ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

บทที่สี่

การต่อสู้ของหลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์เริ่มต้นจากจุดนี้

หลงเอ้อร์ไม่ยอมรับว่าความไม่สบายใจเหล่านี้เขาเป็นคนหาเรื่องเอง เพราะเขาคิดว่าการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เอาจริง ยังคงคิดว่านางเป็นหญิง ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้วิธีของผู้ชายต่อกรกับนาง ไม่เช่นนั้นจวีมู่เอ๋อร์ที่เป็นเพียงหญิงตาบอดตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็คงจะถูกเขาบดขยี้ให้ตายด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียวไปแล้ว

แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น

เขาไม่เหมือนกับติงเหยียนซานที่สั่งให้อันธพาลมาลงไม้ลงมือแทน เขาไม่ได้แตะต้องนางแม้เพียงเส้นขนเดียว เขาไม่เคยหาเรื่องร้านเหล้าของพ่อนาง ไม่ได้ขัดขวางทางทำมาหากินของสาวน้อยขายดอกไม้ที่นางเป็นห่วงเป็นใย ทั้งยังไม่ได้ทำลายร้านเก่าๆ ที่นางใช้สอนเด็กชาวบ้านเล่นพิณอีกด้วย

ดูสิ เขาไม่ได้ตั้งใจจะจัดการนางจริงๆ เขาเพียงแค่แกล้งนางเล่นเท่านั้น

แต่จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้จักสำนึก ไม่เพียงจะแก้แค้นคืนทุกครั้ง ตอนนี้ยังกล้ามาเหน็บแนมเขาอีก!

ในฐานะชายคนหนึ่งแล้วหากเขาหากปล่อยให้หญิงผู้นี้ทำตามใจชอบโดยไม่สั่งสอนเสียบ้างเขาคงไม่เหลือศักดิ์ศรีความเป็นชายอีกต่อไปแล้ว

เขาต้องสั่งสอนนาง จะให้นางคิดว่าเขายอมแพ้ไม่ได้

ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงรีบสั่งให้หอเซียนเว่ยส่งอาหารไปที่ร้านเหล้าสกุลจวี และแจ้งว่าส่งมาให้จวีมู่เอ๋อร์กิน อาหารมีเพียงปลาอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่น มีทั้งปลานึ่ง ปลาน้ำแดง ปลาทอด ปลาตุ๋น และปลาอื่นๆ อีกหลายอย่าง สรุปก็คือมีแต่ปลา เขาตั้งใจสั่งปลาที่มีแต่ก้างให้จวีมู่เอ๋อร์กิน รู้ว่านางต้องเข้าใจความหมายของเขาแน่นอน

เขาหลงเอ้อร์จะยอมให้ใครมายั่วโมโหง่ายๆ ไม่ได้ เขาจะทำให้ก้างปลาติดคอนาง ให้นางได้รับความลำบากจะกลืนก็ไม่ได้จะคายก็ไม่ออก

ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่กี่วัน จวีมู่เอ๋อร์ก็ส่งไม้เท้าสองอันนั้นมาให้ หลงเอ้อร์เข้าใจความหมายดี นางกำลังบอกว่าอย่าเล่นอีกเลย ท่านอยากได้ไม้เท้าไม่ใช่หรือ ได้ ข้าส่งมาให้ท่านเล่นทั้งสองอันเลย

หลงเอ้อร์ไม่ยอมอ่อนข้อ เขาจะขโมยไม้เท้าเสียอย่างนางจะทำอะไรได้ เขาแอบเข้าไปในเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์ด้วยตัวเองแล้วขโมยไม้เท้าอันที่สามในห้องนางมา

วันต่อมา จวีมู่เอ๋อร์จึงใช้ให้ซูฉิงส่งตำราเพลงพิณเล่มหนาไปให้ท่านหลงเอ้อร์หนึ่งเล่ม ซูฉิงนำตำราเพลงพิณมาให้แล้วฝากคำพูดไว้หนึ่งประโยค “พี่มู่เอ๋อร์บอกว่าหากเด็กในคฤหาสน์รู้สึกเบื่อก็ให้เขาตั้งใจเรียนพิณให้ดี”

หลงเอ้อร์รับตำราเพลงพิณเอาไว้ด้วยไฟโทสะที่พุ่งขึ้นหน้า แต่เขายังคิดหาวิธีใหม่มาจัดการกับนางไม่ได้ เขาเห็นว่าวิธีการส่งของขวัญเช่นนี้ไม่น่าสนใจอีกต่อไป เขาไม่อยากจะใช้แล้ว

ครั้งก่อนตอนที่ไปขโมยไม้เท้า เขาได้ยินจวีเซิ่งถามจวีมู่เอ๋อร์ว่าเหตุใดหอเซียนเว่ยจึงไม่ส่งปลามาที่บ้านอีก น้ำเสียงฟังดูเสียดายอยู่มาก เดิมทีจวีมู่เอ๋อร์รับปลามาแล้วก็ล้วนส่งมอบให้ผู้เป็นพ่อกินแกล้มเหล้า ยังบอกอีกว่าปลาพวกนั้นเป็นค่าจ้างที่นางไปสอนคนดีดพิณ ผู้เฒ่าจวีที่กินไปหลายมื้อย่อมต้องรู้สึกคิดถึงเป็นธรรมดา

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลงเอ้อร์คาดโทษจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้อีกเรื่อง นางทำให้เขาเสียเงินเปล่าโดยหาความสำราญกลับมาไม่ได้ เขายังรู้สึกอีกว่าหญิงสาวคนนี้หลอกพ่อตัวเองได้ไหลลื่นเช่นนี้ ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย

หลงเอ้อร์ตั้งใจจะคิดหาทางจัดการจวีมู่เอ๋อร์ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินคำเล่าลือของชาวเมืองอีกแล้ว ทุกคนในเมืองต่างพูดว่าท่านหลงเอ้อร์รู้สึกอับอายกับการไม่รู้ดนตรีของตน ระยะนี้จึงแอบคิดอยากเรียนพิณ อยากจะแก้ภาพลักษณ์พ่อค้าที่หลงใหลในเงินตราเพียงอย่างเดียว

คำเล่าลือนี้ทำให้หลงเอ้อร์ไม่พอใจเพราะเขาไม่คิดว่าการไม่รู้ดนตรีจะเป็นเรื่องน่าอับอายอะไร

นอกจากนั้นเพราะคำเล่าลือที่เกิดขึ้นทำให้หลงเอ้อร์เริ่มได้รับของขวัญชิ้นใหม่ เป็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเรียนพิณ คุณหนูสกุลใหญ่แต่ละสกุลก็เริ่มมาหาเขาเพื่อจะพูดคุยเรื่องการดีดพิณเรียนพิณ มีบางคนถึงขนาดรวบรวมความกล้ายื่นข้อเสนอจะมาสอนพิณให้เขาด้วยซ้ำไป

เรื่องนี้ทำให้หลงเอ้อร์โกรธจนกินข้าวไม่อร่อย นอนหลับไม่สนิท

เขาตัดสินใจแล้ว หากจะทำต้องทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อหญิงตาบอดผู้นั้นใช้วิธีลอบกัดเช่นนี้ นางก็อย่าได้โทษที่เขาจะใช้วิธีน่าเกลียดเช่นกัน

เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นชาวเมืองก็เริ่มลือกันว่าจวีมู่เอ๋อร์กำลังตามขอความรักจากท่านหลงเอ้อร์ พูดว่านางไม่สนใจที่ตัวเองตาบอดเดินทางไม่สะดวก กระตือรือร้นอยากไปพบกับหลงเอ้อร์ที่ร้านน้ำชาและหอสุรา อีกทั้งยังมอบพิณ ตำราเพลงพิณ และไม้เท้าให้ท่านหลงเอ้อร์อีกด้วย

ของทั้งสามอย่างล้วนเป็นสิ่งที่จวีมู่เอ๋อร์รัก การมอบให้เช่นนี้ก็เหมือนกับเป็นการมอบสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดให้แก่หลงเอ้อร์ นางแสดงความรักอย่างกล้าหาญ

พอคำพูดเหล่านี้ลือออกไป เรื่องทุกอย่างของจวีมู่เอ๋อร์ก็ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาพูดอีกครั้ง นางรักพิณรักหนังสือ แต่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนตาบอดกลายเป็นหญิงบ้า นางเบื่อหน่ายความจนรักความร่ำรวย พยายามไต่เต้าเพื่อให้มีอำนาจวาสนา ถึงกับทิ้งคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก วางแผนหลอกล่ออวิ๋นชิงเสียนชายมีเจ้าของผู้น่าดึงดูดที่สุดในเมืองหลวง แต่เพราะถูกฮูหยินของเขาขวางเอาไว้จึงแต่งเข้าบ้านไม่ได้สักที ดังนั้นตอนนี้จึงเปลี่ยนเป้าหมายมาลงมือกับท่านหลงเอ้อร์ตัวเลือกลูกเขยชุบทองที่ถูกแย่งชิงกันมากที่สุดในเมืองหลวง ช่างไร้ยางอายเสียจริง!

เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือน เรื่องของจวีมู่เอ๋อร์ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองหลวง นางจึงไม่ออกจากบ้าน เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านทุกวัน

หลงเอ้อร์ที่ได้ยินคำเล่าลือแรกๆ ก็รู้สึกยินดี พอได้รู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์เก็บตัวไม่ออกจากบ้านเลยก็ยิ่งดีใจ แต่ภายหลังคำเล่าลือนั้นยิ่งลือยิ่งไม่น่าฟัง เพราะตัวเขาถูกหยิบยกขึ้นมาถกพร้อมกับอวิ๋นชิงเสียนผู้น่ารังเกียจคนนั้น สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

ส่วนจวีมู่เอ๋อร์เหมือนจะถูกทำร้ายจิตใจหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ นางไม่ได้เคลื่อนไหวและโต้ตอบอะไรกลับมาอีกซึ่งทำให้หลงเอ้อร์ผิดหวังมาก บัญชีให้สะสางไม่ได้เพลิดเพลินชวนอ่านเสียแล้ว ส่วนการกลั่นแกล้งโดยใช้วิธีขโมยไม้เท้าหรือส่งปลาก็ไม่แปลกใหม่อีกต่อไป ไม่น่าใช้แล้ว

หลงเอ้อร์รู้สึกว่าหลายวันมานี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก แต่ตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว มีเรื่องงานวุ่นวายถาโถมท่วมตัว เขาจึงตัดสินใจพักเรื่องจวีมู่เอ๋อร์ไว้ชั่วคราว จัดการเรื่องหาเงินถึงสำคัญกว่า

ส่วนแม่นมอวี๋ก็วุ่นอยู่กับการเตรียมงานปีใหม่ในคฤหาสน์ ไม่มีเวลาว่างมากมายเหมือนแต่ก่อน ที่สำคัญคือนางเข้าใจดีว่าช่วงสิ้นปีเป็นเวลาที่หลงเอ้อร์จะยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรเลย จึงไม่กล้าเอาเรื่องการแต่งงานไปเพิ่มความปวดหัวให้แก่หลงเอ้อร์อีก

ดังนั้นในระยะนี้หลงเอ้อร์จึงกลับเข้าสู่วันเวลาที่มีเพียงสมุดบัญชีกับเอกสารเป็นเพื่อนอีกครั้ง แต่บางครั้งเขาก็นึกถึงหญิงตาบอดที่สาดน้ำชาใส่เขาขึ้นมา รู้สึกอยากให้ช่วงปีใหม่นี้ผ่านไปเร็วขึ้นอีกสักนิด เช่นนั้นเขาจะได้มีเวลามานั่งคิดว่าควรจะลงมือกับนางอย่างไรดี

ท่าทางเขาสงบนิ่ง ทางด้านจวีมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกโล่งอก

คำเล่าลือของชาวเมืองไม่น่าฟังนัก นางเป็นหญิงย่อมรู้สึกไม่ดี จวีเซิ่งยิ่งโกรธจนคิดจะหยิบไม้ไปยืนเฝ้าตามถนนในเมือง บอกว่าหากได้ยินใครพูดอะไรไม่ถูกหู เขาก็จะตีคนผู้นั้นให้หนัก

จวีมู่เอ๋อร์ต้องพูดเกลี้ยกล่อมผู้เป็นพ่อเอาไว้ บอกจวีเซิ่งว่าของอย่างกำปั้นหรือไม้เท้าเร็วไม่เท่าคำพูดคน ตีได้หนึ่งคน แต่ไม่มีทางตีได้หมดทั้งเมือง อีกอย่างหนึ่งหากลงมือจริง ทุกคนก็จะพูดว่านางร้อนตัวจนความอายกลายเป็นโมโหไปแทน

ผู้เฒ่าจวีได้ฟังคำของบุตรสาวก็ถอนหายใจไม่หยุด จะให้เขาปล่อยคนปากมากพวกนั้นไปเช่นนี้หรือ ใจเขาไม่ยินยอมแม้แต่น้อย แต่ที่บุตรสาวพูดก็มีเหตุผล เขาเองก็กลัวว่าจะทำให้เรื่องวุ่นวายใหญ่โตแล้วบุตรสาวจะยิ่งลำบากใจมากกว่าเดิม

ดังนั้นสองพ่อลูกจึงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ผู้เฒ่าจวีถึงกับไม่เปิดร้านขายเหล้า เดิมทีช่วงเวลาใกล้สิ้นปีเช่นนี้เป็นช่วงที่เหล้าขายดีที่สุด แต่ผู้เฒ่าจวีคิดว่าหากต้องยอมให้เจ้าคนปากมากพวกนั้นมาดื่มเหล้าในบ้านเขา แล้วยังมาพูดให้ร้ายลูกสาวของเขาอีก เขาให้พวกนั้นดื่มก็แปลกแล้ว ดังนั้นจึงปฏิเสธการค้าขายกับหอสุราทุกแห่ง บอกแค่ว่ารอให้เขาอารมณ์ดีก่อนจึงจะเปิดขายใหม่

ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ก็คิดทบทวนไปมา ความจริงนางไม่ควรจะไปต่อกรกับท่านหลงเอ้อร์เลย นางคิดว่าหลังจากนางตาบอดนิสัยก็ดีขึ้นมาก สามารถสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ได้ คาดไม่ถึงว่ายังคงทนได้ไม่มากพอ

วันนั้นที่นางไปขอร้องให้ท่านหลงเอ้อร์ทำกันสาด เขามีท่าทางหยิ่งผยอง พูดจาไม่ดี ส่วนตัวนางนั้นไม่ชอบให้คนวางก้ามรังแกที่สุด ด้วยความขุ่นเคืองในตอนนั้นจึงจงใจพูดโน้มน้าวเขา สาดน้ำชาใส่เขาอย่างเปิดเผย นี่จึงเป็นการหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว มาถึงตอนนี้ยังกลับกลายมาเป็นความว้าวุ่นใจอีกด้วย

ตอนนี้ใกล้จะปีใหม่แล้ว นางคิดจะหลบซ่อนตัวเช่นนี้ รอให้เรื่องสงบลงก็จะยอมแพ้ ไม่ไปงัดข้อกับเขาอีก

จวีมู่เอ๋อร์คิดจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวเช่นนี้ แต่กลับมีบางคนไม่ยอมให้นางทำ

วันนั้นมีแขกที่คาดไม่ถึงคนหนึ่งมาที่บ้านของนาง คนคนนั้นคือติงเหยียนเซียง

 

การมาของอวิ๋นฮูหยินเกินความคาดหมายของจวีมู่เอ๋อร์ ผู้เฒ่าจวีเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน

ก่อนหน้านี้ชาวเมืองเคยเล่าลือถึงความสัมพันธ์ของจวีมู่เอ๋อร์กับอวิ๋นชิงเสียน เรื่องนี้ผู้เฒ่าจวีย่อมเคยได้ยินมาก่อน ถึงขั้นที่ว่ามีเพื่อนบ้านบางคนมาสอบถามว่าบุตรสาวของเขาจะแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นหรือไม่ ส่วนใต้เท้าอวิ๋นผู้นั้นมักจะแวะมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้ง ท่าทางมีมารยาทกับเขาเป็นอย่างมาก ผู้เฒ่าจวีเกือบจะเชื่อเรื่องข่าวลือนั้นแล้ว แต่บุตรสาวกลับบอกเสียก่อนว่าไม่ได้มีใจรักในตัวใต้เท้าอวิ๋น ขอให้เขาวางใจ

ผู้เฒ่าจวีย่อมต้องเชื่อบุตรสาวตน นางเหมือนแม่ของนางมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา นิสัย หรือความเฉลียวฉลาดล้วนถอดแบบมาจากแม่ของนาง

เมื่อก่อนเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านล้วนได้แม่ของจวีมู่เอ๋อร์เป็นคนจัดการ เขารับผิดชอบเพียงงานหมักเหล้าที่เขาชอบทำ น่าเสียดายที่แม่ของนางมาด่วนจากไปทำให้เขาเสียใจหนักหนา โชคดีที่จวีมู่เอ๋อร์รู้ความ เชื่อฟัง ฉลาด และน่ารัก เขาจึงค่อยๆ ได้พลังในการมีชีวิตกลับคืนมา

จวีมู่เอ๋อร์เป็นเด็กที่รู้ความ ตั้งแต่ยังเล็กนางมีความคิดบางเรื่องที่จัดการแล้วดูเหมาะสมกว่าเขาผู้เป็นพ่อเสียอีก ดังนั้นจวีเซิ่งจึงรู้สึกวางใจในตัวบุตรสาวคนนี้เป็นอย่างมาก

หากนางบอกว่าไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ย่อมไม่เป็นไรอย่างแน่นอน

แต่ระยะนี้ที่ชาวเมืองเล่าลือกันหนาหู ฮูหยินของใต้เท้าอวิ๋นกลับมาหาถึงบ้าน ผู้เฒ่าจวีคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร

เขาระวังตัว เดินนำทางติงเหยียนเซียงไปยังเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์

ติงเหยียนเซียงสั่งให้สาวใช้ประจำตัวถอยออกไป บอกว่าต้องการพูดคุยกับจวีมู่เอ๋อร์ตามลำพัง ผู้เฒ่าจวีเห็นว่าตัวเองไม่ใช่บ่าวรับใช้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถอยออกไป เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด สมควรจะนั่งฟังนั่งดูอยู่ข้างกายบุตรสาวได้ หากมีอะไรไม่เหมาะไม่ควรจะได้ออกรับหน้าแทนบุตรสาว

ติงเหยียนเซียงเห็นผู้เฒ่าจวีไม่คิดจะออกไป สีหน้าก็ไม่ค่อยน่าดูนัก แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นแขกจึงไม่อาจเอ่ยปากพูดได้ ดังนั้นจึงนั่งเงียบไม่พูดจา

จวีมู่เอ๋อร์รออยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินติงเหยียนเซียงพูดอะไร นางคิดสักครู่จึงเอ่ยปากเรียก “พ่อ” จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงตอบรับจากพ่อของนางจริงๆ

“พ่อออกไปทำงานก่อนเถอะ อีกสักครู่หากข้าคุยเสร็จแล้วจะเรียกพ่อเอง”

ผู้เฒ่าจวีไม่ยินดีจะทำตาม แต่เมื่อมองหน้าติงเหยียนเซียงแล้วหันไปมองบุตรสาวของตนเขาก็ตอบตกลงในที่สุด ก่อนไปยังพูดอีกว่า “พ่อจะอยู่ตากแดดในสวนนะ”

เมื่อเห็นจวีมู่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ ตอบรับ ผู้เฒ่าจวีจึงเดินออกไปอย่างช้าๆ

ติงเหยียนเซียงรอจนในห้องเหลือเพียงนางกับจวีมู่เอ๋อร์จึงค่อยเอ่ยถามถึงสุขภาพและสารทุกข์สุกดิบของคนในบ้านจวีมู่เอ๋อร์ จากนั้นก็เอ่ยชมความสามารถของผู้เฒ่าจวี บอกว่าเขาหมักเหล้าได้ดี ทั้งยังจัดการร้านและดูแลบุตรสาวได้ดีอีกด้วย ติงเหยียนเซียงใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ฟังดูสนิทสนม แต่จวีมู่เอ๋อร์กลับนั่งฟังอย่างระแวดระวังตัว

อวิ๋นชิงเสียนเคยเผยความในใจแก่จวีมู่เอ๋อร์แต่ถูกนางปฏิเสธ ภายหลังเขาก็แวะมาน้อยลง แต่ทุกครั้งที่มาก็จะพูดเสียงอ่อนหวาน บอกกล่าวความรู้สึกในใจออกมา แสดงให้นางเห็นว่าเขายังไม่ยอมแพ้ จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกปวดหัว แต่กลับคิดวิธีทำให้เขาตัดใจไม่ออก ตอนนี้คำเล่าลือในเมืองไม่น่าฟังนัก การที่อวิ๋นฮูหยินมาในครั้งนี้คงไม่ได้มาเพราะสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของนางเท่านั้นเป็นแน่

แล้วก็เป็นจริงดังที่คาดไว้ หลังจากติงเหยียนเซียงพูดคำทักทายทั่วไปจบแล้ว ในที่สุดก็เข้าสู่ประเด็นหลัก “แม่นางจวี ข้าขอบังอาจถามสักคำ ท่านพี่ข้าเคยเผยใจรักต่อเจ้า อยากจะแต่งงานกับเจ้าใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ทวนคำพูดในใจหนึ่งรอบแล้วจึงเอ่ยตอบ “ข้าเป็นเพียงหญิงตาบอดธรรมดา ไม่กล้าอาจเอื้อมใต้เท้าอวิ๋น ขอฮูหยินโปรดวางใจ”

น้ำเสียงของติงเหยียนเซียงยังคงอ่อนโยน นางถามต่อ “ไม่อาจเอื้อมหรือไม่อยากเป็นอนุกันแน่”

จวีมู่เอ๋อร์ลอบถอนใจอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่อาจเอื้อมหรือไม่อยากเป็นอนุ ประเด็นสำคัญก็คือนางไม่อยากแต่งงาน เหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจกัน

“ฮูหยิน ข้ารับรองว่าจะไม่แต่งงานกับใต้เท้าอวิ๋นเด็ดขาด เช่นนี้ฮูหยินพอใจหรือไม่”

“ไม่” น้ำเสียงของติงเหยียนเซียงทั้งอ่อนและเบา แต่กลับหนักแน่น

จวีมู่เอ๋อร์อึดอัดใจ เอ่ยถามไปตามตรงเสียเลยจะดีกว่า “เช่นนั้นข้าต้องทำอย่างไรฮูหยินจึงจะสบายใจ”

ติงเหยียนเซียงตอบ “แม่นางจวี ก่อนหน้านี้เป็นน้องสาวข้าที่เสียมารยาท หาคนมารบกวนเจ้า นางไม่ค่อยรู้ความ แต่ข้าได้สั่งสอนนางไปแล้ว ต่อไปจะไม่เป็นเช่นนี้อีก ขอให้เจ้าจงวางใจ”

คำพูดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการจะแต่งหรือไม่แต่งงาน จวีมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจความหมายของนาง ดังนั้นจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไร

ติงเหยียนเซียงพูดอีกว่า “แท้จริงแล้วข้าเป็นคนพูดง่าย เรื่องที่ท่านพี่คิดรักชอบเจ้า ข้าเองก็รู้ดี เดิมทีเป็นเรื่องของเขา ข้าจึงไม่ยุ่งเกี่ยวสอดมือเข้าไปแทรก แต่ตอนนี้เขากลัดกลุ้ม ข้าเห็นก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญแล้ว ข้าจึงมาหาเจ้า”

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกตระหนกอยู่บ้าง นางจับไม้เท้าของตัวเองเอาไว้แน่น

ติงเหยียนเซียงคิดจะพูดว่านางมีความรักลึกซึ้งกับอวิ๋นชิงเสียนอย่างนั้นหรือ แต่นางก็บอกไปแล้วว่าจะไม่เข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขาสามีภรรยา ติงเหยียนเซียงพูดเช่นนี้คิดจะทำอะไรกันแน่

“ท่านพี่นิสัยอ่อนโยนช่างเอาใจ ดูแลข้าทั้งเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่พัก จะทำการใดล้วนเอาใจใส่เป็นอย่างดี กับบ่าวไพร่ก็ยิ้มแย้มไม่ดุด่าว่ากล่าวอย่างไร้เหตุผล แม่นางจวีคิดว่าคู่ครองที่ดีเช่นนี้หาได้ยากหรือไม่” ติงเหยียนเซียงถาม

“นั่นเพราะฮูหยินมีวาสนาดี”

ติงเหยียนเซียงหัวเราะ เอ่ยถามขึ้นทันใด “แม่นางจวีเริ่มเรียนพิณตั้งแต่เมื่อใดหรือ”

“สามขวบ”

ติงเหยียนเซียงพยักหน้า “ข้าก็เริ่มเรียนตอนสามขวบ แต่ข้าดีดพิณได้ไม่ดีเท่าเจ้า”

“ฮูหยินถ่อมตัวเกินไปแล้ว”

“นั่นเป็นเรื่องจริง ท่านพี่ชอบเสียงพิณมาก ทุกครั้งที่ข้าดีดพิณเป็นเพื่อนท่านพี่ เขาต้องพูดชมฝีมือการดีดพิณของเจ้า”

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกเครียด ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรต่อ

ติงเหยียนเซียงหัวเราะ แล้วขยับตัวไปกุมมือของจวีมู่เอ๋อร์ไว้ มือของนางเย็นเฉียบจนทำให้จวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนขนลุก

“แม่นางจวี ข้าใช่ว่าจะเป็นภรรยาที่ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม”

จวีมู่เอ๋อร์ใจเต้นแรง นิ้วมือแข็งเย็นของติงเหยียนเซียงส่งผ่านความอึมครึมออกมาทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

“แม่นางจวี ข้าหวังให้เจ้าแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นมาอยู่เป็นเพื่อนข้า แม้ว่าจะเป็นอนุ แต่รับรองว่าการกินอยู่ เสื้อผ้าที่ใช้ หรือการได้รับความเคารพจากบ่าวไพร่ ทุกอย่างจะเท่าเทียมกับข้า ย่อมไม่มีทางได้รับความเจ็บช้ำใจแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ตัวแข็ง ติงเหยียนเซียงมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ตนใช้สามีร่วมกับนางหรือนี่

สันหลังจวีมู่เอ๋อร์เริ่มเย็นเยือก นางคิดแล้วคิดอีก เกรงว่าจะมีอะไรผิดพลาดจึงไม่กล้าเอ่ยปาก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยตอบกลับว่า “ฮูหยิน ข้าไม่กล้าอาจเอื้อมจริงๆ”

ติงเหยียนเซียงจ้องหน้านางอยู่นานแล้วจึงหัวเราะขึ้นทันใด “เห็นทีแม่นางจวีใช่ว่าจะไม่ยอมเป็นอนุ แต่ดูเหมือนไม่อยากแต่งงานกับท่านพี่จริงๆ”

