ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด – หน้า 14 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

บทที่สิบสี่

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตอนนี้หลงเอ้อร์ก็กำลังคิดถึงนางเช่นกัน เขาคิดถึงนาง แต่ขณะเดียวกันก็มีไฟโทสะลุกโชนอยู่ในใจ

พวกหลี่เคอปล่อยให้พวกโจรหลุดรอดสายตาไป!

เขารีบรุดมาอย่างร้อนใจ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นข่าวร้ายเช่นนี้

หลี่เคอไม่กล้าเงยหน้า ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พวกเขาตามโจรสองคนที่จับตัวติงเหยียนซานไป เห็นพวกนั้นเดินทางมาถึงตีนเขาก็ทิ้งรถม้าไว้ เปลี่ยนเป็นขี่ม้าขึ้นเขาแทน พวกเขากลัวว่าหากตามติดจนเกินไปอาจจะถูกพบเห็นได้จึงคอยติดตามอยู่ห่างๆ คิดไม่ถึงว่าสภาพพื้นที่ในภูเขาลูกนี้จะซับซ้อนถึงเพียงนี้ พวกเขาแอบตามไปได้ช่วงหนึ่ง แต่เพียงพริบตาคนก็หายไปเสียแล้ว

พวกเขาค้นหาโดยรอบอยู่นาน แต่ก็ไม่พบร่องรอยของโจรสองคนนั้นแม้แต่น้อย

หลงเอ้อร์โกรธมากจนไม่อยากจะเอ่ยปากด่า

สถานการณ์ของเหล่าสายสืบทางวัดฝูหลิงก็เป็นเช่นเดียวกับของพวกหลี่เคอ ก่อนหน้านี้มีสายสืบมารายงานว่าละแวกใกล้ๆ นี้พบรถม้าที่ดูน่าสงสัย หลงเอ้อร์วิเคราะห์แล้วว่าพื้นที่แถวนี้เป็นจุดที่น่าสงสัยที่สุดซึ่งอาจจะเป็นที่ซ่อนตัวของพวกโจร

ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมา คิดว่าพวกหลี่เคอที่ตามรอยติงเหยียนซานไปจะต้องมีความคืบหน้าอย่างแน่นอน คาดไม่ถึงว่าพอมาถึงทางขึ้นภูเขาก็หาทางไปต่อไม่พบเสียแล้ว

หลงเอ้อร์มองภูเขาลูกใหญ่เบื้องหน้า แล้วถามว่า “ส่งคนไปเท่าใด”

“แบ่งพี่น้องเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละห้าคน ตอนนี้ขึ้นเขาไปทำการค้นหาแล้วขอรับ” หลี่เคอรายงาน แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น คนที่ส่งขึ้นไปค้นหาบนภูเขา ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รายงานกลับมา คิดว่าคงไม่พบอะไร ตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว หากฟ้ามืด การค้นหาจะยิ่งลำบากมากขึ้น

“รถม้าล่ะ” หลงเอ้อร์ถามอีก

“พักรถอยู่ทางนั้นทั้งหมดขอรับ” หลี่เคอชี้บอกทิศทาง “เหล่าพี่น้องเจอรถม้าที่ดูน่าสงสัยสามคันบริเวณใกล้ๆ ห่างออกไปไม่กี่ลี้ ลักษณะเหมือนกับรถม้าที่องครักษ์เฉินบอก และเหมือนรถม้าที่ลักพาตัวแม่นางติงไป พวกเราทำการยึดรถเหล่านั้นไว้แล้ว แต่คนรถบอกว่าเป็นรถม้าที่หมู่บ้านการเกษตรของตนใช้ส่งของ และพวกเราก็ค้นอะไรอย่างอื่นไม่พบขอรับ”

หลงเอ้อร์เอ่ยเสียงแข็ง “เจ้าไปเถอะ” พูดจบก็ไม่ได้หันมามองหลี่เคอ และเดินไปทางรถม้าตามลำพัง

หลี่เคอถอนหายใจ รีบขึ้นเขาไปรวมตัวกับกลุ่มค้นหา

หลงเอ้อร์มาถึงจุดที่พักรถม้า มีรถม้าทั้งหมดสามคันและคนรถสามคน รถม้ามีลักษณะคล้ายคลึงกัน คนรถดูไปแล้วก็เหมือนชาวบ้านทำการเกษตรทั่วไป หลงเอ้อร์เข้าไปตรวจดูรถทีละคัน ตัวรถตกแต่งเรียบง่าย ใช้แผ่นไม้มาต่อกัน ภายในรถว่างเปล่า ไม่ได้บรรจุของอะไรเอาไว้

หากดูเพียงผิวเผินก็ไม่เห็นความผิดปกติใดจริงๆ

หลงเอ้อร์ก้าวขึ้นไปบนรถม้าคันหนึ่ง เขาไม่เชื่อว่าหากจวีมู่เอ๋อร์ถูกขังอยู่ในรถแล้วจะไม่คิดทำอะไรเลย นางต้องทิ้งเบาะแสอะไรเอาไว้อย่างแน่นอน ทิ้งร่องรอยบางอย่างที่พิสูจน์ได้ว่ารถคันนี้เคยเป็นรถที่ใช้ขังนางเอาไว้

หลงเอ้อร์ตรวจดูภายในรถม้าคันที่หนึ่งอย่างละเอียดแต่ไม่พบอะไร ดังนั้นเขาจึงกระโดดขึ้นบนรถคันที่สอง เขาโยนกระสอบผ้าและของอื่นๆ ออกจากตัวรถแล้วตรวจดูอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไรเช่นกัน

หลงเอ้อร์ขึ้นไปบนรถคันที่สาม ภายในรถคันนี้มีเบาะผ้ากองไว้จำนวนหนึ่ง เหมือนเอาไว้ใช้รองสินค้า ดูจากสภาพคงถูกใช้งานอย่างหนักจนเก่าและดำ หลงเอ้อร์พลิกหาทีละนิดอย่างอดทน ทันใดนั้นเขารู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง ที่มุมหนึ่งใต้เบาะผ้ามีตัวอักษรสีแดงเข้มสองตัวเขียนไว้…’มู่เอ๋อร์’

หลงเอ้อร์จ้องตัวอักษรสองตัวนั้น ไม่กล้าเชื่อสายตาของตัวเอง เขากะพริบตาแล้วดูอีกครั้งก็ยังเห็นว่าเป็นตัวอักษรสองตัวนั้นจริงๆ

มู่เอ๋อร์

มู่เอ๋อร์ของเขา

ในห้วงพริบตานั้นหลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าตนมีความรู้สึกเช่นใด นางเป็นคนอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ นางไม่ยอมอยู่เฉย นางฉลาดเพียงนั้น นางจะต้องทิ้งร่องรอยอะไรให้เขาบ้าง

เพียงแต่รอยสีแดงคล้ำนั้นทิ่มแทงเข้าไปที่ดวงตาของเขา เขาเห็นตรงระหว่างร่องไม้มีรอยสีแดงคล้ำเช่นเดียวกัน เรื่องนี้กระจ่างแล้ว นางคงใช้ร่องไม้กรีดนิ้วให้เป็นแผลเพื่อใช้เลือดเขียนตัวอักษร

หลงเอ้อร์กระโดดลงจากรถม้า เอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “รถคันนี้เป็นของใคร”

คนรถคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เรียนนายท่าน เป็นของข้าน้อยเองขอรับ”

“วันนี้เจ้าใช้รถคันนี้ทำอะไรบ้าง”

“ขนอาหารภายในหมู่บ้านสองรอบขอรับ”

“เจ้าเป็นคนขนด้วยตัวเองหรือ”

“ขอรับ” คนรถเริ่มตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด

หลงเอ้อร์พยักหน้า ก้าวเท้าเข้าไปหาคนรถ เมื่อเดินไปถึงก็ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็ยื่นมือไปบีบคอ ยกแขนตรึงชายคนนั้นเอาไว้บนต้นไม้ด้านข้าง

หลงเอ้อร์ฉีกยิ้มที่เต็มไปด้วยรังสีสังหาร “ทางที่ดีเจ้าจงรีบบอกมาว่าส่งตัวหญิงตาบอดคนนั้นไปที่ใด ไม่เช่นนั้นชีวิตของเจ้าข้าคงไม่อาจรับรองให้ได้”

 

ซูฉิงพาติงเหยียนซานวิ่งเข้าไปในป่า พวกนางสองคนไม่กล้าหยุด ไม่กล้าหันกลับไปมอง พยายามวิ่งออกไปให้ไกลที่สุด วิ่งจนกระทั่งเหนื่อยหอบหายใจไม่ทันจึงหยุดพัก

ซูฉิงหาพุ่มไม้แล้วซ่อนตัวอยู่ในนั้น นางดึงติงเหยียนซานให้นั่งลง เอ่ยเสียงเบา “หยุดพักก่อน ข้าจะบอกแผนการให้เจ้าฟัง”

