ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด
บทที่สอง
หลงเอ้อร์ไม่ได้คาดการณ์ผิด ติงเหยียนซานรู้จักจวีมู่เอ๋อร์และคิดจะไปสั่งสอนจวีมู่เอ๋อร์จริงๆ
วันนั้นหลังจากที่หลงเอ้อร์จากไปแล้ว นางก็ให้คนรถบังคับรถม้าไปส่งนางที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋น
พี่สาวของติงเหยียนซานมีนามว่าติงเหยียนเซียง เมื่อสามปีก่อนนางแต่งงานกับอวิ๋นชิงเสียน สองสามีภรรยารักใคร่สมัครสมาน แต่ติงเหยียนเซียงไม่ตั้งครรภ์สักที แม้อวิ๋นชิงเสียนจะปลอบใจว่ายังไม่ต้องรีบร้อน แต่นางยังคงมีปมนี้อยู่ในใจ
ติงเหยียนซานมีนิสัยใจร้อน กล้าได้กล้าเสีย ส่วนติงเหยียนเซียงนั้นสุภาพอ่อนโยนเป็นแบบฉบับของสาวงามอ่อนหวาน
เมื่อติงเหยียนซานไปถึงคฤหาสน์สกุลอวิ๋นและได้พบหน้าพี่สาว นางก็เล่าไปตามตรงว่าวันนี้ได้พบกับนางจิ้งจอกตาบอดคนนั้น ติงเหยียนเซียงนิ่งไปครู่หนึ่งถึงค่อยรู้ว่าคนที่ติงเหยียนซานพูดหมายถึงใคร
“ซานเอ๋อร์ ทำการใดต้องเหลือที่ว่างไว้สามส่วน พบคนต้องเหลือคำดีไว้ห้าส่วน”
“เช่นนั้นก็ต้องแบ่งแยกว่าเป็นใครและเรื่องอะไร” ติงเหยียนซานพูดด้วยความโกรธ “วันนี้ข้าไปที่ร้านน้ำชาเซิ่งหลง กำลังคุยกับท่านหลงเอ้อร์ นางจิ้งจอกนั่นก็เข้ามาเหมือนนางมีเรื่องจะขอร้องเขา แต่เมื่อท่านหลงเอ้อร์ไม่ตอบตกลง นางกลับใช้น้ำชาร้อนสาดใส่เขา พี่คิดดูว่าหญิงคนนี้หน้าด้านหรือไม่”
ติงเหยียนเซียงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “นางไปขอร้องท่านหลงเอ้อร์เรื่องอะไร”
“ข้าไม่รู้” ติงเหยียนซานเบ้ปากแล้วย้อนถามว่า “พี่เหยียนเซียง พี่กับพี่เขยคุยกันหรือยัง เขาคิดจะทำอย่างไรกันแน่”
ใบหน้าของติงเหยียนเซียงมีความกังวลอยู่บางๆ อวิ๋นชิงเสียนดีต่อนางทุกอย่าง แต่เกรงว่าเขาจะมีใจให้จวีมู่เอ๋อร์เช่นกัน สามีภรรยาสนิทสนมกันที่สุด เขามีความคิดอย่างไรย่อมปิดบังนางไม่ได้
เมื่อติงเหยียนเซียงเล่าเรื่องออกมา ติงเหยียนซานถึงกับลุกขึ้นยืน “เฮอะ นี่เขาคิดจะแต่งนางจิ้งจอกคนนั้นเข้าบ้านจริงๆ หรือ”
“ท่านพี่บอกว่าแม่นางจวียังไม่ตอบตกลง” ติงเหยียนเซียงคิดถึงท่าทางตอนที่อวิ๋นชิงเสียนพูดคำนี้ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด หากเขาไม่ได้จริงใจต่อหญิงตาบอดคนนั้น นางก็คงจะไม่เสียใจถึงเพียงนี้
ติงเหยียนซานโกรธจนเดินงุ่นง่านไปทั่วห้อง “นางจิ้งจอกคนนั้นแผนสูงเหลือเกิน ข้าไปสืบมาแล้ว ตอนนั้นนางถ่วงเวลาแต่งงานกับชายที่โตมาด้วยกัน คิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับความสนใจจากพี่เขย ทุกคนรู้ว่าพี่เขยชอบพิณ นางจึงอาศัยตรงจุดนี้ มาตอนนี้นางตาบอดจึงแสร้งทำตัวให้น่าสงสาร ผู้ชายมักจะแพ้วิธีนี้ที่สุด เกรงว่าที่นางไม่ตอบรับแต่งเข้าบ้านคงเพราะไม่อยากเป็นอนุ นางคงคิดจะบีบให้พี่เขยหมางเมินพี่ หากไม่คิดอยากเป็นภรรยามีศักดิ์เท่าเทียมกับพี่ก็คงคิดจะครอบครองพี่เขยแต่เพียงผู้เดียว เลวจริงๆ! นางไม่ดูสารรูปตัวเองเลยว่าอยู่ในฐานะใด! พี่เหยียนเซียง พี่ยอมนางไม่ได้นะ หากพี่ไม่กล้าเอ่ยปาก ข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่เอง นางเป็นเพียงหญิงตาบอดธรรมดา แม้พี่เขยจะถูกนางหลอกล่อ แต่จะกล้าไม่ไว้หน้าจวนเสนาบดีเชียวหรือ”
“ซานเอ๋อร์ อย่าให้เรื่องวุ่นวายไปถึงท่านพ่อท่านแม่เลย เรื่องนี้พี่จะจัดการเอง”
ติงเหยียนซานไม่ยอม “พี่เหยียนเซียง พี่เป็นคนใจอ่อน หากในตอนแรกพี่เขยไม่ได้ท่านพ่อคอยอุ้มชูจะมีวันนี้ได้อย่างไร เขาสามารถแต่งงานกับพี่ได้ก็นับว่าเป็นบุญของเขาแล้ว วันนี้เขามีพร้อมทุกอย่างแต่กลับเจ้าชู้ แอบไปมองหญิงนอกบ้าน หากวันนี้พี่ยอมให้เขาทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ วันข้างหน้าพี่จะมีชีวิตอย่างไร” ติงเหยียนซานยิ่งคิดยิ่งโกรธ “ไม่ได้ ข้าจะไปบอกท่านพ่อ ส่วนนางจิ้งจอกคนนั้น ข้าจะไม่ปล่อยนางไว้แน่” พูดจบติงเหยียนซานก็หมุนตัวจะเดินจากไป
“ซานเอ๋อร์!” ติงเหยียนเซียงร้อนใจ รีบรั้งตัวน้องสาวไว้ เสียงพูดก็ดังมากยิ่งขึ้น “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ยื่นมือเข้ามายุ่ง”
“พี่เหยียนเซียง!” ติงเหยียนซานโกรธจนกระทืบเท้า
“ซานเอ๋อร์ เรื่องนี้ลือกันไปทั่วทั้งเมือง เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะไม่รู้เลยหรือ หากท่านพ่อคิดจะออกหน้าแทนพี่ ทำไมต้องรอให้เจ้าออกปากด้วย”
ติงเหยียนซานนิ่งไป พูดอะไรไม่ออก
ติงเหยียนเซียงเอ่ยต่อ “ท่านพ่อเองก็มีอนุสามเรือน ทั้งๆ ที่ท่านแม่ก็เป็นคนมีแผนการมากมายทั้งยังมีท่านตาคอยให้ท้าย ผลก็เป็นเช่นเดิมมิใช่หรือ ตอนที่พี่แต่งงาน ท่านแม่ก็บอกพี่ว่าท่านพ่อเห็นความสามารถของท่านพี่ คาดการณ์ไว้ว่าในอนาคตเขาจะต้องเจริญก้าวหน้า ดังนั้นจึงดึงตัวเขาเข้าไปทำงานในกรมอาญา ในเมื่อพี่แต่งงานกับเขาก็ต้องเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ขอเพียงรักษาตำแหน่งภรรยาเอกเอาไว้ให้ดี ทำให้เขาพอใจได้ก็เพียงพอแล้ว หากเขาจะมีหญิงอื่นก็ขอเพียงไม่ให้หญิงผู้นั้นให้กำเนิดเลือดเนื้อของเขาออกมาทำให้ฐานะของพี่สั่นคลอน หากเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยตามใจเขาเถอะ”
ติงเหยียนซานกัดริมฝีปากแน่น กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ “ท่านพ่อท่านแม่…พวกท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ติงเหยียนเซียงกุมมือนางเอาไว้ “ซานเอ๋อร์ ถึงแม้จะเป็นคนธรรมดา หากในบ้านมีเงินอยู่บ้างก็ยังสามารถแต่งอนุเข้าบ้านได้ นับประสาอะไรกับขุนนางที่มีอำนาจอย่างท่านพ่อกับท่านพี่ หลังจากพี่รู้ถึงความคิดของเขาแล้วพี่ก็คิดอะไรมากมาย ความจริงนับได้ว่าเขาดีต่อพี่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำให้พี่ต้องเป็นพี่สาวของเหล่าอนุโดยไม่รู้ตัว เขารับปากว่าหากพี่ไม่ยอมตกลงเขาก็จะไม่แต่งหญิงอื่นเข้าบ้าน และจะไม่ยอมให้หญิงอื่นให้กำเนิดลูกของเขาแม้แต่คนเดียว”
