ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด
บทที่สาม
หลงเอ้อร์หลบอยู่ที่เมืองหลินเฉิงสิบวัน
สถานการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนกับการเจรจาซื้อขาย หากฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อนได้ก็ต้องทำ ควรดึงเวลาเอาไว้ได้ก็ต้องดึง ไม่ว่าจะกับผู้ใดหรือเรื่องอะไรก็เหมือนกัน ถ้าถ่วงเวลาให้นานออกไปความกระตือรือร้นที่เคยมีก็จะหมดลง เมื่อไร้ความตื่นตัวแล้วก็สามารถจัดการเรื่องราวได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงคิดวางแผนไม่ให้เหล่าบุตรสาวสกุลใหญ่พบหน้าเขา เกาะติดเขาไม่ได้ พอนานวันเข้า พวกนางก็จะเบื่อจนจัดการไม่ยากมากแล้ว หากพวกนางไม่กระตือรือร้นมากมาย แม่นมอวี๋ก็คงไม่ได้รับแรงกระตุ้นมากนัก เขาคงจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้บ้าง
หลงเอ้อร์ส่งคนไปสืบข่าวได้ความว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาทุกคนเหมือนจะสงบลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงเก็บสัมภาระเดินทางกลับคฤหาสน์
ระหว่างทางที่รถม้ากำลังแล่นผ่านป่าไผ่ผืนนั้น หลงเอ้อร์เลิกม่านหน้าต่างมองออกไปด้านนอก เขาเห็นมีคนนั่งอยู่ในศาลาไผ่ เมื่อดูอย่างละเอียดก็พบว่าคนผู้นั้นคือจวีมู่เอ๋อร์
จวีมู่เอ๋อร์สวมชุดสีเขียวอ่อนซึ่งน่าจะทำจากผ้าฝ้ายเพราะเนื้อผ้าดูหนาเตอะ คอเสื้อยกสูงปกปิดลำคอไว้อย่างมิดชิด เห็นทีนางคงร่างกายอ่อนแอจริงๆ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นต้นฤดูหนาว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องใส่เสื้อผ้าหนาถึงเพียงนี้
หลงเอ้อร์สบถในใจ แม้ว่านางจะเป็นหญิงสาวอ่อนแอมากเพียงใดก็สงสารนางไม่ได้ เขาอยู่มาจนอายุยี่สิบหกปี ยังไม่เคยมีหญิงคนใดทำให้เขาขายหน้าเท่านี้มาก่อน
จวีมู่เอ๋อร์นั่งเงียบอยู่ในศาลาคนเดียว พอได้ยินเสียงรถม้าดังขึ้น สีหน้านางเหมือนจะยินดีอยู่บ้าง เอียงหัวมาเล็กน้อยเพื่อฟังเสียงอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ยิ้ม เวลายิ้มนางดูสดใสอย่างมาก
รถม้าเคลื่อนต่อไปข้างหน้า หลงเอ้อร์ยังคงมองดูจวีมู่เอ๋อร์ต่อไป เขาเห็นนางสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ใบหน้าดูเบิกบานเหมือนได้กลิ่นอะไรที่หอมหวน หลงเอ้อร์จึงทำตาม ก็ได้กลิ่นแต่เพียงกลิ่นดินและป่าไผ่ ไม่รู้สึกว่าน่าดมอะไรมากมาย
รถม้าเคลื่อนห่างออกไป ศาลาไผ่กับจวีมู่เอ๋อร์ค่อยๆ หายลับไปจากสายตา
หลงเอ้อร์ทิ้งผ้าม่านลง นั่งนิ่งอยู่ในรถ เขาคิดขึ้นได้ในทันใดนั้นว่าตัวเองควรจะต้องทำอะไรบางอย่าง…แต่ควรจะทำอะไรล่ะ
รถม้าใกล้จะถึงประตูเมืองแล้ว หลงเอ้อร์กลับตะโกนขึ้น “หยุดรถ”
คนรถกับหลี่เคอที่ขี่ม้าขนาบข้างพากันตกใจ
หลงเอ้อร์กระโดดลงจากรถม้าพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ อีกสักครู่ข้าจะกลับมา” หลี่เคอกำลังจะเอ่ยปาก หลงเอ้อร์ก็ชี้นิ้วมา “เจ้าก็รออยู่ที่นี่”
เมื่อได้รับคำสั่ง หลี่เคอจึงปิดปากเงียบนิ่งอยู่กับที่
จากนั้นหลงเอ้อร์ก็สะกิดปลายเท้าลอยตัวหายไป คนรถค่อยๆ หันมาถามหลี่เคออย่างระมัดระวัง “ท่านหลี่ นายท่านรองจะไปปลดทุกข์หรือ”
“ข้าไม่รู้” หลี่เคอตอบ
ใจเขาคันยิบๆ อยากรู้เหลือเกินว่านายท่านรองจะไปทำอะไร เขารู้สึกว่านายท่านรองไม่ได้ไปปลดทุกข์ แต่จะไปทำอะไรอย่างอื่น ถึงเขาจะเป็นองครักษ์ที่ทำงานจริงจังและรับผิดชอบ แต่ก็มีใจที่ชอบสอดรู้ดวงหนึ่งเช่นกัน เขาอยากตามไปแต่ไม่กล้า
ความสงสัยช่างทำร้ายคนเหลือเกิน!