ติงเหยียนซานหอบหายใจ ทรุดนั่งลงแล้วขยับเข้าไปซ่อนตัวด้วย

ซูฉิงเอ่ยถาม “เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่”

“เป็น”

“เช่นนั้นก็ดีมาก” ซูฉิงหยิบกิ่งไม้มาวาดลงบนพื้นโคลน “ข้าจะบอกเจ้าว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่ ตรงนี้คือเรือนที่ขังพวกเรา ตรงนี้เป็นจุดที่ข้ากับพี่มู่เอ๋อร์ถูกลากลงจากรถม้า พวกเราอยู่ใกล้กับที่นั่นมากแล้ว ข้าเห็นพวกเขาจูงม้าทั้งหมดมาทางนี้ ตรงนั้นคงจะมีที่ซ่อนม้าเอาไว้” ซูฉิงอธิบายเป็นส่วนๆ

“จากนั้นล่ะ”

“หากพวกเราใช้วิธีเดิน ต่อให้ฟ้ามืดแล้วก็คงหนีออกไปไม่ได้”

ติงเหยียนซานเห็นด้วย “ใช่ หากตอนกลางคืนมีหมาป่า พวกเราแย่แน่”

ซูฉิงเหลือบมองนาง “ถ้าชักช้าจะมาช่วยพี่มู่เอ๋อร์ไม่ทัน”

ติงเหยียนซานถูกคำพูดของนางทำให้รู้สึกละอายใจอย่างไร้สาเหตุ นางกระแอมแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”

“พวกเราไปขโมยม้าก่อน”

“ขโมยม้า?”

“ใช่ หากมีม้า เจ้าก็ให้ข้านั่งซ้อนหลัง พวกเราจะลงจากเขาได้เร็วขึ้น”

“ข้าให้เจ้านั่งซ้อนหลัง?”

“ใช่ เพราะข้าขี่ม้าไม่เป็น”

ติงเหยียนซานเม้มปากเบาๆ แล้วเชิดหน้าขึ้น นางรู้สึกดีใจอยู่บ้างที่นางก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด อย่างน้อยนางก็ขี่ม้าเป็น ยายเด็กคนนี้ยังต้องอาศัยนาง

ซูฉิงเห็นท่าทางของนาง ในใจก็ไม่ยอมแพ้ พูดขึ้นว่า “ข้าขี่ลาเป็น เจ้าขี่เป็นหรือไม่”

ติงเหยียนซานจ้องตาเขม็ง “ใครอยากขี่ลากัน น่าขายหน้าจะตายไป”

“เช่นนั้นเจ้าก็ขี่ไม่เป็นสินะ” ซูฉิงเม้มปากเชิดหน้าเลียนแบบท่าทางของอีกฝ่าย

ติงเหยียนซานจ้องนางอย่างหัวเสีย “ขี่ลามีอะไรน่าภูมิใจกัน ต้องขี่ม้าจึงจะดูองอาจ”

ซูฉิงจ้องกลับ “ลาน่ารักกว่าม้า…เอาเป็นว่าเจ้าฟังคำข้า พวกเราไปขโมยม้าก่อน ถ้าไปถึงที่นั่นเจ้าก็อย่าวิ่งวุ่น ตามหลังข้ามา สบโอกาสแล้วค่อยลงมือ”

ติงเหยียนซานพยักหน้า นางไม่รู้จักทาง ไม่มีทางวิ่งวุ่นแน่นอน แต่นางยังคงคิดว่าการขี่ม้านั้นเยี่ยมยอดกว่าการขี่ลา

หญิงสาวทั้งสองคนต่างทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาใส่ใจว่าการขี่ม้ากับขี่ลาต่างกันมากน้อยเพียงใด

ซูฉิงเริ่มขยับตัวเดินเข้าไปในพุ่มไม้อีกพุ่มด้านหน้า ผ่านไปสักครู่ติงเหยียนซานก็เห็นนางมีสีหน้ายินดี ซูฉิงหยิบกิ่งไม้กิ่งใหญ่ออกมาจากพุ่มไม้

ติงเหยียนซานสะดุ้ง คงไม่เหมือนที่นางคิดไว้หรอกนะ

ซูฉิงออกแรงหักกิ่งเล็กๆ ออกจากกิ่งใหญ่ จากนั้นนางก็ถือท่อนไม้ไว้ในมือ เดินก้มตัวต่ำๆ กลับมา แล้วใช้เท้าเขี่ยภาพแผนที่บนพื้นให้เลือนออกจนหมด กวักมือเรียกติงเหยียนซานพร้อมกับพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ”

คราวนี้คนทั้งสองไม่มีแรงวิ่งเหมือนตอนแรก ทำได้เพียงเพิ่มความเร็วในการเดิน ซูฉิงเดินไปสักครู่ก็หันมาพูดกับติงเหยียนซาน “หากพวกเราขโมยม้าไม่สำเร็จแล้วถูกพบเข้า ข้าจะพยายามขวางพวกเขาเอาไว้ เจ้าขี่ม้าหนีไปก่อน จากตรงนั้นลงไปจะมีทางรถม้า เจ้าก็เลือกทิศทางที่ลงจากเขา ไม่ว่าอย่างไรต้องลงไปให้ได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้า เมื่อลงไปแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำคือนำคนมาช่วยข้ากับพี่มู่เอ๋อร์”

ติงเหยียนซานได้ยินก็รู้สึกร้อนใจ นางไม่กล้าคิดถึงสภาพการที่ต้องหนีตายอยู่ในป่าเพียงลำพัง ตอนนี้ฟ้าค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ ผู้ใดจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง

“นี่” ซูฉิงเห็นนางไม่ตอบเลยคิดว่านางไม่รับปากจึงใช้ท่อนไม้ชี้ไปที่ติงเหยียนซานแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าคิดวางแผนอะไรร้ายๆ นะ เจ้าเป็นคนจิตใจไม่ดี ที่จริงข้าไม่เชื่อใจเจ้า แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่น ข้ายกโอกาสหนีเอาชีวิตรอดให้เจ้าก่อน หากเจ้ากลับไปแล้วไม่ยอมพาคนมาช่วย แม้ข้าตายกลายเป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้า”

“ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น” ติงเหยียนซานโกรธ ใครกันที่บอกว่านางจิตใจไม่ดี นางเป็นคนดีมากเลยนะ ฤดูหนาวทุกปีจะมอบอาหารแก่พวกยาจก ยังซื้อลูกกวาดให้เด็กที่ยากไร้ด้วย ทุกคนล้วนชมว่านางเป็นหญิงสาวที่ดี

“หึ” ซูฉิงไม่ได้ชะงักฝีเท้า หันมากลอกตาให้ติงเหยียนซาน

ติงเหยียนซานฉุนจนรีบชิงเดินนำหน้านางไป

คนทั้งสองเขม่นกันไปพลางเดินไปยังที่ซ่อนม้าอย่างระวังตัว หลังจากผ่านป่าทึบก็มีเสียงการเคลื่อนไหวของม้า ซูฉิงโบกมือด้วยท่าทางเหมือนผู้ชำนาญการก่อนหลบเข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ติงเหยียนซานตกใจ รีบหลบหลังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง นางแอบมองไปด้านหน้า ในป่าด้านหน้ามีคอกที่ล้อมด้วยเถาวัลย์ ในคอกผูกม้าเอาไว้หลายตัว เมื่อนางมองไปซ้ายขวาก็ไม่เห็นมีใครอยู่

ติงเหยียนซานใจเต้นโครมคราม กัดริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น นางหันหน้าไปมองซูฉิง ซูฉิงยกนิ้วขึ้นแตะปากเป็นสัญญาณว่าอย่าส่งเสียง จากนั้นกอดท่อนไม้ที่เก็บมาแล้ววิ่งไปซ่อนตัวหลังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง

ติงเหยียนซานมองดูอย่างลุ้นระทึก ซูฉิงเคลื่อนย้ายจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งเรื่อยๆ ค่อยๆ หายไปจากสายตาของติงเหยียนซาน คิดว่าคงไปสอดแนมดูสถานการณ์ ดังนั้นนางจึงอดทนรอ

แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นซูฉิงกลับมา และไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ติงเหยียนซานเริ่มรู้สึกหวาดกลัว จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับยายเด็กนั่นหรือไม่ ถูกโจรจับตัวไปแล้วใช่หรือไม่

นางอยากหนีแต่ก็ไม่กล้า ไม่รู้ว่าจะลงเขาไปได้อย่างไร หากขโมยม้ามาไม่ได้ อาศัยเพียงสองเท้าของนางคงวิ่งได้ไม่ไกล ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว นางเพียงแค่ผู้เดียวลงจากเขาไม่ได้อย่างแน่นอน

