ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด – หน้า 15 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

บทที่สิบห้า

ที่ตีนเขา หลงเอ้อร์กำลังกลัดกลุ้มเพราะอาการของจวีมู่เอ๋อร์แย่ลงทุกที

อาจเป็นเพราะเริ่มผ่อนคลายจากสภาพตกใจกลัวสุดขีด หรือหมอบอยู่บนพื้นเย็นเฉียบนานเกินไป เมื่อลงจากเขามา ใบหน้าของจวีมู่เอ๋อร์จึงเริ่มแดงขึ้นอย่างผิดปกติ หลงเอ้อร์ใช้มือแตะแก้มนาง รู้สึกว่าตัวนางร้อนจนน่าตกใจ

หลงเอ้อร์ขี่ม้าลงมา อาการของจวีมู่เอ๋อร์ทำให้เขาไม่กล้าพานางขี่ม้าตากลมต่อเพื่อกลับไปที่คฤหาสน์ ขณะกำลังร้อนใจก็หันหน้าไปเห็นรถม้าของจวนว่าการจอดอยู่ด้านข้างพอดี นั่นเป็นรถม้าที่ชิวรั่วหมิงนั่งมา

หลงเอ้อร์ไม่คิดใคร่ครวญอะไรทั้งสิ้น โบกมือให้คนใต้บัญชาไปชิงรถมา ทหารจวนว่าการที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่มองดูรถม้าของใต้เท้าของตนถูกท่านหลงเอ้อร์ ‘ยืมไปใช้’

หลงเอ้อร์สั่งให้คนใต้บัญชาคนหนึ่งรีบขี่ม้ากลับคฤหาสน์ล่วงหน้าไปก่อน แจ้งคนให้ตามท่านหมอมารอไว้ จากนั้นจึงอุ้มจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้า รีบรุดกลับคฤหาสน์สกุลหลงทันที

ตลอดทาง หลงเอ้อร์ที่เห็นจวีมู่เอ๋อร์ป่วยจนไม่ได้สติเจ็บปวดหัวใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทง เขากล่าวโทษตัวเองไม่หยุดว่าเหตุใดสมองจึงไม่รู้จักคิดให้ออกไวกว่านี้ว่านางอาจซ่อนอยู่ใต้เตียง เมื่อเรื่องเห็นได้เด่นชัดว่านอกจากตรงนั้นแล้วนางจะไปซ่อนตัวที่ใดได้อีก

เขาโทษตัวเองอีกว่าเดินไปเดินมาในห้องนั้นตั้งหลายครั้งหลายครา เหตุใดจึงไม่เรียกชื่อนางออกมา ด้านนอกมีเสียงวุ่นวายอึกทึก นางที่หวาดกลัวถึงเพียงนี้คงแยกไม่ออกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ย่อมไม่กล้าขยับตัวส่งเดช แต่หากเขาเรียกชื่อนาง และนางได้ยินเสียงของเขาจะต้องรู้ว่าปลอดภัยแล้ว จากนั้นก็ต้องส่งเสียงทำให้เขาหาตัวนางเจอ

เขาควรต้องฉลาดมากกว่านี้สักนิด เพราะเขาจึงทำให้นางได้รับความลำบากมากขึ้น

หากเขาคิดได้เร็วกว่านี้นางคงไม่ต้องทนหนาวและได้รับความตกใจถึงเพียงนี้

รถม้าเคลื่อนไปทางคฤหาสน์สกุลหลงเร็วราวติดปีกบิน จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไม่ขยับอยู่ในอ้อมกอดของหลงเอ้อร์ ร่างนางยังคงแข็งเกร็ง หลงเอ้อร์ลูบแผ่นหลังของนาง พูดปลอบใจเสียงเบา แต่เมื่อพูดไปพูดมาก็พูดต่อไม่ได้ เขาคิดย้อนไปถึงตอนที่เห็นนางขดตัวอยู่ในมุมที่มืดมิดและเย็นเยือกนั้นเพียงลำพัง คอยฟังเสียงคนเปิดประตู ได้ยินเสียงพวกโจรบุกเข้ามาในห้อง ฟังเสียงพวกเขาหลงกลวิ่งออกนอกเรือนไปไล่ตาม…จากนั้นล่ะ…อยู่นิ่งเงียบราวคนตายอย่างนั้นหรือ นางต้องรอนานเพียงใดจึงมีเสียงฝีเท้าเคลื่อนไหววุ่นวายดังขึ้นอีกครั้ง เรื่องเหล่านี้ต้องทำให้นางกลัวมากอย่างแน่นอน

วิธีนี้ของนางเป็นวิธีที่อันตราย อันตรายมาก

อาจถูกมองออกในเพียงแวบแรก หรือไม่นานอาจถูกคนพบตัวเข้า หรือบางทีผ่านไปหลายวันก็คงยังไม่มีผู้ใดคิดว่านางจะทำเช่นนี้

หากพวกโจรพบนางแล้วย้ายนางไปที่อื่นเขาก็คงหาตัวนางเจอได้ยาก แต่หากนางขดตัวนิ่งจนตัวชา หนาวจนทั้งร่างแข็งไปหมด ทั้งไม่อาจส่งเสียงขอความช่วยเหลือออกมา ไม่อาจหนีออกไปเองได้ และทุกคนล้วนคิดว่านางหนีไปแล้ว ไม่ได้คิดถึงใต้เตียงเลย เช่นนั้นนางไม่ต้องติดอยู่ตรงนั้นจนตายหรอกหรือ

หลงเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งกลัว เขารู้สึกว่าทรวงอกบีบรัดขึ้นทันใด เมื่อก้มหน้าลงมองก็เห็นจวีมู่เอ๋อร์จับคอเสื้อของเขาไว้ มือเล็กของนางเย็นจนแข็ง อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง นางหลับตาไม่พูดอะไร แต่ยังคงจับเสื้อของเขาเอาไว้แน่น