เขาจะมาทำอะไรหนอ
ระหว่างทางที่หลงเอ้อร์ลอยตัวไปทางศาลาไผ่ ในที่สุดเขาก็คิดคำตอบของคำถามนี้ออก
เขาต้องมาทวงหนี้! จะให้หญิงผู้นั้นอยู่เป็นสุขไม่ได้เด็ดขาด!
การที่นางมีสีหน้าสบายใจเบิกบานเช่นนั้นเหมือนชกหมัดมาที่ดวงใจของเขาอย่างแรง
เขาถูกคุณหนูจอมยุ่งกลุ่มหนึ่งตามติดจนหายใจไม่ออก ซ้ำยังถูกผู้อาวุโสในบ้านเร่งให้แต่งงาน มีบ้านแต่กลับไม่ได้ เรื่องเหล่านี้เป็นเพราะใคร ย่อมเป็นเพราะนาง! นางเป็นคนทำทั้งหมด!
เขาเป็นคนที่เพียงกระแอมก็สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ เมื่อเขาชักสีหน้าเหล่าเถ้าแก่ร้านค้ามากมายล้วนต้องระวังตัว แม้แต่ผู้ทรงอำนาจในเมืองหลวงยังต้องคล้อยตามความคิดของเขา แต่หญิงตาบอดร่างกายบอบบางผู้นี้กลับกล้ามางัดข้อลอบทำร้ายทำให้เขาเสียหน้า ต้องหนีออกจากบ้านอย่างทุลักทุเล หากเขาไม่สั่งสอนนาง กลางคืนจะนอนหลับสบายได้อย่างไรกัน
โอ ในที่สุดเขาก็รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ตนเองนอนหลับไม่สบายแล้ว
หลงเอ้อร์มาถึงศาลาไผ่อย่างรวดเร็ว
รอบข้างไม่มีผู้คน เขาจ้องมองจวีมู่เอ๋อร์อย่างเงียบๆ นางนั่งอยู่เพียงลำพังเหมือนกำลังเบิกบานใจอย่างมาก
หลงเอ้อร์หรี่ตาลง คิดอยู่ว่าจะรับมือนางอย่างไร เขาเป็นคนมีหน้ามีตาจะทำเหมือนติงเหยียนซานที่แอบหานักเลงมารังแกผู้หญิงไม่ได้ ต้องใช้วิธีที่ไม่น่าเกลียด แต่ทำให้นางอยากจะร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตา
สายตาหลงเอ้อร์หยุดอยู่ที่ไม้เท้าของจวีมู่เอ๋อร์ แม้ไม้เท้าจะอยู่ใกล้มือนางมาก แต่หลงเอ้อร์มั่นใจว่าเขาสามารถเอามันมาได้โดยที่นางไม่รู้ตัว
เขาทำอย่างที่คิด
ค่อยๆ แอบหยิบไม้เท้าของนางไปอย่างเงียบๆ
จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ตัวสักนิด ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น สูดดมกลิ่นดินและป่าไผ่ที่หลงเอ้อร์ไม่ชอบ ฟังเสียงลมพัดดังซู่ซ่า นางมองอะไรไม่เห็น ดังนั้นเสียงและกลิ่นเหล่านี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่านางมีตัวตนอยู่ นางรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีที่ยังสามารถได้ยินและได้กลิ่น
หลงเอ้อร์ไม่เข้าใจความสุขของคนตาบอด ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ข้างกายนาง รอดูสีหน้าตอนที่จวีมู่เอ๋อร์พบว่าไม้เท้าหายไป รอดูว่าพอนางไม่มีไม้เท้าแล้วจะเดินอย่างไร
แต่จวีมู่เอ๋อร์ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง หลงเอ้อร์เริ่มจะหมดความอดทน เขาอยากตะโกนเสียงดังๆ ว่า ‘แม่นาง ไม้เท้าของเจ้าล่ะ’ แต่ทำไม่ได้ เขาจะให้จวีมู่เอ๋อร์รู้ไม่ได้ว่าเขาขโมยไม้เท้าของนาง เขาอยากให้นางคาดเดาอะไรไม่ถูก จากนั้นก็สงสัยจนเกิดหวาดกลัว
หลงเอ้อร์รออยู่นาน ในที่สุดจวีมู่เอ๋อร์ก็นั่งจนพอใจ นางยื่นมือไปคลำหาไม้เท้าเตรียมจะกลับบ้าน แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า นางเอียงหัวด้วยความประหลาดใจแล้วคลำหาต่อไป แต่จะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ คลำไปทั่วพื้นที่ที่มือสามารถยื่นไปถึงแล้วก็ยังไม่เจออะไร