อีกอย่าง อีกอย่าง…

ติงเหยียนซานกำหมัดแน่น นางทิ้งยายเด็กนั่นไปโดยไม่สนใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้ยายเด็กคนนั้นเคยบอกว่าจะยกโอกาสหลบหนีให้นาง แม้เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่การที่ซูฉิงทำเช่นนั้นเท่ากับมีคุณธรรมน้ำใจต่อนาง ตอนนี้ยายเด็กนั่นอาจมีอันตราย หากนางหนีไปโดยไม่บอกกล่าว คงผิดต่อซูฉิงมาก

ติงเหยียนซานคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจเข้าไปดูสถานการณ์ในคอกม้าก่อน

นางเดินออกจากหลังต้นไม้ มองเข้าไปในคอกม้าผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ นอกจากม้าเหล่านั้นก็ไม่เห็นใครอื่นอีก นางคิดสักครู่แล้วย่อตัวเดินโดยใช้เถาวัลย์และใบไม้เป็นเครื่องกำบัง หาทางเข้าไปขโมยม้าออกมาก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน

นางขยับฝีเท้าอย่างระมัดระวัง ตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระเด็นออกมา ในที่สุดก็หาช่องเล็กๆ พบจนได้ นางดีใจเป็นอย่างมาก คิดจะลองดึงเถาวัลย์ออกให้เป็นช่องเพื่อมุดเข้าไป แต่พอยื่นมือไปกลับถูกหนามบนเถาวัลย์ปักมือ นางอุทานร้องเจ็บอย่างเผลอตัว จากนั้นก็ตกใจที่ตัวเองส่งเสียงออกมา รีบวิ่งกลับไปซ่อนตัวที่เดิม รอฟังเสียงความเคลื่อนไหวสักพัก เมื่อยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางจึงคิดจะลองมุดเข้าไปอีกครั้ง แต่พอหันหน้าไปก็เห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งยื่นอยู่ด้านข้างไม่ไกลจากจุดที่นางอยู่

ติงเหยียนซานตกใจจนหน้าถอดสี ชายฉกรรจ์คนนั้นเดินเข้ามา ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

สิ่งแรกที่ติงเหยียนซานคิดได้ก็คือต้องหนี แต่ขาของนางอ่อนแรงจนขยับไม่ได้ จะร้องขอความช่วยเหลือก็ร้องไม่ออก ได้แต่เบิกตามองชายคนนั้นที่กำลังยื่นมือมาทางนางด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว นางยืนตัวแข็ง ภายในสมองว่างเปล่า

มือใหญ่นั้นยื่นมาตรงหน้านาง เห็นอยู่ว่ากำลังจะจับตัวนาง ทันใดนั้นทางด้านหลังของชายฉกรรจ์ก็มีเสียงดังตุบ

เขาหยุดเดิน ใบหน้าเหยเกดูเหมือนจะเจ็บปวดมาก ชายฉกรรจ์หมุนตัวกลับทันที

ติงเหยียนซานเห็นซูฉิงยืนถือท่อนไม้อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์จึงคิดจะตะโกนเรียก แต่ทันใดนั้นซูฉิงก็ยกท่อนไม้ขึ้นสูง กระโดดลอยตัวตีไปที่หัวของชายฉกรรจ์อีกหนึ่งที

ชายฉกรรจ์ถูกตีติดต่อกันสองครั้ง ในที่สุดก็ล้มลง ซูฉิงยังคงไม่วางใจ ตีเขาไปอีกหลายครั้ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับตัวแล้วจริงๆ จึงได้หยุด และใช้ท่อนไม้ยืนค้ำพื้นเช็ดเหงื่อหายใจหอบ

ติงเหยียนซานเบิกตาโตอ้าปากค้าง ซูฉิงมองนางแวบหนึ่งแล้วยกนิ้วโป้งให้ “ทำได้ดี”

ติงเหยียนซานส่ายหน้า เหตุใดจึงเป็นนางที่ทำได้ดี นางไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่ทุบชายคนนั้นอย่างดุดันเมื่อสักครู่ไม่ใช่นางเสียหน่อย ติงเหยียนซานเอ่ยถามอย่างงุนงง “เจ้าโผล่ออกมาจากตรงไหนกัน”

ซูฉิงชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ทางด้านหลัง “ข้าวางแผนจะเดินดูสักรอบว่ามีคนอยู่เฝ้าม้าหรือไม่ แต่ตอนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นก็เห็นเขาเดินไปมาอยู่ข้างหน้า ข้าจึงไม่กล้าขยับ ตอนที่กำลังร้อนใจว่าเหตุใดม้าในคอกจึงไม่ผายลมเพื่อล่อเขาไปดูสักนิด เจ้าก็เข้ามาพอดี เจ้าทำได้ดีมาก นี่ไง เขาล้มไปแล้ว”

ติงเหยียนซานใบหน้าดำคล้ำ เหตุใดจึงเอานางไปเทียบกับม้าผายลม!

ซูฉิงไม่สนใจ เอื้อมมือไปดึงเถาวัลย์และกิ่งไม้ออก พลางพูดว่า “แถวนี้ไม่มีคนอื่นแล้ว คงมีแค่เขาคนเดียว เจ้ารีบไปเอาม้าเถอะ”

ติงเหยียนซานรีบตามซูฉิงเข้าไปในคอกม้า เลือกม้าที่ดูคึกคักที่สุดมาหนึ่งตัว จากนั้นแก้เชือกล่ามออก กำลังจะขึ้นม้า กลับเห็นซูฉิงเอาฟางที่กองอยู่ด้านข้างมาวางไว้บนหลังม้าอีกตัวหนึ่ง

“เจ้าทำอะไร”

ซูฉิงมองนางแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยตอบ “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะไม่ลงเขาไปพร้อมกับเจ้า” ซูฉิงเดินเข้ามาชี้ทางให้ติงเหยียนซาน “ทางที่พวกเราเพิ่งผ่านมานั้นมีทางดินโคลนเล็กๆ ที่ใช้ลงเขา เจ้าเห็นใช่หรือไม่ เจ้าขี่ม้าลงไปตามทางสายนั้นก็พอ”

ติงเหยียนซานพยักหน้า ในใจรู้สึกตื่นกลัว “แต่หากตอนลงเขามีทางแยกมากมาย ข้าจะทำอย่างไร”

ซูฉิงขมวดคิ้ว “เส้นทางที่รถม้าสามารถเคลื่อนผ่านได้มีไม่มากนัก เจ้าคงไม่หลงทางหรอกกระมัง”

ติงเหยียนซานขมวดคิ้วเช่นกัน “ตอนที่ข้าถูกจับตัวมาไม่ได้นั่งรถม้า และตอนนั้นก็หมดสติด้วย ไม่รู้ว่าพวกเขาขึ้นมาจากทางใด”

“เช่นนั้นก็ต้องดูโชคของเจ้าแล้ว ข้าเห็นมีหญ้าแห้งอยู่ เลยคิดจะกลับไปเผาเรือนนั้น ถือโอกาสตอนชุลมุนพาพี่มู่เอ๋อร์หนีออกมา ขอเพียงหนีเข้าไปในป่าได้ พวกเราก็มีที่ซ่อนตัว ข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้ รอเจ้านำคนกลับมาช่วย” ซูฉิงไม่สนใจติงเหยียนซานที่อ้าปากด้วยความตกใจ พูดต่อทันที “หากข้าพาเจ้าลงเขาแล้วค่อยนำคนกลับมา ต่อให้ทำได้เร็วเพียงใดก็ต้องใช้เวลาเกือบถึงเที่ยงคืน ตอนนั้นพี่มู่เอ๋อร์คง…” ซูฉิงกัดริมฝีปาก เอ่ยอีกว่า “สรุปก็คือคงไม่ทันการแน่ ไม่สู้พวกเราแยกย้ายกันลงมือ ข้าจะยอมเชื่อเจ้า เรื่องตามคนมาช่วยขอมอบให้เจ้า ส่วนข้าจะไปพาพี่มู่เอ๋อร์หนีออกมาแล้วซ่อนตัวอยู่ในป่าที่พวกเรานั่งวาดแผนที่กันเมื่อสักครู่ รอให้เจ้ามาช่วย หากไม่ทำเช่นนี้ข้ากลัวว่าตอนที่พวกเรากลับมาพี่มู่เอ๋อร์อาจถูกทำร้ายไปแล้ว”

ติงเหยียนซานนิ่งงัน นางรู้ว่าซูฉิงพูดมีเหตุผล แต่ให้นางทำเรื่องสำคัญเช่นนี้ นางไม่มั่นใจและรู้สึกกลัว ตอนนี้แค่รักษาชีวิตของตัวเองให้ได้ก็ยังยากแล้ว

ซูฉิงยังคงวางหญ้าแห้งขึ้นบนหลังม้า คิดจะใช้ม้าบรรทุกสิ่งนี้แล้วแอบเข้าไปทางด้านหลังของเรือน จากนั้นค่อยหาโอกาสลงมือ

ติงเหยียนซานกำลังจะทักท้วง แต่พลันเกิดเสียงผิวปากแหลมดังขึ้นเสียก่อน ซูฉิงตกใจ หมุนตัวกลับไปยกท่อนไม้ขึ้นมา พูดกับติงเหยียนซานว่า “รีบหนี! ขี่ม้าไปตามเส้นทางที่ข้าบอก ขอเพียงไม่หลงทิศ เจ้าก็สามารถลงเขาไปได้อย่างแน่นอน ข้ากับพี่มู่เอ๋อร์รอเจ้าอยู่นะ!”

