ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด – หน้า 5 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

บทที่ห้า

หลงเอ้อร์ยอมรับว่าเคยพบเจอหญิงสาวมาไม่น้อย ทั้งรูปร่างหน้าตาหลากหลายแบบ นิสัยหลากหลายประเภท ภูมิหลังหลากหลายอย่าง และมีอายุแตกต่างกันไป ในกลุ่มหญิงสาวเหล่านั้นมีคนที่เคยเปิดเผยความในใจต่อเขาจำนวนไม่น้อย มีทั้งมอบของขวัญ มอบโคลงกลอน ใช้สายตาสื่อภาษา ใช้ร่างกายแสดงออก มีทั้งแอบส่งความนัยด้วยตัวเอง บ้างก็ฝากคนมาบอกกล่าวและอีกหลากหลายวิธีการ

แต่ว่าไม่เคยมีใครที่กล้าหาญบ้าบิ่นมาพูดกับเขาตามตรงเช่นนี้ว่า ‘ข้าอยากให้ท่านหลงเอ้อร์แต่งงานกับข้า’

คนที่หลงเอ้อร์เห็นว่ากล้าหาญที่สุดก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่พูดอ้อมค้อมวกไปวนมาว่าเหตุใดเขาจึงไม่ยอมแต่งงานสักที หึ ช่างน่าเบื่อเสียจริง

แต่ตอนนี้มีหญิงสาวที่ไม่น่าเบื่อแล้ว เรื่องนี้ออกจะน่าตื่นตระหนกและเกินความคาดหมายของหลงเอ้อร์ ผู้หญิงเช่นใดจึงกล้ามาพูดกับชายหนุ่มที่เรียกไม่ได้ว่าสนิทกันแบบตามตรงว่า ‘ท่านแต่งงานกับข้าเถอะ

เอาเถอะ แท้จริงแล้ว หลงเอ้อร์คิดว่าความรู้สึกที่เขามีต่อจวีมู่เอ๋อร์ก็นับว่าสนิทสนมมากแล้ว

แต่ว่า…นางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ใบหน้าอิดโรยเหมือนผี บนหัวพันผ้าที่มีรอยเลือดซึมออกมา สวมชุดไม่พอดีตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นเสื้อผ้าที่หยิบยืมมาจากผู้อื่น ทั้งไม่ลงแป้งแต่งหน้า ไม่จัดแต่งทรงผม หอบเอาไม้เท้าเก่าๆ มาพูดกับเขาเช่นนี้หรือ

แย่จริงๆ เขาไม่สบอารมณ์จนไม่มีแม้แต่ใจจะคิดตำหนินาง

แต่งหน้าแต่งกายไม่เรียบร้อยแล้วมาพูดกับเขาเช่นนี้ช่างไม่ให้ความสำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย!

หลงเอ้อร์จ้องหญิงตาบอดที่เมื่อเอ่ยปากขอแต่งงานแล้วก็กัดริมฝีปากมีสีหน้าอึดอัด เขาแอบสบถในใจ เจ้าก็รู้จักไม่สบายใจด้วยหรือ ข้าหลงคิดไปว่าเจ้าจะใจกล้าหน้าด้านเหมือนชุดเกราะเหล็กโล่หินเสียอีก

เขามองนาง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกระแอมขึ้นสองทีแล้วถามว่า “เพราะเหตุใด”

“เอ๋?” จวีมู่เอ๋อร์ตะลึงไป

หลงเอ้อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์มาก นางขอเขาแต่งงานเสร็จก็โง่งมไปเลยหรือ เขาสบถเบาๆ หนึ่งที แล้วถามอีกครั้ง “เหตุใดข้าต้องแต่งงานกับเจ้าด้วย”