จวีมู่เอ๋อร์สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน หลงเอ้อร์กลั้นหัวเราะ
นางลุกขึ้นยืน รู้สึกตกใจลนลานอยู่บ้าง พยายามสงบสติลงแล้วหาไปรอบๆ ศาลา แต่ก็ไม่เจอจริงๆ
หลงเอ้อร์เห็นความตื่นกลัวบนใบหน้านางแล้วรู้สึกยินดีเหลือเกิน หากรู้เช่นนี้แต่แรก เขาคงไม่เชิญนางไปกินข้าว เห็นนางทนหิวไม่สบายใจไม่เท่ากับการที่ได้เห็นนางหวาดกลัวเพราะไม่มีไม้เท้า
จวีมู่เอ๋อร์นั่งลงอีกครั้งแล้วพูดขึ้นทันใด “เจ้าออกมาเถอะ”
หลงเอ้อร์ตกตะลึงจนเกือบจะขยับตัว แต่คิดขึ้นได้ว่ามีเรื่องไม่ถูกต้อง นางไม่มีทางมองเห็นตัวเขา
“ข้าได้ยินเสียงเจ้าแล้ว” สีหน้าจวีมู่เอ๋อร์กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง “เจ้าเพียงเอาไม้เท้าของข้าไปไม่คิดจะทำร้ายข้า มีจุดประสงค์อะไรออกมาคุยกันดีกว่า ข้าได้ยินเสียงของเจ้าแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนตัวอีก”
ความมั่นใจอย่างยิ่งของนางทำให้หลงเอ้อร์เกือบจะหลงเชื่อ เขารู้สึกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อคิดได้ว่าในตอนนั้นนางก็ใช้วิธีนี้หลอกให้หลี่เคอปรากฏตัว ตัวเขาเองยังเคยวิเคราะห์วิธีการของนางเอาไว้ด้วย วันนี้ได้ประสบพบเจอกับตัวก็เกือบจะหลงกลนางเสียแล้ว
เขาไม่ออกไป ไม่ออกไปเด็ดขาด ดูสิว่านางจะทำอย่างไร
จวีมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆ นางจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “การซ่อนตัวเป็นเรื่องสนุกหรือ”
หลงเอ้อร์เห็นว่าเรื่องนี้สนุกมาก น่าสนใจยิ่งกว่าการได้พูดคุยกับคุณหนูสกุลใหญ่เหล่านั้นมากนัก เขามองดูจวีมู่เอ๋อร์ที่ในตอนนี้แสร้งทำท่าทางสงบนิ่ง แต่ความจริงกลับทำอะไรไม่ได้ก็ให้รู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก
ทุกคนต่างรู้กันดีว่าหลงเอ้อร์มีแค้นต้องชำระจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด ตามหลักแล้ว กับผู้หญิงเขาไม่ควรจะกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ แต่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้ายั่วโมโหเขาเช่นนางมาก่อน ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงรู้สึกว่าจวีมู่เอ๋อร์ผู้นี้ทำให้เขาขุ่นเคืองได้มากกว่าพวกผู้ชายที่คอยหาเรื่องเขามากนัก พอตอนนี้ได้เห็นนางลำบากใจเขาก็รู้สึกยินดีอยู่เต็มหัวใจ
จวีมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเย็นชา “ไม้เท้านั่น ข้าให้เจ้าเอาไว้เล่นก็แล้วกัน” ขณะพูดนางมีสีหน้าโกรธเคือง
หลงเอ้อร์ที่ดูอยู่ด้านข้างอดเลิกคิ้วไม่ได้…โอ้ นางโมโหเสียด้วย
จวีมู่เอ๋อร์จับราวกั้นของศาลาเดินออกไปอย่างช้าๆ จากนั้นจึงค่อยๆ เดินกลับบ้านไป นางไม่ได้หันหน้ากลับมา ไม่ได้หยุดฝีเท้าฟังเสียงความเคลื่อนไหวรอบข้าง เพียงแค่เดินต่อไปอย่างตั้งใจ
หลงเอ้อร์ตามไประยะทางหนึ่ง เห็นนางเดินอย่างระมัดระวังแต่ยังคงสะดุดไปหลายที การที่นางไม่ได้ล้มลงทำให้เขานึกเสียดายอยู่บ้าง สักพักก็มีชายสูงอายุคนหนึ่งเดินมาเรียกนาง หลงเอ้อร์ได้ยินนางเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ จึงรู้ว่าคนผู้นี้คือจวีเซิ่ง