จวีมู่เอ๋อร์โล่งอก คิดว่าเมื่อครู่เป็นการทดสอบจึงรีบตอบอย่างจริงจัง “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่ข้าพูดทุกคำเป็นความจริง ฮูหยินวางใจได้”

“ข้าเองก็พูดอย่างจริงใจเช่นกัน แม่นางจวี ท่านพี่มีใจอยากผูกสัมพันธ์กับเจ้า หากข้าไม่สามารถทำความปรารถนาของเขาให้เป็นจริงได้ จะเรียกว่าเป็นภรรยาที่ดีได้อย่างไร” ใจของจวีมู่เอ๋อร์ที่เพิ่งวางลงได้กลับกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง นางได้ยินเสียงของติงเหยียนเซียงอ่อนโยนขึ้นทุกทีๆ “แม่นางจวี เจ้าต้องแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นของพวกเราให้ได้นะ”

จวีมู่เอ๋อร์จับไม้เท้าไว้แน่น ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบกลับด้วยคำเดิม “ขอบคุณฮูหยินที่เอ็นดู แต่ข้าไม่อาจเอื้อมจริงๆ”

นางพูดจบแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินติงเหยียนเซียงพูดต่อ ในใจก็หวาดหวั่นมากยิ่งขึ้น นางมองไม่เห็นท่าทางและแววตาของอีกฝ่าย ได้ยินเพียงเสียงของติงเหยียนเซียง ดังนั้นการวิเคราะห์ทั้งหมดจึงอาศัยเพียงเสียงเท่านั้น

ติงเหยียนเซียงมีน้ำเสียงอ่อนโยน ควรจะบอกว่าอ่อนโยนเกินไป อ่อนโยนจนไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้จวีมู่เอ๋อร์กลัวมาก นางไม่อยากจะเชื่อว่าอวิ๋นฮูหยินผู้นี้คิดจะแต่งนางเข้าสกุลอวิ๋นด้วยใจจริง บางทีนางอาจจะถูกอวิ๋นชิงเสียนบังคับหรืออาจจะยอมขัดความรู้สึกของตัวเองเพื่อมาแสดงให้อวิ๋นชิงเสียนเห็นว่านางเป็นภรรยาที่ดี

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่เชื่อว่าหญิงผู้นี้จะยินดีใช้สามีร่วมกับผู้อื่น

ติงเหยียนเซียงเอ่ยอีกครั้ง “ขอแม่นางจวีอย่าได้ปฏิเสธเลย ท่านพี่ชอบเจ้าด้วยใจจริง ข้าเองก็จะดีต่อแม่นางเหมือนเป็นพี่น้องของตัวเองเช่นกัน เมื่อเจ้าแต่งเข้ามา ผู้เฒ่าจวีก็สามารถปลดภาระหนักบนบ่าลงได้ มีชีวิตบั้นปลายที่สงบสุข ส่วนเจ้าก็จะมีบ่าวรับใช้คอยดูแลถึงสามคนห้าคน เสื้อผ้าและอาหารการกินล้วนไม่ต้องเป็นกังวล ท่านพี่รักใคร่ชอบพอเจ้า ข้าเองก็เป็นคนมีเหตุผล เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีกหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ขบกรามแน่น คิดใคร่ครวญแล้วตอบกลับอย่างระวังตัว “ดวงตาของข้าทั้งคู่มืดบอด มองไม่เห็นสิ่งใดอีก ข้าจึงตัดสินใจว่าชาตินี้จะไม่แต่งงานเด็ดขาด ขออยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่า”

“แม่นางจวีคงพูดเพราะความโกรธ” ติงเหยียนเซียงใช้มือเย็นเฉียบของนางกุมมือจวีมู่เอ๋อร์ข้างที่จับไม้เท้าเอาไว้ “ยิ่งสองตาไม่สะดวกยิ่งต้องมีคนคอยดูแลมิใช่หรือ หากแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดแล้ว”

“ความหวังดีของฮูหยินข้ารับรู้ด้วยใจ แต่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว…”

คราวนี้นางพูดยังไม่ทันจบก็ถูกติงเหยียนเซียงขัดขึ้นเสียก่อน “การตัดสินใจสามารถเปลี่ยนแปลงได้” คำพูดนี้ฟังดูแข็งกระด้างอยู่บ้าง เหมือนหน้ากากความอ่อนโยนของนางจะขาดเป็นรูแล้ว แม้ว่าน้ำเสียงจะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย แต่จวีมู่เอ๋อร์ยังคงรับรู้ได้

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบ นางพยายามคิดว่าควรจะรับมืออย่างไรดี ติงเหยียนเซียงกลับพูดขึ้นอีก “แม่นางจวี เจ้าคิดให้ดีเถอะ ดวงตาเจ้าไม่สะดวกเช่นนี้ไม่มีคนคอยดูแล การใช้ชีวิตคงยากลำบาก หากออกจากบ้านไปทำธุระหรือเดินเล่นแล้วพบกับคนเลวเข้าเจ้าจะทำอย่างไร ตอนนี้ผู้เฒ่าจวีก็มีอายุมากแล้ว ทั้งต้องดูแลเจ้าและทำการค้าเลี้ยงครอบครัวไปด้วย เจ้าต้องคิดแทนเขาบ้างสิ หากผู้เฒ่าจวีเหน็ดเหนื่อยมากเกินไปจนเกิดอะไรขึ้น…เจ้าคงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินแต่ละคำแต่ละประโยคของติงเหยียนเซียงแล้วก็รู้สึกว่านิ้วมือของตัวเองเย็นตามไปด้วย

นางเข้าใจแล้ว

“เป็นความประสงค์ของใต้เท้าอวิ๋นอย่างนั้นหรือ”

“ท่านพี่ไม่รู้เรื่องที่ข้ามาในวันนี้ และไม่รู้ว่าข้าจะมาเกลี้ยกล่อมเจ้า เขาตกลงกับข้าว่าหากข้าไม่ยินยอมด้วย เขาก็จะไม่แต่งงานอีก เขาดีกับข้าถึงเพียงนี้ข้าจึงไม่อยากทำให้เขาเสียใจ ดังนั้นข้าจึงมาหาเจ้า ถ้าเจ้าตอบตกลงแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเขาต้องพึงพอใจมากอย่างแน่นอน หากเขามีความสุขข้าก็ยินดีไปด้วย แม่นางจวี สามีข้าเป็นรองเสนาบดีกรมอาญา ท่านพ่อข้าเป็นเสนาบดีกรมอาญา ยังมีท่านตา ท่านลุง ท่านน้า ท่านอาของข้าซึ่งล้วนเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก หากมีข้าคอยสนับสนุน ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเจ้ากับพ่อเจ้าแม้เพียงปลายเล็บ ร้านเหล้าของสกุลเจ้าก็จะสามารถทำการค้าได้อย่างมั่นคง เจ้าดูสิ นี่มิใช่เป็นเรื่องที่ดีมากหรอกหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์หลับตาลง พยายามทำให้ตัวเองคลายกังวล นางต้องคิดให้ดีว่าควรทำอย่างไร

อวิ๋นชิงเสียนเพียงคนเดียวก็รับมือได้ยากแล้ว ตอนนี้ยังมีอวิ๋นฮูหยินที่ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนมาพูดข่มขู่อีก

จวีมู่เอ๋อร์จับความคิดที่แท้จริงของติงเหยียนเซียงได้ไม่ชัดเจนนัก นางรักสามีมากแต่กลับมาขอร้องให้หญิงอื่นแต่งเข้าบ้านเพื่อไปใช้สามีร่วมกัน สำหรับจวีมู่เอ๋อร์แล้ว หญิงที่มีความคิดเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าชายที่ขอแต่งงานแล้วถูกปฏิเสธเช่นอวิ๋นชิงเสียนเสียอีก

ติงเหยียนเซียงเห็นจวีมู่เอ๋อร์ไม่พูดอะไรอยู่นานและมีสีหน้าซีดขาวจึงยิ้มออกมา คิดว่าตนเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว

นางไม่ยอมให้จวีมู่เอ๋อร์คิดมาก จึงพูดเสียงหวานขึ้นอีก “แม่นางจวีต้องรู้ความหนักเบาของเรื่องนี้ ได้แต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นย่อมเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว ข้าจะกลับไปเตรียมการ รอฉลองปีใหม่เสร็จก็เลือกวันมงคลแล้วจะส่งคนมาจัดการเรื่องพิธีการให้”

จวีมู่เอ๋อร์ใจเต้นตุบๆ อวิ๋นฮูหยินผู้นี้คิดว่านางยินยอมแล้วอย่างนั้นหรือ

“ฮูหยิน…” จวีมู่เอ๋อร์ส่งเสียง แต่กลับถูกติงเหยียนเซียงพูดขัด

“ตกลงตามนี้ แม่นางจวีอดใจรออยู่ที่บ้านก็พอ” นางพูดพลางลุกขึ้นเรียกสาวใช้ คิดจะจากไปทันที

จวีมู่เอ๋อร์รีบลุกขึ้นยืน พูดเสียงดังว่า “ฮูหยิน ข้าไม่แต่งแน่นอน”

“เช่นนั้นหรือ” ติงเหยียนเซียงหัวเราะ สาวใช้ผู้ติดตามของนางผลักประตูเดินเข้ามา ด้านหลังมีจวีเซิ่งเดินตาม นางไม่สนใจจวีมู่เอ๋อร์ หันหน้าไปพูดกับจวีเซิ่งว่า “ผู้เฒ่าจวี หมู่นี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว ท่านควรจะสวมเสื้อผ้าให้หนาสักนิด จะได้ไม่ล้มป่วยไป จวีมู่เอ๋อร์มีพ่อเพียงคนเดียว ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดี”

ผู้เฒ่าจวีไม่เข้าใจ เขาที่ยืนอยู่ในสวนไม่ได้ยินว่าพวกนางสองคนคุยอะไรกันบ้าง คิดไม่ถึงว่าพอเข้ามาก็ได้ยินคำทักทายถามสารทุกข์สุกดิบของติงเหยียนเซียงจึงรีบตอบกลับอย่างมีมารยาทแล้วหันไปมองหน้าบุตรสาว แต่กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติ

ติงเหยียนเซียงก็มองจวีมู่เอ๋อร์เช่นกัน นางรู้สึกพอใจกับสีหน้าท่าทางนิ่งเงียบของจวีมู่เอ๋อร์จึงกล่าวอำลาด้วยเสียงอ่อนหวานแล้วพาสาวใช้เดินจากไป

รอจนติงเหยียนเซียงจากไป ผู้เฒ่าจวีก็รีบถามบุตรสาวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จวีมู่เอ๋อร์บอกปัดไปว่าไม่มีอะไร เพียงแค่ในเมืองมีข่าวลือไม่น่าฟัง ติงเหยียนเซียงจึงมาเยี่ยมเยือนเท่านั้น ผู้เฒ่าจวีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

 

นับจากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ขังตัวเองอยู่ในห้องพิณ บรรเลงเพลงพิณไม่หยุดถึงสามวัน

ผู้เฒ่าจวีเริ่มรู้สึกเป็นห่วง ตอนนั้นบุตรสาวที่เพิ่งกลับมาจากการไปฟังพิณก่อนการประหารของเทพพิณซือป๋ออินก็บรรเลงเพลงพิณอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้เหมือนกัน หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาตอนนี้บุตรสาวก็เป็นเช่นนี้อีก จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่

หลายวันต่อมาในเวลาเที่ยงก็มีเด็กในร้านพิณเซียนอินคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งมาหาจวีมู่เอ๋อร์ บอกว่าที่ร้านได้รับการติดต่อค้าขายครั้งใหญ่ ให้ทำพิณจำนวนหนึ่งนำออกไปขายที่นอกเมือง และเพราะเป็นช่วงเวลาสิ้นปี รถม้าขนของจึงจับจองได้ยาก จำเป็นต้องจัดส่งพิณออกไปตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้นเท่านั้น แต่พิณที่สั่งในครั้งนี้มีจำนวนมากเกินไป ในร้านจึงมีคนเทียบเสียงสายพิณไม่เพียงพอ หลงจู๊ร้อนใจอยากจะขอให้จวีมู่เอ๋อร์ไปช่วยเหลือ

คนในร้านพิณเซียนอินนั้นสนิทกับคนในบ้านของจวีมู่เอ๋อร์ดี นางเองก็เคยไปช่วยงานบ่อยครั้ง ดังนั้นเมื่อได้ยินว่ามีเรื่องร้อนใจเช่นนี้นางจึงรับปากในทันที

ผู้เฒ่าจวียังไม่วางใจจึงตามบุตรสาวไปด้วย

งานนี้ใช้เวลาครึ่งวัน เฉินอิ่นเถ้าแก่ร้านพิณเซียนอินหาอาหารมาเลี้ยงคนที่เขาเชิญมาช่วยงาน

ผู้เฒ่าจวีดูแลบุตรสาวของตนกินอาหารจนเสร็จ เฉินอิ่นก็เข้ามาขอร้องให้จวีมู่เอ๋อร์อยู่ช่วยเหลือที่ร้านในคืนนี้เพราะเขาต้องเร่งส่งพิณให้ครบตามจำนวน แล้วเขาจะจ่ายเงินค่าจ้างให้สามเท่า หากต้องการอยู่พักในเมือง ค่าห้องเขาก็จะเป็นผู้รับผิดชอบเอง

ผู้เฒ่าจวีเห็นคนที่รู้จักคุ้นเคยกันมีเรื่องร้อนใจ เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร จึงบอกกล่าวกับจวีมู่เอ๋อร์แล้วไปจัดการจองห้องพักสองห้องในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลที่อยู่ใกล้ร้านพิณที่สุด คิดไว้ว่าคืนนี้หากทำงานเสร็จแล้ว เขากับบุตรสาวจะเข้าไปพักที่นั่น

แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อกลับถึงร้านพิณ เพื่อนบ้านกลับรีบร้อนมาบอกข่าวว่าเด็กช่วยงานในร้านเหล้าทั้งสองคนท้องเสียอย่างหนัก ตอนนี้ทั้งอาเจียนทั้งถ่ายท้องจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ได้เชิญท่านหมอไปตรวจดูแล้ว แต่พวกเขาทั้งสองคนอาการหนักมาก ในบ้านก็ไม่มีใครอื่นอีก ดังนั้นจึงรีบมาส่งข่าวให้ผู้เฒ่าจวีรู้

เมื่อจวีเซิ่งได้ฟังก็ตกใจ เด็กหนุ่มสองคนนั้นติดตามเขามาหลายปี กินอยู่ด้วยกัน เปรียบเสมือนเป็นคนในครอบครัว พวกเขาล้มป่วยเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้เฒ่าจวีรู้สึกร้อนใจ

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเรื่องนี้ก็รีบบอกให้ผู้เป็นพ่อกลับไป ส่วนเฉินอิ่นก็กล่าวว่าขอให้ผู้เฒ่าจวีสบายใจ ตนจะดูแลจวีมู่เอ๋อร์ให้ดี รอจนทำงานเสร็จแล้วจะให้คนไปส่งนางที่โรงเตี๊ยม

เฉินอิ่นเห็นจวีมู่เอ๋อร์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจวีเซิ่งจึงเชื่อมั่นในตัวเขา เมื่อพูดกำชับจวีมู่เอ๋อร์จบก็หันไปบอกเฉินอิ่นว่าอย่าให้บุตรสาวของตนเหน็ดเหนื่อยมากนักแล้วจึงรีบร้อนกลับบ้านไป

จวีมู่เอ๋อร์ยุ่งอยู่กับงานจนดึก นางสุขภาพไม่ค่อยดี มีนิสัยนอนเร็วมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้เฉินอิ่นก็รู้ดี เมื่อเขาเห็นว่างานตรงหน้าเหลือไม่มากแล้ว จึงใช้ให้เด็กช่วยงานในร้านคนหนึ่งไปส่งจวีมู่เอ๋อร์ที่โรงเตี๊ยม

โรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลห่างจากร้านพิณเซียนอินเพียงหนึ่งช่วงถนน ตอนนี้ดึกมากแล้ว โถงในโรงเตี๊ยมจึงไม่มีคน เสี่ยวเอ้อร์อ้าปากหาวเดินนำเด็กช่วยงานร้านพิณกับจวีมู่เอ๋อร์ไปที่ห้องพักชั้นสองของอาคารด้านหลัง เด็กช่วยงานเดินเข้าไปในห้องก่อน มองซ้ายขวาแล้วบอกตำแหน่งการจัดวางของในห้องแก่จวีมู่เอ๋อร์ จากนั้นก็พานางไปคลำดู สุดท้ายเมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยลาถอยออกจากห้องไป

จวีมู่เอ๋อร์ปิดประตูอย่างแน่นหนาจับคลำสิ่งของทุกชิ้นในห้องเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง จากนั้นจึงนั่งลงคิดจะเทน้ำมาดื่มสักถ้วย

น้ำในกาเย็นแล้ว ตกดึกอากาศหนาว จวีมู่เอ๋อร์จึงอยากดื่มน้ำอุ่นสักนิด นางเปิดประตูจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์ แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว การร้องเรียกเสียงดังอาจจะรบกวนผู้อื่นที่กำลังพักผ่อนได้ ดังนั้นนางจึงหยิบไม้เท้า คิดจะลงบันไดไปขอน้ำดื่มด้วยตัวเอง

ชั้นสองดับไฟหมดแล้ว ระเบียงทางเดินจึงมืดสนิทไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย

จวีมู่เอ๋อร์ก้าวเดินช้าๆ ทันใดนั้นประตูห้องด้านข้างก็เปิดออก มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกนว่า “ช่วย” แต่พูดไปได้เพียงครึ่งเสียงก็ถูกอุดปากไว้

จวีมู่เอ๋อร์หันหน้าไปตามทางของเสียง แน่นอนว่านางมองอะไรไม่เห็น แต่นางได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่ถูกอุดปากดิ้นรนขัดขืน และเสียงนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว

จวีมู่เอ๋อร์ตกใจ นางหมุนตัววิ่งหนีพลางตะโกนว่า “ช่วยด้วย” แต่พูดได้เพียงแค่คำว่า ‘ช่วย’ ก็ถูกกระชากผม ยังไม่ทันได้อ้าปากร้อง มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ปิดปากนางเอาไว้

จวีมู่เอ๋อร์ขัดขืนเต็มกำลัง นางใช้เล็บข่วนและตวัดไม้เท้าไปด้านหลังอย่างแรง คนผู้นั้นสบถหนึ่งทีแล้วทนต่อความเจ็บปวด ลากตัวนางเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

จวีมู่เอ๋อร์ได้กลิ่นคาวเลือด นางหวาดกลัวอย่างมาก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูแล้วนางก็ถูกเหวี่ยงจนตัวลอยเคว้งก่อนตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง

จวีมู่เอ๋อร์ไม่สนใจความเจ็บปวด พอปากขยับพูดได้นางก็รีบเอ่ย “ข้าเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร อย่าฆ่าข้าเลยนะ”

นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร นางไม่รู้ว่าเมื่อครู่ผู้ที่อยากจะตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย’ คนนั้นจะบาดเจ็บหรือตายไปแล้วหรือไม่ แต่นางรู้ว่าคนร้ายคนนี้คิดว่านางเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ และในฐานะที่เป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์เกรงว่าสุดท้ายคงหนีความตายไม่พ้น

ดังนั้นนางจึงแสดงตนว่าตาบอดตั้งแต่แรก หวังให้คนร้ายคนนี้ยังคงมีความเมตตาอยู่บ้าง

จู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามีลมหายใจอยู่ใกล้ๆ ใบหน้า คิดว่าคนร้ายคงกำลังตรวจสอบว่านางตาบอดจริงหรือไม่ นางยันพื้นขยับตัวถอยไปทางด้านหลัง พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “อย่าฆ่าข้าเลยนะ ข้ามองไม่เห็นอะไรจริงๆ ข้าถือไม้เท้าเพราะข้าเป็นคนตาบอด”

คนผู้นั้นไม่เคลื่อนไหว จวีมู่เอ๋อร์คิดว่าเขาคงกำลังลังเล แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังปัง นางรู้สึกเจ็บที่หัวอย่างแรง

จากนั้นก็หมดสติไป

 

วันนี้หลงเอ้อร์ปวดหัวมาก

เพราะแม่นมอวี๋ว่างงานจนอยากจะคุยกับเขา

แน่นอนว่าช่วงเวลาก่อนปีใหม่หลงเอ้อร์มีงานมากมาย แม่นมอวี๋รู้ดีว่าไม่ควรรบกวน นางจึงมาถามเพียงว่ารูปหญิงสาวที่ให้ไปในครั้งก่อนนั้นนายท่านรองได้ดูแล้วหรือยัง

หลงเอ้อร์จำไม่ได้ว่าภาพวาดกองใหญ่นั้นให้หลี่เคอนำไปโยนไว้ที่ใด ดังนั้นจึงแค่ตอบผ่านๆ ว่า “อืม”

แม่นมอวี๋รีบซัก “มีคนที่ต้องตาต้องใจบ้างหรือไม่”

แม่นมอวี๋รู้ว่าช่วงปีใหม่เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการแวะไปเยี่ยมเยือน หากนายท่านรองถูกใจหญิงสาวคนใด นางก็จะได้เตรียมของขวัญแล้วเดินทางไปหาพ่อบ้านของอีกฝ่ายเพื่อลองสืบความดูก่อน จากนั้นค่อยส่งแม่สื่อไปทาบทามถึงบ้าน

หลงเอ้อร์ตอบทันทีว่า “ไม่มี”

แม่นมอวี๋จึงถามต่อ “เช่นนั้นนายท่านรองมีคนที่ชอบแล้วหรือยังเจ้าคะ”

หากจะพูดถึงมาตรฐานการเลือกภรรยาของหลงเอ้อร์ แม่นมอวี๋ถามมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง และทุกครั้งหลงเอ้อร์จะตอบเพียงผ่านๆ คุณสมบัติที่อ้างได้ล้วนพูดไปหมดแล้ว ดังนั้นแม่นมอวี๋ยิ่งคัดคนยิ่งมีคุณสมบัติที่ต้องพิจารณามากขึ้นไปเรื่อยๆ

หลงเอ้อร์รู้ดีว่าเรื่องนี้ต้องคิดให้ดีก่อนจะพูด หากไม่รอบคอบถูกแม่นมอวี๋จับพิรุธอะไรได้และยัดเยียดผู้หญิงมาให้เขา เช่นนั้นก็คงจะจัดการได้ยากแล้ว

หลงเอ้อร์คิดทบทวน หากบอกว่าต้องเป็นคนดี แม่นมอวี๋ก็จะสามารถเอ่ยรายชื่อออกมาได้หลายคน หากบอกว่าต้องนิสัยดี ก็ย่อมไม่ขาดคน หากบอกว่าต้องมีความสามารถ แม่นมอวี๋ก็จะบอกว่าทุกคนไม่เลวอย่างแน่นอน หากบอกว่าดูเรื่องหน้าตาเป็นหลัก อืม หากไม่ใช่หญิงสาวเหล่านั้นไม่งาม แม่นมอวี๋ก็คงจะไม่มั่นใจถึงเพียงนี้

หลงเอ้อร์ปวดหัว เฮ้อ คุณสมบัติที่เขาเคยพูดไว้เกรงว่าครั้งนี้แม่นมอวี๋คงสามารถโต้กลับมาได้จนหมดกระมัง

หลงเอ้อร์ไร้หนทาง หันหน้าไปคิดใคร่ครวญ พอมองออกไปเห็นไผ่เขียวหลายต้นนอกหน้าต่าง เขาก็เอ่ยขึ้นทันใด “แม่นมวุ่นวายจัดการทุกอย่างเพื่อข้า ต้องลำบากท่านแล้วจริงๆ แต่หากข้าจะแต่งภรรยาต้องแต่งกับหญิงที่มีความพิเศษเท่านั้น”

“พิเศษ?” แม่นมอวี๋อึ้งไป “ความพิเศษที่นายท่านรองพูดหมายถึงสิ่งใดกัน รูปโฉมงามเป็นพิเศษ มีความดีเป็นพิเศษ หรือมีความสามารถพิเศษ…”

หลงเอ้อร์ยกมือขึ้นขัดคำพูดของนางแล้วตอบว่า “แม่นม ความพิเศษที่ข้าพูดถึงก็คือต้องพิเศษจนทำให้ทุกคนไม่สนใจรูปโฉม นิสัย หรือความสามารถของนาง”

แม่นมอวี๋นิ่งงัน คำตอบวกไปวนมาเช่นนี้…ตกลงความพิเศษที่นายท่านรองต้องการมันมีหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่

แม่นมอวี๋รู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง คำว่า ‘พิเศษ’ นี้หมายความว่าอย่างไรกัน

เมื่อเห็นท่าทางไม่เข้าใจของแม่นมอวี๋แล้วหลงเอ้อร์ก็ต้องอมยิ้ม ยิ่งเน้นน้ำเสียงให้หนักขึ้น “ข้าหลงเอ้อร์ จะแต่งงานกับหญิงสาวที่พิเศษมากๆ เท่านั้น”

แท้จริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าความพิเศษที่ตนพูดถึงเป็นอย่างไร แค่สามารถใช้จัดการกับแม่นมอวี๋ได้ก็เพียงพอแล้ว

แม่นมอวี๋คิดไม่ออกจริงๆ ว่าหญิงสาวบ้านใดจึงจะมี ‘ความพิเศษ’ เช่นนี้ นางคิดจะไปสอบถามจากแม่สื่อที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงเพื่อให้สามารถรายงานต่อท่านพ่อท่านแม่ที่ล่วงลับไปแล้วของนายท่านรอง นางจะต้องหาหญิงสาวที่นายท่านรองพึงพอใจมาให้จงได้

หลงเอ้อร์ผ่านประตูนรกไปได้อีกครั้ง ในใจก็รู้สึกยินดียิ่งนัก แต่เขาอารมณ์ดีอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งวันก็มีเหตุเกิดขึ้นเสียแล้ว

ใกล้จะพ้นยามไฮ่* หลงเอ้อร์กำลังจะออกจากห้องหนังสือกลับไปพักผ่อนที่ห้อง คนใต้บัญชาคนหนึ่งก็รีบมารายงานว่าหลงจู๊หลี่ว์แห่งร้านน้ำชาเซิ่งหลงของคฤหาสน์สกุลหลงถูกจับตัวไว้ที่โรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลบนถนนซีโย่วเพราะโดนข้อหาสังหารจูฟู่เถ้าแก่ร้านน้ำชาเสียงฟู่ เขาถูกจับตัวได้ ณ จุดเกิดเหตุ ตอนนี้ถูกคุมตัวไปจวนว่าการแล้ว เรื่องชีวิตคนเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งยังมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ ดังนั้นท่านเจ้าเมืองจึงเปิดโถงว่าการพิจารณาคดีในทันที