ติงเหยียนซานสะบัดมือ “หึ เรื่องนี้นับเป็นอะไรได้ หากเขาจริงใจกับพี่จริง คงไม่ชายตามองหญิงอื่นแบบนี้ รอให้ข้าแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์แล้ว จะไม่ยอมให้เขามีความคิดอยากแต่งงานกับหญิงคนอื่นแน่นอน”
ติงเหยียนเซียงยิ้มบาง ยื่นมือไปลูบใบหน้าน้องสาว “เจ้าดูตัวเองสิ ไม่รู้จักอายเสียบ้าง เป็นผู้หญิงมาพูดถึงเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เฝ้าหวังแต่เรื่องแต่งงานหรือ”
ติงเหยียนซานหน้าแดง แต่ยังคงเชิดหน้าพูดต่อ “ข้าอยากแต่งงานกับเขา ผู้หญิงคนอื่นย่อมไม่เพียบพร้อมเท่าข้าแน่นอน”
ติงเหยียนเซียงยิ้มแล้วดึงนางเข้ามาใกล้ “ใช่ น้องสาวของพี่ดีที่สุดเลย”
ติงเหยียนซานเอียงหัวซบไหล่ของพี่สาวอย่างออดอ้อนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถาม “พี่เหยียนเซียง เมื่อพี่เขยบอกว่าเรื่องนี้แล้วแต่พี่ พี่คิดจะทำเช่นไร”
ติงเหยียนเซียงถอนหายใจ “พี่จะลองคิดดู…คิดดูอีกทีก็แล้วกัน”
ติงเหยียนซานไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับคิดว่าจะปล่อยให้นางจิ้งจอกคนนั้นอยู่เป็นสุขไม่ได้โดยเด็ดขาด
หลังจากถูกน้ำชาสาดใส่หลงเอ้อร์ก็เริ่มสนใจเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนตาบอดขึ้นมา
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาคิดถึงมาตลอด พูดให้ชัดเจนก็คือแค้นนี้เขาจดจำเอาไว้แล้ว
บางครั้งเขาเดินผ่านหลุมบนถนนก็คิดว่าคนที่มองไม่เห็นอาจจะสะดุดได้กระมัง อืม หากหญิงตาบอดคนนั้นสะดุดล้มก็คงดี ตอนเขาคีบอาหารก็ยังคิดว่าหากมองไม่เห็นว่าอาหารอยู่ตรงไหน แล้วจะกินได้อย่างไร มิน่านางถึงผอมเช่นนั้น อืม สมน้ำหน้าที่นางกินอาหารไม่สะดวก
เมื่อเป็นเช่นนี้ตลอดจนผ่านไปหลายวัน ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวตามหลี่เคอมาถามความ “ติงเหยียนซานสั่งสอนจวีมู่เอ๋อร์คนนั้นแล้วหรือยัง”
หลี่เคอจนใจ ได้แต่รับคำสั่งไปสืบว่าผู้หญิงคนหนึ่งได้ไปรังแกผู้หญิงอีกคนหนึ่งหรือไม่ เมื่อสืบได้ความแล้วก็กลับมารายงาน “หลังจากวันนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอรับ”
หลงเอ้อร์ลูบปลายคาง “หญิงตาบอดคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ”
หลี่เคอทอดถอนใจ ผู้เป็นนายของเขาช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง คนตาบอดย่อมเดินเหินไม่สะดวก อยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปที่ใดก็กลับกลายเป็นเจ้าเล่ห์ไปเสียอย่างนั้น เขาทนไม่ไหวจึงเอ่ยถาม “นายท่านรอง เรื่องกันสาดจะทำเช่นไรดีขอรับ”
หลงเอ้อร์ปรายตามอง “ทำไม เจ้าคิดจะเร่งให้ข้าทำตามสัญญาแทนหญิงตาบอดคนนั้นหรือ”
หลี่เคอพานถูกโกรธไปด้วยจึงรีบก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงอะไรอีก
หลงเอ้อร์ลุกขึ้นยืนเอามือไพล่หลังมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วพูดว่า “เมื่อข้ารับปากแล้วย่อมไม่ผิดคำพูด กันสาดนี้ต้องทำแน่นอน แต่ข้าจะไม่ยอมควักเงินจ่ายเอง”
หลี่เคอตกใจ ไม่ยอมจ่ายเงินแล้วจะสร้างได้อย่างไร
หลงเอ้อร์พูดต่อ “ข้าให้พ่อบ้านเถี่ยกระจายข่าวไปถึงเหล่าพ่อค้ารายใหญ่แล้วว่าเพื่อทำให้ถนนตงต้าเป็นถนนการค้าที่คึกคักและยิ่งใหญ่ที่สุด จึงจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่โดยสร้างกันสาดหน้าร้านค้าเพิ่มทั้งหมด เพียงไม่กี่วันจะต้องมีคนส่งเงินมาทั้งยังขอร้องให้ข้าใช้เงินเหล่านั้นมาปรับปรุงถนนอย่างแน่นอน”
หลี่เคอเข้าใจทันที เศรษฐีเหล่านั้นมีเงินทองจนใช้ไม่หมด พวกเขาไม่ขาดเงิน แต่สิ่งที่ขาดคือชื่อเสียงและอำนาจ หากพวกเขาสามารถใช้เงินเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ถนนตงต้ากลายเป็นถนนการค้าที่คึกคักที่สุดในแคว้น มีชื่อประดับเอาไว้ พร้อมทั้งได้ชื่อเสียงและเอาใจท่านหลงเอ้อร์ไปในคราวเดียว สำหรับพวกเขาแล้วย่อมถือเป็นเรื่องดีที่เต็มใจทำเป็นอย่างยิ่ง
เป็นวิธีที่ดียิ่ง ไม่ต้องควักเงินจากกระเป๋าตัวเอง อีกทั้งเกรงว่าสองสามวันนี้คงจะมีคนส่งของขวัญมาเพื่อแย่งกันเอาใจแย่งกันออกเงินอีกด้วยกระมัง
หลี่เคอที่กำลังคิดว่านายของตัวเองมีความคิดยอดเยี่ยมนักพลันได้ยินหลงเอ้อร์เอ่ยถาม “ครั้งก่อนหญิงตาบอดคนนั้นบอกว่านางมีวิธีทำให้ข้าสร้างกันสาดแล้วยังได้เงินกลับมาอีก เจ้าคิดว่าเป็นวิธีใด”
“ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ”
หลงเอ้อร์มองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เขาควรถามนางให้กระจ่างตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องมาคิดมากเช่นวันนี้ เขากำชับให้หลี่เคอส่งคนไปจับตาดูจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้ คอยดูว่านางจะได้รับการสั่งสอนอย่างไรบ้างแล้วต้องรีบมารายงานให้เขาฟัง
หลี่เคอรับคำสั่งแล้วถอยออกไป หลงเอ้อร์กลับไปนั่งที่เก้าอี้ เปิดดูสมุดบัญชีของตัวเอง อืม เป็นสมุดบัญชีที่ทำให้เขามีความสุขที่สุด ผู้หญิงล้วนทำให้เรื่องยุ่งยากทั้งสิ้น