ขณะที่นางพูดคำนี้ ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากในป่า วิ่งทะยานมาทางพวกนางทั้งสองคน

เลือดในกายติงเหยียนซานเย็นเยือก นางกัดริมฝีปากกระโดดขึ้นหลังม้า ออกแรงสะกิดท้องม้า แล้วตะโกนตอบ “เจ้ารอข้านะ ข้าสาบานว่าจะนำคนกลับมาช่วยแน่นอน ข้าสาบาน!” จากนั้นม้าก็วิ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้ซูฉิงหวาดกลัวจนขนลุกไปทั้งร่าง แต่นางยังคงยกท่อนไม้ขวางไว้ตรงหน้าชายฉกรรจ์คนนั้น เพียงพริบตาเดียวชายคนนั้นก็มาถึงตรงหน้านาง ซูฉิงวาดท่อนไม้ออกไปอย่างสุดแรง แต่ชายฉกรรจ์มีวรยุทธ์ เขาจับท่อนไม้ไว้ได้อย่างง่ายดาย ซูฉิงรีบปล่อยมือ คิดเปลี่ยนมาใช้เท้าเตะไปที่ช่วงล่างของเขา

ชายฉกรรจ์คนนั้นตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ได้

ซูฉิงกำลังจะเตะถูกเป้าหมาย แต่ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังนาง จับตัวนางดึงถอยหลัง ชายฉกรรจ์คนนั้นเกือบจะถูกแตะที่สำคัญจึงใช้มือบังเอาไว้ด้วยความกลัว

ซูฉิงที่ถูกดึงตัวออกไปบิดกายกลับมาชกหนึ่งหมัด แต่กำปั้นกลับถูกหยุดเอาไว้ นางตวัดขาเตะไปที่ใต้ท้องน้อยของอีกฝ่าย คนผู้นั้นร้อง “เฮ้ย” ออกมา แล้วเลื่อนฝ่ามือลงต่ำ จับขาข้างนั้นของนาง “แม่นางซู ข้าเอง”

ซูฉิงกำลังกลัวจนลนลาน มือและขาข้างหนึ่งของนางถูกจับยึดไว้ ดังนั้นจึงไม่สนใจเรื่องอื่น ก้มตัวลงกัดไปที่มือของฝ่ายตรงข้ามทันที แม้จะได้ยินเสียงของคนผู้นี้ แต่นางก็ฝังเขี้ยวลงไปแล้ว

ซูฉิงที่งับมือใหญ่ไว้เต็มปาก สมองพลันคิดได้ว่าฝ่ายตรงข้ามพูดอะไรกับนางจึงช้อนตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าเศร้าที่ดูจนใจและเจ็บปวดของหลี่เคอ นางจึงคลายปากออกแล้วตะโกนเสียงดัง “พี่หลี่! พี่หลี่!”

“ข้าเอง” หลี่เคอปล่อยตัวซูฉิง นางร้องไห้โฮพลางกระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของเขา

จากนั้นสายสืบหลายคนที่ได้ยินเสียงสัญญาณผิวปากต่างพากันวิ่งมาตามเสียง หลี่เคอยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา ในอ้อมกอดมีสาวน้อย เขาเก้อเขินจนไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี แต่ทันใดนั้นซูฉิงก็ผละออกมายืนตัวตรง เช็ดน้ำตาแล้วมองไปรอบๆ พูดเสียงดังว่า “ไป ตามข้าไปช่วยพี่มู่เอ๋อร์!”

นางหมุนตัวเก็บท่อนไม้ใหญ่นั้นขึ้นมา ท่าทางเตรียมพร้อมต่อสู้ ก่อนจะเดินนำทางไปด้วยความฮึกเหิม

เหล่าสายสืบต่างมองหน้ากัน ส่วนหลี่เคอโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนตามไป

 

ติงเหยียนซานควบม้าให้วิ่งไปตลอดทาง นางไม่มั่นใจและหวาดกลัวมาก แต่นางต้องทำให้ได้ นางต้องนำกำลังคนกลับมาให้ได้

การเดินทางราบรื่นมาตลอด แต่ตรงทางแยกหนึ่ง นางที่สติไม่อยู่กับตัว ไม่รู้ว่าจะไปเส้นทางใดในทางสองสายที่เป็นทางลงเขาทั้งคู่ ขณะที่กำลังลังเลใจไม่รู้จะเลือกซ้ายหรือขวา เจ้าม้าก็สะบัดตัวนางตกลงมา

ติงเหยียนซานหวีดร้องด้วยความตกใจ ร่างตกกระทบพื้นโคลนดังตุบ เจ้าม้าไม่สนใจวิ่งลงเขาจากไปทันที เวลาผ่านไปนานกว่าที่ติงเหยียนซานจะได้สติ เมื่อขยับตัวก็พบว่าแขนซ้ายเจ็บจนเคลื่อนไหวไม่ได้ นางลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ขาซ้ายเองก็ดูเหมือนจะพลิกเช่นกัน

เมื่อช้อนตาขึ้นดูก็พบว่าเจ้าม้าวิ่งหายลับไปนานแล้ว ติงเหยียนซานอยากร้องไห้ นางบอกตัวเองว่าจะร้องไห้ไม่ได้ แต่ภาพเบื้องหน้าเริ่มมัว น้ำตาร่วงพรูลงมาอย่างควบคุมไม่ได้

ติงเหยียนซานยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดดวงตา พบว่าแขนเสื้อเต็มไปด้วยโคลน แขนของนางเจ็บมาก ขาก็ปวดเช่นกัน นางกำลังอยู่ตามลำพังในภูเขาที่เป็นรังของโจรภูเขาซึ่งบางทีอาจมีหมาป่าด้วย นางไม่เคยดูน่าสมเพชและทุลักทุเลถึงเพียงนี้มาก่อนเลย

ติงเหยียนซานร้องไห้โฮ ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว นางคงทำไม่ได้อย่างแน่นอน ลงจากเขาไม่ได้และทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับซูฉิงก็ไม่ได้ด้วย นางร้องไห้อย่างหนัก รู้สึกเกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์

ลมพัดผ่านผืนป่าทำให้เกิดเสียงน่ากลัวและแปลกประหลาด ติงเหยียนซานนึกถึงคำพูดของจวีมู่เอ๋อร์ที่เคยบอกว่าตัวนางนั้นมองไม่เห็นวิ่งไม่เร็ว ไม่อาจเป็นภาระของตนกับซูฉิงได้ ยังนึกถึงคำพูดของซูฉิงที่บอกว่านางจะขวางพวกโจรเอาไว้ ให้ตนรีบขี่ม้าหนีไป ที่พวกนางทำเช่นนั้น ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าหวังเพียงให้มีคนนำกำลังมาช่วยพวกนางเท่านั้น

ส่วนตัวนางล่ะ นางแค่หกล้มก็สิ้นหวังแล้วหรือ

ติงเหยียนซานสูดจมูก มองดูเส้นทางสองสายตรงหน้า แล้วตัดสินใจเลือกเส้นทางที่เจ้าม้าวิ่งไป บางทีตรงนี้อาจจะห่างจากตีนเขาไม่ไกลแล้ว แม้ตอนนี้ไม่มีม้า แต่นางยังมีขา นางยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด

ติงเหยียนซานทนเจ็บ กัดฟันเดินไปข้างหน้า สิ่งที่นางสาบานกับซูฉิงไว้ นางควรต้องพยายามให้ถึงที่สุด คนตาบอดยังไม่กลัว เด็กหญิงอายุน้อยก็ยังไม่กลัว นางที่เป็นถึงคุณหนูรองของคฤหาสน์สกุลติงจะกลัวได้อย่างไร นางก็ไม่กลัวเช่นกัน!