พอหลงเอ้อร์ได้ฟังก็รีบสั่งให้คนไปเตรียมม้าทันที

หลายปีมานี้เขาคิดอยากขยายกิจการค้าใบชา ถึงแม้ร้านน้ำชาเสียงฟู่ของจูฟู่นั้นจะเล็กและขาดทุนอยู่บ้าง แต่พื้นฐานทำเลที่ตั้งดีมาก หลงเอ้อร์จึงหมายตาเอาไว้ อยากซื้อกิจการมาเป็นของสกุลหลง และมอบเรื่องนี้ให้หลงจู๊หลี่ว์ไปจัดการ หลายวันมานี้ข่าวที่หลงจู๊หลี่ว์กลับมารายงานคือจูฟู่ยังคงลังเลใจอยู่ แต่ตัวหลงจู๊หลี่ว์มั่นใจว่าอีกไม่กี่วันเรื่องนี้จะต้องสำเร็จ คาดไม่ถึงว่าข่าวที่หลงเอ้อร์ได้รับในวันนี้จะกลายเป็นข่าวหลงจู๊หลี่ว์สังหารจูฟู่ตาย

หลงเอ้อร์สั่งการ หนึ่งคือให้ส่งคนไปสืบข่าวที่จวนว่าการ ดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร สองคือส่งคนไปบอกข่าวให้ทางบ้านของหลงจู๊หลี่ว์รู้และดูแลคนในบ้านสกุลหลี่ว์ให้ดี สามคือส่งคนไปตรวจสอบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและคนที่เกี่ยวข้องกับจูฟู่

สั่งการเสร็จแล้ว หลงเอ้อร์ก็รีบควบม้านำคนล่วงหน้าไปตรวจดูที่โรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล

จะบอกว่าหลงจู๊หลี่ว์สังหารคน เขาไม่เชื่อ

หลงเอ้อร์มองคนออก หลงจู๊หลี่ว์เขียนบทความได้ดี สามารถแยกแยะชาได้แม้ท่าทางจะไม่เหมือนคนทำการค้า แต่หลงเอ้อร์ให้ความสำคัญกับนิสัยของเขาจึงให้เขาดูแลกิจการโรงน้ำชาเซิ่งหลงของสกุลหลง

หลงจู๊หลี่ว์ติดตามหลงเอ้อร์มาหลายปี เขาจิตใจดีมีเมตตาเป็นที่สุด กินอาหารเจ นับถือศาสนา ใจกว้างกับผู้คน การชิมชาต้องถือความมีเสน่ห์ การซื้อขายต้องใช้ความน่าเชื่อถือ หลงจู๊หลี่ว์ล้วนมีทั้งสองอย่าง ประกอบกับมีหลงเอ้อร์ที่มากด้วยไหวพริบคอยเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลังจนเป็นที่เล่าลือกันในหมู่ชาวเมืองว่าเหล่าเศรษฐีทรงอำนาจทั้งหลายกล่าวว่าแม้โรงน้ำชาของสกุลหลงจะไม่ได้มีชาดีแต่เพียงผู้เดียว แต่หากไปซื้อชากับหลงจู๊หลี่ว์ไม่เพียงไม่มีของคุณภาพต่ำปลอมปน ซ้ำยังซื้อแล้วดูดีมีระดับ สามารถเชิดหน้าชูตาได้อีกด้วย

ดังนั้นกิจการโรงน้ำชาของหลงจู๊หลี่ว์จึงโด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่ว แต่เขากลับไม่เคยหยิ่งทะนงตนเลย ยังคงขยันและตั้งใจทำงานในหน้าที่ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หลงเอ้อร์ชื่นชมมาโดยตลอด

ตอนนี้มีคนมาบอกว่าหลงจู๊หลี่ว์สังหารคน ความคิดแรกของหลงเอ้อร์ก็คือเรื่องนี้มีพิรุธน่าสงสัย

หลงเอ้อร์รีบรุดไปถึงโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล ตอนนี้หน้าประตูโรงเตี๊ยมมีคนจำนวนหนึ่งมามุงกันอยู่ คิดว่าเพราะมีคดีฆ่าคนตายเกิดขึ้นจึงทำให้ผู้คนตกใจและมารวมตัวพูดคุยกันที่นี่

หลงเอ้อร์ส่งสายตาให้คนใต้บัญชาไปสืบความทันที ส่วนตัวเองก็สะกิดม้าให้เดินไปข้างหน้า ตรวจดูทางซ้ายขวาอย่างละเอียดตั้งแต่หัวถนนจรดท้ายถนน และวนดูรอบโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลครั้งหนึ่ง ตอนนี้รอบข้างมีใครบ้าง สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เขาแอบจดจำไว้ในใจแล้ว

แม้ว่าในโรงเตี๊ยมจะเป็นจุดเกิดเหตุ แต่ข้างในมีคนจำนวนมาก และต่างก็ไม่ระวังว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ แต่รอบนอกเป็นจุดที่ถูกมองข้ามมากที่สุด ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงสำรวจไปรอบๆ อย่างละเอียด แล้วจึงเข้าไปในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล

ตอนนี้บนถนนซีโย่วและในโรงเตี๊ยมมีทหารของทางการถือโคมไฟคอยเฝ้าอยู่เต็มไปหมด ห้องพักบนชั้นสองของอาคารด้านหลังที่เป็นจุดเกิดเหตุมีทหารหลายนายยืนเฝ้าอย่างแน่นหนา และมีมือปราบที่กำลังค้นหาหลักฐานอยู่ภายในห้อง

หลงเอ้อร์มองดูอย่างละเอียด จากนั้นก็รอจนผู้ใต้บัญชาที่สั่งให้ผู้ใต้บัญชาของตนไปสืบข่าวกลับมารายงาน บอกว่าก่อนหน้านี้ท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิงได้มาตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง ตอนนี้ศพและผู้ต้องสงสัยรวมถึงคนที่เกี่ยวข้องถูกพากลับไปที่จวนว่าการแล้ว

หลงเอ้อร์พยักหน้า เอ่ยกำชับอีกสองสามประโยคจึงสั่งให้อยู่สืบความต่อ ส่วนเขาออกจากโรงเตี๊ยมขึ้นม้าแล้วควบไปยังจวนว่าการทันที

แม้ว่าตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่โคมไฟภายในจวนว่าการยังคงสว่างไสว

หลี่เคอที่มาถึงก่อนได้สืบเรื่องราวไว้ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหลงเอ้อร์มาถึง เขาก็รีบเข้าไปกระซิบรายงานอย่างรวดเร็ว “เถ้าแก่จูประสบเคราะห์ที่ห้องเทียนจื้อหมายเลขหกบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล ตรงนั้นยังมีหญิงสาวอีกคนที่ได้รับบาดเจ็บหมดสติอยู่ ตอนที่มีคนไปพบตัวหลงจู๊หลี่ว์ ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเลือด ถือมีดอยู่ในมือ และกำลังตรวจสอบลมหายใจหญิงสาวผู้นั้นอยู่ขอรับ”

หลงเอ้อร์พยักหน้าไม่พูดอะไร เพียงโบกมือให้แก่ทหารองครักษ์

ทหารองครักษ์รู้ว่าคนผู้นี้คือหลงเอ้อร์ผู้โด่งดัง ดังนั้นจึงมีคนเข้าไปรายงานตั้งแต่แรกแล้ว รอไม่นานก็มีคนออกมาเดินนำหลงเอ้อร์เข้าไปในโถงว่าการ

ในโถงว่าการมีทหารยืนเรียงเป็นสองแถวอย่างเป็นระเบียบ ท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิงเป็นขุนนางที่ซื่อตรง ตอนนี้เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกายดูน่าเกรงขามไม่น้อย

เห็นหลงเอ้อร์เดินเข้าไป ชิวรั่วหมิงจึงสั่งให้คนยกเก้าอี้มาให้เขานั่ง ทั้งสองคนพูดทักทายกันสองสามประโยคแล้วจึงเข้าประเด็นหลัก ชิวรั่วหมิงย่อมรู้ถึงจุดประสงค์การมาในครั้งนี้ของหลงเอ้อร์ อีกทั้งเคยได้ยินกิตติศัพท์ความตระหนี่และคอยปกป้องคนของตนของหลงเอ้อร์ แต่หลี่ว์ซือเสียนถูกจับกุม ณ จุดเกิดเหตุ มีพยานบุคคลและอาวุธของกลางพร้อมสรรพ ชีวิตคนเป็นเรื่องใหญ่ เขาจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ตรวจสอบอย่างเข้มงวด และจัดการเรื่องอย่างเคร่งครัด

หลงเอ้อร์ย่อมเห็นพ้องด้วย “ใต้เท้ามีความเที่ยงตรงยุติธรรม หากตรวจสอบอย่างละเอียด จะต้องมีวิธีหาคนร้ายตัวจริงออกมาได้อย่างแน่นอน แม้หลี่ว์ซือเสียนจะเป็นหลงจู๊โรงน้ำชาของสกุลข้า แต่ถ้าเขาทำเรื่องเช่นนี้จริง ข้าก็จะไม่ปกป้องเด็ดขาด แต่หากเรื่องนี้มีข้อสงสัย ข้าก็จะช่วยเหลือใต้เท้าเพื่อหาคนร้ายตัวจริงอย่างเต็มที่”

คำพูดนี้ทำให้ชิวรั่วหมิงเม้มริมฝีปากแน่น

แท้จริงมือปราบตรวจสอบแล้วว่าระยะนี้หลี่ว์ซือเสียนกับผู้ตายจูฟู่ติดต่อกันบ่อยครั้งเพราะคฤหาสน์สกุลหลงต้องการจะซื้อกิจการของจูฟู่ผู้นี้ แต่จูฟู่ไม่ยอมตอบตกลงเสียที หากวิเคราะห์จากแรงจูงใจเช่นนี้ก็มีน้ำหนักเพียงพอ โดยหลักแล้วคดีนี้พิจารณาได้ง่ายและตัดสินได้ง่าย แต่ตอนนี้ท่านหลงเอ้อร์นั่งอยู่ด้านข้าง ชิวรั่วหมิงรู้ว่าต้องพิจารณาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งให้เขายอมรับทั้งกายและใจจึงจะสามารถจบเรื่องนี้ได้

ในตอนนี้เองมีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามากระซิบข้างหูชิวรั่วหมิง หลงเอ้อร์ฉวยโอกาสสำรวจคนภายในโถงว่าการ

หลี่ว์ซือเสียนคุกเข่าอยู่กลางโถง ร่างกายย้อมไปด้วยเลือด สีหน้าซีดขาว แต่สายตาที่มองหลงเอ้อร์ไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด “ท่านหลงเอ้อร์ ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าเถ้าแก่จู ข้าน้อยไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายนั้นจริงๆ นะขอรับ”

หลงเอ้อร์พยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นการแสดงว่าตัวเขาจะไม่นิ่งดูดาย “สงบสติไว้ก่อน ใต้เท้าชิวเป็นคนมีความยุติธรรมและปราดเปรื่อง ในเมื่อเจ้าบริสุทธิ์ ใต้เท้าจะต้องสืบจนรู้ถึงความจริง คืนความเป็นธรรมให้แก่เจ้าแน่นอน”

หมวกใบใหญ่ที่ครอบลงมา* ทำให้ชิวรั่วหมิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เม้มปาก เขาหันไปสั่งการทหารประจำจวนว่าการหลายประโยค ทหารนายนั้นรับคำสั่งแล้วถอยออกไป

หลงเอ้อร์มองไปยังด้านหลังของหลี่ว์ซือเสียน ตรงนั้นมีชายหนุ่มสี่คนยืนอยู่ หลี่เคอกระซิบข้างหูของหลงเอ้อร์ว่า “ชายอ้วนชุดสีฟ้ากับชายแก่ชุดสีเขียวนั้นเป็นคนช่วยงานของเถ้าแก่จู คนหนึ่งชื่ออาฝู อีกคนหนึ่งชื่อเจียงอิง ชายร่างผอมสูงคนนั้นเป็นแขกที่มาพักในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลชื่อเหลียงผิง ส่วนชายในชุดเด็กช่วยงานด้านหลังก็คือซานจื่อเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยม พวกเขาเป็นสองคนแรกที่พบหลงจู๊หลี่ว์”

ทันใดนั้นทหารสองนายกับผู้พลิกศพคนหนึ่งก็ยกศพเข้ามา เมื่อนำผ้าคลุมออกก็เห็นว่าเป็นจูฟู่

ผู้พลิกศพรายงานผล “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยได้ตรวจสอบสาเหตุการตายของเถ้าแก่จูแล้ว เขาตายเพราะถูกมีดปลายแหลมแทงเข้าที่ด้านหลังสองแผลขอรับ”

ผู้พลิกศพกำลังพูดอยู่ ทหารก็นำตัวหญิงคนหนึ่งเข้ามา พอนางมาถึงก็โผไปหาร่างของจูฟู่ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง “ท่านพี่…ท่านพี่ ท่านตายอย่างน่าอนาถนัก”

ชิวรั่วหมิงใช้ค้อนไม้เคาะโต๊ะ เอ่ยถามเสียงดัง “เจ้าคือจูเฉินซื่อ** ใช่หรือไม่”

ภรรยาของจูฟู่ตอบรับทั้งน้ำตา ชิวรั่วหมิงจึงพูดต่อ “เจ้าไปยืนรอด้านข้างก่อน ข้าจะสืบหาความจริงให้กระจ่าง คืนความยุติธรรมให้แก่สามีของเจ้า”

จูเฉินซื่อร้องไห้ไม่หยุด นางยกมือขึ้นปาดน้ำตา โขกหัวสามที แล้วปล่อยให้ทหารประคองไปยืนด้านข้าง