ผ่านไปครึ่งเดือน หลงเอ้อร์ได้รับข่าวของจวีมู่เอ๋อร์เพียงสองเรื่อง หนึ่งคือนางออกจากบ้านไปสอนบุตรสาวของคฤหาสน์สกุลหลี่ให้ดีดพิณ ระหว่างทางกลับบ้านถูกอันธพาลสองคนหยอกเย้ากลั่นแกล้งจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ชาวนาคนหนึ่งเป็นคนช่วยเอาไว้และส่งนางกลับบ้าน อีกเรื่องหนึ่งคือนางไปช่วยปรับสายพิณให้ร้านพิณ ตอนขากลับถูกสาดน้ำสกปรกใส่ ได้เถ้าแก่เนี้ยร้านเต้าหู้คนหนึ่งยื่นมือเข้าช่วย ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วส่งนางกลับบ้าน
หลงเอ้อร์ได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “การสั่งสอนของติงเหยียนซานมีเพียงแค่นี้เองหรือ วิธีการของผู้หญิงช่างเล็กน้อยน่าเบื่อเหลือเกิน”
หลี่เคอก้มหน้าไม่พูดจา แอบคิดอยู่ในใจว่าหญิงสาวอ่อนแอถูกรังแก นายท่านของเขายังจะเห็นเป็นเรื่อง ‘น่าสนุก’ อยู่อีกหรือ
ผ่านไปสักครู่หลงเอ้อร์ก็พูดขึ้น “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เจ้าไปหาหญิงตาบอดคนนั้นแล้วบอกนางว่าข้าจัดการเรื่องทำกันสาดให้แล้ว ขอเชิญนางไปที่หอเซียนเว่ยเพื่อปรึกษากันสักนิด”
หลี่เคอตกตะลึง “จะปรึกษาเรื่องอะไรขอรับ”
หลงเอ้อร์เหลือบตามอง “แน่นอนว่าไม่มี แต่ที่ข้าเชิญนางออกมาย่อมมีเหตุผลแน่นอน เจ้าสั่งการให้ไปหาบ่าวมาสักคนแล้วใช้ให้เขา ‘บังเอิญ’ ไปพบกับสาวใช้ของติงเหยียนซาน ทำเป็นเผลอหลุดพูดเรื่องที่ข้าจะไปกินข้าวกับหญิงตาบอดที่หอเซียนเว่ยออกไป”
หลี่เคอทอดถอนใจ นายท่านรองแค่อยากจะดูผู้หญิงสู้กันเท่านั้นเอง
หลงเอ้อร์พูดอย่างหมายมาด “จะรังแกคนก็ต้องทำให้อับอายต่อหน้า หากใช้วิธีโบราณเช่นการแอบให้ผู้ชายมารังแกผู้หญิงอ่อนแอจะสนุกได้อย่างไร”
หลี่เคอพยายามไม่แสดงสีหน้าก่อนจะรีบถอยออกไป
นายท่านรอง ท่านเป็นผู้ชายอกสามศอกคิดอยากเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรังแกผู้หญิงอีกคนหนึ่ง มันน่าสนุกตรงไหนหรือ
หลี่เคอเป็นองครักษ์ที่รับผิดชอบต่อหน้าที่และเชื่อฟังคำสั่ง แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการกระทำของผู้เป็นนาย แต่เขายังคงจัดการเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สามวันต่อมา หลงเอ้อร์เชิญจวีมู่เอ๋อร์มาร่วมกินอาหาร
วันนี้อากาศไม่ดีนัก มีฝนตกลงมาปรอยๆ หยาดน้ำฝนตกกระทบพื้นหินเรียบบนถนนดังเปาะแปะฟังไม่รื่นหู ในอากาศมีละอองฝน ทั้งหนาวและเปียกชื้น
สภาพอากาศที่แย่ไม่ได้ทำลายอารมณ์ชื่นบานของหลงเอ้อร์สักนิด เขายืนอยู่ในห้องส่วนตัวบนชั้นสองมองดูถนนหินหน้าประตูใหญ่ของหอเซียนเว่ย เมื่อคิดว่าอีกเพียงครู่เดียวจะได้เห็นท่าทางทุลักทุเลของจวีมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
เพียงไม่นานก็มองเห็นร่มสีเขียวคันหนึ่งมาแต่ไกล รอจนร่มคันนั้นเข้ามาใกล้ หลงเอ้อร์จึงเห็นชัดว่าใต้ร่มคันนั้นมีหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นมีไม้เท้าอยู่ในมือซึ่งก็คือจวีมู่เอ๋อร์ นางไม่ใช้ไม้เท้าแตะพื้น เพียงแค่ถือไว้ในมือ อีกมือหนึ่งเกาะแขนสาวน้อยชุดสีฟ้าข้างกาย เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยผู้นั้นกำลังเป็นผู้นำทางนางอยู่
คนทั้งสองค่อยๆ เดินมาถึงหน้าประตูหอเซียนเว่ย หลงเอ้อร์พยายามเงี่ยหูฟัง ได้ยินจวีมู่เอ๋อร์พูดกับสาวน้อยผู้นั้นว่า “ฉิงเอ๋อร์ ข้าไม่รู้ว่าจะออกมาเมื่อใด เจ้าอย่าได้รอบนถนนเลย ร่างกายเพิ่งจะหายดี อย่าตากฝนจนป่วยอีกนะ”
หลงเอ้อร์คิดว่าสาวน้อยคนนี้จะต้องเป็นซูฉิงน้องสาวข้างบ้านผู้ขายดอกไม้คนนั้นอย่างแน่นอน
หลงเอ้อร์เดาไม่ผิด สาวน้อยคนนี้คือซูฉิงจริงๆ นางตอบรับคำของจวีมู่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม “รู้แล้วๆ ข้าจะไปที่ร้านพี่ชายขายซาลาเปา รอพี่ออกมาแล้วข้าค่อยกลับมาหา”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ใช้ไม้เท้าแตะพื้นค่อยๆ เดินเข้าไปในหอเซียนเว่ยอย่างช้าๆ
หลงเอ้อร์มองดูนางอยู่บนชั้นสอง เห็นซูฉิงเดินไปหยุดที่หน้าร้านซาลาเปาซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยืนพูดอยู่สักครู่แล้วจึงเดินเข้าไป ในตอนนี้เองรถม้าคันหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ หลงเอ้อร์ฉีกยิ้ม ติงเหยียนซานไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ
หลงเอ้อร์หมุนตัวกลับด้วยความยินดี พอดีกับที่เสี่ยวเอ้อร์นำจวีมู่เอ๋อร์มาถึงหน้าห้องรับรองส่วนตัว เขายิ้มต้อนรับ “แม่นางจวี เชิญทางนี้”
เขาพูดว่า ‘เชิญทางนี้’ แต่กลับไม่ได้นำทางจวีมู่เอ๋อร์ ซ้ำยังโบกมือไล่เสี่ยวเอ้อร์ให้ออกไปอีกด้วย
“อืม” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับแต่กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
หลงเอ้อร์ฉีกยิ้มให้นางแล้วหมุนตัวเดินไปนั่งประจำที่
เมื่อเขาขยับตัวก็มีเสียง จวีมู่เอ๋อร์จึงสามารถเดินตามโดยอาศัยเสียงจากการเคลื่อนไหวของเขา นางใช้ไม้เท้าคลำทาง เดินตามหลงเอ้อร์ไปอย่างช้าๆ
ครั้นไม้เท้าแตะโดนเก้าอี้กลม ใบหน้านางจึงดูผ่อนคลายขึ้นบ้าง พอยื่นมือไปคลำดูก็พบแผ่นรองนั่งของเก้าอี้ นางค่อยๆ นั่งลงอย่างระมัดระวัง
หลงเอ้อร์มองอยู่ตลอด เมื่อได้เห็นใบหน้าสงบนิ่งท่าทางเหมือนไร้ที่พึ่งของนางแล้ว ในใจก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบเปลวไฟแห่งความแค้นในใจของเขากับติงเหยียนซานแล้วไม่ได้ต่างกันแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรถึงจะเรียกได้ว่ารังแกคน อย่างนี้สิจึงเป็นการรังแกคน!
ต้องทำให้อีกฝ่ายพูดไม่ออกว่ามีอะไรไม่ดี ทั้งความกลัว ความอึดอัด ทุลักทุเล ว้าวุ่นใจก็ไม่อาจแสดงอาการออกมาได้ ซ้ำยังต้องยิ้มตอบ นี่จึงจะเรียกได้ว่ารังแกได้ถึงจุด!