หลงเอ้อร์หัวใจกระตุก ยื่นมือไปประกบบนหลังมือของนาง กอดนางไว้ในอ้อมอกแน่น อีกนิดเดียว หากพลาดไปเพียงนิดเดียวก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเขาจะได้พบหน้ากันอีกครั้ง

คนทั้งสองนิ่งเงียบไปตลอดทาง เขาเพียงกอดนางไว้แน่น ส่วนนางก็ซบอยู่บนแผ่นอกเขา

เรื่องราวหลังจากนี้ก็วุ่นวาย

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์สกุลหลง ท่านหมอรีบเข้ามาตรวจชีพจรดูอาการ ผู้เฒ่าจวีร้องไห้ฟูมฟาย ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ยังนอนไม่ได้สติ แต่มือยังคงจับเสื้อของหลงเอ้อร์ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ตกดึก อาการป่วยของจวีมู่เอ๋อร์ก็หนักขึ้น นางอาเจียนเอายาที่ดื่มเข้าไปออกมาจนหมด หลงเอ้อร์มองดูด้วยสีหน้าเย็นเยือกทำให้สาวใช้ที่ป้อนยาตกใจจนมือสั่น ท่านหมอตรวจชีพจรแล้วรู้สึกกังวลใจมาก บอกว่าหากนางไม่กินยา เกรงว่าคงจะหายได้ยาก

ผู้เฒ่าจวีพูดขึ้นว่าจวีมู่เอ๋อร์เป็นบุตรสาวของตน เขาย่อมรู้จักดีที่สุด เขาจะป้อนยาเอง แต่ไม่รู้ว่าทำไมจวีมู่เอ๋อร์จึงกัดฟันแน่นไม่ยอมเปิดปาก สีหน้านางซีดเซียว มีเหงื่อท่วมหัว ไม่ยอมดื่มยาลงไปเลย ท่าทางเจ็บปวดของนางทำให้ผู้เฒ่าจวีปวดใจจนร้องไห้ออกมา

หลงเอ้อร์ทนดูต่อไปไม่ไหว เขาแย่งถ้วยยามา ใช้ช้อนง้างเปิดปากนาง ค่อยๆ กรอกยาลงไปทีละนิดๆ

จวีมู่เอ๋อร์ปัดมือเขาออกอย่างทรมาน แต่หลงเอ้อร์ไม่ยอม เขาบังคับกรอกยาให้นางจนหมดถ้วย แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกแย่มาก แต่เจ้าต้องดื่มยาลงไปอาการป่วยจึงจะหาย เจ้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังนะ ข้ารับรองว่าทุกข์ที่เจ้าได้รับในวันนี้ ข้าจะให้คนสารเลวพวกนั้นใช้คืนมาหลายร้อยเท่า”

จวีมู่เอ๋อร์มีสติเลือนราง แต่เหมือนฟังเข้าใจดี

นางน้ำตาไหล

ดูแลกันมาทั้งคืน ในที่สุดไข้ของจวีมู่เอ๋อร์ก็ลดลง

แน่นอนว่าการทำให้ไข้ลดลงในครั้งนี้ หลงเอ้อร์ต้องปลุกปล้ำกับนางตลอด คนอื่นไม่กล้ายื่นมือเข้าไปช่วย หลงเอ้อร์เป็นผู้ลงมือเอง เขากรอกยานาง ห่มผ้าหนาๆ เพื่อให้นางขับเหงื่อออกมา นางขัดขืนร้องไห้ แต่เขากลับทำเป็นมองไม่เห็น

ผู้เฒ่าจวีเช็ดน้ำตาด้วยความยินดี โชคดีที่ท่านหลงเอ้อร์ใจแข็งกว่าเขา

รบกันอยู่ทั้งคืน ในที่สุดท่านหมอก็ประกาศว่าจวีมู่เอ๋อร์พ้นอันตรายแล้ว หลังจากนี้ต้องกินยาตามเวลา จากนั้นค่อยๆ พักฟื้นรักษาตัวก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คนทั้งหมดจึงโล่งอก

ตอนที่จวีมู่เอ๋อร์ตื่นขึ้น ฟ้าก็สว่างแล้ว ในตอนแรกนางไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด แต่เมื่อหันไปพบว่ามือของนางถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งกุมเอาไว้ นางจึงไม่ได้ขยับ แต่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแทน

มือที่กุมมือของนางเอาไว้เป็นมือของท่านหลงเอ้อร์ นางรู้ดี

ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมักจะส่งผ่านจากฝ่ามือเขามาที่ใจของนาง ตอนนี้นางคิดว่าเขาคงหลับ เพราะฝ่ามือนั้นไม่ได้ขยับ

ดังนั้นจวีมู่เอ๋อร์จึงไม่ขยับเช่นกัน นางหลับตาลงอีกครั้ง

ค่อยๆ ย้อนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

นางจำความหวาดกลัวตอนที่คลานเข้าไปใต้เตียงได้ ห้องว่างเปล่าเงียบสนิทจนทำให้รู้สึกหวาดผวาเจียนคลั่ง นางขดตัวเองให้เล็กที่สุดจนแทบหายใจไม่ออก นางรับรู้แม้กระทั่งว่าความเย็นบนพื้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในกระดูกของนาง

นางรู้สึกว่าได้ยินเสียงเปิดประตูอยู่เสมอ แต่ความจริงแล้วกลับไม่มี เพราะรู้สึกว่ากลัวมากเกินไปจึงทำให้ได้ยินเสียงหลอนเช่นนี้ จากนั้นเมื่อเสียงเปิดกลอนดังขึ้นจริง นางก็แทบจะหวีดร้องออกมา