ทหารนายหนึ่งส่งมีดให้ชิวรั่วหมิง “ใต้เท้า สิ่งนี้พบในจุดเกิดเหตุ ตอนนั้นมีดเล่มนี้อยู่ในมือของหลี่ว์ซือเสียน ผู้พลิกศพตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่าเป็นอาวุธที่ใช้ฆ่าผู้ตายขอรับ”

ชิวรั่วหมิงหยิบมีดขึ้นมา พยักหน้าเป็นสัญญาณว่ารับรู้ แท้จริงก่อนที่จะเปิดว่าความเขาก็ได้ตรวจสอบศพและมีดอย่างละเอียดแล้ว จึงเริ่มซักถาม “หลี่ว์ซือเสียน เจ้ายอมรับผิดหรือไม่”

หลี่ว์ซือเสียนโขกหัว “ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าคน ข้าน้อยถูกใส่ความ วันนี้ตอนกลางวันข้าน้อยนัดพบกับเถ้าแก่จูที่โรงสุราต๋าเซิงบนถนนซีโย่ว แต่เมื่อผ่านยามเว่ย*** ไปสักครู่ พวกเราก็แยกย้ายกันกลับเรือน ตกกลางคืน ข้าน้อยกำลังจุดธูปสวดมนต์อยู่ก็มีคนช่วยงานของเถ้าแก่จูมาตามหาเถ้าแก่จู บอกว่าหลังจากนายของพวกเขาออกมาพบข้าน้อยแล้วก็ไม่ได้กลับไปที่เรือน ข้าน้อยจึงบอกช่วงเวลาที่ข้าน้อยพบกับเถ้าแก่จูให้เขารู้ และรับปากว่าจะให้คนออกไปช่วยตามหา”

เขาพูดถึงตรงนี้ก็หันหน้าไปมองอาฝูกับเจียงอิง สองคนนั้นพยักหน้าพูดว่าเรื่องเป็นจริงดังที่กล่าว

หลี่ว์ซือเสียนจึงกล่าวต่อ “ข้าน้อยไปตามหาหลายที่ที่เถ้าแก่จูมักจะไปแต่ก็ไม่พบ ดังนั้นจึงไปที่โรงสุราต๋าเซิงที่พวกเราไปดื่มเหล้าด้วยกันในวันนี้ เสี่ยวเอ้อร์ที่นั่นบอกว่าตอนพลบค่ำยังเห็นเถ้าแก่จูอยู่ เขายังทักทายและถามเถ้าแก่จูว่าจะเข้ามาดื่มเหล้าในร้านสักถ้วยหรือไม่ แต่ดูเหมือนเถ้าแก่จูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนักจึงไม่สนใจเขาและก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นเห็นเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลดึงตัวเถ้าแก่จูเอาไว้ จากนั้นเถ้าแก่จูก็หยุดเดินแล้วเข้าไปในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล เสี่ยวเอ้อร์ของโรงสุราต๋าเซิงเห็นว่าถูกแย่งลูกค้าไป เขารู้สึกไม่สบอารมณ์มาก ดังนั้นจึงจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ ข้าน้อยได้ฟังจึงไปที่โรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล เข้าไปถามเสี่ยวเอ้อร์ที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ เขาอ้าปากหาวแล้วตอบว่าเถ้าแก่จูพักอยู่ในห้องเทียนจื้อหมายเลขหกบนชั้นสอง แต่เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ลุกขึ้น ข้าน้อยจึงไปที่ห้องพักของเถ้าแก่จูด้วยตัวเอง”

ชิวรั่วหมิงเอ่ยถาม “เป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ด้านหลังคนนี้ใช่หรือไม่”

หลี่ว์ซือเสียนหมุนตัวไปมองแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่ขอรับ เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นอายุมากกว่านี้สักหน่อย”

ซานจื่อรีบเอ่ยปาก “คืนนี้เป็นเวรของข้าน้อยกับต้าหู่ คนที่เขาพูดถึงคงจะเป็นต้าหู่ขอรับ ก่อนหน้านั้น แขกท่านนี้มาหาข้าน้อย” เขาชี้ไปยังเหลียงผิงที่อยู่ข้างกาย “บอกว่าหิว อยากจะกินอะไรสักหน่อย และบอกว่าโคมไฟตรงทางเดินชั้นสองดับ ข้าน้อยยื่นหน้าไปดูก็พบว่าเป็นความจริงดังนั้นจึงพาเขาไปเอาหมั่นโถวและกับแกล้มที่ห้องครัวก่อน จากนั้นก็ไปที่ห้องเก็บของค้นโคมไฟมาจุด พอพวกเรากลับไปที่ชั้นสองก็เห็นประตูห้องเทียนจื้อหมายเลขหกเปิดอยู่ มีคนสองคนนอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือด ส่วนหลงจู๊หลี่ว์ถือมีดอยู่ในมือ กำลังตรวจสอบลมหายใจของหญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้น”

หลี่ว์ซือเสียนโขกหัว “ใต้เท้าโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย ข้าน้อยเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เห็นประตูห้องเทียนจื้อหมายเลขหกเปิดอยู่และมีเถ้าแก่จูกับแม่นางจวีนอนอยู่บนพื้น ใต้ร่างพวกเขาเต็มไปด้วยเลือด ข้าน้อยตกใจจึงรีบเข้าไปตรวจสอบลมหายใจ พบว่าเถ้าแก่จูหมดลมไปแล้ว ส่วนแม่นางจวีมีมีดอยู่ในมือ ข้าน้อยจึงหยิบขึ้นมาดู แล้วตรวจสอบลมหายใจของนางพบว่านางยังมีลมหายใจอยู่ ข้าน้อยกำลังจะร้องเรียกนาง คนทั้งสองก็มาถึง ข้าน้อยยังไม่ทันได้ทำอะไรพวกเขาก็ตะโกนขึ้นมาก่อน ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าข้าน้อยเป็นคนร้ายและนำตัวมาที่นี่ขอรับ”

หลงเอ้อร์ได้ยินคำว่า ‘แม่นางจวี’ ใจก็กระตุก…คงไม่ใช่แม่นางจวีที่เขารู้จักคนนั้นกระมัง

ชิวรั่วหมิงเอ่ยถาม “เจ้าจะบอกว่าเดิมทีมีดเล่มนั้นอยู่ในมือของแม่นางผู้นั้นหรือ”

“ขอรับ” หลี่ว์ซือเสียนตอบ “แต่ข้าน้อยรู้จักแม่นางจวี นางร่างกายอ่อนแอและไม่เป็นวรยุทธ์ อีกทั้งสองตายังมองไม่เห็น นางย่อมไม่สามารถฆ่าคนได้ และข้าน้อยไม่เคยได้ยินว่านางรู้จักกับเถ้าแก่จูนะขอรับ”

หลงเอ้อร์ได้ฟังถึงตรงนี้ก็มั่นใจว่าคนที่นอนหมดสติอยู่ในกองเลือดและถือมีดอยู่ในมือคนนั้นคือจวีมู่เอ๋อร์จริงๆ

จวีมู่เอ๋อร์ที่ชอบยั่วโมโหทำให้เขาโกรธเสมอคนนั้น

หลี่ว์ซือเสียนยังคงพูดต่อ “เพราะสองคนนี้ล้วนเป็นคนที่ข้าน้อยรู้จัก ประกอบกับเรื่องที่แม่นางจวีถือมีดในมือดูมีพิรุธ ข้าน้อยจึงหยิบมีดขึ้นมาดู แต่ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าคนและทำร้ายแม่นางจวีแน่นอนขอรับ”

ชิวรั่วหมิงจ้องหน้าหลี่ว์ซือเสียนอยู่สักครู่ แล้วหันไปถามทหาร “หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บหมดสติฟื้นหรือยัง หากไม่เป็นอะไรแล้วก็ให้เบิกตัวนางเข้ามา”

ทหารรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ชิวรั่วหมิงหันมาถามซานจื่อเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลอีกครั้ง “ตอนที่จูฟู่เข้าพักในโรงเตี๊ยม สถานการณ์เป็นอย่างไร มีแขกมาขอพบเขาหรือไม่”

ซานจื่อตอบว่า “ตอนที่เถ้าแก่จูเดินผ่านหน้าโรงเตี๊ยม ข้าน้อยกำลังเรียกแขกอยู่ ดูแล้วเถ้าแก่จูอารมณ์ไม่ดีมาก เมื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่ดื่มเหล้าเพียงอย่างเดียว พอเขาเริ่มเมาข้าน้อยก็ประคองเขาเข้าห้องพัก ปรนนิบัติให้เขานอน หลังจากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก และไม่มีคนมาขอพบเขาขอรับ”

ชิวรั่วหมิงได้ฟังก็พยักหน้า ถามอาฝูกับเจียงอิงคนช่วยงานของจูฟู่ว่าปกติผู้เป็นนายของพวกเขามีความแค้นกับผู้ใดหรือไม่ สองคนนั้นบอกว่าจูฟู่เป็นคนซื่อ ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด รักลึกซึ้งต่อภรรยาจูเฉินซื่อมาก ไม่เคยเห็นพวกเขาทะเลาะกัน ระยะนี้มีเพียงเรื่องจะขายหรือไม่ขายร้านน้ำชาที่ทำให้จูฟู่วุ่นวายใจ ส่วนเรื่องอื่นไม่เคยได้ยินเขาบ่นถึงมาก่อน

จูเฉินซื่อที่ยืนเช็ดน้ำตาอยู่ด้านข้างพูดทั้งน้ำตาว่าสามีของนางเป็นคนซื่อสัตย์เพียงใด ร้านน้ำชาเป็นเหมือนชีวิตของสกุลเขา เขาจึงไม่ยอมขาย ทำให้ทะเลาะกับหลี่ว์ซือเสียนและถูกหลี่ว์ซือเสียนลงมือสังหาร นางร้องไห้พลางคุกเข่าขอให้ชิวรั่วหมิงให้ความเป็นธรรมแก่สามีนาง

ขณะที่นางกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ทหารนายหนึ่งก็ประคองจวีมู่เอ๋อร์เข้ามา

เสื้อผ้าบนร่างของจวีมู่เอ๋อร์เปื้อนเลือดเต็มไปหมด บนหัวมีบาดแผล ผ้าที่ปิดแผลเอาไว้มีรอยเลือดซึมออกมา หลงเอ้อร์มองสำรวจนางอย่างละเอียด สีหน้าของนางซีดขาว ท่าทางเหมือนคนป่วยไข้และดูเหมือนจะผอมลงไปกว่าเดิม

หลงเอ้อร์เห็นนางเป็นเช่นนี้ กลับรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

ชิวรั่วหมิงเอ่ยถามเสียงดัง “เจ้าคือจวีมู่เอ๋อร์ใช่หรือไม่”

“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยคือจวีมู่เอ๋อร์” เสียงของนางบางเบา ฟังดูไร้เรี่ยวแรง หลงเอ้อร์ฟังแล้วก็คิดได้ว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินเสียงของนางมานานมากแล้ว ตอนที่นางแข็งแรงน้ำเสียงจะไพเราะกว่านี้มาก

“จวีมู่เอ๋อร์ ที่นี่คือโถงจวนว่าการ ข้ากำลังพิจารณาคดีเรื่องที่จูฟู่ถูกฆ่าตายในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล เจ้าลองเล่ามาสิว่าเหตุใดจึงไปอยู่ในที่เกิดเหตุได้”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องที่ร้านพิณขอให้นางมาช่วยงาน ตอนทำงานเสร็จก็ดึกมากแล้ว ดังนั้นจึงจองโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักหนึ่งคืน

ชิวรั่วหมิงเรียกทหารนายหนึ่งให้ไปเชิญคนของร้านพิณเซียนอินมาสอบถามความ พิสูจน์ว่าที่จวีมู่เอ๋อร์เล่ามาเป็นความจริงหรือไม่

ทหารรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ชิวรั่วหมิงถามจวีมู่เอ๋อร์ว่ารู้จักจูฟู่หรือไม่ นางตอบว่าไม่รู้จัก เขายังถามอีกว่ารู้จักหลี่ว์ซือเสียนหรือไม่ คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าบอกว่ารู้จัก

ชิวรั่วหมิงนิ่งไปสักครู่แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “จวีมู่เอ๋อร์ หลี่ว์ซือเสียนเป็นคนแรกที่พบเจ้าหลังจากเกิดเหตุ เขาบอกว่าเจ้าถือมีดอยู่ในมือ นอนหมดสติอยู่ข้างกายจูฟู่ เจ้าลองพูดมาสิหากเจ้าไม่รู้จักจูฟู่ เหตุใดจึงเข้าไปในห้องของเขาและมีดที่เจ้าถืออยู่ในมือก็เป็นอาวุธที่ใช้สังหารจูฟู่ เรื่องนี้เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนอ้าปากค้าง “ข้าถือมีดไว้?”