“เพราะว่า…” จวีมู่เอ๋อร์อึกอัก จากนั้นก็เหมือนจะตัดสินใจแน่วแน่ “ท่านบอกว่าปีหนึ่งหลงจู๊หลี่ว์หาเงินให้ท่านจนท่านสามารถซื้อร้านน้ำชาได้มากกว่ายี่สิบร้าน แต่สิบปีข้าคงใช้เงินไม่ถึงครึ่งของกำไรจากร้านน้ำชาหนึ่งร้าน ท่านหลงเอ้อร์เป็นคนคิดคำนวณได้อย่างละเอียด ดังนั้นคงจะคำนวณได้ว่าหากมีข้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ท่านย่อมไม่ขาดทุนแน่นอน”

เหตุผลนี้ช่าง…

ทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกชื่นชมอยู่บ้าง

เขาจะยอมตกอยู่ใต้ลม* ได้หรือ

“เจ้ามีสินเดิมเท่าใด”

คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์สงบนิ่ง ตอบกลับได้อย่างคล่องแคล่ว “หากข้าแต่งเข้ามา ในหนึ่งปีท่านหลงเอ้อร์สามารถหาเงินเพิ่มจนเพียงพอที่จะซื้อร้านน้ำชาได้ยี่สิบร้าน สิบปีก็ซื้อได้สองร้อยร้าน ยี่สิบปีก็สี่ร้อยร้าน ร้านน้ำชาหนึ่งร้านมีมูลค่าเท่าใด ท่านย่อมรู้ดีกว่าข้า ข้าเชื่อว่าสินเดิมเจ้าสาวนี้ไม่น้อยไปกว่าสกุลใหญ่อื่นๆ อย่างแน่นอน”

หลงเอ้อร์สะอึก นางใช้คำที่เขาเคยพูดไว้มาย้ำเตือนว่าหากขาดหลงจู๊หลี่ว์ไปสักคนเขาจะได้เงินน้อยลงไปเท่าไร

หึ เห็นเขาเป็นคนเห็นแก่เงินถึงเพียงนั้นเลยหรือ

เอาล่ะ เขายอมรับว่าเห็นแก่เงินอยู่มาก แต่เขาเป็นคนที่จะยอมแต่งงานกับใครก็ได้เพียงเพราะเงินอย่างนั้นหรือ

หากทำเพราะเงิน เขาคงได้แต่งงานไปนานแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีเจ้าเมืองหญิงที่ยอมมอบทรัพย์สินครึ่งเมืองเพื่อจะได้แต่งงานกับเขา ดังนั้นเขาคงไม่ต้องรอให้หญิงตาบอดตัวผอมบางมีเนื้อเพียงไม่กี่ชั่งคนนี้มาพูดถึงเรื่องเงินกระมัง

เพราะฉะนั้นหลงเอ้อร์จึงเปลี่ยนคำถาม “เจ้าอ่านสมุดบัญชี ดีดลูกคิด จัดการงานน้อยใหญ่ในคฤหาสน์ได้หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง นางตาบอดเขาก็รู้ แต่ยังจงใจพูดดูหมิ่นนางเช่นนี้หรือ

“ที่ท่านหลงเอ้อร์ไม่ยอมแต่งงานสักทีเพราะแท้จริงแล้วหมายตาหาคนดูแลบัญชีกับคนดูแลบ้านเช่นนั้นหรือ”

โอ้ ต่อปากต่อคำเสียด้วย

หลงเอ้อร์ไม่โมโหแต่กลับหัวเราะ เขาเอ่ยว่า “จู่ๆ เจ้าก็มาขอร้องให้ข้าแต่งงานกับเจ้า เช่นนั้นสมควรจะต้องคิดหาเหตุผลที่ดีหลายๆ ข้อมาเกลี้ยกล่อมข้ามิใช่หรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบกลับอย่างมั่นใจ “ท่านคิดผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาขอร้อง แต่ข้าเห็นว่าข้อตกลงของข้าจะสามารถทำให้ท่านได้กำไรอย่างงาม”

“เช่นนั้นแล้วข้าสมควรต้องเป็นฝ่ายร้องขออย่างนั้นหรือ” หลงเอ้อร์จ้องนางด้วยแววตาโมโห คำพูดของหญิงตาบอดผู้นี้ทำให้คนฟังรู้สึกโกรธได้จริงๆ