นางพยายามอดทน ได้ยินเสียงโจรตะโกนว่าคนหนีไปแล้ว จากนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามาอีกหลายคน ตอนนั้นนางกำลังตัวสั่น กลัวมากว่าเช่นนี้อาจทำให้เกิดเสียงดัง แต่นางควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ

จากนั้นทุกอย่างก็เงียบลงราวกับสุสาน

นางรู้สึกว่าเวลาในตอนนั้นยาวนานไม่จบไม่สิ้น คิดว่าตนต้องตายอยู่ใต้เตียง หากไม่ใช่หนาวตายก็ต้องตกใจตาย หรือท้ายที่สุดอาจไม่มีผู้ใดหาตัวนางเจอและถูกขังตายอยู่ตรงนั้น

จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานมาก นานจนตัวนางแข็งเกร็งไปทั้งร่าง ด้านนอกจึงมีเสียงดังอึกทึกขึ้นอย่างฉับพลัน นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางขยับตัวไม่ได้ พูดอะไรไม่ออก นางคิดว่าคงต้องตายอยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เป็นเสียงของท่านหลงเอ้อร์ เขาพูดว่า ‘ข้าเอง ข้ามาแล้ว’

ราวกับเสียงเป็นที่มาจากสรวงสวรรค์

ด้วยคำพูดนี้ของเขาทำให้จวีมู่เอ๋อร์คิดขึ้นทันทีว่านางไม่ควรต้องทำให้เขาลำบากเช่นนี้ ตอนแรกนางคิดอะไรอยู่นะ เหตุใดจึงไปขอเขาแต่งงาน

เขาตระหนี่ เจ้าคิดเจ้าแค้นฝังใจ คิดเล็กคิดน้อยไปเสียทุกเรื่อง ชอบแกล้งโดยใช้วิธีเด็กๆ แต่เขาก็ดีต่อนาง

ดีจนทำให้นางรู้สึกกลัว

ความกลัวนั้นมันช่างรุนแรงเหมือนกับความสบายใจตอนที่เขากุมมือนางไว้เช่นในตอนนี้

นางคงบ้าไปแล้วกระมัง

นางตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นนางจึงบ้าไปแล้ว

“เจ้าเป็นอะไร รู้สึกไม่สบายหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ตกใจ นางถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอด เสียงของท่านหลงเอ้อร์ดังขึ้นข้างหู มือของเขากุมใบหน้านาง เช็ดน้ำตาให้นาง

ที่แท้นางก็ร้องไห้ จวีมู่เอ๋อร์สวมกอดเขาแล้วร้องไห้โฮ

“อย่าร้อง ไม่ต้องกลัว พวกเขาถูกจับตัวแล้ว ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีก”

“ท่านหลงเอ้อร์ แท้จริงแล้วข้าไม่ใช่คนดีเลย”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว พวกเขาสองคนพูดกันคนละเรื่องอีกแล้วหรือ

“เพราะเจ้าไม่ดีพอ พวกเขาจึงจับตัวเจ้าไปเพื่อขจัดอันตรายให้กับชาวเมืองหรือ” หลงเอ้อร์ล้อนางเล่น เขาไม่ชอบน้ำตาของนาง

น่าเสียดายที่ครั้งนี้จวีมู่เอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะทำให้เขาสุขใจ พอนางได้ยินคำของเขาก็ยิ่งร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิม

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วอีกครั้ง ทำได้เพียงส่งเสียงขึงขังขึ้นมา “เอาเถอะ เจ้าร้องไห้ก่อน ร้องเสร็จแล้วค่อยกินยา” เสียงร้องไห้ของจวีมู่เอ๋อร์เบาลงในทันใด หลงเอ้อร์หัวเราะ “อย่างไรก็ต้องดื่มยา”

จวีมู่เอ๋อร์สูดจมูก หยุดร้องไห้แล้ว นางซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว “ข้าง่วง อยากจะนอนอีกสักครู่” ความรู้สึกเศร้าใจระคนปวดใจเมื่อครู่หายไปในพริบตา

ดื่มยาหรือ น่ากลัวเหลือเกิน นางลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

ในตอนนี้เองมีสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามารายงานพอดี “นายท่านรอง ยาของแม่นางจวีต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

“เอาเข้ามา” หลงเอ้อร์มองหญิงสาวที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกขำ เขาดึงตัวนางขึ้นมา “ดื่มยา! เมื่อคืนเจ้าไม่ได้สติ ข้าก็เป็นคนกรอกยา ตอนนี้เจ้าตื่นแล้ว ยังต้องให้กรอกยาอีกหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็ไม่กล้าพูดอะไร หลงเอ้อร์ถือถ้วยยามานั่งลงข้างเตียง จากนั้นตักยาขึ้นมาหนึ่งช้อน เป่าให้เย็น แล้วใช้ริมฝีปากแตะเพื่อทดสอบความร้อน กลิ่นเหม็นของยานั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ

จวีมู่เอ๋อร์หน้าย่นเป็นซาลาเปา คิดอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากบอกเงื่อนไข “ท่านหลงเอ้อร์ ข้าดื่มยาแล้วก็กลับไปได้ใช่หรือไม่”

“กลับไปที่ใด”

“บ้านข้าน่ะสิ”

“ทำไม”

“ที่นี่ข้าไม่คุ้นเคย ตาข้าไม่ดี ไม่ค่อยสะดวก”

“ก่อนเจ้าจะดื่มยาที่ท่านหมอเขียนสั่งไว้จนหมด ข้ายังไม่อนุญาตให้กลับบ้าน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าพอกลับบ้านไป พ่อเจ้าก็จะถูกเจ้ากล่อมจนไม่บังคับให้ดื่มยาต่อ” หลงเอ้อร์บอกจุดประสงค์ของนางออกมา ใบหน้าจวีมู่เอ๋อร์สลดลงทันที “อีกอย่าง…” หลงเอ้อร์พูดต่อ “อย่างไรเสียอีกไม่นานเจ้าก็ต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ ฉวยโอกาสนี้ทำความคุ้นเคยสักนิด หรือข้าควรให้เจ้าย้ายเข้าไปในห้องข้า เจ้าจะได้คุ้นเคยเร็วขึ้น”