“ถูกต้อง”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า ขมวดคิ้วกัดริมฝีปากพยายามคิดย้อนกลับไป เมื่อนางไม่พูดชิวรั่วหมิงก็โมโหจนใช้ค้อนไม้ทุบโต๊ะ ตะโกนว่า “จวีมู่เอ๋อร์ ตอบคำถามของข้ามา!”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว เมื่อมองดูใบหน้างงงวยปนตกใจของจวีมู่เอ๋อร์แล้วก็ไม่พอใจน้ำเสียงของชิวรั่วหมิงเป็นอย่างมาก แค่นางตอบเจ้าช้าเพียงเล็กน้อย เจ้าก็ต้องตะคอกด้วยหรือ ช่างไม่มีความอดทนแม้แต่น้อย ยังจะมีหน้ามาพิจารณาคดีอะไรอีก

จวีมู่เอ๋อร์ถูกชิวรั่วหมิงตะโกนใส่จนตกใจ นางอ้าปากกำลังจะพูด แต่ชิวรั่วหมิงชิงพูดขัดขึ้นเสียก่อน “คงเพราะเจ้าตาบอดจึงเข้าผิดห้อง เดินเข้าไปในห้องของจูฟู่ ส่วนจูฟู่ที่เมามายไม่สามารถแยกแยะคนที่เข้ามาได้ก็กระทำลวนลามเจ้าจนเจ้าตื่นตระหนกและต่อสู้กับเขา เจ้าใช้มีดแทงเขาจนได้รับบาดเจ็บ ส่วนเขาก็ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะทุบหัวเจ้าจนเจ้าหมดสติ”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างแรง เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงสักนิด

จวีมู่เอ๋อร์เพิ่งจะกล่าวคำว่า “ใต้เท้า คนร้ายเป็นคนอื่น…” ยังไม่ทันจบ จูเฉินซื่อที่เชื่อคำวิเคราะห์ของชิวรั่วหมิงก็กระโจนเข้าไปผลักจวีมู่เอ๋อร์จนล้มลงแล้วทุบตีนาง

“ต้องเป็นหญิงสารเลวคนนี้แน่นอน ที่แท้เจ้าเป็นคนฆ่าสามีของข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย เพียงพริบตานางก็ถูกตบตีไปหลายฝ่ามือ

หลงเอ้อร์โมโห เขาเพียงชี้นิ้ว หลี่เคอก็รีบพุ่งเข้าไปราวกับลูกธนู ดึงตัวจูเฉินซื่อออกมา หลงเอ้อร์ตะโกนเสียงดัง “เจ้ามาก่อความวุ่นวายอะไรกัน ไม่รู้จักดูสถานที่เสียบ้าง!”

ชิวรั่วหมิงมองหลงเอ้อร์อย่างไม่สบอารมณ์ คำพูดนี้เขาที่มีฐานะเป็นเจ้าเมืองสมควรเป็นผู้พูดมิใช่หรือ

หลงเอ้อร์สบตากลับอย่างไม่เกรงใจ รู้ดีว่าชิวรั่วหมิงมีใจอยากจะทดสอบว่าจวีมู่เอ๋อร์อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงจริงหรือไม่ แต่การทดสอบทำเพียงครู่เดียวก็พอแล้ว ชิวรั่วหมิงที่รออยู่นานไม่ยอมสั่งทหารให้ดึงตัวหญิงบ้าผู้นั้นออกมาเสียทีกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ รังแกหญิงตาบอดที่อ่อนแอเช่นนี้ เขาที่เป็นถึงขุนนางยังจะรู้สึกดีได้อยู่หรือ

ขณะนั้นทหารนายหนึ่งก็ประคองจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมา นางพูดว่า “ใต้เท้า คนร้ายเป็นคนอื่น เดิมทีข้าน้อยคิดจะไปหาเสี่ยวเอ้อร์ที่โถงด้านหน้าเพื่อขอน้ำอุ่นมาดื่ม แต่ระหว่างที่เดินผ่านห้องเทียนจื้อหมายเลขหกนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตูและเสียงผู้ชายร้องตกใจ เขาตะโกนได้เพียงคำว่า ‘ช่วย’ ก็ถูกคนปิดปากดึงตัวกลับเข้าห้องไป ตอนนั้นข้าน้อยหันหน้าไปตามทิศทางเสียง คนร้ายคงคิดว่าข้าน้อยเห็นอะไรเข้าจึงจับตัวข้าน้อยเข้าไปในห้อง ข้าน้อยร้องขอชีวิต บอกว่าตัวเองตาบอด ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร จากนั้นเขาก็ทำร้ายข้าน้อยจนหมดสติไป หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ”

ชิวรั่วหมิงพยักหน้า ขมวดคิ้วครุ่นคิด แท้จริงแล้วเขาไม่คิดว่าคนร้ายจะเป็นจวีมู่เอ๋อร์ หากว่าสองฝ่ายต่อสู้กัน ฝ่ายหนึ่งถูกแทงสองแผลแล้วพยายามจะโจมตีอีกฝ่ายกลับและสุดท้ายตัวเองต้องตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป ความเป็นไปได้เช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มี แต่จูฟู่มีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง การที่เขาจะถูกจวีมู่เอ๋อร์แทงติดต่อกันสองครั้ง แต่ละครั้งแทงลึกถึงกระดูก เรื่องนี้เป็นไปได้ยาก

“หลี่ว์ซือเสียน” ชิวรั่วหมิงเรียก

“ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ”

“เมื่อครู่เจ้าเห็นหรือไม่ว่าจวีมู่เอ๋อร์ไม่มีแรงพอที่จะฆ่าจูฟู่ได้”

“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้คิดว่าแม่นางจวีเป็นคนร้าย เมื่อครู่ข้าน้อยได้พูดแล้วว่าข้าน้อยรู้จักทั้งเถ้าแก่จูและแม่นางจวี เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้มีพิรุธจึงได้หยิบมีดนั้นขึ้นมาตรวจดู คาดไม่ถึงว่าจะมีคนมาพบและคิดว่าข้าน้อยเป็นคนร้ายขอรับ”

ชิวรั่วหมิงพูดลงเสียงหนัก “เช่นนั้นเมื่อครู่เจ้าได้ฟังชัดเจนหรือไม่ คนช่วยงานและคนในครอบครัวของจูฟู่ล้วนบอกว่าเจ้าอยากจะซื้อร้านน้ำชาของจูฟู่ให้ผู้เป็นนายของเจ้า แต่จูฟู่ไม่ยอมขายเสียที วันนี้เจ้านัดพบเขาเพื่อเจรจาเรื่องการซื้อขายนี้ใช่หรือไม่”

“ถูกต้องขอรับ”

“เจ้าเจรจากับเขาหลายครั้ง แต่ก็ยังตกลงเรื่องการซื้อขายไม่ได้ ในใจจึงเคียดแค้นจนไม่เป็นสุข ในคืนนี้เมื่อเจ้าได้พบจูฟู่จึงคิดขึ้นได้ว่าการเจรจาซื้อขายเมื่อตอนกลางวันไม่ราบรื่น ยามนั้นเขาเมาเหล้าจนไม่อาจควบคุมสติได้ จึงพูดจาไม่ถูกหูเจ้า เจ้าเกิดความโมโหจึงฆ่าเขาเสีย และบังเอิญเห็นจวีมู่เอ๋อร์เดินผ่านมา ดังนั้นเจ้าจึงลงมือทำร้ายนางจนหมดสติ คิดจะใส่ร้ายนาง หากนางถูกตัดสินว่ามีความผิด เจ้าก็จะรอดตัว หากข้าตรวจสอบชัดแจ้ง ได้ความว่าผู้ที่ฆ่าจูฟู่ไม่ใช่นาง นางก็พูดหักล้างอะไรไม่ได้ เจ้าวางแผนทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี เดิมคิดจะแกล้งทำทีเป็นคนแรกที่ไปพบจุดเกิดเหตุ แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีคนปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แผนการของเจ้าจึงล้มเหลว ถูกจับได้ในจุดเกิดเหตุ ใช่หรือไม่”

ชิวรั่วหมิงพูดพลางเหลือบตาแอบสังเกตดูสีหน้าของคนทั้งหลาย คนช่วยงานสองคนของจูฟู่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว จูเฉินซื่อเอามือปิดหน้าร้องไห้อยู่ไม่หยุด เหลียงผิงแขกที่มาพักและเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมมีสีหน้าเป็นปกติ ส่วนหลงเอ้อร์ที่นั่งอยู่ด้านข้างมองดูท่าทางของคนทั้งหลายด้วยสีหน้าเรียบเฉย

คำพูดของชิวรั่วหมิงทำให้หลี่ว์ซือเสียนตกใจจนโขกหัวไม่หยุด “ใต้เท้า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยนะขอรับ ตอนกลางวันเถ้าแก่จูตอบตกลงจะขายร้านน้ำชาให้แก่คฤหาสน์สกุลหลงแล้ว พวกเรากำหนดข้อตกลงในการซื้อขายเสร็จจึงแยกย้ายกันขอรับ”

ครั้นหลี่ว์ซือเสียนเอ่ยประโยคนี้ออกมาคนช่วยงานทั้งสองของจูฟู่และจูเฉินซื่อต่างตกใจจนหน้าถอดสี พูดพึมพำว่าเป็นไปไม่ได้

ชิวรั่วหมิงถามย้ำกับพวกเขาว่าจูฟู่ยินยอมขายร้านจริงหรือไม่ ทั้งสามคนล้วนส่ายหน้าบอกว่าจูฟู่ไม่ยินยอมขาย ชิวรั่วหมิงจึงหันไปถามหลงเอ้อร์ว่าวันนี้เขาได้ยินหลี่ว์ซือเสียนมารายงานเรื่องการเจรจาตกลงซื้อร้านสำเร็จหรือยัง หลงเอ้อร์ส่ายหน้า กล่าวว่าการซื้อขายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หลงจู๊หลี่ว์ที่ยังจัดการรายละเอียดทุกอย่างไม่เรียบร้อยไม่มีทางมารายงานก่อนแน่นอน ไม่เช่นนั้นหากถูกเขาซักถามก็จะกลายเป็นว่าหลงจู๊หลี่ว์ทำหน้าที่ได้ไม่ดี

หลี่ว์ซือเสียนรีบตอบรับ “มีเรื่องที่ยังกำหนดไม่ได้จริงๆ ขอรับ เถ้าแก่จูบอกว่าในร้านยังมีคนช่วยงานสองคนที่ติดตามเขามานาน หากเขาขายร้านจะต้องแจ้งให้เด็กช่วยงานทั้งสองคนรู้เสียก่อน ดูว่าพวกเขาสองคนยินดีจะทำงานให้สกุลหลงหรือจะตัดสินใจรับเงินแล้วไปหาทางทำมาหากินเอง เถ้าแก่จูบอกว่าจะแจ้งข่าวแก่ข้าน้อยในวันพรุ่งนี้ คาดไม่ถึงว่ากลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”

“เรื่องนี้มีผู้อื่นรู้อีกหรือไม่” ชิวรั่วหมิงถามต่อ

หลี่ว์ซือเสียนชะงักไป เขากำลังรอข่าวอยู่จึงไม่ได้บอกผู้ใด ส่วนทางฝ่ายเถ้าแก่จู ดูจากสถานการณ์ในโถงว่าการตอนนี้ คิดว่าคงจะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องเช่นกัน หลี่ว์ซือเสียนรู้ว่าการที่เขาไม่มีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง จึงมีสีหน้าเหมือนตายไปแล้วครึ่งชีวิต ทำได้เพียงโขกหัวพูดว่า “ใต้เท้าโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าคนจริงๆ”

ชิวรั่วหมิงครุ่นคิดอย่างหนัก แม้ว่าคดีนี้จะวิเคราะห์ไปในทิศทางเช่นนี้ได้ แต่ก็ยังคงมีจุดที่น่าสงสัยอยู่ เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง หากกล่าวถึงเหล่าผู้เกี่ยวข้องในโถงว่าการ นอกจากหลี่ว์ซือเสียนแล้ว ทุกคนล้วนดูเหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีเหตุจูงใจ ไม่มีอะไรน่าสงสัย และต่างก็มีพยานด้วยกันทั้งสิ้น

มีเพียงหลี่ว์ซือเสียนที่น่าสงสัยมากที่สุด!

แต่มีจุดใดหนอที่ผิดปกติไป

“ใต้เท้า” ในตอนนี้เอง หลงเอ้อร์ก็พูดขึ้น “ข้าขอพูดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น”

ชิวรั่วหมิงมองมาทางเขา หลงเอ้อร์จ้องกลับแล้วกล่าวต่อ “หากจะพูดถึงเหตุจูงใจ ปีหนึ่งเงินที่หลงจู๊หลี่ว์ช่วยข้าหาได้จากโรงน้ำชา สามารถซื้อร้านของจูฟู่ได้ถึงยี่สิบกว่าร้าน สำหรับข้าแล้วร้านน้ำชาเสียงฟู่เป็นเพียงการเพิ่มสีสันให้กิจการเท่านั้น ข้าไม่เคยตำหนิหลงจู๊หลี่ว์หรือบังคับให้เขาต้องทำการให้สำเร็จ และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหลงจู๊หลี่ว์ซึ่งเป็นคนคอยจัดการร้านน้ำชาหลายร้านที่สามารถทำกำไรได้มากที่สุดในเมืองหลวงจะเสียดายอยากได้ร้านน้ำชาเล็กๆ จนกระทั่งโมโหฆ่าคนตายทำไม ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้น่าประหลาดยิ่งนัก”

ชิวรั่วหมิงรู้ว่าสิ่งที่หลงเอ้อร์พูดมีเหตุผล ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก มือปราบคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก เข้าไปกระซิบข้างหูชิวรั่วหมิงอย่างรวดเร็วว่าทหารจวนว่าการได้ออกไปตรวจสอบแล้ว เรื่องราวที่พวกเขาทั้งหมดพูดเป็นความจริง ทั้งร้านพิณ โรงเตี๊ยม หอสุรา รวมถึงทางบ้านของทุกคนล้วนถูกสอบถาม มือปราบผู้นี้เป็นคนรวบรวมเรื่องราวทั้งหมดแล้วกลับมารายงานให้ชิวรั่วหมิงฟัง

สิ่งที่ทุกคนในโถงว่าการพูดล้วนเป็นความจริง

มีเพียงคำพูดของหลี่ว์ซือเสียนเท่านั้นที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

ไม่มีคนที่สามารถยืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่คนร้าย!