“ท่านหลงเอ้อร์ไม่จำเป็นต้องขอร้อง หากตอนนี้ท่านพูดว่าจะแต่งงานกับข้า ข้าย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน ทั้งไม่เพียงไม่ปฏิเสธ ยังจะช่วยท่านล้างมลทินให้แก่หลงจู๊หลี่ว์ด้วย”

คราวนี้หลงเอ้อร์ถึงกับนิ่งอึ้ง เขาเคยเจรจาในสนามการค้ามาหลายครั้ง คนที่จัดการได้ยากก็เคยพบเจอมา แต่กลับไม่เคยพบใครเหมือนนางที่ได้รับผลประโยชน์แล้วยังแกล้งทำทีเป็นเสียเปรียบ ปากแข็งรักษาหน้าตาซ้ำยังมีวิธีอุดปากคนฟังได้อีกด้วย

หลงเอ้อร์ไม่พอใจอย่างมาก “แม่นางจวี เจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้าและไม่ต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ คฤหาสน์สกุลหลงของข้ามีอำนาจเพียงพอ จวนว่าการก็ใช่จะมีเอาไว้ดูเล่นเท่านั้นท้ายที่สุดความจริงของคดีจะต้องปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในไม่ช้า ดังนั้นแม่นางจวีอย่าได้คิดเพ้อฝันไป ลูกไม้นี้ของเจ้าทำได้แย่เหลือเกิน”

น้ำเสียงที่หลงเอ้อร์ใช้พูดไม่ดีอย่างมาก เขาเห็นจวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งตัวเกร็ง ข้อนิ้วมือที่กุมไม้เท้าเอาไว้ซีดขาวเพราะแรงบีบ นางเม้มริมฝีปากแน่น กะพริบตาหลายครั้งจนหลงเอ้อร์ไม่รู้ว่านางจะร้องไห้ออกมาหรือไม่

ท่าทางของนางทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง คำพูดของเขาเมื่อครู่ไม่น่าฟังเกินไปใช่หรือไม่

ทั้งสองคนพากันนิ่งเงียบ

ผ่านไปชั่วครู่ จวีมู่เอ๋อร์จึงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “รบกวนแล้ว” จากนั้นก็รีบยืนขึ้นแล้วเดินออกไป

คราวนี้เป็นหลงเอ้อร์ที่ร้อนใจ น้ำเสียงของนางทำให้เขารู้สึกไม่ดีนัก นางจะจากไปเช่นนี้ ไม่อยู่ต่อปากต่อคำกับเขาแล้วหรือ

จวีมู่เอ๋อร์เดินเร็วกว่าตอนที่มามากนัก เพียงพริบตาเดียวนางก็เดินอยู่บนทางเดินทางนั้นแล้ว หลงเอ้อร์มองผ่านทางหน้าต่าง เขาพบว่าไม่มีคนคอยนำทาง แต่นางกลับสามารถจำทางได้

จวีมู่เอ๋อร์เดินห่างออกไปทุกที หลงเอ้อร์นั่งไม่ติด เขาดีดตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป เพียงไม่กี่ก้าวก็ตามนางทัน

“แม่นางจวี” เขาเรียกนางไว้

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้หันมา เพียงแค่ก้มหน้าลงแล้วพูดเสียงเบา “ท่านหลงเอ้อร์ไม่ต้องส่ง ข้าจำทางได้”

เขาไม่สงสัยเรื่องที่นางจำทางได้ เขาเข้าใจในทันทีว่าตอนขามานางเดินอย่างช้าๆ เพราะกำลังแอบจดจำเส้นทางอยู่ ดังนั้นตอนขากลับนางจึงเดินได้รวดเร็วขึ้น แต่ตอนนี้ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่นางจำทางได้หรือไม่ และเขาก็ไม่ได้คิดจะไปส่งนางด้วย

“แม่นางจวี” หลงเอ้อร์ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว กุมไม้เท้าของนางเอาไว้ “กินอาหารเช้าเสร็จแล้วค่อยไปเถอะ”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณในความหวังดีของท่านหลงเอ้อร์ แต่ข้าไม่รบกวนดีกว่า” นางออกแรงขยับไม้เท้าแต่กลับขยับไม่ได้ จึงขมวดคิ้วแล้วดึงอีกสองที