ติงเหยียนซานให้กำลังใจตัวเองพลางกัดฟันเดินต่อไป แต่แขนเริ่มเจ็บมากขึ้น ขาก็เช่นกัน นางอยากร้องไห้อีกครั้ง ถ้าตอนนี้พี่สาวอยู่ด้วยก็คงดี ท่านพ่อด้วย พี่เขยก็ยิ่งดี…นางคิดไปคิดมากลับเห็นพ่อและพี่เขยของตนอยู่ตรงหน้าจริงๆ

นางกะพริบตา ได้ยินเสียงท่านพ่อเรียกชื่อนางและเห็นเงาร่างของอวิ๋นชิงเสียน นอกจากนี้ยังเห็นท่านหลงเอ้อร์อีกด้วย เพียงพริบตาพวกเขาก็มาถึงตรงหน้านาง ติงเหยียนซานทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องไห้โฮออกมาทันที

ที่แท้คนรถที่หลงเอ้อร์สอบความตรงตีนเขากลัวตายจึงรีบรับสารภาพทุกอย่าง บอกว่าตัวเองถูกจ้างให้มารับและส่งโจรเหล่านั้นให้ถึงกลางภูเขา จากนั้นก็กลับไปที่ตีนเขาเพื่อรอรับคำสั่ง เขาไม่รู้เบื้องลึกของพวกโจร ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด และไม่รู้ว่าแหล่งที่พักบนภูเขาของพวกโจรอยู่ที่ใดด้วย

ขณะที่คนรถกำลังเล่าความ ติงเซิ่งกับอวิ๋นชิงเสียนก็นำคนมาถึง พวกเขาได้รับรายงานว่าติงเหยียนซานก็ถูกลักพาตัวเช่นกันจึงเร่งค้นหามาจนถึงที่นี่

หลงเอ้อร์ไม่มีเวลาพูดทักทายกับพวกเขา เพียงคุมตัวคนรถไว้ให้เขานำทาง ติงเซิ่งกับอวิ๋นชิงเสียนที่ได้ยินว่าติงเหยียนซานถูกนำตัวมาทางภูเขานี้จริงจึงรีบตามมาด้วย

เพียงแต่ทุกคนล้วนไม่คาดคิดว่าพอเดินมาถึงครึ่งทางก็จะเจอกับติงเหยียนซานในสภาพมอมแมม ได้รับบาดเจ็บและตัวเปื้อนโคลนเช่นนี้

ติงเซิ่งกับอวิ๋นชิงเสียนรีบเข้าไปดูอาการของนาง หลงเอ้อร์ทนไม่ไหวกำลังจะเข้าไปถามความ สายสืบของเขาก็ตะโกนรายงานเสียงดัง “นายท่านรอง เจอสถานที่นั้นแล้วขอรับ”

หลงเอ้อร์ดีใจแทบคลั่ง ไม่สนใจคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด แตะปลายเท้าลอยตัวไปอยู่ข้างกายสายสืบคนนั้นทันที

สายสืบคนนั้นรายงานว่า “พบตัวแม่นางซูฉิงแล้วขอรับ นางรู้สถานที่ ตอนนี้กำลังนำทางพวกท่านหลี่ไป ท่านหลี่ให้ข้าน้อยมารายงานก่อนขอรับ”

ติงเหยียนซานได้ยินว่าซูฉิงได้รับการช่วยเหลือแล้วก็รู้สึกเบาใจจนทรุดตัวฮวบลง ด้วยความเบาใจทำให้ตัวนางทนต่อไปไม่ไหว เอ่ยเรียก ‘ท่านพ่อ’ ได้เพียงคำเดียวก็หมดสติไป

หลงเอ้อร์ใช้วิชาตัวเบาตามสายสืบคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาอยากให้บนร่างมีปีกสักคู่ จะได้บินไปถึงข้างกายจวีมู่เอ๋อร์ทันที เขาร้อนใจดั่งไฟลน ไม่นานสายสืบก็พาเขามาถึงเรือนที่ซ่อนตัวของพวกโจร

ตลอดทางมา หลงเอ้อร์คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา คิดไปถึงสภาพต่างๆ ของจวีมู่เอ๋อร์ในตอนที่เขาไปถึง แต่กลับไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้มาก่อน…

นางหายตัวไปแล้ว!

หญิงตาบอดคนหนึ่งหายตัวไปจากห้องที่ถูกใส่กลอนเอาไว้!

หลงเอ้อร์ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

ซูฉิงเองก็ไม่เชื่อ

ตอนที่หลงเอ้อร์รุดมาถึง ซูฉิงที่อยู่ในโถงชั้นนอกของเรือนโจรกำลังใช้เก้าอี้ทุบโจรที่ถูกคุมตัวอยู่บนพื้น ร้องตะโกนให้อีกฝ่ายมอบตัวจวีมู่เอ๋อร์ออกมา

ในตอนที่ซูฉิงกลับมาถึง ในเรือนก็ไม่มีจวีมู่เอ๋อร์อยู่แล้ว จากนั้นนางจึงเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดในเพียงพริบตาเดียว หลี่เคอกับสายสืบสองคนที่คอยอยู่เฝ้าที่นั่นไม่ยุ่งเกี่ยว เรื่องสอบปากคำพวกโจร พวกเขาเข้าไปยุ่งไม่ได้

โจรทั้งสองคนปากแข็งบอกแต่ว่าไม่รู้ ซูฉิงเตะพวกเขาอย่างแรงไปหลายที ต้องการบีบให้พวกเขาพูดออกมาให้ได้

ในตอนนั้นเองหลี่เคอที่เห็นหลงเอ้อร์เข้ามาพอดีจึงรีบเข้าไปรายงานว่าตอนพวกเขาตามซูฉิงมาถึงที่นี่ ในห้องนี้ก็เหลือเพียงโจรสองคนกับหญิงชาวบ้านสองคนที่หายใจรวยรินเท่านั้น ส่วนคนอื่นหายไปอย่างไร้ร่องรอย และในห้องที่เคยขังจวีมู่เอ๋อร์ไว้ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว

โจรสองคนที่เหลืออยู่ไม่ใช่พวกกระดูกแข็งอะไรนัก ซ้อมไปไม่กี่ครั้งจึงรับสารภาพออกมาหมด บอกว่าหญิงทั้งสามคนนั้นหนีไปพร้อมกัน และโจรคนอื่นกระจายกำลังออกไปค้นหาเพื่อจับตัวพวกนางกลับมา

ซูฉิงตะโกนออกมาว่า “เขาโกหก พี่มู่เอ๋อร์มองไม่เห็นจะหนีไปได้อย่างไร นางบอกว่านางวิ่งไม่เร็ว หนีเองไม่ได้ทำให้เป็นภาระพวกเรา จึงให้พวกเราหนีออกมาก่อน นาง…นาง…นางให้พวกเราไปก่อน ส่วนตัวนางจะรอให้พวกเราตามคนมาช่วย…” ซูฉิงยิ่งพูดเสียงยิ่งสั่นเครือ ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา

พอคนช่วยมาถึง จวีมู่เอ๋อร์กลับหายตัวไปแล้ว

โจรสองคนนั้นเห็นท่าทางของหลงเอ้อร์ก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้เป็นเจ้าคนนายคน จึงรีบโขกหัวขอชีวิต “นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกข้าน้อยไม่ได้โกหก ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเป็นคนไปตรวจดูความเคลื่อนไหวของแม่นางทั้งสามคนเอง พบว่าในห้องไม่มีใคร บานหน้าต่างถูกเปิดเอาไว้ มีเก้าอี้วางไว้ตรงด้านล่างหน้าต่าง ดังนั้นข้าน้อยจึงรีบไปรายงานพี่ใหญ่ เขานำคนเข้าไปค้นดูในห้องก็พบว่าแม่นางทั้งสามคนหนีไปแล้วจริงๆ หลังจากนั้นมีคนพบไม้เท้าของหญิงตาบอดผู้นั้นอยู่ด้านนอกห่างออกไปทางทิศตะวันออกไม่ไกลนัก จึงคิดว่าพวกนางหนีไปทางนั้น ดังนั้นพี่ใหญ่จึงสั่งให้พวกข้าสองคนอยู่เฝ้าที่นี่ ส่วนเขานำพี่น้องคนอื่นตามไปทางนั้นเพื่อไล่ล่าพวกนาง”

ในตอนนี้ซูฉิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ทรุดนั่งลงบนพื้นร้องไห้โฮ “พี่หลอกข้า พี่บอกว่าจะรอข้ากลับมาช่วย นางหลอกข้า ที่แท้นางไล่พวกเราไป จากนั้นใช้ตัวเองหลอกล่อคนเลวเหล่านี้ไม่ให้ตามล่าพวกเรา พวกเราตกลงกันว่าจะหนีไปทางป่าด้านทิศใต้แท้ๆ นางรู้ดี นางรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นนางจึงไปทางทิศตะวันออก แต่นางมองไม่เห็น นางจะหนีไปที่ใดได้ ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว พี่ก็หายตัวไปแล้ว”

หลงเอ้อร์มีสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างมาก หลี่เคอรีบพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยให้เหล่าพี่น้องกระจายตัวออกค้นหาแล้วขอรับ สั่งให้พวกเขาจับโจรพวกนั้นกลับมา และช่วยแม่นางจวีกลับมาให้ได้”