หลงเอ้อร์กำลังคิดเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้ม บังเอิญว่ารอยยิ้มนั้นอยู่ในสายตาของติงเหยียนซานที่เพิ่งจะเดินเข้าประตูมาพอดี นางที่ได้ข่าวว่าท่านหลงเอ้อร์เชิญจวีมู่เอ๋อร์มาร่วมกินอาหาร ในใจทั้งโมโหและขุ่นเคือง
จวีมู่เอ๋อร์ผู้นี้ทั้งไม่ได้ช่างพูดหรือแสดงสีหน้าอะไรมากมาย แต่ก็สามารถดึงดูดความสนใจของอวิ๋นชิงเสียนพี่เขยของนางไปได้ ไม่รู้ว่านางมีเล่ห์กลอันใดมาหลอกล่อผู้อื่นอีก และจะทำให้ท่านหลงเอ้อร์หลงใหลได้หรือไม่ ติงเหยียนซานคิดได้เช่นนี้จึงตัดสินใจมาสร้างความวุ่นวายให้กับอาหารมื้อนี้
นางต้องการให้จวีมู่เอ๋อร์เสียหน้า ดังนั้นจึงทำผมทรงใหม่ ซื้อเครื่องประดับใหม่ ตัดเสื้อตัวใหม่ ตั้งใจแต่งตัวให้งดงามมาที่หอเซียนเว่ยในวันนี้ ความหนาวเย็นและความชื้นจากละอองฝนทั่วเมืองก็ขวางความตั้งใจของนางที่คิดจะมาเหยียบย่ำจวีมู่เอ๋อร์ไว้ไม่ได้
แต่นางคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้เปิดศึก เพียงแค่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูห้องรับรองส่วนตัวก็เห็นท่านหลงเอ้อร์ยิ้มให้จวีมู่เอ๋อร์ รอยยิ้มนั้นอบอุ่นและเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เหมือนกับว่าการได้เห็นหน้าจวีมู่เอ๋อร์ทำให้เขารู้สึกดีใจยิ่งอย่างไรอย่างนั้น
หัวใจของติงเหยียนซานเต้นแรง โกรธจนต้องบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ เมื่อครู่ตอนลงจากรถม้า นางคอยแต่จะระมัดระวังไม่ให้ชายกระโปรงและปลายรองเท้าเปียกน้ำฝนดินโคลนทำให้เข้ามาสายเกินไป ความจริงนางควรจะรีบกว่านี้อีกสักนิด หากมาถึงเร็วกว่านี้จะได้รู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์พูดอะไรที่ทำให้ท่านหลงเอ้อร์พึงพอใจถึงเพียงนี้
หลงเอ้อร์เงยหน้าขึ้นแล้วแสดงท่าทางตกใจเมื่อเห็นติงเหยียนซาน
ติงเหยียนซานปรับสีหน้าให้มีรอยยิ้มพลางย่อตัวคำนับ “บังเอิญจริง วันนี้ข้าตั้งใจมากินอาหารที่หอเซียนเว่ย กลับพบกับท่านหลงเอ้อร์เสียได้”
หลงเอ้อร์ยืนขึ้นคำนับตอบ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญยิ่งนัก”
“ท่านหลงเอ้อร์มีแขกหรือ แม่นางจวีผู้นี้ซานเอ๋อร์ก็รู้จักเช่นกัน ดังนั้นต้องขอรบกวนแล้ว ท่านหลงเอ้อร์จะถือสาหรือไม่” แม้ปากจะถาม แต่ตัวนางกลับเดินเข้ามาเสียแล้ว
“เรื่องนี้…” หลงเอ้อร์มีสีหน้าลำบากใจ ยังไม่ทันเอ่ยปาก ติงเหยียนซานก็เลือกตำแหน่งข้างหลงเอ้อร์แล้วนั่งลง “แม่นางจวีคงไม่ถือสาที่ข้าจะขอร่วมสนทนาด้วยใช่หรือไม่”
จวีมู่เอ๋อร์เอียงหัวเล็กน้อย เบนหน้าไปทางติงเหยียนซานที่กำลังพูด สีหน้าดูงุนงง
“แม่นางจวีไม่รู้จักข้าหรือ” ติงเหยียนซานหัวเราะแต่คำพูดกลับเย็นชา “พี่สาวของข้าชื่อติงเหยียนเซียง พี่เขยของข้าคืออวิ๋นชิงเสียนรองเสนาบดีกรมอาญา แม่นางจวีคงรู้จักกระมัง”
จวีมู่เอ๋อร์เข้าใจในทันใด นางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใต้เท้าอวิ๋นเป็นคนยุติธรรม เปิดเผยซื่อตรง เป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง”
ติงเหยียนซานหัวเราะ “พี่เขยของข้าไม่เพียงเป็นขุนนางที่ดี เขายังสง่างาม อ่อนโยน ช่างเอาใจ เป็นสามีที่ดีคนหนึ่งเช่นกัน”
จวีมู่เอ๋อร์ค้อมตัวลงเล็กน้อย “เช่นนั้นต้องแสดงความยินดีกับพี่สาวของท่านด้วย”
“พี่สาวข้าใจเย็น แต่ข้าไม่เหมือนนาง หากมีผู้หญิงคนไหนที่ไม่รู้ความกล้าทำให้พี่สาวข้าไม่มีความสุข ข้าจะต้องสั่งสอนผู้หญิงคนนั้นอย่างแน่นอน”
จวีมู่เอ๋อร์ตอบกลับอย่างอ่อนน้อม “พี่สาวท่านมีน้องสาวที่ดีเช่นท่าน นับว่าเป็นวาสนาจริงๆ”
หลงเอ้อร์เม้มริมฝีปากเบาๆ รู้สึกว่าการต่อปากต่อคำของผู้หญิงเช่นนี้ไม่น่าสนใจ เขาจึงเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้เริ่มจัดวางอาหาร “แม่นางติง อย่ามัวแต่คุยเลย กินอาหารสักนิดเถอะ”
ติงเหยียนซานได้ยินหลงเอ้อร์พูดเอาใจก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันใด นางแอบมองจวีมู่เอ๋อร์แวบหนึ่ง จากนั้นจึงหันหน้ามายิ้มและขอบคุณหลงเอ้อร์
หลงเอ้อร์แอบหัวเราะในใจ ติงเหยียนซานจ้องหน้าคนตาบอดเช่นนั้นไม่เป็นการเปล่าประโยชน์หรอกหรือ
อาหารถูกจัดวางขึ้นโต๊ะแล้ว ติงเหยียนซานเป็นคนหาหัวข้อสนทนา ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่นางกับหลงเอ้อร์รู้จัก ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ที่ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนถูกกันออกไป อาหารวางเต็มโต๊ะ แต่นางที่มองไม่เห็นย่อมคีบอาหารไม่ได้ ดังนั้นจึงจำต้องนั่งอย่างเงียบๆ
ติงเหยียนซานเห็นนางตกอยู่ในสภาพน่าอึดอัดก็ยิ่งสาแก่ใจ หลงเอ้อร์แอบหัวเราะอยู่ในใจ เขายื่นมือไปคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งวางลงในจานตรงหน้าจวีมู่เอ๋อร์ “ปลาไนน้ำแดงจานนี้รสดีมาก แม่นางจวีลองชิมดู” จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ขยับ หลงเอ้อร์จึงพูดขึ้นอีก “ทำไมหรือ แม่นางจวีไม่ถูกใจอาหารที่ข้าสั่งหรือ” เขาพูดพลางคีบเนื้อปลาให้อีก
จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ก็จำต้องหยิบตะเกียบขึ้นมา นางฟังเสียงหลงเอ้อร์คีบอาหารอย่างตั้งใจ ใช้มือซ้ายคลำจานก่อนแล้วค่อยยื่นตะเกียบไป นางคีบปลามาหนึ่งชิ้น ส่งเข้าปากช้าๆ
ในเนื้อปลามีแต่ก้าง จวีมู่เอ๋อร์กินเพียงคำเดียวก็รู้ได้ว่านางแย่แน่ จะเคี้ยวก็ไม่ได้ จะกลืนก็ไม่ได้ หากจะคายออกมา นางก็มองไม่เห็นไม่รู้ว่าจะคายไว้ที่ใด จึงต้องอมเนื้อปลาที่เต็มไปด้วยก้างชิ้นนี้เอาไว้ไม่ขยับเขยื้อน
หลงเอ้อร์อมยิ้ม มองดูนางด้วยความพอใจ
ติงเหยียนซานที่เดิมขุ่นเคืองเพราะเขาคีบอาหารให้จวีมู่เอ๋อร์เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น นางกลั้นหัวเราะแล้วเอ่ยถาม “แม่นางจวี ปลานี้รสชาติดีหรือไม่”
จวีมู่เอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากแขนเสื้อออกมาป้องปากเอาไว้ นางคายเนื้อปลาใส่ผ้าเช็ดหน้า เมื่อคายหมดแล้วจึงถอนหายใจยาว “ก้างปลาทิ่มปากข้าจึงชิมอะไรไม่รู้รสเลย”
“เป็นไปได้อย่างไร” ติงเหยียนซานพูดด้วยรอยยิ้ม “หยิบก้างออกก็ใช้ได้แล้ว ข้ากินไปสองชิ้น รสชาติดียิ่ง” นางพูดพลางโบกมือให้สาวใช้ด้านข้างคีบปลาและหยิบก้างออกให้นางอีกชิ้น ติงเหยียนซานคีบเข้าปากอย่างได้ใจ