จวีมู่เอ๋อร์บอกจวีเซิ่งว่าทำไม้เท้าหายจึงกลับมาช้า จวีเซิ่งพูดเสียงดังว่าเหตุใดนางจึงไม่ระวัง เอาไว้คราวหน้าเขาจะทำไม้เท้าอันใหม่ให้นาง จากนั้นสองพ่อลูกก็เดินกลับบ้านไปพร้อมกัน
หลงเอ้อร์เห็นว่าไม่มีอะไรน่าดูแล้วจึงรีบกลับไปที่รถม้า คราวนี้เขาได้เอาคืนบ้างจึงรู้สึกสะใจ ใบหน้าที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มทำให้คนรถกับหลี่เคอประหลาดใจมาก
เมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์สกุลหลง คนรถก็ดึงตัวหลี่เคอไปด้านข้างแล้วกระซิบถาม “ท่านหลี่ เมื่อครู่นายท่านรองไปเสียนาน พอกลับมาก็อารมณ์ดีมีสีหน้าดีขึ้นมาก หรือว่านายท่านรองจะท้องผูกจริงๆ”
หลี่เคอรู้สึกลำบากใจ เขาไม่ตอบอะไรเพียงแต่หมุนตัวเดินจากไป
เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาตบไหล่คนรถแล้วพูดว่า “ความสงสัยใดเก็บไว้ได้ก็ควรเก็บไว้ เจ้าดูอย่างข้าสิ หัดเรียนรู้เสียบ้าง”
คนรถเกาหัว เขามองหน้าท่านหลี่ก็ไม่เห็นว่าท่านหลี่จะเก็บความสงสัยเอาไว้ได้นี่นา ตกลงเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่
“ความสงสัยอาจนำภัยมาได้” หลี่เคอพูดแฝงความนัยลึกซึ้ง
พอหลงเอ้อร์กลับถึงคฤหาสน์ก็ได้ยินแม่นมอวี๋พูดว่าหลายวันที่เขาไม่อยู่มีเถ้าแก่ร้านขายยาหลายร้านส่งของขวัญมาให้ ล้วนเป็นยาบำรุงทั้งสิ้น เมื่อแม่นมอวี๋ลองสอบถามดูก็พบว่าเป็นบุตรสาวสกุลใหญ่หลายสกุลแอบไหว้วานให้มาส่ง พวกนางเหล่านั้นมีใจเป็นห่วง เห็นท่านหลงเอ้อร์ทำงานหนักตั้งแต่เช้าจรดเย็นจึงส่งของขวัญมาแสดงความห่วงใย
หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว หันหน้าไปสั่งการให้หลี่เคอไปสืบเรื่องในเมือง ไม่ว่าจะมีข่าวลือเรื่องเขาอย่างไรก็ต้องกลับมารายงานทั้งหมด
หลี่เคอรู้ดีว่าครั้งนี้คงจะปิดต่อไปไม่ได้แล้ว จำต้องออกไปสืบข่าวและกลับมารายงาน ในเมืองตอนนี้มีเสียงเล่าลือว่าท่านหลงเอ้อร์รักสมบัติยิ่งชีพ ใจแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้น โมโหง่าย ยังพูดอีกว่าเหตุผลที่เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง ถ่วงเวลาไม่ยอมแต่งงานสักทีเพราะว่าหนึ่ง เขาไม่ชอบผู้หญิง หรือไม่ก็สอง เขาคงจะมีโรคประหลาด
หลงเอ้อร์ฟังจบหน้าตาก็บูดเบี้ยว ผู้หญิงเหล่านั้นไม่สนว่าเขาจะชอบผู้ชายหรือไม่ กลับเทน้ำหนักไปที่โรคประหลาด แล้วสรรหายาบำรุงร่างกายมาให้เขาอย่างนั้นหรือ
เหลวไหลสิ้นดี!
ถ้าเขาแต่งกับพวกนางก็ประหลาดแล้ว! หากให้พวกนางแต่งเข้าบ้านมาเพื่อทำตามข่าวลือ คอยแต่หาทางบำรุงร่างกายเขา เช่นนั้นชีวิตเขาจะไม่ทุกข์ทรมานจนทำให้อายุสั้นลงไปอีกหลายปีหรอกหรือ
แต่หลงเอ้อร์คิดไม่ถึงว่าผ่านไปอีกหลายวันเรื่องนี้ก็ยังไม่จบ มีเถ้าแก่ร้านขายยาส่งของขวัญมาให้อีก คราวนี้เป็นยาดีทะลวงท้องบำรุงไส้
พอยาส่งมาถึง สีหน้าของหลงเอ้อร์ก็ดำคล้ำเหมือนคนท้องผูกจริงๆ
พูดว่าเขาเป็นโรคประหลาดก็ว่าไปอย่าง แต่มาแช่งให้เขาถ่ายไม่ออกนี่มันหมายความว่าอย่างไร!