หลงเอ้อร์พยักหน้า เอ่ยถามเสียงเข้ม “นางถูกขังอยู่ที่ห้องใด”

ซูฉิงยังคงร้องไห้อยู่ ไม่อาจตอบคำถามได้ หลี่เคอจึงรีบตอบแทน “ห้องในสุดห้องนั้นขอรับ พวกเราไม่ได้เคลื่อนย้ายของในห้องเลย” แท้จริงแล้วไม่มีอะไรให้เคลื่อนย้าย ในห้องนั้นนอกจากเตียงหนึ่งหลังโต๊ะหนึ่งตัวเก้าอี้หนึ่งตัวแล้วก็ไม่มีของอื่นใดอีก

หลงเอ้อร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เดินเข้าไปในห้องนั้นตามลำพัง

ภายในห้องยังคงเหมือนกับตอนที่พวกซูฉิงหนีไป เก้าอี้ยังอยู่ตรงหน้าต่าง เพียงแต่ตอนนี้มันล้มลง หน้าต่างเปิดออก ท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้ว อุณหภูมิบนภูเขาต่ำลง มีไอเย็นพัดเข้ามาในห้อง

หลงเอ้อร์มองดูภายในห้องอย่างละเอียด หลังจากกวาดตามองไปรอบหนึ่ง สายตาก็จับอยู่ที่บานหน้าต่างนั้น หน้าต่างค่อนข้างสูง หากจวีมู่เอ๋อร์จะปีนหน้าต่างก็ต้องเหยียบขึ้นไปบนเก้าอี้

เขาหันไปมองเก้าอี้ขาหักที่ล้มอยู่บนพื้น ในใจคิดว่านางมองไม่เห็น การปีนขึ้นเก้าอี้ขาหักเพื่อกระโดดออกจากหน้าต่างเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

หลงเอ้อร์มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ระยะห่างจากหน้าต่างถึงพื้นทำให้เขากังวลว่าจวีมู่เอ๋อร์อาจได้รับบาดเจ็บ

เขาหลับตา พยายามทำให้ใจสงบลง ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ในป่าอันตรายมาก อีกทั้งพวกโจรเหล่านั้นก็ยังไล่ล่าเพื่อจับตัวนางอยู่ นางต้องมีแผนการอยู่ในใจแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางคงไม่วิ่งวุ่นเช่นนี้

มีคนบุกเข้ามาพาตัวนางไป หรือว่านางหนีออกไปเองโดยคิดดีแล้วว่าหลังจากนั้นควรทำอย่างไร

หลงเอ้อร์เดินสำรวจรอบห้องอย่างรวดเร็ว บนโต๊ะไม่มีตัวอักษรเขียนทิ้งไว้ บนพื้นไม่มี บนเก้าอี้ไม่มี บนเตียงก็ไม่มี ในห้องนี้ไม่มีสัญลักษณ์หรือของอะไรที่นางทิ้งเอาไว้เลย

นางไม่มีทางที่จะไม่ทิ้งสัญลักษณ์อะไรเอาไว้ ก็เหมือนกับในรถม้าคันนั้น ดังนั้นตอนนี้นางต้องทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างไว้เพื่อบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นแน่นอน

แต่ที่ใดก็ไม่มี

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้นางรับมือไม่ทัน เตรียมการไม่ทัน หรือว่าแท้จริงแล้วนางทิ้งร่องรอยเอาไว้แต่เขาหาไม่ถูกที่กันแน่

หลงเอ้อร์กระโดดออกทางหน้าต่าง เดินไปรอบๆ ไม้เท้าของจวีมู่เอ๋อร์ที่ถูกทิ้งเอาไว้ห่างจากหน้าต่างไม่ไกลนัก โจรพวกนั้นไม่ได้เก็บมันขึ้นมา

หลงเอ้อร์เก็บไม้เท้าขึ้นมา สังเกตบนไม้เท้าอย่างละเอียด ไม่มีร่องรอยอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้สลักอักษรไว้ ไม่ได้ทำสัญลักษณ์ ไม่มีอะไรสักอย่าง แต่เป็นไม้เท้าที่นางใช้จริงๆ ไม้เท้าที่ไม่เคยห่างกายของนางเลย

ทันใดนั้นหลงเอ้อร์ก็วิ่งทะยานเข้าไปในป่า ในป่าลึกยามค่ำคืนเช่นนี้ แม้แต่ชายฉกรรจ์ผู้กล้าก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบใจได้ นับประสาอะไรกับหญิงอ่อนแอที่มองไม่เห็นเช่นนาง หลงเอ้อร์ตามหาไปตลอดทาง วิ่งอยู่นานก็ได้ยินเสียงต่อสู้ดังขึ้น เขารีบรุดไปถึงก็เห็นผู้ใต้บัญชาของตัวเองกำลังต่อสู้ชุลมุนอยู่กับพวกโจร หลงเอ้อร์มองไปรอบๆ ด้วยความตึงเครียด แต่ไม่เห็นร่างผอมบางนั้น เขาวิ่งวนดูสองรอบ พลันรู้สึกว่า…เขาวิ่งมาไกลเกินไปแล้ว

ระยะทางเช่นนี้เป็นระยะการเดินของคนปกติ เป็นระยะทางที่พวกโจรมาตามหานาง แต่ไม่ใช่ระยะทางที่จวีมู่เอ๋อร์จะเดินได้

เขาไม่ควรใช้มุมมองของคนปกติไปคิดในมุมของนาง เขาควรใช้มุมมองของนางคิดเรื่องเหล่านี้

นางให้ซูฉิงกับติงเหยียนซานหนีไปก่อน จากระยะวิ่งของหญิงสาวทั้งสองคนการวิ่งไปถึงคอกม้านั้นใช้เวลาไม่นาน นั่นเป็นระยะเวลาเดียวกับที่พวกเขารีบรุดขึ้นเขามา ส่วนตรงจุดที่เขายืนอยู่ห่างจากคอกม้าพอๆ กับระยะทางที่พวกนางวิ่งหนีจากเรือนซ่อนตัวมาถึงคอกม้า ด้วยความเร็วในการเดินของจวีมู่เอ๋อร์ ไม่มีทางมาได้ไกลถึงเพียงนี้แน่นอน

หลงเอ้อร์เดินกลับไปทางเดิม ตรวจดูสถานที่ที่สามารถซ่อนตัวได้ทั้งหมด แต่ก็ยังคงไม่พบร่องรอยของนาง

เขากลับไปยืนนอกเรือนตรงจุดที่เก็บไม้เท้าได้ จากนั้นสงบสติอารมณ์คิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง หากนางจะเดินทางต้องใช้ไม้เท้า แต่เหตุใดจึงทิ้งเอาไว้ตรงนี้ เพราะนางหกล้มจึงทำไม้เท้าหลุดมือ แล้วกลัวมีคนไล่ตามจึงไม่ทันเก็บกลับมาหรือ

หลงเอ้อร์มองดูบนพื้นอย่างละเอียด บนพื้นใต้หน้าต่างมีร่องรอยคนกระโดดลงมาจริง แต่พื้นโคลนที่ไม้เท้าตกอยู่กลับมองไม่เห็นว่ามีคนเคยหกล้ม หลงเอ้อร์ย้อนคิดถึงทิศทางที่ไม้เท้าวางอยู่บนพื้น จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปมองป่าอีกด้านหนึ่ง เขาเข้าใจในทันใด ไม้เท้านำทางโจรให้ไปทิศทางนั้น แต่นางไม่ได้เดินไปทางนั้นจริงๆ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นางยอมทิ้งไม้เท้าไว้

หลงเอ้อร์กลับไปยังโถงในเรือน ตอนนี้มีคนใต้บัญชาของคฤหาสน์สกุลหลงมาเพิ่มมากขึ้น แม้แต่อวิ๋นชิงเสียนก็นำคนของกรมอาญาขึ้นมา และท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิงก็นำคนมาถึงแล้วเช่นกัน

อวิ๋นชิงเสียนกับชิวรั่วหมิงกำลังวางขอบเขตและทิศทางในการค้นหา จวนว่าการ คฤหาสน์สกุลหลง และกรมอาญาร่วมกันจัดวางกำลังคน พวกเขาแบ่งเขตการค้นหาอย่างรวดเร็ว เตรียมคบไฟและโคมไฟเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง

หลงเอ้อร์เห็นคนทั้งหลายกระจายกันออกไป พวกเขาค่อยๆ เข้าไปค้นหาในป่าทีละจุด แต่หลงเอ้อร์ยังคงครุ่นคิด