จวีมู่เอ๋อร์ยิ้ม “ตอนยังเด็ก แม่ข้าบอกว่ากินปลาแล้วจะฉลาดเพราะปลาบำรุงสมอง แต่ตอนนี้ข้าตาไม่ดีจึงทำให้กินปลาลำบาก แม่นางติงกับท่านหลงเอ้อร์คงลืมไป เช่นนั้นควรจะกินปลาให้มากหน่อย ช่วยบำรุงสมองได้ดีนัก”
หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว โอ้ หญิงตาบอดผู้นี้ไม่ยอมถูกรังแกง่ายๆ ถึงกับกล้าประชดประชันเขากลับด้วย
ติงเหยียนซานรอยยิ้มแข็งค้างไป เอ่ยถามหน้าเครียด “แม่นางจวีจะบอกว่าข้ากับท่านหลงเอ้อร์ลืมเรื่องที่เจ้าตาบอดเพราะสมองไม่ดีอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนว่ามิใช่” จวีมู่เอ๋อร์ตอบช้าๆ “จำไม่ได้เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป แต่หากรู้แล้วแกล้งทำเป็นลืม นั่นจึงจะเรียกว่าโง่จริงๆ”
เมื่อติงเหยียนซานได้ฟังก็โกรธจนแทบจะโยนตะเกียบทิ้ง นางกำลังจะระเบิดอารมณ์ก็พลันได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งจากด้านนอกเสียก่อน
“โอ บังเอิญยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าท่านหลงเอ้อร์ก็มากินอาหารที่นี่เช่นกัน”
ติงเหยียนซานเงยหน้ามอง ผู้มาคือเจี่ยงฮุ่ยบุตรสาวของคฤหาสน์สกุลเจี่ยง นางก็เหมือนกับติงเหยียนซานที่ต้องการแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลหลงเป็นฮูหยินของท่านหลงเอ้อร์ ติงเหยียนซานรีบหันมองท่านหลงเอ้อร์ จึงเห็นว่าเขามีสีหน้าตกใจเช่นกัน เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ได้เป็นคนนัดมา
หลงเอ้อร์รู้สึกตกใจจริงๆ เขาคิดจะยืมมือติงเหยียนซานมาสั่งสอนจวีมู่เอ๋อร์ ไม่ได้คิดจะเปิดงานแย่งชิงตำแหน่งฮูหยินของตัวเองที่หอเซียนเว่ยแห่งนี้
หากผู้หญิงหนึ่งคนจัดการได้ยาก ผู้หญิงสองคนยิ่งเพิ่มความยุ่งยาก การมีผู้หญิงถึงสามคนเรื่องราวคงเละเป็นโจ๊ก หลงเอ้อร์มักจะถูกผู้หญิงหาข้ออ้างมาเกาะแกะ ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
เขาขมวดคิ้วมองดูเจี่ยงฮุ่ยที่เดินเข้ามานั่งโดยไม่ได้รับเชิญ ซ้ำยังพูดเหน็บเจ้าคำหนึ่งข้าคำหนึ่งกันไปมากับติงเหยียนซาน หลงเอ้อร์ถึงกับเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันใด เมื่อหันไปมองจวีมู่เอ๋อร์ก็พบว่านางกำลังตั้งใจฟังหญิงสาวสองคนพูดจากระทบกระเทียบประชดประชันกันอย่างเรียบร้อย หลงเอ้อร์สาบานได้ว่าเขาเห็นรอยยิ้มสะใจที่มุมปากของนาง แม้จะเห็นเพียงแวบเดียว แต่เขามั่นใจว่าตัวเองมองไม่ผิดแน่ๆ
หลงเอ้อร์หมดอารมณ์อยากแกล้งจวีมู่เอ๋อร์ต่อไป ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการก็คือปลีกตัวออกจากการต่อสู้ของคุณหนูทั้งสองคนนี้ ขณะกำลังครุ่นคิดหาวิธี นอกประตูห้องกลับมีเสียงผู้หญิงอีกคนหนึ่งดังขึ้น
“อา บังเอิญเสียจริง วันนี้ลมอะไรพัดมาหนอ เหตุใดจึงมาพบพวกท่านได้ ฉินเอ๋อร์คารวะท่านหลงเอ้อร์ แม่นางติง แม่นางเจี่ยง ไม่พบหน้ากันเสียนาน พวกเจ้ายังคงดูสดชื่นกันเช่นเดิม”
มาอีกคนแล้วหรือ!
หลงเอ้อร์ปวดขมับ เมื่อหันไปมองจวีมู่เอ๋อร์อีกครั้งก็เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของนางเพิ่มมากขึ้น
เขานิ่งงัน ผู้ชายอกสามศอกเช่นเขากลับถูกผู้หญิงหลายคนมาเกาะติด สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก แม้จะรู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็น แต่เขายังคงหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง
เขาไม่ยินดีอย่างมาก!
หญิงสาวผู้มาใหม่ขยับเข้ามานั่ง หากไม่นับจวีมู่เอ๋อร์ สถานการณ์ก็จะเป็นหลงเอ้อร์ที่ต้องรับมือหนึ่งต่อสาม
ผู้หญิงทั้งสามคนหาวิธีมาดึงดูดความสนใจจากหลงเอ้อร์ พวกนางแย่งกันพูดกับเขา ต่างฝ่ายต่างหาเรื่องประชดประชันกัน
หลงเอ้อร์คุยกับพวกนางไม่กี่คำก็เรียกให้หลี่เคอเข้ามา ด้านหนึ่งสั่งให้หลี่เคอเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาเปลี่ยนน้ำชา อีกด้านหนึ่งก็แอบส่งสายตาเป็นสัญญาณลับให้หลี่เคอหาข้ออ้างเพื่อให้เขาปลีกตัวจากไปได้ หลี่เคอย่อมเข้าใจดีจึงพยักหน้าแล้วหมุนตัวออกไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์เข้ามา
หลี่เคอเพิ่งจะก้าวออกไปก็มีแขกผู้หญิงอีกสองคนเดินสวนเข้ามา พวกนางแต่ละคนแต่งกายสวยสดงดงาม เสื้อผ้าไม่เปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย เป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่ต่างมากินอาหารที่หอเซียนเว่ยพร้อมกันและได้พบกับท่านหลงเอ้อร์เข้าพอดี
สีหน้าของหลงเอ้อร์ดำทะมึน วันที่ฝนตกหนักเช่นนี้ แต่ทุกคนกลับแต่งตัวเต็มยศออกมาหาอาหารกินกัน ลำบากพวกนางแล้วจริงๆ
ผู้หญิงห้าคนจับจองที่นั่งจนเต็มโต๊ะ ไม่มีใครสนใจจวีมู่เอ๋อร์
หญิงธรรมดาสามัญสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้กับคุณหนูเช่นพวกนาง ทุกคนต่างรู้แก่ใจดีที่แล้วมาพวกนางแอบปะทะกันอยู่หลายครา มาวันนี้จึงสามารถประชันกันต่อหน้าท่านหลงเอ้อร์ได้ หากดึงดูดความสนใจจากท่านหลงเอ้อร์ไม่สำเร็จ แค่มาทำลายการสังสรรค์ของฝ่ายตรงข้ามได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว
หลงเอ้อร์ฟังเสียงพวกนางคุยกันเจี๊ยวจ๊าว รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจนัก ตอนนี้เองจวีมู่เอ๋อร์ที่ราวกับไม่มีตัวตนลุกขึ้นยืนและเอ่ยคำอำลาเสียงเบา หลงเอ้อร์มองรอยยิ้มบนมุมปากของนางตอนที่เดินจากไปแล้วก็รู้สึกโกรธอย่างมาก ยิ่งได้เห็นกิริยาของนางที่คล่องแคล่วกว่าตอนมามากนัก เขาก็โกรธมากยิ่งขึ้น
จวีมู่เอ๋อร์จากไปแล้ว เหลือไว้เพียงผู้หญิงที่งดงามราวดอกไม้พยายามอวดโฉมทั้งห้าคน ด้านหลังหญิงสาวแต่ละคนยังมีสาวใช้ฝีปากกล้าตามมาด้วยอีกหนึ่งคน นับแล้วมีหญิงสาวทั้งหมดสิบคน ดวงตายี่สิบข้างต่างจับจ้องมาที่หลงเอ้อร์
เขารู้สึกว่าสถานการณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ว่าเป็นผู้ชายคนใดก็คงจะทนรับไม่ได้
หลงเอ้อร์นับถือตัวเองอย่างมาก เขาคิดว่าตนมีความอดทนและโอนอ่อนเป็นเลิศ เพราะตอนนี้ยังสามารถยิ้มและรับรองทุกคนให้กินอาหารต่อไปได้ หลังจากนั้นจึงยกมือขึ้นป้องปากแล้วไอเบาๆ
เสียงไอทำให้หญิงสาวทั้งห้าคนขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าห่วงใย แย่งกันสอบถามว่าท่านหลงเอ้อร์ไม่สบายอย่างไร จากนั้นทุกคนก็งัดทีเด็ดของตนออกมา เริ่มจากแนะนำท่านหมอ แนะนำวิธีรักษาอาการไอ แสดงความเป็นห่วงเรื่องเสื้อผ้าหนาบางและอื่นๆ อีกมากมาย