หลงเอ้อร์เห็นนางมีสีหน้าโกรธเคือง ท่าทางตอนที่ใช้แรงทั้งหมดแต่กลับดึงไม้เท้าคืนไม่ได้ของนางทำให้เขานึกอยากหัวเราะ “กินอาหารเช้าด้วยกันก่อน ข้าจะดูสิว่าเจ้ากินเยอะเพียงใด เวลาถึงสิบปีก็กินกำไรของครึ่งร้านข้าไม่หมดจริงหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึงยืนนิ่งไม่ขยับ หลงเอ้อร์ดึงไม้เท้าของนางเพื่อนำนางเดินกลับไป

“การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็เหมือนกับการค้าขาย อย่างไรก็ต้องเจรจา ข้อตกลงหนึ่งใช้ไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นข้อใหม่ อ้อมไปอ้อมมา อย่างไรก็ต้องสำเร็จ ไหนเลยจะเหมือนเจ้า พูดเพียงไม่กี่คำก็ทำท่าโกรธเคืองจะจากไป เช่นนี้จะทำการสำเร็จได้อย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบกลับ นางกำลังรู้สึกโมโห ไม่เข้าใจว่าท่านหลงเอ้อร์คิดจะแกล้งนางต่อหรือยินดีจะเจรจากับนางจริงๆ แต่ตอนนี้เขาดึงตัวนางให้เดินตาม นางกลับยินดีเดินตามเขาไป ชายหนุ่มผู้นี้แม้คำพูดจะไม่น่าฟังนักทั้งการกระทำยังร้ายกาจ แต่เขาก็ไม่เคยคิดทำร้ายนางเลย

คนดีกับคนเลว นางคิดว่านางสามารถแยกแยะได้

คนทั้งสองกลับมายังห้องเดิมอีกครั้งแล้วกินอาหารเช้า จวีมู่เอ๋อร์กินไม่มาก เมื่ออิ่มแล้วก็เอ่ยขอบคุณนั่งเงียบไม่พูดจา

หลงเอ้อร์เห็นท่าทางของนางแล้วนึกอยากจะเขกหัวนางนัก แค่เขาพูดไม่เสนาะหูเพียงไม่กี่คำ นางต้องทำตัวน่าสงสารถึงเพียงนี้เชียวหรือ

เขากระแอมแล้วเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่ามีวิธีล้างมลทินให้หลงจู๊หลี่ว์ นั่นคือวิธีอะไร ลองพูดมาให้ข้าฟังสิ” จวีมู่เอ๋อร์ไม่ตอบ หลงเอ้อร์จึงเปลี่ยนคำถาม “ในเมื่อเจ้ามองไม่เห็นหน้าตาของคนร้าย เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่ฝีมือของหลงจู๊หลี่ว์”

คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์ตอบ “ในโถงจวนว่าการ ข้าอาศัยตอนที่พูดคุยกับหลงจู๊หลี่ว์จับเสื้อผ้าบนตัวของเขา เขาสวมผ้าต่วน ส่วนคนร้ายสวมเสื้อเนื้อผ้าธรรมดา และอีกอย่างหนึ่ง บนตัวของหลงจู๊หลี่ว์มีกลิ่นธูป คิดว่าก่อนหน้านั้นเขาคงจะสวดมนต์หรือไม่ก็ดีดพิณมา ดังนั้นกลิ่นบนตัวเขาจึงไม่เหมือนกับคนร้ายคนนั้น”

หลงเอ้อร์ประหลาดใจ นางตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่ยังสามารถจำรายละเอียดเหล่านี้ได้อีก

“ข้ายังมีเบาะแสอื่นที่สามารถใช้หาคนร้ายตัวจริงได้”

“ในเมื่อเจ้ารู้มากมายถึงเพียงนี้เหตุใดตอนอยู่ในโถงว่าการจึงไม่บอกท่านเจ้าเมือง”

