช้ฟันกัดปลายลิ้นตัวเอง บังคับให้น้ำตาไหลย้อนกลับไปก่อนจะยิ้มแล้วพูดอีกครั้ง “ดูแลตัวเองนะ ฉิงเอ๋อร์”

ซูฉิงกัดฟันแน่น “พี่รอข้านะ ข้าจะรีบนำคนมา” นางหันหน้าไปพูดกับติงเหยียนซาน “พวกเราไปกันเถอะ”

แม้ติงเหยียนซานจะไม่ค่อยมั่นใจกับการหนีไปกับยายเด็กคนนี้ แต่หากเทียบกับการรอความตายอยู่ที่นี่แล้ว นางย่อมยินดีลองหลบหนีด้วยวิธีนี้ นางหันหน้าไปมองจวีมู่เอ๋อร์ รู้สึกทนไม่ได้ที่ต้องทิ้งจวีมู่เอ๋อร์ซึ่งเป็นคนตาบอดไว้ที่นี่ตามลำพัง นางกัดริมฝีปาก สุดท้ายไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงเอ่ยเพียงว่า “พวกเราไปแล้วนะ”

“ดูแลตัวเองด้วย ต้องกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยนะ” จวีมู่เอ๋อร์จับเก้าอี้ไว้มั่น ขณะที่พูดกับติงเหยียนซาน

ซูฉิงปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง ก่อนจะหันหน้ามาพูดกำชับติงเหยียนซาน “เจ้าจำไว้ ตอนกระโดดลงไปจะส่งเสียงร้องไม่ได้เด็ดขาด แม้ขาหักก็ต้องอดทนไว้ หลังจากลงถึงพื้นแล้วอย่าหยุด อย่าพูด รีบวิ่งตามข้าเข้าไปในป่า เข้าใจหรือไม่”

ติงเหยียนซานพยักหน้า ซูฉิงยื่นหน้าออกไปดูรอบๆ แล้วหันหน้ามาพูดกับจวีมู่เอ๋อร์ “พี่มู่เอ๋อร์ ข้าไปล่ะ พี่ต้องรอข้านะ”

“ได้” หลังจากได้ยินเสียงตอบรับจากจวีมู่เอ๋อร์ ซูฉิงก็ทิ้งตัวกระโดดออกนอกหน้าต่าง

เสียงกระทบพื้นดังพรึบนั้นไม่หนักไม่เบา ทำให้ติงเหยียนซานกับจวีมู่เอ๋อร์กลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรตามมาอีก คิดว่าคงจะราบรื่นดี ดังนั้นจวีมู่เอ๋อร์จึงจับเก้าอี้แล้วเอ่ยเร่ง “แม่นางติง เจ้าก็รีบไปเถอะ”

ติงเหยียนซานเหยียบเก้าอี้ปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง จวีมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะพูดเสริมอีกประโยค “แม่นางติง เจ้าฟังข้าสักคำ แกล้งโง่สามารถช่วยรักษาชีวิตไว้ได้”

ติงเหยียนซานงุนงง แต่ยังไม่ทันได้คิดตาม เท้าก็ยันขอบหน้าต่างกระโดดตามซูฉิงออกไปแล้ว

จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงนางลงสู่พื้น ตามด้วยเสียงของคนทั้งสองวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ใจที่อึดอัดรัดแน่นของนางจึงคลายลงได้ในที่สุด

นางขาอ่อน ทรุดนั่งลงบนพื้น

พื้นนั้นเย็นมาก เย็นจนเสียดกระดูก ความหนาวค่อยๆ ซึมเข้าร่างกายนาง แทรกเข้าไปในใจนาง รู้สึกเหน็บหนาวมากขึ้นทุกที ในที่สุดนางก็สามารถแสดงความหวาดกลัวที่คอยสะกดเอาไว้ตลอดออกมาได้

นางกลัว กลัวเหลือเกิน

ความเงียบและความโดดเดี่ยวทำให้นางหวาดกลัวมากขึ้น

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าใดแล้ว แต่ทันใดนั้นนางก็ได้สติ นางจะนั่งรอความตายเช่นนี้ไม่ได้ หากนางยังมีลมหายใจอยู่ก็จะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด

นางลุกขึ้นคลำหาไม้เท้า เมื่อไม่พบก็รู้สึกลนลานอยู่บ้าง นางคลำไปทั่วพื้นห้อง จนสุดท้ายนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่วางมันไว้บนเตียง นางจึงเดินไปคลำหาที่เตียงแล้วก็เจอไม้เท้าของนางในที่สุด

เมื่อได้จับไม้เท้า นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แม้ความจริงแล้วมันจะไร้ประโยชน์ ไม้เท้าช่วยอะไรนางไม่ได้ จวีมู่เอ๋อร์ทรุดนั่งลงบนขอบเตียง นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ไม่รู้ว่าพวกซูฉิงจะกลับเข้าไปในเมืองได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ และไม่รู้ว่าโจรเหล่านั้นจะมาเปิดประตูห้องของนางเมื่อใด

จวีมู่เอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางไม่กล้าคิดว่าหากพวกเขาเปิดประตูบานนั้นเข้ามาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป นางไม่กล้าคิดว่าตนจะถูกย่ำยีอย่างไร แต่นางคิดถึงท่านหลงเอ้อร์ขึ้นมาจับใจ คิดถึงความบ้าบิ่นของเขา คิดถึงความรักในศักดิ์ศรีของเขา คิดถึงความเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยของเขา และคิดถึงความดีที่เขามีต่อนาง

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com