หลงเอ้อร์โมโหแล้ว
ผ่านไปสองวัน หลงเอ้อร์ที่มีสีหน้าดำคล้ำอึดอัดใจก็รู้สึกไม่สบายไปทั่วทั้งร่าง
ดีที่หลายวันมานี้มีเรื่องดีเกิดขึ้น ไม่เพียงมีคนส่งยาบำรุงมาให้ แม้แต่เงินก็มีคนส่งมาเช่นกัน เมื่อทุกคนเริ่มใคร่ครวญคำนึงถึงข้อดีของการทำกันสาดบนถนนตงต้าแล้ว ต่างก็เริ่มมาแสดงความเป็นมิตรไมตรีต่อหลงเอ้อร์ อยากจะขอร่วมทำเรื่องดีนี้ด้วย
สำหรับเรื่องเหล่านี้หลงเอ้อร์คิดไว้อย่างละเอียดแล้ว ร้านใดมีประโยชน์มีโทษอะไร เงินผู้ใดสามารถรับได้ ผลประโยชน์ของผู้ใดไม่ควรรับ ควรจะช่วยเหลือร้านใด และจะแสดงอำนาจกับร้านใด เขาล้วนคำนวณไว้เป็นอย่างดี
จากการคิดคำนวณไว้ตั้งแต่แรก หลงเอ้อร์รับข้อเสนอและแจกจ่ายงานทำกันสาดให้ร้านค้าสองร้านที่เมื่อได้รับผลประโยชน์แล้วก็กลับไปด้วยความพึงพอใจ
เมื่อจัดการเรื่องทำกันสาดเสร็จ หลงเอ้อร์ก็คิดถึงจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมา
เขาตัดสินใจจะไปขโมยไม้เท้าของนางอีก เพราะคิดว่านางเป็นต้นเหตุทำให้เขาถูกชาวเมืองเอาไปลือกันต่างๆ นานา
เรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมแต่อย่างใด หลงเอ้อร์รู้ดีแก่ใจ ดังนั้นจึงไม่ได้พาองครักษ์ส่วนตัวไปด้วย เขาขี่ม้าออกจากประตูเมืองทางทิศใต้เพียงลำพังมุ่งหน้าไปทางป่าไผ่ เมื่อถึงศาลาก็เห็นสามีภรรยาชาวบ้านคู่หนึ่งนั่งพักอยู่ด้านใน ที่นั่นไม่มีเงาร่างของจวีมู่เอ๋อร์
หลงเอ้อร์ควบม้าต่อไปจนถึงร้านเหล้าของสกุลจวี
ร้านเหล้าสกุลจวีห่างจากเมืองหลวงไปทางทิศใต้ห้าลี้ เมื่อเลี้ยวเข้าไปในทางแยกที่มีเพียงสายเดียวก็สามารถมองเห็นร้านที่ด้านหลังเป็นป่าทึบได้แล้ว
ร้านเหล้าไม่ใหญ่นัก มีโต๊ะสี่ตัว แรงงานในร้านมีเพียงเด็กหนุ่มช่วยงานสองคนกับผู้เฒ่าจวีเท่านั้น ในร้านขายเหล้าเป็นหลักและมีกับแกล้ม เนื้อย่าง ขายอาหารจานหลักเช่นหมั่นโถวกับบะหมี่ด้วยเล็กน้อย
ด้านหลังร้านเป็นบ้านของสกุลจวี ในบ้านมีสามเรือน เรือนแรกซึ่งติดกับร้านเหล้าเป็นห้องพักของเด็กช่วยงาน ทั้งสองคนมีหน้าที่ช่วยเฝ้าร้านและยกของเล็กๆ น้อยๆ ส่วนเรือนที่สองเป็นเรือนพักของผู้เฒ่าจวีซึ่งเป็นห้องหมักเหล้าด้วย เรือนที่สามซึ่งมีพื้นที่เล็กๆ เป็นที่พักของจวีมู่เอ๋อร์
หลงเอ้อร์รู้เรื่องทั้งหมดนี้จากข่าวที่ใช้ให้หลี่เคอไปสืบ ดังนั้นเขาจึงขี่ม้าตรงเข้าไปในป่า หาที่ลับตาคนผูกม้าเอาไว้ จากนั้นก็แอบลักลอบเข้าไปทางด้านหลังร้านเหล้าสกุลจวี กระโดดเข้าไปในเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์
เรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์สงบเงียบมาก มีกำแพงไม้ล้อมรอบ ด้านหน้าและด้านหลังไม่มีบ้านคน ต้องเดินผ่านป่าทึบผืนหนึ่งจึงจะมีบ้านของเพื่อนบ้านคนอื่นให้เห็น
หลงเอ้อร์มองสำรวจ เรือนของจวีมู่เอ๋อร์มีสามห้องเล็กๆ ห้องที่หนึ่งเป็นห้องนอน จัดวางเรียบง่าย มีเพียงหนึ่งเตียงหนึ่งโต๊ะหนึ่งตู้ ไม่มีของใช้อย่างอื่นอีก
อีกห้องเป็นห้องหนังสือ ชั้นหนังสือขนาดใหญ่สามชั้นมีหนังสือวางเรียงอยู่เต็มไปหมด ข้างหน้าต่างมีโต๊ะหนึ่งตัว บนโต๊ะมีอุปกรณ์เขียนหนังสือทั้งสี่ชนิดวางไว้ ทั้งห้องไม่มีของตกแต่งใดๆ
เห็นหนังสือในห้องแล้วหลงเอ้อร์ก็ต้องตกตะลึงไป เขาพลันคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนที่หญิงตาบอดผู้นี้จะมองไม่เห็น คงจะเป็นคนที่รักการอ่านอย่างมาก เขารู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ห้องสุดท้ายเป็นห้องพิณ ในห้องมีพิณสี่ถึงห้าตัวและมีชั้นหนังสือเล็กๆ ที่เก็บหนังสือไว้เต็มอีกหนึ่งชั้น
หลงเอ้อร์เดินสำรวจไปรอบๆ เมื่อมองไม่เห็นจวีมู่เอ๋อร์เขาก็รู้สึกผิดหวัง อุตส่าห์ดั้นด้นมาแต่ไกล ตั้งใจจะมารังแกนางเพื่อหาความสุขให้คลายความโมโห แต่นางกลับไม่อยู่เสียนี่