จวีมู่เอ๋อร์ก้มหน้านิ่งเงียบ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าปกปิดเรื่องเหล่านี้ หลงจู๊หลี่ว์ที่ถูกปรักปรำใส่ร้ายถูกขังอยู่ในคุกนั้นต้องทนรับความลำบากมากเพียงใด” หลงเอ้อร์พูด

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ยังคงเงียบเช่นเดิม แต่นิ้วมือที่กุมไม้เท้าไว้แน่นเผยให้เห็นความรู้สึกของนาง

หลงเอ้อร์ถอนหายใจ “หากข้าไม่ยอมแต่งงานกับเจ้า เจ้าจะปล่อยให้หลงจู๊หลี่ว์ถูกปรักปรำจนถูกตัดสินโทษใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ตัวสั่น นางเงยหน้าใช้สองตาที่มองไม่เห็นสิ่งใดสบประสานสายตากับหลงเอ้อร์ “ต่อให้ท่านหลงเอ้อร์ไม่ตกลง ข้าก็จะบอกเรื่องทั้งหมดแก่ท่านเจ้าเมืองเช่นกัน”

“หากเจ้าพูดไปก็จะไม่มีหมากที่จะทำให้ข้าต้องรับปากแต่งงานกับเจ้าแล้ว”

“อย่างไรเสีย ท่านหลงเอ้อร์ก็บอกแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับข้า” จวีมู่เอ๋อร์เบ้ปาก เผยอารมณ์โกรธแบบเด็กๆ ออกมา “ท่านยินดีจะให้หลงจู๊หลี่ว์รู้ว่าท่านไม่ยอมแต่งงานเพื่อช่วยเขา แต่ข้าไม่ยินดีจะให้หลงจู๊หลี่ว์รู้ว่าข้าไม่ยอมช่วยเขาเพราะไม่บรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการ”

หลงเอ้อร์หัวเราะ “หากพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าข้าไม่มีน้ำใจเท่าเจ้าสินะ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า คิดๆ ไปแล้วก็รู้สึกขำ นางใช้วิธีร้ายกาจมาบังคับให้เขาแต่งงานกับนาง เขาไม่ตอบตกลง ดังนั้นเดิมทีควรจะก่อเป็นความแค้นไปแล้ว แต่เหตุใดตอนนี้นางกับเขากลับคุยกันด้วยความสบายใจเช่นนี้

ความรู้สึกนี้ทำให้จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันใด นางลุกขึ้นเอ่ยลา แต่ท่านหลงเอ้อร์กลับเรียกนางไว้ “ช้าก่อน”

จวีมู่เอ๋อร์ชะงักยืนนิ่งอยู่กับที่

“เจ้านั่งลง”

นางนั่งลง

แต่หลงเอ้อร์กลับเงียบ จวีมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ นางทำได้เพียงรอฟัง

นางไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจของหลงเอ้อร์สับสนเพียงใด เขาลังเลแล้วลังเลอีก เขาไม่อยากแต่งภรรยาจริงๆ แต่ก็รู้ว่าเมื่อจวีมู่เอ๋อร์เผยหมากตัวนี้ออกมาแล้ว ต่อไปนางจะไม่มาขอร้องเขาอีก พอนางไม่มาขอร้องเขา ไม่ต่อปากต่อคำกับเขา เขาคงหมดสนุกไปไม่น้อย

เพราะเหตุใดจู่ๆ นางถึงอยากแต่งงานขึ้นมา มีความลำบากอะไรเช่นนั้นหรือ

หากเขาไม่ตอบตกลงแต่งงานกับนาง นางจะไปหาผู้อื่นหรือไม่

และถ้านางแต่งงานกับผู้อื่นไปก็คงเป็นเรื่องยากที่จะได้พบกัน อีกทั้งเขาก็แกล้งนางเล่นไม่ได้แล้วใช่หรือไม่

หลงเอ้อร์คิดอยู่นาน พลันถามขึ้นทันใด “แม่นางจวี ครั้งก่อนที่โรงน้ำชาเจ้าบอกว่าเจ้ามีวิธีจะทำให้ข้าได้เงินกลับมาจากการทำกันสาดนั่นคือวิธีใด”