ก่อนที่หลงเอ้อร์จะหมดความอดทน หลี่เคอก็ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด
หลี่เคอวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางร้อนใจ หลงเอ้อร์ปรับสีหน้า ในใจแอบชื่นชมหลี่เคอที่แสดงได้ดีมาก เขาไม่แสดงท่าทางใดๆ เพียงถามเสียงเครียด “มีเรื่องใดถึงต้องร้อนรนขนาดนี้”
หลี่เคอรีบคำนับ พูดเสียงกระหืดกระหอบ “พ่อบ้านเถี่ยส่งคนมารายงานว่าในคฤหาสน์มีเรื่องด่วน ต้องการให้นายท่านรองกลับไปโดยเร็วขอรับ”
หลงเอ้อร์แสร้งขมวดคิ้ว “เช่นนั้นหรือ…” เขามองไปยังหญิงสาวทั้งหลาย ทุกคนพากันถือโอกาสแสดงความเข้าใจ รู้เหตุผล และใจกว้าง ต่างแย่งกันพูดว่า “หากท่านหลงเอ้อร์มีงานก็รีบกลับคฤหาสน์ไปเถอะ”
เขาลุกขึ้นคำนับ “เช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว มื้อนี้ข้าขอเป็นเจ้ามือ แม่นางทุกท่านอย่าได้เกรงใจ หากวันหน้ามีโอกาสค่อยมาสังสรรค์กันใหม่” เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
เมื่อหลงเอ้อร์เดินออกจากหอเซียนเว่ยก็พบว่าฝนหยุดตกแล้ว คนรถบังคับรถม้าเคลื่อนเข้ามา หลงเอ้อร์โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้อง เขาเดินไปตามทางที่จวีมู่เอ๋อร์เคยผ่าน เพียงชั่วครู่หลี่เคอก็ตามมาทัน
“นายท่านรองขอรับ หลังจากท่านออกมา พวกนางก็คุยกันว่าทุกครั้งที่มีการสังสรรค์เพียงไม่นานหากไม่ใช่คฤหาสน์สกุลหลงเกิดเรื่องก็เป็นร้านค้าต่างๆ มีปัญหา เห็นทีต่อไปจะใช้วิธีนี้ไม่ได้เสียแล้ว”
หลงเอ้อร์กำลังไม่สบอารมณ์ พอได้ฟังจึงเอ่ยตำหนิหลี่เคอ “เจ้าแสดงท่าทางมากเกินไป ก่อนหน้านั้นยังดี แต่ตอนรายงานว่าในคฤหาสน์เกิดเรื่องเจ้าจะหอบทำไม ไม่ได้วิ่งจากคฤหาสน์มารายงานเสียหน่อย”
หลี่เคอเกาหัว ไม่กล้าโต้ตอบกลับ เขาเป็นองครักษ์ ไม่ใช่นักแสดงเสียหน่อย
หลงเอ้อร์แค่นเสียง “หึ” แล้วพูดต่อ “ไม่ต้องสนใจ พวกนางยังมีหน้ามาโอดครวญอีกหรือ ในเมื่อรู้ว่าทุกครั้งที่พวกนางมาเกาะติดข้าในคฤหาสน์ก็จะเกิดเรื่อง พวกนางสมควรจะเข้าใจได้แล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร คนที่รู้ความควรจะเลิกมายุ่งกับข้าได้แล้ว”
“แต่ว่าบารมีของสกุลพวกนางเป็นสิ่งที่นายท่านรองสามารถใช้ประโยชน์ได้ หากไม่ใส่ใจไปเสียเลยจะทำให้เสียมารยาทหรือไม่ขอรับ”
“เช่นนั้นก็มอบให้เป็นหน้าที่เจ้าลองไปคิดหาวิธีที่ดูดีมา ข้าจะคอยดู” หลงเอ้อร์เหลือบมองหลี่เคอแวบหนึ่ง เขายังกล้ามาพูดอีกหรือทั้งๆ ที่แสดงมาตั้งหลายครั้งแต่เพิ่งจะก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลี่เคออยากจะบอกเหลือเกินว่าวิธีที่จวีมู่เอ๋อร์ใช้เป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ต้องอาศัยนางทำจึงจะดูเหมาะสม หากให้เขาทำคงไม่ค่อยเข้าทีสักเท่าไร เขายังไม่ทันเอ่ยปาก นายท่านรองก็โบกมือ กระโดดลอยตัวขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านที่อยู่ด้านข้าง
หลี่เคอตกใจ มองไปทางซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าวันฝนตกเช่นนี้ไม่มีผู้คน เขาจึงลอยตัวตามขึ้นไป ตอนนี้หลงเอ้อร์หมอบนิ่งอยู่บนหลังคาไม่ขยับ หลี่เคอไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงเลียนแบบท่าทางของเจ้านาย ทำตัวลับๆ ล่อๆ หมอบตามไป
เมื่อโผล่หัวออกไปมองก็เห็นจวีมู่เอ๋อร์กับสาวน้อยที่ชื่อซูฉิงคนนั้นกำลังคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งในตรอก ซูฉิงหยิบซาลาเปาหลายลูกออกมาจากออกเสื้อ “พี่มู่เอ๋อร์ พี่คงหิวแล้วสินะ งานเลี้ยงอาหารแบบนั้นพี่ต้องไม่ได้กินอะไรมากแน่เลย พี่ดูสิ ข้าซื้อซาลาเปามาให้พี่หลายลูก ยังร้อนอยู่เลย กินเสร็จแล้วค่อยกลับ หากปล่อยไว้จะเย็นเสียก่อน”
จวีมู่เอ๋อร์คิดแล้วก็รู้สึกหิวจริงๆ นางจึงตอบรับ หยิบซาลาเปาลูกหนึ่งขึ้นมากัด
ซูฉิงรอบคอบ กางร่มออกบังลมเอาไว้ที่ด้านข้างแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดท่านหลงเอ้อร์ต้องเชิญพี่ไปกินอาหารด้วย”
จวีมู่เอ๋อร์กินซาลาเปาลูกหนึ่งจนหมดอย่างช้าๆ แล้วจึงตอบ “ไม่มีอะไร เขาคงอยากจะถามเรื่องการเรียนพิณให้คนในบ้าน”
“เรื่องแบบนี้มีคำว่า ‘คง’ ด้วยหรือ” ซูฉิงหยิบซาลาเปาอีกลูกหนึ่งใส่มือจวีมู่เอ๋อร์ เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อในคำตอบ “เช่นนั้นเหตุใดพี่ต้องให้ข้าอาศัยการขายดอกไม้แอบไปบอกสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูสกุลใหญ่เหล่านั้นว่าวันนี้ท่านหลงเอ้อร์จะมาเลี้ยงรับรองแขกที่นี่ด้วย”
“หากพวกคุณหนูมากันเยอะหน่อย ข้าอาจจะหางานสอนพิณได้มากขึ้น นับเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ”
ซูฉิงคิดสักพัก “ก็จริง” นางหยิบซาลาเปาให้จวีมู่เอ๋อร์อีกลูก “ครั้งหน้าถ้าท่านหลงเอ้อร์จะถามเรื่องพิณอีกก็ให้พวกเขาไปหาที่ร้านเหล้าเถอะ ตาของพี่ไม่ดี เดินทางไม่ค่อยสะดวก กินก็ไม่อิ่ม ลำบากเกินไปแล้ว”
จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม เป็นหลงเอ้อร์ที่ทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาหมุนตัวกระโดดลงจากหลังคาแล้วเดินกลับไปทางเดิม หลี่เคอไม่เข้าใจแต่ก็เดินตามไป
ตลอดทางหลงเอ้อร์ไม่พูดไม่จา รอจนขึ้นรถม้า หลี่เคอจึงได้ยินเสียงเขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าเล่ห์ เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”
เรื่องที่หอเซียนเว่ย ทำให้หลงเอ้อร์โกรธจนหน้าดำไปครึ่งเดือน
เพราะนับจากวันนั้นเป็นต้นมาคุณหนูทั้งห้าคนก็เริ่มแย่งท่านหลงเอ้อร์กันอย่างเต็มที่
พวกนางส่งเทียบเชิญ ส่งของขวัญ หาทุกวิถีทางเพื่อเชิญให้หลงเอ้อร์ไปพูดคุยกัน ถึงขั้นว่าตอนนี้หลงเอ้อร์ออกจากบ้านไปที่ใดก็จะ ‘บังเอิญพบ’ กับคุณหนูคนใดคนหนึ่งเข้า
เห็นทีพวกนางคงจะได้รับแรงกระตุ้นจากการร่วมกินอาหารที่หอเซียนเว่ยในวันนั้น พ่อแม่ของพวกนางคงเห็นว่าหากไม่เร่งรีบลงมือ ลูกเขยชุบทองผู้นี้อาจจะถูกผู้อื่นแย่งไปครอบครองเสียก่อนกระมัง