เขานึกฉุนกำลังจะเดินจากไป กลับพบว่าบนกำแพงเรือนพักมีเชือกเส้นใหญ่ผูกติดอยู่ ไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร เขาจึงเดินตามเชือกไป เดินไปจนถึงประตูหลังก็พบว่าตรงนั้นก็มีเชือกเส้นใหญ่ผูกไว้เช่นกัน
หลงเอ้อร์ประหลาดใจ เขาเดินไปสังเกตดู พบว่าเชือกถูกผูกโยงจากประตูหลังไปรอบกำแพงไม้ยาวลึกเข้าไปในป่า โยงจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะล้อมอะไร
หลงเอ้อร์เดินตามเส้นเชือกไปเรื่อยๆ ก็พบความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ เชือกนี้ไม่ได้จะผูกล้อมรอบผืนป่า แต่เป็นเชือกนำทางต่างหาก เชือกนำทางของคนตาบอด
หลงเอ้อร์มั่นใจกับความคิดนี้ เพราะเมื่อเดินตามเชือกไปจนถึงลำธารเล็กในป่า เขาก็เห็นจวีมู่เอ๋อร์นั่งอยู่บนขอนไม้ท่อนหนึ่งข้างลำธาร
นางนั่งอยู่อย่างนั้น ในมือถือหนังสือไว้เล่มหนึ่งแต่กลับไม่ได้อ่าน นางตาบอดย่อมอ่านหนังสือไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว เพียงแค่ถือเอาไว้และใช้นิ้วมือลูบหน้ากระดาษพลางเอียงหูเหมือนกำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง
หลงเอ้อร์จึงลองเงี่ยหูฟังตาม เขาได้ยินเสียงน้ำในลำธารไหลริน ได้ยินเสียงลมพัดเบาๆ จากในป่า และยังได้ยินเสียงจวีมู่เอ๋อร์พลิกหน้ากระดาษอีกด้วย
หลงเอ้อร์เม้มริมฝีปาก เขาแอบคิดว่านางมองไม่เห็นแล้วจะเปิดหนังสือให้ได้ประโยชน์อะไร หรือเป็นเพียงแค่การกระทำเพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้น
จวีมู่เอ๋อร์ดูมีความสุขมาก หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว นางมีความสุข แต่เขาไม่สุขด้วย
เมื่อคิดถึงคำเล่าลือของชาวเมืองที่พูดเกี่ยวกับตัวเขา คิดถึงเหล่าบุตรสาวสกุลใหญ่ที่เกาะติดเขา และคิดถึงแววตาเฝ้าคอยของแม่นมอวี๋ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีจวีมู่เอ๋อร์เป็นต้นเหตุ
ที่ผ่านมาทุกคนรู้เพียงว่าเขาชอบเงินและตระหนี่เท่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเลวร้ายแต่อย่างใดเพราะข่าวลือนั้นมีประโยชน์ในการใช้ข่มผู้อื่น ทำให้ไม่มีใครกล้ามาเสนอเงื่อนไขที่เอาเปรียบเขา แต่ตอนนี้กลับลือกันไปว่าเขารักชอบเพศเดียวกันหรือไม่ก็มีโรคประหลาด ซ้ำยังเป็นโรคท้องผูกที่น่ารำคาญใจอีก ข่าวลือเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเขามิใช่หรือ
สรุปแล้วทั้งหมดเป็นความผิดของจวีมู่เอ๋อร์!
หลงเอ้อร์เห็นนางหยิบหินก้อนเล็กข้างกายก้อนหนึ่งโยนออกไปด้านหน้า หินตกกระทบน้ำเสียงดังจ๋อม จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วหยิบหินอีกก้อนโยนออกไปอีกครั้ง
จวีมู่เอ๋อร์นั่งเล่นอย่างมีความสุข แต่หลงเอ้อร์กลับรู้สึกว่านางดูบ๊องๆ เขาสบถในใจ แอบคิดว่านางช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
เขาจะไม่ยอมให้นางมีความสุข และต้องทำให้นางหวาดกลัวให้ได้
หลงเอ้อร์เห็นไม้เท้าอันใหม่ของจวีมู่เอ๋อร์วางพาดอยู่ข้างๆ ขอนไม้ที่นางนั่งอยู่ เขาสะกิดปลายเท้า ใช้วิชาตัวเบาลอยตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ปลายเท้าเกี่ยวไม้เท้าให้ลอย คว้าจับไว้ในมือแล้วไปหยุดยืนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างไร้เสียง
เขาตั้งใจลอยตัวผ่านข้างกายจวีมู่เอ๋อร์ทำให้เกิดลมเบาๆ จวีมู่เอ๋อร์ที่กำลังจะโยนก้อนหินรู้สึกว่าข้างกายมีลมพัดผ่าน นางตกใจจนรอยยิ้มจางลงไป จากนั้นจึงรีบคลำไปยังตำแหน่งที่วางไม้เท้าไว้แต่กลับไม่พบอะไรเลย
จวีมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นยืน พูดด้วยความตื่นตระหนก “ใครน่ะ!”