สาวใช้ด้านข้างได้ยินคำหยอกเย้าเช่นนี้สองแก้มก็แดงเรื่อ เม้มปากแอบหัวเราะ ส่วนจวีมู่เอ๋อร์นิ่งตะลึงไป หลงเอ้อร์เห็นปฏิกิริยาทั้งหมดก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจทันที

“ดื่มยา”

ครั้งนี้จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้อิดออด เพียงแค่ขมวดคิ้วแน่น กลืนยาลงไปด้วยท่าทางเหมือนยอมตาย

ดื่มไปค่อนถ้วยจนกลืนไม่ลงจริงๆ หลงเอ้อร์จึงยอมหยุดมือ เขาให้สาวใช้นำบ๊วยชุบน้ำตาลมาให้จวีมู่เอ๋อร์อมเพื่อแก้ความขม หลังจากนั้นคอยดูนางกินข้าวต้มไปครึ่งชามจึงยอมปล่อยให้นางล้มตัวลงนอน

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรมาก หลับตาลงเตรียมตัวนอน หลงเอ้อร์โน้มตัวมาบอกเสียงเบาว่าเขาจะไปที่จวนว่าการเพื่อไปดูว่าโจรเหล่านั้นถูกไต่สวนได้ความว่าอย่างไรบ้าง จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น ขยับเปลือกตา

หลงเอ้อร์ถอนหายใจ แตะใบหน้านาง แล้วเอ่ยปลอบใจ “ไม่ต้องกลัว”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ยื่นมือไปกุมมือของเขาเอาไว้ หลงเอ้อร์มองดูมือของนาง คิดถึงตอนที่ช่วยนางกลับมาแล้วนางจับคอเสื้อเขาไว้แน่นจึงอดไม่ได้ที่จะก้มหัวลงไปจุมพิตที่หว่างคิ้วของนาง

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึง จากนั้นรีบพูดประโยคหนึ่งว่า “ข้านอนล่ะ” นางปล่อยมือ ตะแคงตัวหันหลังให้เขาแล้วเงียบไปทันที หลงเอ้อร์มองดูนางสักครู่จึงหันไปสั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างให้ดูแลนางอย่างดี แล้วเดินออกไป

หลงเอ้อร์ออกจากห้องแล้วตรงไปพบแม่นมอวี๋ บอกให้แม่นมอวี๋เลื่อนเวลาจัดงานมงคลให้เร็วขึ้น

แม่นมอวี๋ตกใจจนอ้าปากกว้าง “ตะ…แต่ว่าทุกอย่างจัดเตรียมไปตามกำหนดการเดิม หากเลื่อนให้เร็วขึ้นเกรงว่าจะไม่ทัน ตอนนี้ใกล้วันปีใหม่แล้ว หากคาบเกี่ยวกับช่วงสิ้นปี เรื่องบางอย่างอาจจัดการได้ยาก”

“แม่นม มันต้องมีวิธี เอาเป็นว่าจัดงานมงคลในเดือนอ้ายก็แล้วกัน อาศัยความครึกครื้นสนุกสนานของปีใหม่ก็ดีเหมือนกัน”

“เดือนอ้าย?” แม่นมอวี๋ตกใจไม่น้อย นี่ไม่ใช่เลื่อนเร็วขึ้นธรรมดา แต่เลื่อนเร็วขึ้นมากต่างหาก! ต้องการจัดงานในเดือนอ้าย เวลาจะพอได้อย่างไร

“ใช่ เดือนอ้ายก็แล้วกัน ต้องลำบากแม่นมแล้ว” หลงเอ้อร์ลงน้ำเสียงหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าจะไม่ยอมรับข้อโต้แย้งใดๆ เขารับรู้ได้ถึงความลังเลของจวีมู่เอ๋อร์ นี่อาจเป็นจุดประสงค์ที่พวกโจรลักพาตัวนางไป…ต้องการทำลายความบริสุทธิ์ของนาง ทำลายชื่อเสียงของนางทำให้นางไม่อาจแต่งงานกับเขาได้

ตอนนี้สาวชาวบ้านสองคนนั้นตายไปแล้ว แต่นางยังไม่ตาย

ต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังพวกโจรอย่างแน่นอน เขาสงสัยว่าจะเป็นอวิ๋นชิงเสียน เขาต้องการพิสูจน์เรื่องนี้ แต่ก่อนได้รู้ความจริง เขาย่อมไม่ปล่อยให้นางถอนตัว นางเป็นคนขอเขาแต่งงานก่อน เมื่อเขาตอบรับแล้วก็จะไม่ยอมให้นางผลักไสเขาออกไปเด็ดขาด

หลงเอ้อร์กำชับแม่นมอวี๋ “เรื่องเลื่อนวันแต่งงานให้เร็วขึ้นไม่ต้องบอกผู้เฒ่าจวีกับจวีมู่เอ๋อร์”

แม่นมอวี๋ทำหน้างง ไม่บอกอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเรื่องมากมายที่พวกเขาต้องเตรียมการจะทำอย่างไร

“รอให้ข้าเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ข้าจะบอกพวกเขาเอง” หลงเอ้อร์เข้าใจถึงความกังวลของแม่นมอวี๋ เมื่อแม่นมอวี๋เห็นเขาพูดเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร ทำได้เพียงพยักหน้ารับคำ