เขาพลาดอะไรไปหรือไม่ จวีมู่เอ๋อร์จะหนีไปที่ใดได้

หรือนางสามารถแยกแยะกลิ่นของสิ่งต่างๆ ในผืนป่าได้ทำให้รู้ว่าควรต้องหลบซ่อนที่ใด

หลงเอ้อร์คิดเช่นนี้ จึงลองเดินเข้าไปค้นหาในป่าที่อยู่ตรงกันข้ามกับทิศทางของไม้เท้า เขาหลับตา พยายามคิดว่าหากตนเป็นจวีมู่เอ๋อร์จะทำอย่างไร เขายื่นมือไปลูบต้นไม้แล้วลองเดินไปข้างหน้า แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็สะดุดรากไม้บนพื้น

หลงเอ้อร์ลืมตาขึ้นทันใด…ไม่ถูก เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ถูกต้อง

นางไม่มีทางหนีออกมาเองได้ นางไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ดังนั้นมีคนลักพาตัวนางไปอีกครั้ง นางจึงใช้ไม้เท้าชี้ทิศทางที่ถูกพาตัวไปอย่างนั้นหรือ

หลงเอ้อร์วิ่งเข้าไปในป่าอีกครั้ง ตอนนี้เหล่าผู้ใต้บัญชาของคฤหาสน์สกุลหลงเริ่มคุมตัวโจรหลายคนกลับมา หลงเอ้อร์ไม่สนใจยังคงเดินต่อไป ก่อนจะดึงตัวสายสืบคนหนึ่งที่กำลังค้นหามาสอบถามว่าพบเบาะแสอะไรหรือไม่ สายสืบส่ายหน้า บอกว่าไม่พบอะไรเลย โจรเหล่านั้นก็บอกว่าไม่เห็นอะไรเช่นกัน

หลงเอ้อร์ร้อนใจแทบคลั่ง ฟ้ามืด เขากว้างใหญ่ ทำเช่นใดจึงจะหาตัวนางพบ

เขาวิ่งวนไปวนมาในป่า ถามคนที่กำลังค้นหาอีกครั้งก็ได้รับคำตอบว่ายังไม่มีผู้ใดพบเจออะไร เขาเองก็ไม่พบเบาะแสอะไรเช่นกัน หลงเอ้อร์รู้ว่าการทำเช่นนี้ไม่ใช่ทางออก เขาต้องทำสมองให้ปลอดโปร่ง ทำใจให้สงบนิ่ง มู่เอ๋อร์ของเขาเป็นคนฉลาด นางต้องทำบางอย่างเพื่อให้เขาหานางเจอแน่นอน

หลงเอ้อร์กลับไปในเรือนของพวกโจร ตอนนี้ในเรือนจุดไฟสว่าง เขาเดินวนในห้องพักเหล่านั้นหลายรอบ แต่ก็ไม่พบอะไร ห้องอีกสองห้องมีรอยเลือดและร่องรอยการต่อสู้ มีเพียงห้องของจวีมู่เอ๋อร์ที่ไม่มี หลงเอ้อร์ยืนดูตรงหน้าประตูอยู่นานจึงหมุนตัวเดินกลับไปที่โถง

อวิ๋นชิงเสียนไม่อยู่ที่นั่น เขาออกไปค้นหาด้วยตัวเองแล้ว ส่วนชิวรั่วหมิงนั่งอยู่ในห้องโถง รอให้ทหารประจำการมารายงานผลการค้นหาในป่า เมื่อชิวรั่วหมิงเห็นท่านหลงเอ้อร์นั่งลงก็อยากปลอบใจแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ส่วนข่าวหญิงสาวอีกสองคนที่ถูกลักพาตัวมาด้วยได้ตายไปแล้วนั้น ตอนนี้เขายังไม่กล้าบอกท่านหลงเอ้อร์

หลงเอ้อร์ไม่ได้มองหน้าชิวรั่วหมิงและไม่ได้มองหน้าใคร ยังคงพยายามคิดอยู่

เขาเหลือบไปเห็นถ้วยบนโต๊ะจึงนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบหน้าจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมาในทันใด นางบอกว่ามีวิธีทำให้เขาหนีรอดจากการรับรองแขกได้ บอกว่าสามารถทำให้เขามีเหตุผลพร้อมสรรพในการจากไป ซ้ำคนที่เกาะติดเขายังต้องรีบเชิญให้กลับไปเองด้วย ตอนนั้นเขาเดาวิธีต่างๆ ไว้มากมาย แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายนางกลับใช้วิธีการง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่รุนแรง แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนั้น

ถูกต้อง นั่นเป็นแผนการเล็กๆ ของจวีมู่เอ๋อร์ นางมองไม่เห็นสิ่งใด มีหลายเรื่องที่นางทำไม่ได้ ดังนั้นนางจะต้องใช้วิธีที่ง่ายที่สุดเพื่อทำให้บรรลุเป้าหมาย

วิธีที่นางใช้จะต้องเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

หลงเอ้อร์ยืนขึ้น เดินไปทางห้องที่เคยขังนางเอาไว้อีกครั้ง เขาเข้าไปในห้อง แล้วเดินไปนั่งลงที่ขอบเตียง

ตรงนี้เป็นที่เดียวภายในห้องที่สามารถนั่งได้ ดังนั้นนางต้องเคยนั่งอยู่ตรงนี้แน่นอน

นางนั่งอยู่ตรงนี้ หันหน้าไปทางประตู ประตูลงกลอนอยู่ นอกประตูเป็นกลุ่มโจรดุร้ายที่มีวรยุทธ์

ซูฉิงกับติงเหยียนซานไปแล้ว หน้าต่างเปิดอยู่ เก้าอี้วางอยู่ใต้หน้าต่าง มีโจรมาตรวจดูบ่อยครั้ง เมื่อโจรเปิดประตูออกดูย่อมเห็นว่าคนหายไป ที่นี่เหลือนางเพียงคนเดียว นางจะทำอะไรต่อไป

หลงเอ้อร์ถือไม้เท้าของนางแล้วลุกขึ้น เดินไปหยุดด้านหน้าของหน้าต่าง ยืนอยู่ข้างเก้าอี้

นางเหยียบเก้าอี้ขาหักปีนออกไปด้านนอกได้หรือ

เขากลับมานั่งลงตรงขอบเตียงอีกครั้ง

หลงเอ้อร์มองไปที่ประตู คิดจำลองเหตุการณ์ทั้งหมด

เมื่อเปิดประตูออก ในห้องว่างเปล่า หน้าต่างเปิดอยู่ เก้าอี้วางอยู่ใต้หน้าต่าง ดังนั้นคนคงหนีไปแล้วแน่นอน ไม้เท้าตกอยู่ด้านนอกในทิศทางหนึ่ง นางคงวิ่งหนีไปทางนั้นแล้ว

ดังนั้นพวกโจรจึงไล่ตามไปทางทิศนั้น

หลงเอ้อร์เดินไปที่หน้าต่างอีกครั้ง เขาหลับตา ย่อตัวลงให้มีความสูงพอๆ กับจวีมู่เอ๋อร์ แล้วใช้มือคลำไปที่ขอบหน้าตา จากนั้นก็โยนไม้เท้าออกไป เมื่อลืมตาขึ้น อาศัยแสงจันทร์นวลก็พบว่าไม้เท้าตกลงในทิศทางเดียวกับตอนที่เขาเก็บมา

หลงเอ้อร์หมุนตัวกลับมามองดูรอบห้องอีกครั้ง

เขาครุ่นคิด หยิบเทียนจากบนโต๊ะเก่า จากนั้นจึงเดินไปทางเตียงไม้นั้น เตียงนี้ใช้ไม้เก่าๆ ประกอบขึ้น พื้นเตียงเตี้ยมาก แต่หากคนรูปร่างผอมจะเข้าไปซ่อนตัวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หลงเอ้อร์วางเทียนลงบนพื้น หมอบลงแล้วมองไปใต้พื้นเตียง

บริเวณใต้พื้นเตียงมืดสนิท หากยื่นมือเข้าไปก็มองไม่เห็น แสงเทียนไม่สว่างนักจึงส่องได้ไม่ไกลเท่าไร ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น หลงเอ้อร์ยังสามารถมองเห็นรางๆ ว่ามีคนนอนอยู่มุมในสุดใต้เตียง ตรงมุมนั้นมืดมาก มองเห็นไม่ชัดเจน แต่รู้ได้ว่าร่างเล็กนั้นเป็นผู้หญิง

ทันใดนั้นขอบตาหลงเอ้อร์ร้อนผ่าว เขาเอ่ยปากพูด กลับพบว่าเสียงของตนนั้นสั่นเครือ

“ข้าเอง ข้ามาแล้ว”

คนในนั้นขยับตัว แต่ก็เหมือนไม่ขยับ หลงเอ้อร์พูดอีกว่า

“ซูฉิงกับติงเหยียนซานไม่เป็นไร พวกนางถูกช่วยเอาไว้แล้ว”

คนผู้นั้นขยับตัวอีกครั้ง เหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก