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจที่เขาถามคำถามนี้ แต่ยังคงตอบ “ข้าเพียงคิดว่าในเมืองหลวงมีคนร่ำรวยสูงศักดิ์ที่มีเงินมากจนใช้ไม่หมดจำนวนไม่น้อย ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือชื่อเสียงและอำนาจ ถนนตงต้าเป็นถนนการค้าที่สำคัญที่สุดในเมืองหลวง หากทำการซ่อมแซมครั้งใหญ่เช่นนี้ ขอเพียงทำให้ดี ย่อมมีเศรษฐียอมควักกระเป๋าเพื่อสร้างชื่อประดับไว้”

หญิงตาบอดผู้นี้…หลงเอ้อร์ยิ้มอย่างอดไม่ได้ เขารู้ว่านางน่าสนใจและก็เป็นไปตามที่คิดจริงๆ อยู่กับนาง เขาไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย

“เรื่องแต่งงานกับเจ้าใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หลงเอ้อร์พูดคำนี้ออกมา จวีมู่เอ๋อร์ก็เงยหน้าเบิกตาโตด้วยความตกใจ

ท่าทางของนางทำให้หลงเอ้อร์หัวเราะอีกครั้ง เขาพูดว่า “แต่เจ้าต้องมีเหตุผลที่มาจูงใจข้าสักข้อ หากเจ้าแต่งเข้ามาจะมีประโยชน์อะไรกับข้า”

คำถามนี้สำคัญอย่างแท้จริง และจงใจสร้างความลำบากใจให้แก่นาง

จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเอียงหัวเล็กน้อยครุ่นคิดอย่างจริงจัง นางต้องหาคำตอบที่ท่านหลงเอ้อร์ชอบออกมาสักข้อ

“ข้าเป็นสิ่งคลายเครียดให้ท่านได้”

หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดัง นางรู้ด้วยหรือว่านางสามารถทำให้เขาคลายเครียดได้

หลงเอ้อร์อารมณ์ดีมาก เขานั่งพิงพนักเก้าอี้มองดูจวีมู่เอ๋อร์ รู้สึกว่าใบหน้าของนางดูไม่ขัดหูขัดตาเท่าที่ผ่านมา

“เจ้าลองบอกมาสิว่าเหตุใดเจ้าจึงคิดจะแต่งงานกับข้า”

เหตุผล?

เพราะท่านหลงเอ้อร์หล่อเหลา เพราะท่านหลงเอ้อร์มีเงินมาก เพราะท่านหลงเอ้อร์มีอารมณ์ขัน เพราะท่านหลงเอ้อร์ดูแลครอบครัวได้ หรือเพราะท่านหลงเอ้อร์มีวรยุทธ์สูงส่ง…

คำพูดน่าขนลุกพวกนี้ จวีมู่เอ๋อร์คิดว่าตนคงพูดไม่ออก

นางเงียบไปนาน ในที่สุดก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง “เพราะว่าข้าอยากจะแต่งงานกับท่าน!”

นาง…ช่าง…ช่างพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ!

อยากจะแต่งงานกับเขา!

เหตุใดเขาจึงรู้สึกดีใจกับคำพูดนี้

หลงเอ้อร์อ้าปากหัวเราะอย่างไร้เสียง

เขาหัวเราะอย่างสำราญใจ ไม่ได้เก็บอาการเอาไว้เลย เพราะนางมองไม่เห็น ขอเพียงเขาไม่ส่งเสียงออกมาก็สามารถแสดงท่าทางต่างๆ ต่อหน้านางได้อย่างอิสระ หลงเอ้อร์รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลว ต่อหน้านางเขาก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำกลบเกลื่อน สามารถแกล้งนางได้ตามใจชอบ และปฏิกิริยาตอบสนองของนางก็น่าสนใจถึงเพียงนั้น คิดแล้วก็ยิ่งเบิกบานใจ หลงเอ้อร์หัวเราะต่ออย่างอดไม่ได้จริงๆ