หลงเอ้อร์สั่งการเสร็จสรรพจึงออกจากคฤหาสน์ไป แต่เขาคิดไม่ถึงว่าตอนนี้ทางจวนว่าการกำลังวุ่นวาย เพราะโจรแปดคนที่ถูกจับได้ในคดีนี้กลับถูกสังหารในห้องขังทั้งหมด

 

พูดถึงทางด้านของชิวรั่วหมิง โจรทั้งหมดสิบคนจับได้เพียงแปดคน ยังเหลือหัวหน้าอีกสองคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ชิวรั่วหมิงให้คนวาดรูปเหมือน เขียนประกาศนำจับติดไว้ทั่วเมือง ต้องการจับตัวคนทั้งสองนั้นกลับมาดำเนินคดี

ส่วนโจรที่ถูกจับทั้งแปดคน ในคืนที่จับตัวกลับมาเขาได้สอบสวนไปรอบหนึ่งแล้ว แปดคนนั้นบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำตามคำสั่งใครคนอื่น หัวหน้าให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เรื่องอื่นล้วนไม่รู้ทั้งสิ้น

ชิวรั่วหมิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีพิรุธ สาวชาวบ้านสองคนนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่เหตุใดผู้ที่ถูกลักพาตัวไปจึงบังเอิญเป็นจวีมู่เอ๋อร์กับติงเหยียนซาน

พวกโจรล้วนยืนยันว่าเป็นเรื่องบังเอิญ พวกเขาตามหัวหน้าไปที่วัดฝูหลิงเพื่อหาเป้าหมายในการลงมือ หัวหน้าบอกว่าตอนนี้ผู้หญิงชอบไปไหว้พระ หากไปที่นั่นก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ ปรากฏว่าเมื่อไปถึงที่นั่น เห็นจวีมู่เอ๋อร์เข้าตาพอดีจึงพาตัวไป ส่วนเรื่องลักพาตัวติงเหยียนซาน พวกเขาได้รับคำสั่งจากหัวหน้าให้ไปจับหญิงสาวในเมืองอีกหลายคน พอบังเอิญเห็นติงเหยียนซานเดินอยู่ข้างทางจึงลักพาตัวมา

ชิวรั่วหมิงไม่เชื่อ เรื่องการลักพาตัว หากไม่ได้เกิดจากความคิดชั่ววูบพลันลงมือก็คงมีการเตรียมการไว้อย่างดี มีเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้ว การลักพาตัวในครั้งนี้แบ่งการลงมือเป็นสามจุด เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการเบี่ยงเบนความสนใจของจวนว่าการเพื่อป้องกันการสะกดรอย เรื่องนี้ย่อมต้องมีการเตรียมการไว้ก่อนอย่างแน่นอน แต่การลงมือครั้งนี้กลับเป็นการลักพาตัวอย่างไร้สาเหตุแรงจูงใจ เรื่องนี้จะอธิบายว่าอย่างไร

แต่หากบอกว่าพวกเขามีเป้าหมายแน่ชัดก็คือมุ่งลงมือไปที่ตัวของจวีมู่เอ๋อร์กับติงเหยียนซาน เรื่องนี้ทำไปเพื่ออะไรกัน ต้องการพุ่งเป้าไปที่ท่านหลงเอ้อร์กับเสนาบดีติงหรือ แต่สองคนนั้นไม่ได้ติดต่อกัน จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นพร้อมกันได้อย่างไร

ชิวรั่วหมิงคิดจนปวดหัวก็ยังคิดไม่ออก ดังนั้นจึงไปที่คฤหาสน์สกุลติงเพื่อเยี่ยมเยือนติงเซิ่ง และถามสถานการณ์ในตอนนั้นจากติงเหยียนซานอย่างละเอียด ต่อมาเขาไปตรวจสอบจุดที่เกิดการลักพาตัวอีกครั้ง เมื่อกลับถึงจวนว่าการก็เรียกผู้เห็นเหตุการณ์มาไต่สวน และยังเรียกตัวซูฉิงมาให้ปากคำด้วย แต่กลับยังหามูลเหตุใดๆ ไม่ได้เลย

สุดท้ายเขาจึงคิดว่าสกุลหลงกับสกุลติงอย่างไรก็ไม่มีทางมาเกี่ยวข้องกันได้ หรือว่าเป้าหมายจะไม่ใช่พวกเขาทั้งสองสกุล แต่เป็นหญิงสาวทั้งสองคนนั้น แล้วหญิงสาวสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน

ความเกี่ยวข้องนี้ชิวรั่วหมิงคิดได้เพียงเรื่องเดียว…ท่านหลงเอ้อร์แห่งสกุลหลง

หญิงสาวสองคนนี้ คนหนึ่งเตรียมจะแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์ อีกคนอยากแต่งแต่ไม่ได้แต่ง ดังนั้นคดีลักพาตัวในครั้งนี้อาจเกิดจากใครบางคนมีความแค้นจากเรื่องความรักจึงสั่งให้โจรเหล่านั้นทำเรื่องเช่นนี้

ชิวรั่วหมิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูมีเหตุผล เพราะเมื่อเหล่าหญิงสาวถูกลักพาตัวไป ชื่อเสียงของพวกนางต้องเสียหายอย่างหนัก ชายหนุ่มที่ถือสากับสิ่งนี้คงไม่ยอมแต่งงานกับพวกนางอีกแน่นอน

ชิวรั่วหมิงมีข้อสันนิษฐานบางอย่างในใจแล้ว เขาคิดจะไปคฤหาสน์สกุลหลงเพื่อพูดคุยกับท่านหลงเอ้อร์ ดูว่าเขาสามารถให้รายชื่อผู้ที่น่าสงสัยที่อาจชักใยอยู่เบื้องหลังได้บ้างหรือไม่ หากมีรายชื่อแล้ว ค่อยกลับไปสอบสวนพวกโจรแปดคนนั้นอีกครั้ง