“ข้าเอง เจ้าไม่ต้องกลัว” หลงเอ้อร์สูดลมหายใจลึก รู้สึกว่าลำคอคล่องขึ้นมากแล้ว “เจ้าไม่ต้องขยับ อย่ากลัว ข้าจะขยับเตียงออกเอง”

หลงเอ้อร์ยกแผ่นไม้เก่าบนเตียงออกโยนทิ้งไปด้านข้าง

คราวนี้แสงเทียนไม่ถูกแผ่นไม้บดบัง เขามองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น นางขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งด้านในสุด นอนขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่บนพื้น เอามือกุมหัวไว้ ทั้งร่างเต็มไปด้วยฝุ่นและตัวสั่นเทา หากจะมีสภาพทุลักทุเลได้เท่าใดก็มีเท่านั้น น่าสงสารได้เพียงใดก็น่าสงสารได้เพียงนั้น

“มู่เอ๋อร์” หลงเอ้อร์ก้าวไปนั่งข้างกายนาง ค่อยๆ กุมมือนางเบาๆ มือของนางเย็นเฉียบ ทิ่มแทงจนหัวใจของเขาเจ็บ

จวีมู่เอ๋อร์ขยับตัว แต่ร่างนั้นแข็งเกร็ง ขยับเขยื้อนไม่ได้

หลงเอ้อร์ดึงตัวนางขึ้นมาลูบหลัง เอว และแขนเบาๆ เพื่อช่วยให้นางผ่อนคลาย เขากอดนางไว้ในอ้อมอก แล้วเรียกชื่อนางอีกครั้ง “มู่เอ๋อร์”

จวีมู่เอ๋อร์พยายามทำตัวให้ผ่อนคลายอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยปากพูดได้ นางเรียกเขาเสียงเบาหวิว “ท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองอย่างไรตอนที่ได้ยินเสียงเรียกนี้ เขากอดจวีมู่เอ๋อร์ไว้แน่น รู้สึกว่ามือของตัวเองสั่นเทา

เขามองสำรวจทั่วตัวจวีมู่เอ๋อร์ ดูให้มั่นใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้านางซีดขาว ตัวแข็งเกร็ง พูดไม่ค่อยออก หลังจากเค้นเสียงเรียก ‘ท่านหลงเอ้อร์’ ออกมาก็หลับตาลง

สิ่งนี้ทำให้หลงเอ้อร์ตกใจ เขารีบอุ้มนางออกไปด้านนอก เมื่อคนที่อยู่ในโถงเห็นเขาอุ้มคนออกมาจากในห้องที่เดิมควรจะว่างเปล่าก็ต่างพากันแสดงสีหน้าตกใจ

หลงเอ้อร์ไม่มีเวลาอธิบาย เขาบอกกับชิวรั่วหมิงว่าจะพาจวีมู่เอ๋อร์กลับคฤหาสน์สกุลหลงไปก่อน ส่วนเรื่องการจับโจรที่นี่ขอมอบให้เป็นหน้าที่ของชิวรั่วหมิง

เขาไม่ได้รอให้ชิวรั่วหมิงตอบรับ รีบอุ้มจวีมู่เอ๋อร์เดินจากไป ซูฉิงทั้งวิ่งทั้งตะโกนอยู่ด้านหลังแต่ก็ตามไม่ทัน สุดท้ายได้แต่กระทืบเท้าแล้วทรุดตัวลงนั่งร้องไห้เอ่ยปากด่าว่า “ให้ข้าดูพี่มู่เอ๋อร์หน่อยสิ เจ้าคนเลวคนนี้นี่ เหตุใดจึงมาแย่งชิงตัวพี่สาวข้าไป”

หลี่เคอมองด้วยความอึดอัดใจ เด็กน้อยคนนี้ด่าผู้เป็นนายของเขาว่า ‘คนเลว’ ในฐานะที่ตัวเขาเป็นองครักษ์ผู้จงรักภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่ เขาควรต้องพูดอะไรสักอย่างใช่หรือไม่

หลี่เคอเดินเข้าไปเพื่อจะดึงตัวซูฉิงให้ลุกขึ้นจากพื้น ปรากฏว่ายายเด็กน้อยทำดุแล้วปัดมือเขาออก หลี่เคอจนใจ เข้าไปดึงตัวนางอีกครั้ง คราวนี้นางลุกขึ้นยืน เขาเพียงพูดว่า “บนพื้นเย็น”

ซูฉิงกำลังโมโห ตอนนี้มีคนเสนอตัวมาให้ถึงที่ ดังนั้นจึงถลึงตา “ไม่ต้องยุ่ง!”

หลี่เคอค่อยๆ ดึงมือกลับ เขาไม่อยากยุ่งกับนางหรอก ไม่ใช่องครักษ์ของนางเสียหน่อย แต่เพียงพริบตาเดียวซูฉิงก็จะวิ่งลงจากเขาทันที หลี่เคอรีบดึงตัวนางเอาไว้ “เจ้าจะไปที่ใด”

“ลงเขาไปหาพี่มู่เอ๋อร์ จากนั้นกลับบ้าน แม่ข้าคงร้อนใจแย่แล้ว”

“ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว เจ้าจะลงเขาไปเองได้อย่างไร”

“เช่นนั้นพี่หลี่ไปส่งข้าหน่อยสิ” ซูฉิงร้องขออย่างไม่เกรงใจ

หลี่เคอตะลึง บนเขานี้ยังมีเรื่องอีกมาก โจรยังถูกจับไม่หมด ทุกคนกำลังค้นหาเพื่อจับกุมให้ครบอยู่ เขาต้องอยู่เฝ้าที่นี่ คิดสักครู่จึงเอ่ยว่า “ข้าจะให้คนอื่นไปส่งเจ้า อย่าเพิ่งวิ่งวุ่นนะ”

ซูฉิงพยักหน้า ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ หลี่เคอจึงเดินเข้าไปในเรือน คิดจะให้องครักษ์ของคฤหาสน์สกุลหลงสองคนไปส่งนาง แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าเรือนก็หันกลับมามองนางแวบหนึ่ง

สาวน้อยกำลังมองทางลงเขาด้วยสีหน้าเศร้าสลด หลี่เคอหัวใจกระตุก หากจะว่าไปแล้วยายเด็กคนนี้มีความกล้าไม่ธรรมดา พบเจอเรื่องเช่นนี้ยังพยายามปกป้องจวีมู่เอ๋อร์และยังพาคนหลบหนี กล้าขโมยม้า ทำร้ายโจร จากนั้นนำทางพวกเขากลับขึ้นมา นางยังบอกเรื่องการจัดวางกำลังและจำนวนโจรในเรือนได้อีกด้วย ซ้ำยังวางแผนให้พวกเขา บอกว่าจะโจมตีด้านหน้าด้านหลังอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้คนเลวเหล่านั้นจับจวีมู่เอ๋อร์เป็นตัวประกัน

หลี่เคอส่ายหน้าถอนหายใจ หากเขาไม่เคยตรวจสอบด้วยตัวเอง คงไม่มีทางเชื่อว่านางเป็นเพียงเด็กขายดอกไม้เท่านั้น

เด็กหญิงสมัยนี้ล้วนร้ายกาจเช่นนี้แล้วหรือ

หลี่เคอเข้าไปในเรือน ผ่านไปสักครู่จึงออกมา แล้วเดินไปพูดกับซูฉิงว่า “ไปกันเถอะ”

ซูฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “พี่ก็คือคนอื่นหรือ”

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ตอนนี้ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ที่นี่ยังมีคนของใต้เท้าชิวอยู่ และข้าก็กำชับพี่น้องคนอื่นเสร็จแล้ว เช่นนั้นข้าไปส่งเจ้าดีกว่า”

ซูฉิงพยักหน้า คิดว่าเช่นนี้ก็ดี อย่างไรเสียหลี่เคอก็เป็นคนรู้จัก นางเพิ่งหนีตายมาได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นนางคงไม่วางใจเท่ากับหลี่เคอ

หลี่เคอพานางไปที่คอกม้าของพวกโจร จากนั้นจูงม้ามาตัวหนึ่ง หันหน้าไปคิดจะถามซูฉิงว่าขี่ม้าเป็นหรือไม่ นางกลับเชิดหน้าพูดเสียงดังอย่างเย่อหยิ่งขึ้นมาก่อนว่า “ข้าขี่ลาเป็น”

หลี่เคอตะลึง จากนั้นก็รู้สึกอยากหัวเราะ แต่ท่าทางของนางทำให้เขาต้องกลืนความอยากนั้นกลับลงไป เขากระแอมเบาๆ กวักมือเรียกนาง หลังจากตัวเองขึ้นม้าแล้วก็ดึงตัวนางตามขึ้นมา คนทั้งสองขี่ม้าตัวเดียวกันลงเขาไปอย่างรวดเร็ว

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com