หลงเอ้อร์ถือไม้เท้ายืนยิ้มอย่างไร้เสียงอยู่บนต้นไม้ ดวงใจลิงโลด ทำท่าทางได้ใจเหมือนเด็กที่แกล้งผู้อื่นได้สำเร็จ กิริยาลนลานไร้ที่พึ่งของนางขจัดความอึดอัดใจของเขาที่มีมาหลายวันนี้ไปจนหมดสิ้น อารมณ์สดใสขึ้นมาบ้าง เขาคิดในใจว่าข้าไม่บอกเจ้าเสียอย่าง เจ้าจงตกใจให้ตายไปซะ
จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ไม่ได้ยินสิ่งใด รอบข้างไม่มีเสียงใครหรือเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น สีหน้าของนางซีดขาว ท่าทางตกใจเป็นอย่างยิ่ง กอดกระชับหนังสือบังไว้ตรงหน้าอก
หลงเอ้อร์แกล้งนางอย่างสนุกสนาน เขาลอยตัวลงจากต้นไม้แล้วหยิบหินหลายก้อนโยนลงไปในลำธารหลายทิศทาง เสียงหินตกกระทบน้ำมีทั้งไกลและใกล้ ฟังที่มาไม่ชัดเจน
จวีมู่เอ๋อร์ถูกเสียงนั้นทำให้ตกใจจนสะดุ้ง นางไม่พูดจา หันหน้าทะยานไปยังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด คลำหาเชือกที่ผูกติดกับต้นไม้แล้วกัดฟันวิ่งตามเส้นเชือกกลับไปทางบ้านของตน
นางวิ่งได้ไม่เร็วนัก ซ้ำยังสะดุดหกล้ม ดูทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง
หลงเอ้อร์หัวเราะอย่างไร้เสียง เมื่อคิดว่าจะตัดเชือกขาดทำให้นางลนลานยิ่งขึ้นดีหรือไม่ แต่คิดดูแล้วก็ตัดสินใจว่าช่างเถอะ เหลือความสนุกไว้คราวหน้าบ้างดีกว่า
เขารู้สึกพึงพอใจมาก หยิบไม้เท้ามาเล่นหลายที จากนั้นก็เข้าไปในป่า หาม้าจนเจอแล้วกลับคฤหาสน์ด้วยความเบิกบานใจ
หลายวันต่อมา หลงเอ้อร์ส่งคนไปสืบความเคลื่อนไหวของจวีมู่เอ๋อร์ เมื่อได้ยินว่านางเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปไหนมาหลายวัน เขาก็หัวเราะเสียงดังด้วยความยินดีแล้วหยิบไม้เท้าสองอันที่ขโมยจากนางมาเล่น รู้สึกสำราญใจยิ่งนัก
วันนี้สายสืบมารายงานว่าจวีมู่เอ๋อร์ป่วย อวิ๋นชิงเสียนจึงเดินทางไปเยี่ยมเยือน เดิมทีหลงเอ้อร์ไม่ได้สนใจ แต่กลับคิดได้ว่าพวกของอวิ๋นชิงเสียนไม่ใช่คนที่น่าคบหานักและไม่รู้ว่าคราวนี้ติงเหยียนซานกับพี่สาวนางจะทำอย่างไรกับจวีมู่เอ๋อร์
เขารออยู่หลายวันแต่กลับไม่ได้ยินข่าวใดๆ สายสืบบอกว่าติงเหยียนซานเดินทางไปคฤหาสน์สกุลอวิ๋น คิดว่าคงจะไปเยี่ยมเยือนติงเหยียนเซียง ตอนที่จากมานางมีสีหน้าไม่พอใจ หลังจากนั้นก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในคฤหาสน์สกุลติง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก ส่วนทางด้านจวีมู่เอ๋อร์ที่หายป่วยแล้วก็กลับออกมานอกบ้านตามปกติ
หลงเอ้อร์ได้ฟังแล้วก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง จวีมู่เอ๋อร์กลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!
เขาใคร่ครวญแล้วจึงตามหลี่เคอให้มาพบ หยิบไม้เท้าสองอันนั้นออกมา สั่งให้หลี่เคอนำไปส่งให้จวีมู่เอ๋อร์ “เจ้าบอกไปว่าข้าได้ยินข่าวว่านางป่วย ดังนั้นข้าจึงส่งของขวัญนี้ไปให้ ขอให้นางหายป่วยในเร็ววัน”
แท้จริงแล้วสิ่งที่หลงเอ้อร์อยากจะทำจริงๆ ก็คือการบอกนางว่าเขากำลังรังแกนางอยู่ เขาถูกนางสาดน้ำชาใส่ตัว ถูกนางบีบให้ทำกันสาด ถูกจัดฉากให้เขาโดนหญิงสาวกลุ่มหนึ่งตามเกาะติด หึ!