เมื่อพวกนางกระตือรือร้นย่อมทำให้ผู้อื่นพลอยเป็นไปด้วย สกุลสูงศักดิ์หลายสกุลที่สนิทสนมกับหลงเอ้อร์ต่างพากันถามถึงความคิดในการแต่งภรรยาของเขา บ้างก็หาข้ออ้างเชิญให้ไปปรึกษาเรื่องการค้า แต่ปรากฏว่าคุยไปคุยมาก็เริ่มเยินยอบุตรสาวของตัวเอง หรือไม่เช่นนั้นก็ส่งแม่สื่อมาที่คฤหาสน์สกุลหลงเพื่อเลียบเคียงถามความคิดของท่านหลงเอ้อร์จากแม่นมอวี๋
สรุปก็คือการแย่งชิงตัวท่านหลงเอ้อร์ในระยะนี้แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ชาวบ้านก็เริ่มลือกันไปต่างๆ นานา เช่นต้นไม้เหล็กจะออกดอกแล้วหรือ ท่านหลงเอ้อร์คิดจะแต่งภรรยาจริงๆ หรือ
หลงเอ้อร์โกรธจนตัวสั่น เรื่องยุ่งยากนี้เป็นเพราะจวีมู่เอ๋อร์ที่น่ารังเกียจผู้นั้นสร้างขึ้น เขาเพียงอยากให้นางเสียหน้าอยากกลั่นแกล้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าวิธีของนางจะโหดร้ายยิ่งกว่าเขา
ในที่สุดการกระทำของเหล่าบุตรสาวสกุลใหญ่และความกระตือรือร้นของเหล่าแม่สื่อก็รู้ไปถึงหูแม่นมอวี๋แห่งคฤหาสน์สกุลหลง นางเริ่มมีความมั่นใจเรื่องการแต่งภรรยาของนายท่านรองแล้ว จากการวางแผนหลายรอบ นางตัดสินใจจะอาศัยชื่อของเฟิ่งอู่ ฮูหยินนายท่านสามให้เชิญบรรดาคุณหนูมาเป็นแขกชมดอกเหมยที่คฤหาสน์สกุลหลง ถือโอกาสให้นายท่านรองได้พบหน้าแล้วรีบกำหนดเรื่องงานมงคล
“แต่ดอกเหมยยังบานไม่เต็มที่เลย” เฟิ่งอู่พูด
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น ที่สำคัญคือให้นายท่านรองได้พบหน้าสาวๆ มากสักหน่อย รอให้เขามีใจหวั่นไหว เรื่องงานมงคลก็ง่ายขึ้น” แม่นมอวี๋ตั้งใจจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
เฟิ่งอู่ลูบปลายคาง “ที่จริงข้ารู้สึกว่าหากให้พวกนางนำรายการสินเดิมเจ้าสาวมาเปรียบเทียบกัน คงจะมีโอกาสทำให้พี่รองหวั่นไหวได้มากกว่าเสียอีก ไม่ก็เทียบความเร็วในการอ่านสมุดบัญชี หรือจะเป็นความสามารถในการดีดลูกคิดคำนวณวางแผนงาน หากเป็นเช่นนั้นคงจะชนะใจที่หลงใหลในสมบัติของพี่รองได้ง่ายดายยิ่งขึ้น”
เฟิ่งอู่กำลังพูดอย่างออกรส ทันใดนั้นแม่นมอวี๋ก็กระแอมอย่างแรงสองที เฟิ่งอู่ตะลึงงัน เย็นสันหลังวาบขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน นางตั้งสติแล้วหมุนตัวกลับช้าๆ ก็พบหลงเอ้อร์ยืนอยู่ด้านหลัง
ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหลงเอ้อร์ที่ตอนนี้ควรอยู่ตรวจเอกสารในหอหนังสือจะมาที่นี่ได้
เฟิ่งอู่ยิ้มแหยๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้พูดอะไร เรื่องแต่งงานเป็นจุดอ่อนของพี่รอง สะกิดแม้เพียงนิดก็เป็นเรื่อง ยิ่งในช่วงนี้ทุกครั้งที่พบกัน เขาก็จะมีสีหน้าดำคล้ำเหมือนไปกินลูกสลอดมา นางไม่อยากทำให้เขาขุ่นเคืองจนทำให้สามีของนางต้องลำบากถูกส่งตัวไปทำงานในถิ่นทุรกันดารเพื่อชดใช้หนี้
สีหน้าของหลงเอ้อร์ดำทะมึน เขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก “น้องสะใภ้ช่างเป็นห่วงเป็นใยข้ายิ่งนัก”
“ใช่แล้ว” เฟิ่งอู่ทำหน้านิ่ง คิดอยากขอร้องให้แม่นมอวี๋ช่วยรับหน้าแทน ปากก็ยังพูดต่อว่า “พี่รองเป็นเสาหลักของครอบครัว คนในคฤหาสน์ล้วนต้องเป็นห่วงท่านอยู่แล้ว ใช่หรือไม่แม่นมอวี๋”
หลงเอ้อร์ไม่ให้แม่นมอวี๋มีโอกาสเอ่ยปาก เขารีบพูดขึ้นทันที “นอกจากเปรียบเทียบสินเดิมกับความสามารถในการดูแลบัญชีแล้ว น้องสะใภ้ยังคิดว่ามีวิธีใดที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่”
เขาต้องการหักหน้าเฟิ่งอู่ หากแต่ครั้งนี้เฟิ่งอู่ไม่ยินยอม เดิมทีนางมีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม การที่หลงเอ้อร์ไม่ไว้หน้านางเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจมาก ดังนั้นจึงพูดว่า “วิธีการย่อมมีอยู่ แต่ข้าไม่ใช่คนคิด เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่เป็นผู้พูด” นางเชิดหน้ายืดอกขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าด้วยนิสัยของพี่รอง การจะหาภรรยาสักคนย่อมไม่ง่ายดายนัก หากหาไม่ได้จริงๆ นางก็จะให้พี่รองทำเหมือนโจรภูเขาที่ไปแย่งตัวเจ้าสาวมาสักคน นึกดูสิว่าพี่สะใภ้ใหญ่ก็ยังเป็นห่วงพี่รองเช่นกัน แต่หากเทียบกันแล้ว วิธีของข้าย่อมเหมาะสมกว่า พี่รองจะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มมากนัก เห็นด้วยกับข้าหรือไม่”
ให้เขาไม่ต้องกลัดกลุ้มหรือ พวกนางคนหนึ่งบอกว่าเขาหลงใหลเงินทอง ไม่เลือกผู้หญิงเลือกสมบัติ อีกคนหนึ่งบอกว่าเขานิสัยหยาบกระด้างไม่เป็นที่ชื่นชอบ หาภรรยาแต่งด้วยไม่ได้ พวกนางตีค่าตัวเขาสูงถึงเพียงนี้ เขาจะไม่กลัดกลุ้มได้อยู่หรือ
หลงเอ้อร์ถอนหายใจยาว บอกตัวเองอยู่ในใจว่าเขาจะคิดแบบนั้นกับผู้หญิงไม่ได้ ไม่ใช่สิ เขาคิดแบบนั้นกับผู้หญิงในบ้านไม่ได้ ส่วนหญิงคนอื่นนอกบ้าน สิ่งใดที่ควรถือสาก็ต้องถือสาสักนิด
หลงเอ้อร์อยากจะพูดสั่งสอนเฟิ่งอู่กลับว่านางเป็นแม่ลูกสองแล้ว ควรจะต้องเรียบร้อยมีมารยาท อย่าได้ทำให้สกุลหลงต้องอับอาย แต่เขายังไม่ทันเอ่ยปาก แม่นมอวี๋ก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“นายท่านรอง ท่านดูสิว่าคุณชายน้อยของนายท่านใหญ่ขี่ม้าไม้ไผ่ได้แล้ว คุณหนูเล็กของนายท่านสามก็เรียกพ่อได้แล้ว”
หลงเอ้อร์ใจกระตุก หางตาเห็นเฟิ่งอู่แอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง คราวนี้เรื่องจะย้อนเข้าหาตัวเองแล้ว เขาจึงรีบตอบรับ “นั่นสิๆ เวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก แม่นมช่วยเจ้าสามดูแลลูก ลำบากแม่นมแล้วจริงๆ” เขาพูดพลางเหลือบมองเฟิ่งอู่แวบหนึ่ง
“บ่าวไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ” สีหน้าแม่นมอวี๋แฝงการขอร้อง “นายท่านรองเจ้าคะ สองสามวันที่ผ่านมานี้ท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรองมาหาบ่าวในฝัน ทั้งสองท่านถามว่าในคฤหาสน์เป็นอย่างไรบ้าง ลูกชายทั้งสามคนสบายดีหรือไม่ บ่าวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกท่านฟัง ท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรองพึงพอใจในทุกเรื่อง เหลือเพียงแต่เรื่องที่นายท่านรองไม่ยอมแต่งงานเสียทีที่ทำให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจมาโดยตลอด”
หลงเอ้อร์พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้า แม่นมอวี๋ยิ่งแก่ความคิดยิ่งล้ำลึก ท่านพ่อท่านแม่ของเขาตายไปหลายปีแล้ว พวกท่านยังจะรู้สึกไม่สบายใจได้อย่างไรอีก นางแต่งเรื่องเช่นนี้ออกมา จะมาไม้ไหนกันแน่