แต่ชิวรั่วหมิงคาดไม่ถึงว่ายังไม่ได้ขยับตัวออกจากบ้าน กลับได้รับข่าวร้ายที่น่าตกใจว่าโจรแปดคนนั้นถูกสังหารในห้องขังเสียแล้ว

ชิวรั่วหมิงตื่นตกใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ผู้ร้ายคดีสำคัญทั้งแปดคนต่างตายอย่างไร้สาเหตุภายใต้การคุมขังของเขา เรื่องนี้ไม่น่าตระหนกหรอกหรือ

ในตอนนี้เองทหารเฝ้าประตูจวนว่าการก็เข้ามารายงานว่าท่านหลงเอ้อร์มาขอพบ

ชิวรั่วหมิงที่กำลังรู้สึกว้าวุ่นใจรีบเชิญท่านหลงเอ้อร์เข้ามา เมื่อเขามาถึง ชิวรั่วหมิงก็รีบเล่าเรื่องให้ฟัง บอกว่ากำลังจะไปดูที่ห้องขัง ท่านหลงเอ้อร์สนใจจึงจะขอติดตามไปด้วย

แท้จริงแล้วชิวรั่วหมิงก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ผู้ร้ายคดีสำคัญถูกสังหารจนหมด เรื่องนี้หนักหนานัก เขาไม่อาจไปรายงานกับฝ่ายใดได้เลย ท่านหลงเอ้อร์มีความเกี่ยวข้องเหมาะสมกับคดี นับเป็นหนึ่งในเจ้าทุกข์นี้ การที่จะดึงตัวท่านหลงเอ้อร์เข้ามาร่วมปรึกษาด้วย อย่างไรเสียก็ดีกว่าให้เขาแบกหม้อดำ* เอาไว้เพียงลำพัง

ชิวรั่วหมิงพร้อมกับหลงเอ้อร์เดินไปยังห้องที่คุมขังโจรทั้งแปดคน ตอนนี้ผู้พลิกศพตรวจศพเสร็จแล้ว เมื่อเห็นชิวรั่วหมิงเข้ามาจึงรีบรายงาน บอกว่าโจรทั้งแปดคนตายเพราะถูกพิษ

“ถูกพิษ?” หลงเอ้อร์กับชิวรั่วหมิงสบตากัน ก้มลงมองดูศพเหล่านั้นพร้อมกัน

ศพทั้งแปดมีใบหน้าเขียวคล้ำ ขอบตาม่วง ปากและจมูกมีคราบเลือด เมื่อดูที่นิ้วมือก็มีสีม่วงคล้ำเช่นกัน หลงเอ้อร์เอ่ยถาม “ถูกพิษอะไร”

ผู้พลิกศพตอบอย่างขัดเขิน “เรื่องนี้…ข้าน้อยไม่เคยเห็นพิษชนิดนี้มาก่อนขอรับ”

ไม่มีอาการให้เห็นก่อน ออกฤทธิ์อย่างฉับพลัน และไม่รู้ว่าถูกพิษเมื่อใด จะว่าไปแล้วเรื่องที่เป็นไปได้มากที่สุดคือได้รับพิษจากน้ำและอาหาร แต่ตอนนี้เลยเวลาอาหารกลางวันมาหลายชั่วยามแล้ว นักโทษคนอื่นก็ดื่มน้ำเช่นเดียวกัน แต่แปดคนนี้กลับตายลงอย่างกะทันหัน ส่วนคนอื่นๆ กลับไม่มีอาการใดๆ ทำให้ยากจะอธิบายได้จริงๆ

ชิวรั่วหมิงเรียกคนครัวกับทหารที่ดูแลเรื่องส่งน้ำส่งอาหารมาไต่สวน แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

ชิวรั่วหมิงกับหลงเอ้อร์คิดอะไรไม่ออก ชิวรั่วหมิงจึงทำได้เพียงคุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้องเอาไว้ และให้ผู้พลิกศพตรวจสอบที่มาของพิษอย่างละเอียดอีกครั้ง เขากับหลงเอ้อร์กลับไปที่โถงว่าการ ชิวรั่วหมิงถามหลงเอ้อร์หลายคำถามเกี่ยวกับจวีมู่เอ๋อร์และติงเหยียนซาน ยังถามอีกว่ายังมีหญิงสาวคนอื่นที่มีใจหรือมีความแค้นต่อเขาอีกหรือไม่

คำถามนี้ทำให้หลงเอ้อร์มีสีหน้าขุ่นเคือง “หากบอกว่ามีใจให้ เช่นนั้นก็คงมีไม่น้อย แต่หากมีใจให้ข้าแล้วถึงขนาดกล้าลักพาตัวมู่เอ๋อร์ของข้า ข้ายังคิดไม่ออก”

ชิวรั่วหมิงพยักหน้าอย่างขัดเขิน

หลงเอ้อร์พูดต่ออีก “แต่ว่า…ผู้ที่มีใจให้จวีมู่เอ๋อร์แต่ขอความรักไม่สำเร็จ และมีความกล้าความสามารถถึงขนาดสั่งให้คนลักพาตัวนางได้ ข้าคิดออกหนึ่งคน”

ชิวรั่วหมิงมองไปยังหลงเอ้อร์ รอให้เขาพูดต่อ

หลงเอ้อร์จึงพูดต่อ “อวิ๋นชิงเสียน”

ชิวรั่วหมิงตกใจจนอ้าปากกว้าง โบกมือรัว “ท่านหลงเอ้อร์ช่างชอบพูดเล่น ใต้เท้าอวิ๋นเป็นคนซื่อตรง ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้หรอก และแม่นางติงเองก็ถูกลักพาตัวไป ใต้เท้าอวิ๋นเป็นพี่เขยของนาง ยิ่งไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้”