หลี่เคอเห็นไม้เท้าสองอันนั้น สีหน้าก็พลันเขียวคล้ำ ไม่ต่างอะไรกับสีของไม้เท้าเลยสักนิด
ของขวัญน่าอับอายเช่นนี้จะให้เขาที่เป็นองครักษ์ระดับสูงผู้กล้าหาญไปส่งด้วยตัวเองหรือ เขาก็ต้องรักษาหน้าตัวเองเช่นกัน และอีกอย่างหนึ่ง ของสิ่งนี้แค่มองดูก็รู้ว่าไม่เหมือนการถามไถ่ทุกข์สุขแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าคิดจะเหน็บว่านางเป็นคนตาบอด
หลี่เคอไม่ยินดีทำ แต่เมื่อผู้เป็นนายมีคำสั่ง ดังนั้นเขาจึงจำต้องทำตาม บากหน้าไปพบจวีมู่เอ๋อร์
หลังกลับมาจากการมอบของขวัญ หลงเอ้อร์ก็เรียกเขาเข้าไปที่หอหนังสือทันที “หญิงตาบอดคนนั้นรับไว้แล้วหรือ”
“รับไว้แล้วขอรับ”
“นางพูดว่าอย่างไรบ้าง”
หลี่เคอเกาหัว “แม่นางจวีไม่ได้พูดอะไรเลยขอรับ”
“ไม่พูดอะไรเลย?” หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นก็ควรจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง นางมีท่าทางอย่างไร”
“เมื่อแม่นางจวีลูบไม้เท้าก็มีสีหน้าตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจยาวแล้วหมุนตัวเข้าบ้านปิดประตูขอรับ”
“ถอนหายใจ?” หลงเอ้อร์ลูบปลายคาง เขาคาดว่านางจะโกรธเกรี้ยว แต่คิดไม่ถึงว่าจะถอนหายใจ นางถอนหายใจทำไม
ผ่านไปสองวัน มีต้นห้องมารายงานว่าแม่นางน้อยขายดอกไม้คนหนึ่งส่งของขวัญมาให้นายท่านรองนางบอกว่าแม่นางจวีมู่เอ๋อร์มอบให้ท่านหลงเอ้อร์ แม่นางน้อยคนนั้นทิ้งของไว้แล้วจากไป ต้นห้องมอบของให้หลี่เคอ หลี่เคอก็นำของสิ่งนั้นส่งต่อให้ถึงมือหลงเอ้อร์
ของชิ้นนั้นมีผ้าห่อเอาไว้เป็นลักษณะรูปทรงยาว หลี่เคอแกะผ้าออกตามคำสั่งของหลงเอ้อร์ สิ่งที่ได้เห็นคือพิณตัวหนึ่ง
หลงเอ้อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาในทันใด
ทุกคนต่างรู้กันดีว่าท่านหลงเอ้อร์ไม่ใช่ผู้รู้ดนตรี เขาชอบเพียงตั๋วเงิน ที่ผ่านมามีคนไม่ลืมหูลืมตาเพียงไม่กี่คนเคยจะเชิญเขาไปร่วมชมการบรรเลงพิณหรือถกเกี่ยวกับพิณ เพราะฉะนั้นของขวัญที่ไม่น่าชื่นชมเช่นนี้ยิ่งไม่มีใครกล้าส่งมาแน่นอน
การที่จวีมู่เอ๋อร์ส่งของเล่นชิ้นนี้มาก็เพื่อต้องการจะเหน็บแนมเขาอย่างนั้นหรือ
“นายท่านรอง ในห่อผ้านี้ยังมีกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งด้วยขอรับ”
หลงเอ้อร์รับมา เมื่ออ่านจบสีหน้าเขาก็ดำคล้ำทันที บนกระดาษเขียนเอาไว้ว่า
‘เรียนพิณฝึกนิสัย ลดเวลาว่างคลายทุกข์’
ลายมืองดงาม แต่ระหว่างตัวอักษรยังมีจุดที่สะดุดอยู่บ้าง เหมือนคนปิดตาเขียนหนังสือ หลงเอ้อร์รู้ดีแก่ใจว่าไม่ใช่การปิดตาเขียน แต่เป็นสิ่งที่คนตาบอดเขียนจริงๆ
นางส่งพิณมาเพื่อเหน็บแนมเขา!
ฝึกนิสัยอะไรกัน นิสัยของเขาดีมากอยู่แล้ว นางไม่เห็นหรือว่ามีหญิงสาวมากมายอยากจะแต่งงานกับเขา
ยังบอกว่าลดเวลาว่าง เขาเคยว่างเสียที่ไหน มีงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา ทุกวันคนที่มาคอยรายงานข่าวล้วนต่อแถวกันยาวเหยียด บนโต๊ะมีแต่เอกสารกับสมุดบัญชีกองโตที่อ่านไม่หมดไม่สิ้นเสียที เขาว่างที่ไหนกัน
ยังมีเรื่องเป็นทุกข์อีก เขาไม่ทุกข์แม้แต่น้อย ไม่ทุกข์เพราะนางแม้แต่น้อย!
“โอ้ ใช่แล้ว ต้นห้องยังบอกอีกว่าเขาได้ถามแม่นางน้อยขายดอกไม้คนนั้นว่าส่งของขวัญชิ้นนี้มาทำไม นางตอบว่าแม่นางจวีกล่าวว่าเด็กซนนั้นให้เรียนพิณจึงจะดีที่สุด”
ซน? นางว่าใครซนกัน!
หลงเอ้อร์ตบโต๊ะ หญิงตาบอดน่ารังเกียจผู้นั้น…เขาไม่มีวันเลิกราแน่นอน!