ในตอนนี้เองจวีมู่เอ๋อร์ก็พูดขึ้นทันใด “ใต้เท้า ข้าน้อยขอพูดอะไรกับหลงจู๊หลี่ว์สักสองสามคำได้หรือไม่”

ชิวรั่วหมิงไม่เข้าใจว่านางมีจุดประสงค์ใด แต่ยังคงตอบตกลง จวีมู่เอ๋อร์ยื่นแขนออกไป คลำทางไปยังทิศที่หลี่ว์ซือเสียนอยู่ ทหารประจำการรีบเข้าไปประคองและนำทางให้นาง

จวีมู่เอ๋อร์เดินเข้าไป ปากก็ร้องเรียก “หลงจู๊หลี่ว์”

หลี่ว์ซือเสียนรีบลุกขึ้น ยื่นมือไปประคองนาง “แม่นางจวี”

จวีมู่เอ๋อร์จับแขนของเขาเอาไว้จนยืนได้มั่น

ทุกคนต่างจับจ้องไปที่พวกเขาทั้งสองคน ไม่รู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์คิดจะทำสิ่งใด จู่ๆ นางกลับพูดขึ้นว่า “ข้าเพียงอยากขอบคุณหลงจู๊หลี่ว์ หากท่านไม่ได้มาพบเข้าทันเวลา บางทีข้าอาจจะบาดเจ็บหนักจนถึงขั้นเสียชีวิต ข้าเชื่อว่าหลงจู๊หลี่ว์ไม่ใช่คนร้ายแน่นอน ใต้เท้าจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด หลงจู๊หลี่ว์วางใจเถอะ”

หลี่ว์ซือเสียนหน้าเศร้า คดีใหญ่ถึงชีวิตเช่นนี้ทั้งสถานการณ์ยังไม่เป็นประโยชน์ต่อเขา เขาจะวางใจได้อย่างไร อีกทั้งคนช่วยงานและภรรยาของจูฟู่ที่อยู่ด้านหลังต่างตะโกนด่าทำให้เขายิ่งเศร้าใจ

ชิวรั่วหมิงเองก็มีสีหน้าไม่น่าดูนัก เหตุใดหญิงตาบอดผู้นี้จึงมีนิสัยเหมือนท่านหลงเอ้อร์ไม่มีผิด ไม่สนใจรายละเอียดใดก็มาครอบหมวกใบใหญ่ให้เขาเสียแล้ว เขาเป็นขุนนางที่ดี มีหรือที่ต้องให้พวกเขาเอ่ยชื่นชมเช่นนี้ก่อนจึงจะตั้งใจคลี่คลายคดี

แต่เท่าที่เห็นคดีนี้มีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากมาย จัดการได้ยากนัก เห็นทีคงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งจึงจะสามารถตัดสินได้

ในตอนนี้เองจวีมู่เอ๋อร์ก็พูดขึ้นว่า “ใต้เท้า หัวของข้าน้อยได้รับบาดเจ็บ เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงจำบางอย่างได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ข้าน้อยรู้สึกว่ามีเบาะแสที่สำคัญมาก หวังว่าใต้เท้าจะไม่ด่วนตัดสินคดี รอให้ข้าน้อยคิดออกแล้วค่อยมารายงานต่อใต้เท้า”

ชิวรั่วหมิงขมวดคิ้ว หญิงตาบอดคนหนึ่งจะ ‘เห็น’ เบาะแสสำคัญได้อย่างไร เขาไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่นาง แต่หากตอนนี้พิจารณาคดีต่อไปก็คงจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ อีก ดังนั้นเขาจึงสั่งการหลายคำ เริ่มจากนำตัวหลี่ว์ซือเสียนไปคุมขังไว้ก่อน ส่วนคนอื่นให้แยกย้ายกลับบ้านไป รอให้จวนว่าการได้ตรวจสอบและวิเคราะห์คดีอีกครั้ง

ตอนนี้หลงเอ้อร์ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า เขาจึงบอกหลี่ว์ซือเสียนว่าจะจัดการเรื่องทางบ้านให้ อย่าเพิ่งร้อนรนใจ เขาต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหลี่ว์ซือเสียนให้ได้

หลี่ว์ซือเสียนถูกคุมตัวออกไป หลงเอ้อร์ให้หลี่เคอหาคนไปจัดการเรื่องในคุก อย่าปล่อยให้หลงจู๊หลี่ว์ได้รับความลำบาก หลี่เคอรับคำสั่งแล้วจากไป

หลงเอ้อร์กล่าววาจากับชิวรั่วหมิงหลายคำ สอบถามจนรู้ว่าชิวรั่วหมิงก็คิดว่าเรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยเช่นกัน แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจึงไม่สามารถนำมาพูดได้ ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงขอตัวลากลับ

เมื่อเขาออกจากจวนว่าการก็เห็นชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังรับตัวจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้า ชายผู้นั้นพูดว่า “เฮ้อ…เหตุใดจึงโชคร้ายเช่นนี้ เพราะเจ้ามาทำงานให้ร้านพิณของข้าจึงต้องเข้าไปพักในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ยังดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก หากเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาข้าจะบอกกับพ่อของเจ้าว่าอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าตอบกลับด้วยเสียงเบาหวิวหลายคำ จากนั้นก็ขึ้นรถม้าของพวกเขาแล้วจากไป

หลงเอ้อร์หมุนตัวกลับไปเรียกองครักษ์ข้างกายคนหนึ่งให้ตามรถม้าคันนั้นไป ดูว่าสองคนนั้นรับจวีมู่เอ๋อร์ไปที่ใด หากมีเรื่องอะไรให้รีบกลับมารายงานเขา องครักษ์รับคำแล้วขี่ม้าติดตามไป

หลงเอ้อร์สั่งงานเสร็จ กว่าจะกลับถึงคฤหาสน์ก็เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว เขายังไม่อยากนอนจึงไปที่หอหนังสือแล้วนั่งใช้ความคิดตามลำพัง พิจารณาถึงทุกอย่างในคดี ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องช่วยหลงจู๊หลี่ว์ออกมาให้ได้

หลงเอ้อร์นั่งคิดอยู่จนฟ้าสาง ระหว่างนั้นหลี่เคอก็เข้ามารายงานเรื่องการจัดการที่อยู่ของหลงจู๊หลี่ว์ในคุกและเรื่องจวีมู่เอ๋อร์ถูกเฉินอิ่นเถ้าแก่ร้านพิณส่งตัวกลับไปพักที่บ้านของเขาแล้ว รวมถึงเรื่องให้สายสืบของคฤหาสน์สกุลหลงทั้งหลายคอยสืบคดีของหลงจู๊หลี่ว์ก็จัดการเสร็จหมดแล้ว

หลงเอ้อร์พยักหน้า เขาหวังว่าสายสืบเหล่านี้จะใช้การได้ ต้องมีเบาะแสอะไรที่พวกเขาสามารถขุดค้นออกมาได้อย่างแน่นอน

พอท้องฟ้าเริ่มสว่าง บ่าวคนหนึ่งก็รีบร้อนมารายงานว่าแม่นางจวีมู่เอ๋อร์มาขอพบอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์

หลงเอ้อร์ตกใจ ยายเด็กนั่นมีแผลที่หัวแต่ไม่ยอมพักผ่อน จะวิ่งวุ่นมาทำไม เขาขมวดคิ้วตอบรับให้บ่าวนำนางไปที่โถงด้านหน้า

เมื่อหลงเอ้อร์ไปถึงก็พบว่ามีผู้เฒ่าจวีนั่งอยู่ข้างกายจวีมู่เอ๋อร์ด้วย ทั้งสองฝ่ายทักทายกันพอเป็นพิธี จากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็พูดขึ้นว่า “พิณดีที่ท่านหลงเอ้อร์บอกข้าในครั้งก่อน จู่ๆ ข้าก็อยากดูขึ้นมา ฉวยโอกาสตอนได้เดินผ่านพอดี จึงมาขอรบกวนท่านสักนิด”

หลงเอ้อร์นิ่งงันไป เขาบอกนางเมื่อไรว่ามีพิณดี แต่เมื่อเหลือบไปเห็นผู้เฒ่าจวีมีสีหน้าขุ่นเคือง เขาก็เข้าใจทันที นางคงมีเรื่องที่อยากคุยเป็นการส่วนตัว ไม่อยากให้พ่อของนางรู้อย่างแน่นอน

หลงเอ้อร์เกิดความยินดีเหมือนได้กำความลับของนางอยู่ในมือตน เขาอมยิ้ม “พิณนั้นวางอยู่ในหอหนังสือ หากแม่นางจวีอยากดู คงต้องขอให้เดินไป”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเขาพูดคล้อยตามก็รู้สึกโล่งอก รีบเอ่ยปาก “พ่อรอข้าอยู่ที่นี่สักครู่ ข้าขอไปลูบพิณนั้นสักนิดแล้วจะรีบกลับมาทันที”

ผู้เฒ่าจวีเห็นว่าตนอยู่ในสถานที่ของผู้อื่นไม่อาจพูดอะไรมากได้จึงเพียงบ่นพึมพำ ดูท่าทางคงไม่พอใจนัก บุตรสาวของเขาได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ยอมไปหาหมอรักษาตัว กลับวิ่งมาขอดูพิณอะไรนั่น เขาไม่ควรรับปากตอบตกลงกับนางเลย

หลงเอ้อร์สั่งให้บ่าวต้อนรับเตรียมชาและอาหารเช้าให้ผู้เฒ่าจวีให้ดี จากนั้นเขาก็เดินนำจวีมู่เอ๋อร์ออกไปจากโถง

คฤหาสน์สกุลหลงใหญ่มาก มีทั้งระเบียงทางเดินยาวเหยียด สวนดอกไม้ล้วนปูพื้นด้วยหิน เดินเลี้ยวเจ็ดแปดโค้ง จวีมู่เอ๋อร์ที่เดินตามหลงเอ้อร์ก็เหนื่อยจนอ่อนแรง นางเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสะอาด ผ้าพันแผลบนหัวก็เปลี่ยนใหม่แล้ว มีเพียงท่าทางที่ดูอิดโรยมากกว่าเมื่อคืนเท่านั้น

หลงเอ้อร์รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุจึงหาห้องใกล้ๆ สักห้องเพื่อนั่งคุยกับนาง เขาเรียกบ่าวให้เตรียมชาร้อนและอาหารเช้า จากนั้นก็เริ่มการสนทนา

“เจ้าได้นอนพักหรือยัง เหตุใดจึงใช้หน้าตาคล้ายผีเช่นนี้วิ่งวุ่นไปทั่ว”

ตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะประฝีปากกับเขา นางอธิบายเพียงว่า “วันนี้พอประตูเมืองเปิดพ่อข้าก็มาหา เขารู้เรื่องเมื่อคืนแล้วจึงจะพาข้ากลับไปพักผ่อนรักษาตัวที่บ้าน หากข้าไม่หาเหตุผลมาขอพบท่านหลงเอ้อร์ตอนนี้ เกรงว่าช่วงสองสามวันข้างหน้าคงจะทำได้ยากแล้ว”

“เจ้าอยากจะพูดอะไรกับข้า”

บ่าวยกน้ำชามาเทให้คนทั้งสอง หลงเอ้อร์มองดูมือซีดขาวซึ่งน่าจะเกิดจากความเย็นของนาง เขาจึงเคาะโต๊ะที่ตำแหน่งของถ้วยชาเพื่อให้เกิดเสียง “น้ำชาอยู่ตรงนี้ เป็นชาร้อน”

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยขอบคุณ คลำจนเจอถ้วยชาก็กุมไว้ในมือ นิ่งเงียบไม่พูดจา หลงเอ้อร์จึงถามอีกครั้ง

“เจ้ามาพบข้าด้วยเรื่องอะไร”

จวีมู่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก บนใบหน้าปรากฏความอึดอัดและลำบากใจอยู่บ้าง หลงเอ้อร์เลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้ นางจะพูดอะไรกันแน่

“ท่านหลงเอ้อร์” จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยปากในที่สุด “ข้ามีวิธีพิสูจน์ว่าหลงจู๊หลี่ว์ไม่ใช่ฆาตกร และยังสามารถหาคนร้ายตัวจริงได้ด้วย”

“หืม?” หลงเอ้อร์รู้สึกสนใจมาก เขารอให้จวีมู่เอ๋อร์พูดต่อ

“แต่ว่า…ข้าอยากจะขอแลกเปลี่ยนข้อตกลงกับท่านข้อหนึ่ง”

นางมาไม้นี้อีกแล้วหรือ!

หัวใจหลงเอ้อร์เต้นแรง รู้สึกตื่นเต้นเหมือนได้เจอคู่ปรับและเรื่องสนุกอีกครั้ง เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ระงับสติอารมณ์แล้วเอ่ยถาม “เจ้ามีข้อตกลงอะไร”

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากอยู่นานไม่ยอมพูดสักที หลงเอ้อร์รอคอยอย่างอดทน ดื่มชาเข้าไปอีกหนึ่งอึก

“ข้าอยากให้ท่านหลงเอ้อร์แต่งงานกับข้า”

พรวด…หลงเอ้อร์รีบเบนหน้าหนี น้ำชาพุ่งกระเซ็นเต็มพื้น

ให้ตายเถอะ เมื่อครู่มีคนขอเขาแต่งงานใช่หรือไม่!

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com