“เช่นนั้นหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว และเรื่องการจับตัวคนร้ายในครั้งนี้ ใต้เท้าอวิ๋นก็ลงแรงไปไม่น้อย” ชิวรั่วหมิงเหงื่อตก เขาได้ยินมานานแล้วว่าท่านหลงเอ้อร์ไม่ลงรอยกับใต้เท้าอวิ๋น แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีความเคียดแค้นถึงขั้นนี้ คดีใหญ่เช่นนี้ยังกล้าคาดเดาส่งเดช

หลงเอ้อร์เม้มปาก “ข้าพูดเล่น แต่เมื่อครู่ปฏิกิริยาของใต้เท้าดูน่าตลก”

ชิวรั่วหมิงหน้านิ่งไป ตอนนี้เขาร้อนใจจนเหมือนไฟลุกไปถึงหัวคิ้วแล้ว ท่านหลงเอ้อร์ผู้นี้ยังมาแกล้งคนเล่นเพื่อหาความสุขอีกหรือ

หลงเอ้อร์ไม่สนใจชิวรั่วหมิงอีก เอ่ยปากลาแล้วจากไป พอเขาออกจากประตูจวนว่าการแล้วก็ยิ้มเย็นชาในทันที ผู้ที่เป็นขุนนางพึ่งพาไม่ได้เสียแล้ว ดังนั้นเรื่องอวิ๋นชิงเสียนเขาต้องเป็นผู้ตรวจสอบเอง

 

ในตอนนี้อวิ๋นชิงเสียนอยู่ที่คฤหาสน์สกุลติง เขาพาติงเหยียนเซียงมาเยี่ยมติงเหยียนซาน

หลังจากติงเซิ่งช่วยติงเหยียนซานกลับบ้านมา เขาก็เรียกท่านหมอมาดูอาการ โชคดีที่บาดแผลภายนอกไม่หนักหนา แต่จิตใจได้รับความตื่นตระหนกมากเกินไป เกรงว่าต้องอยู่รักษาตัวเงียบๆ ไปสักระยะ

ติงเซิ่งเห็นนางไม่เป็นอะไรจึงพูดปลอบหลายคำแล้วก็จบเรื่อง ตอนนี้เขาเห็นอวิ๋นชิงเสียนมาจึงเรียกให้ไปปรึกษาเรื่องงานหลวง

ติงฮูหยินเป็นห่วงบุตรสาวจึงแอบบ่นว่าติงเซิ่งไปหลายคำ ติงเหยียนเซียงพูดปลอบผู้เป็นแม่แล้วไปเยี่ยมน้องสาว บอกว่าจะเร่งให้อวิ๋นชิงเสียนจับคนเลวเหล่านั้นกลับมาตัดหัวให้หมดจึงสามารถคลายแค้นลงได้ บังอาจนักที่กล้ามากระตุกหนวดจวนเสนาบดี

ตอนนี้สมองติงเหยียนซานว้าวุ่น นางคิดถึงคำพูดที่จวีมู่เอ๋อร์บอกกับนางว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับสกุลติงของนาง นางสงสัยว่าคนใต้บัญชาของท่านพ่อจะมีคนคิดไม่ซื่อ คงไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้จึงคิดจับตัวนางไปเพื่อข่มขู่ แต่นางคิดไม่ออกว่าเหตุใดคนเหล่านั้นต้องจับตัวจวีมู่เอ๋อร์ไปด้วย

สรุปก็คือมีปมร้อยพันอย่างปนเปวุ่นวายกันไปหมด นางอยากบอกเรื่องนี้ให้พี่สาวฟัง แต่คิดไปคิดมากลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากจุดใด สุดท้ายจึงเก็บไว้ในใจ คิดว่ารอจนกว่าจะเข้าใจมากกว่านี้แล้วค่อยไปปรึกษากับพี่สาว บางทีรอให้นางดีขึ้นแล้ว นางควรไปพบจวีมู่เอ๋อร์สักหน่อย

ในตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์เองก็คิดอะไรไม่ออกเช่นกัน ใจของนางว้าวุ่นสับสน

หลังจากอยู่พักรักษาตัวที่คฤหาสน์สกุลหลงสามวัน นางก็บอกให้ผู้เฒ่าจวีพานางกลับบ้าน เพราะวันพรุ่งนี้จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว

ตามประเพณี ชายหญิงที่ยังไม่แต่งงานกัน ก่อนงานมงคลไม่ควรอยู่ด้วยกัน และตอนนี้ยังเป็นช่วงปีใหม่อีกด้วย การที่พวกนางสองพ่อลูกมาอยู่ในคฤหาสน์สกุลหลงยิ่งไม่เหมาะสม ดังนั้นผู้เฒ่าจวีจึงพาตัวจวีมู่เอ๋อร์กลับบ้านไป

วันตรุษจีนปีนี้แน่นอนว่าสกุลจวีไม่ได้ฉลองกันอย่างมีความสุข จวีมู่เอ๋อร์เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ดีดพิณติดต่อกันหลายวัน ดีดจนผู้เฒ่าจวีรู้สึกกลัว เพราะทุกครั้งก่อนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น บุตรสาวของเขามักจะยิ่งเล่นพิณมากขึ้น

วันที่ห้าเดือนอ้าย ผู้เฒ่าจวีที่ทนไม่ไหวมาพูดคุยกับบุตรสาว เขาคิดว่าเป็นเพราะพวกโจรล้วนตายกันหมด คดีนี้จึงกลายเป็นคดีที่อาจปิดไม่ลง ดังนั้นบุตรสาวจึงหวาดกลัวเป็นกังวล เขาจึงควรต้องไปปลอบใจสักนิด

แต่เขายังไม่ทันพูดเข้าประเด็นหลัก จวีมู่เอ๋อร์กลับเอ่ยขึ้นมาทันใดว่า “พ่อ พ่อว่าข้าไม่แต่งงานแล้วดีหรือไม่”

ไม่แต่งงาน?