แม้ท่านพ่อท่านแม่จะจากโลกนี้ไปแล้ว และแม่นมอวี๋ก็เป็นบ่าว แต่ก็เป็นผู้อาวุโสที่เปรียบเสมือนแม่ ต่อให้หลงเอ้อร์ร้ายกาจเพียงใดก็ไม่กล้าหาเรื่องผู้อาวุโส ได้แต่พูดว่า “แม่นม ท่านกลับไปปลอบใจท่านพ่อท่านแม่ของข้าที บอกว่าพี่ใหญ่กับเจ้าสามล้วนมีลูกแล้ว สกุลหลงย่อมไม่ขาดทายาท ตัวข้าไม่รีบร้อน…ไม่รีบร้อนจริงๆ”
แม่นมอวี๋สูดจมูก หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา น้ำตานางไหลเป็นทาง เฟิ่งอู่ที่ดูอยู่ด้านข้างรู้สึกนับถือจนต้องแอบยกนิ้วโป้งให้นาง
แม่นมอวี๋ดึงมือเฟิ่งอู่ให้ไปอยู่ด้านหลังตัวนางแล้วบีบมือเป็นการส่งผ่านข้อความว่า ‘ข้าพูดเอง’ ปากก็พูดกับหลงเอ้อร์ต่อ “นายท่านรอง บ่าวรู้ว่าหลายปีมานี้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยดูแลสกุลหลง ลำบากท่านแล้วจริงๆ ตอนนี้ชีวิตพวกเราดีขึ้นแล้ว ทั้งนอกและในล้วนราบรื่น แต่ผู้ที่จะเป็นภรรยาของท่านยังไม่ปรากฏแม้แต่เงา บ่าวจะมีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรองได้อย่างไร จะกล้าไปปลอบใจพวกท่านได้อย่างไร บ่าวอายุปูนนี้แล้ว เกรงว่าจะอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปี หากถึงตอนนั้นแล้วบ่าวได้พบท่านทั้งสองในปรโลก แต่นายท่านรองยังคงไม่ได้แต่งงาน ท่านจะให้บ่าวพูดกับท่านพ่อท่านแม่ของท่านอย่างไรกันเจ้าคะ”
หลงเอ้อร์ไอติดกันหลายที “แม่นม ท่านก็รู้ว่าการดูแลบ้านนั้นไม่ง่ายดายนัก โดยเฉพาะสกุลหลงของพวกเรา ด้านนอกมีคนมากมายเท่าใดที่คอยจ้องมองรอหาเรื่องจับผิด แม้ตอนนี้พวกเราจะมีฐานะแข็งแกร่งมั่นคงกว่าตอนที่ท่านพ่อท่านแม่เพิ่งเสียชีวิต แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ การค้าขายที่ใหญ่โตเช่นนี้ต้องระวังไปทุกฝีก้าว พี่ใหญ่มักจะไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน ความสัมพันธ์กับเหล่าขุนนางข้าต้องคอยดูแล ยังมีเจ้าสาม…”
เฟิ่งอู่ได้ยินเขาดึงสามีนางเข้าไปเกี่ยวจึงรีบเอ่ยปาก “เกี่ยวข้องอะไรกับหลงซานของข้าด้วย”
แม่นมอวี๋โบกมืออย่างแรง ดึงบทสนทนากลับมาที่ตัวเองแล้วเอ่ยถามเสียงเครียดว่า “นายท่านรอง เรื่องเหล่านี้เป็นอุปสรรคขัดขวางการแต่งภรรยาของท่านอย่างไรหรือเจ้าคะ”
หลงเอ้อร์สะอึก รู้ทันทีว่าแม่นมอวี๋เปลี่ยนมาใช้ไม้แข็งแทนไม้อ่อน เขาตอบกลับอย่างระมัดระวัง “ใช่ว่าข้าจะไม่อยากแต่งงาน แต่ผู้หญิงข้างนอกนั้น…แม่นมอย่าเพิ่งขุ่นเคือง ข้าหมายความว่าจะต้องเลือกให้ดีให้ละเอียด ไม่เช่นนั้นหากเลือกได้คนที่ตั้งใจจะมาขโมยสมบัติ คิดอยากได้ประโยชน์ หรือร่วมมือกับคนนอกมาทำร้ายจิตใจคนในสกุลหลง เช่นนั้นจะทำอย่างไร”
แม่นมอวี๋ตอบกลับอย่างหัวเสีย “นายท่านรอง ท่านคิดมากยิ่งกว่ายายแก่เช่นข้าเสียอีก พวกเรายังไม่ต้องพูดถึงความสามารถของท่าน เพียงแต่ดูว่าฮูหยินของนายท่านใหญ่ฉลาดเฉลียว ฮูหยินของนายท่านสามมีวรยุทธ์ หากฮูหยินของนายท่านรองแต่งเข้าบ้าน และได้สะใภ้คอยดูแลซึ่งกันและกัน นางยังจะกล้าคิดร้ายได้อยู่หรือ”
เฟิ่งอู่พยักหน้าเห็นด้วย การได้เห็นพี่รองพ่ายแพ้ทำให้นางอารมณ์ดียิ่งนัก
หลงเอ้อร์พูดอะไรไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “แม่นมดูท่าทางจะมั่นใจในตัวพี่สะใภ้ใหญ่กับน้องสะใภ้เสียจริง”
“บ่าวก็มั่นใจในตัวนายท่านรองเช่นกัน หากท่านได้แต่งงานมีครอบครัวจะต้องเป็นสามีที่ดี มีภรรยาเพียบพร้อม ลูกมีความกตัญญูอย่างแน่นอน”
“นั่นสิๆ” หลงเอ้อร์รับคำ เขาจะพูดว่าไม่ใช่ได้อย่างไร
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้นายท่านรองก็รีบกำหนดเรื่องงานมงคลเถอะนะเจ้าคะ”
หลงเอ้อร์ยิ้มแล้วยิ้มอีกจึงค่อยพูด “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต บอกว่าจะกำหนดก็กำหนดเลยได้อย่างไร เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ แม่นมโปรดวางใจ ข้าจะเลือกอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้ได้คนที่ดีแน่นอน”
“หากท่านมีใจเลือกก็ดีสิเจ้าคะ” แม้แม่นมอวี๋จะมีอายุมากแต่ยังคงแข็งแรง นางลุกจากเก้าอี้และเดินออกไปด้านนอกอย่างคล่องแคล่ว เพียงชั่วครู่ไม่รู้ว่านางไปยกกระบอกไม้ไผ่อันโตมาจากที่ใด ในนั้นมีม้วนภาพใส่อยู่เต็ม
รอยยิ้มบนใบหน้าหลงเอ้อร์แทบจะเลือนหายไป เขาได้ยินแม่นมอวี๋พูดว่า “ในนี้ล้วนเป็นภาพหญิงสาวที่บ่าวตั้งใจเลือกมาให้ท่าน บ่าวพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ทั้งหน้าตา นิสัย อายุ และฐานะทางบ้านของพวกนางล้วนไม่เลวทั้งสิ้น ขอนายท่านรองเลือกอย่างละเอียดอีกครั้ง หากหมายตาหญิงสาวบ้านใด บ่าวจะรีบไปจัดการทาบทามให้ทันที” นางพูดจบก็หยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น ยัดใส่มือหลงเอ้อร์ “ปีนี้คงจะไม่ทันแล้ว ดังนั้นวันเหล่านี้จึงเป็นวันดีของปีหน้า หากจัดงานแต่งงานล้วนเป็นมงคลที่สุด นายท่านรองต้องรีบเลือกแล้วหาวันดีจัดงานมงคลเสีย เรื่องที่ควรต้องจัดเตรียม บ่าวสามารถจัดการให้ได้ทุกเมื่อ”
คราวนี้หลงเอ้อร์หัวเราะไม่ออกจริงๆ เขาจึงตกปากรับคำแล้วบอกว่านึกขึ้นได้ว่าที่หอหนังสือยังมีเอกสารสำคัญต้องไปจัดการ จากนั้นก็รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว
แม่นมอวี๋ตะโกนไล่หลังตามไป “นายท่านรอง งานดื่มชาชมดอกเหมยพรุ่งนี้ท่านต้องมาให้ได้นะเจ้าคะ!”
เฟิ่งอู่เห็นหลงเอ้อร์ตัวเกร็งแล้วเพิ่มความเร็วฝีเท้าขึ้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง จากที่นางเคยเห็น ทุกครั้งที่พี่รองจะหาข้ออ้างปลีกตัวล้วนใช้คำว่า ‘ยุ่ง’ ช่างน่าเบื่อเสียจริง นางพนันว่าพรุ่งนี้พี่รองก็คงมีงานยุ่งมากแน่นอน
วันต่อมาปรากฏว่าหลงเอ้อร์มีงานยุ่งจริงๆ เสียด้วย เมื่อคืนวานเขาได้รับรายงานจากคนใต้บัญชาว่ากิจการในเมืองหลินเฉิงเกิดปัญหาเล็กน้อย ต้องไปจัดการด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่อาจอยู่พูดคุยดื่มชาเป็นเพื่อนคุณหนูทั้งหลายได้ เขาตั้งใจมาขออภัยและถือเป็นการบอกกล่าวแก่แม่นมอวี๋ไปด้วย จากนั้นก็รีบขึ้นรถม้าออกจากเมืองไป
ครั้นเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเฟิ่งอู่นางก็หัวเราะอีกครั้ง สงสัยเหลือเกินว่าพี่รองที่เป็นคนเช่นนี้ สุดท้ายจะตกไปอยู่ในมือของผู้หญิงเช่นใดกันหนอ