ไม่แต่งงานแล้ว?

ตอนนี้นางอายุยี่สิบปีแล้ว และการได้คู่หมั้นหมายที่ดีเช่นนี้เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ท่านหลงเอ้อร์ก็ดีกับครอบครัวของเขา เหตุใดนางจึงคิดจะไม่แต่งงานเสียแล้ว

ผู้เฒ่าจวีตกใจจนขนหัวลุก รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที “อ๋า วันนี้อากาศดีจริง ตอนเช้าพ่อคงดื่มมากไปแน่นอน ตอนนี้จึงรู้สึกมึนๆ”

“พ่อ…”

“อืม มึนมากจริงๆ พ่อต้องไปนอนสักครู่ ลูกเอ๋ย เจ้าดีดพิณต่อเถอะ ดีดเยอะๆ เจ้าดีดได้เพราะจริงๆ” ผู้เฒ่าจวีไม่ให้โอกาสจวีมู่เอ๋อร์พูดอะไรอีก รีบวิ่งออกไปทันที

ผู้เฒ่าจวีกลับไปหลบในห้องของตัวเอง คิดซ้ายคิดขวา ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เรื่องยกเลิกการแต่งงาน บุตรสาวคงไม่ได้หลุดปากพูดออกมาโดยไม่คิด สองปีก่อนนั้นเรื่องงานมงคลกับสกุลเฉินเองก็ตอกมั่นเป็นคำสัญญาหนักแน่น แต่พอนางเอ่ยปากบอกให้ยกเลิกการแต่งงานก็ได้ยกเลิกจริงๆ ตอนนี้นางเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง นั่นต้องเป็นสิ่งที่คิดใคร่ครวญอยู่นานแล้วแน่นอน

ไม่ได้การ ไม่ได้การแล้ว เรื่องนี้ต้องไปคุยกับท่านหลงเอ้อร์เสียหน่อย จากนั้นผู้เฒ่าจวีก็อุ้มเหล้าสองไหไปที่คฤหาสน์สกุลหลง

เมื่อได้พบหลงเอ้อร์ ผู้เฒ่าจวีไม่กล้าบอกตามตรงว่าจวีมู่เอ๋อร์มีความต้องการจะยกเลิกการแต่งงาน พูดอ้อมๆ เพียงรู้สึกว่าหลายวันนี้บุตรสาวอารมณ์ไม่ค่อยดี เขากลัวว่าหลังจากผ่านเรื่องพวกโจรนั้นมาแล้ว นางกำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรบางอย่างอยู่

“คิดฟุ้งซ่าน?” หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว พูดคำนี้ซ้ำอีกครั้ง

ผู้เฒ่าจวีพยักหน้าอย่างแรง “นางยังคงดีดพิณไม่หยุด”

“ดีดพิณไม่หยุด?”

“ถูกต้อง ทุกครั้งที่นางดีดพิณก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น”

หลงเอ้อร์หัวเราะ “ผู้เฒ่าโปรดวางใจ ข้าไม่ใช่เฉินเหลียงเจ๋อ”

ผู้เฒ่าจวีตะลึงไป เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเหลียงเจ๋อ เมื่อครู่เขาพูดถึงเหลียงเจ๋อหรือ

“มู่เอ๋อร์คงพักรักษาตัวจนเบื่อแล้ว รอข้าไปจัดการ นางก็จะกลับมาเป็นเด็กดี ไม่คิดฟุ้งซ่านอีกอย่างแน่นอน” หลงเอ้อร์มีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม แต่ผู้เฒ่าจวีในสมองกลับว่างเปล่า เมื่อครู่เขาคงไม่ได้พูดว่าบุตรสาวเป็นเด็กไม่ดีหรอกนะ

ในวันนี้ผู้เฒ่าจวีจึงกลับจากคฤหาสน์สกุลหลง โดยมีผลไม้สดและของฉลองปีใหม่หนึ่งตะกร้าพร้อมกับความลับอีกเรื่องหนึ่ง

ความลับก็คือกำหนดการแต่งงานเปลี่ยนเป็นวันที่สิบแปดเดือนอ้าย แม้อาจดูเร่งรีบไปสักนิด ไม่สิ เร่งรีบไปมาก แต่ในเดือนอ้ายมีเพียงวันนี้ที่เหมาะสมที่สุด แท้จริงแล้วกำหนดการแต่งงานเป็นวันใด ผู้เฒ่าจวีล้วนไม่มีความเห็น ขอเพียงให้บุตรสาวได้แต่งงานกับคนที่ดีก็พอแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านผู้เฒ่าจวีก็พูดท่องมาตลอดทาง “กำหนดการแต่งงานนี้เป็นความลับ บอกลูกไม่ได้ กำหนดการแต่งงานนี้เป็นความลับ บอกลูกไม่ได้…”

นอกจากนี้การไปเยือนคฤหาสน์สกุลหลงในครั้งนี้ของผู้เฒ่าจวียังได้รับข่าวมาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือท่านหลงเอ้อร์บอกว่าจะจัดการกับบุตรสาวที่ชอบคิดฟุ้งซ่านของเขา แล้วจะจัดการอย่างไรล่ะ ผู้เฒ่าจวีไม่รู้ จากนั้นนึกขึ้นได้ว่าตอนป้อนยาก็มีเพียงท่านหลงเอ้อร์เท่านั้นที่จัดการกับบุตรสาวได้ ดังนั้นครั้งนี้คงไม่มีปัญหาอะไรกระมัง

อืม ผู้เฒ่าจวีเห็นว่ามีบุตรเขยเช่นนี้ช่วยลดความกังวลใจไปได้มากเลยทีเดียว

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com