จวีมู่เอ๋อร์จ้องไปด้านหน้าด้วยสีหน้างุนงง หลังจากที่นางเอ่ยคำนั้นไปแล้ว ท่านหลงเอ้อร์ก็ไม่พูดอะไรอีก แต่นางกลับรู้สึกว่ามีบรรยากาศแปลกๆ อวลอยู่โดยรอบ เรื่องเป็นเช่นไรกันแน่

ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดหลงเอ้อร์ก็เบิกบานใจจนพอแล้ว เขาดื่มน้ำกลั้วคอ เรียกหลี่เคอเข้ามาสั่งการ “ให้พวกสายสืบไปจับตาจูเฉินซื่อเป็นพิเศษ หาข้อมูลของทุกคนที่นางเคยติดต่อด้วย อย่าให้ปล่อยผ่านไปเด็ดขาด มีใยแมงมุมรอยเท้าม้า* อะไรก็ต้องมารายงาน”

หลี่เคอรับคำสั่งแล้วจากไป

จวีมู่เอ๋อร์เบิกตาโตแสดงให้เห็นว่าตกใจ หลงเอ้อร์รู้สึกได้ใจเล็กน้อย “เจ้ามองไม่เห็นสิ่งใด แต่สามารถวิเคราะห์จากสัมผัส กลิ่น และเสียง เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหลงจู๊หลี่ว์ไม่ใช่คนร้ายเพราะได้สัมผัสเสื้อของเขาและได้กลิ่นธูปบนตัวเขา จากเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ได้ยินเสียงของคนร้ายและไม่รู้ว่าคนร้ายคือใคร วันนี้ในโถง นอกจากทหารประจำการกับหลงจู๊หลี่ว์แล้ว มีเพียงจูเฉินซื่อที่เข้าใกล้ตัวเจ้าจนเจ้าสามารถสัมผัสและได้กลิ่น เจ้าบอกว่ามีเบาะแสเพิ่มเติมข้าจึงเห็นว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับนางเกินครึ่งแล้ว” หลงเอ้อร์เห็นท่าทางของจวีมู่เอ๋อร์ก็รู้ว่าเขาเดาถูกแล้ว จึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าว่าข้าฉลาดหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์แอบถอนหายใจ ท่านหลงเอ้อร์ที่สามารถเรียกลมเรียกฝนในสนามการค้าได้ผู้นี้ต้องให้คนมาพูดชมเขาจึงจะพอใจใช่หรือไม่

“ฉลาด ฉลาดยิ่งนัก ท่านหลงเอ้อร์ช่างปราดเปรื่อง”

หลงเอ้อร์หัวเราะร่วน ได้เห็นจวีมู่เอ๋อร์ที่เอ่ยชมเขาอย่างเสียไม่ได้ แต่ยังคงต้องปั้นหน้าว่าจริงใจเช่นนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ

เขาแกล้งนางต่อ โดยการยื่นมือไปกุมมือที่จับไม้เท้าของนางไว้แล้วเอ่ยถาม “ข้าฉลาดถึงเพียงนี้ เจ้าอยากจะแต่งงานกับข้าหรือไม่”

มือของเขาใหญ่ ความอบอุ่นซึมผ่านหลังมือเย็นเฉียบของจวีมู่เอ๋อร์ ทำให้นางรู้สึกถึงความสบายใจที่ไม่อาจถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ นางตอบกลับอย่างหนักแน่นเพียงคำเดียวว่า “อยาก!”

รอยยิ้มของหลงเอ้อร์ยังคงติดอยู่บนใบหน้า เขามองออกว่านางจริงจัง จริงจังอย่างมาก

นางอยากจะแต่งงานกับเขาจริงๆ

แต่ไม่ใช่เพราะชื่นชมในหน้าตาของเขา นับถือในชื่อเสียงของเขา หรือเห็นแก่ฐานะของเขา แท้จริงแล้วหลงเอ้อร์ไม่คิดเลยว่าพวกเขาทั้งสองคนจะรู้จักและมาเกี่ยวข้องกันเช่นนี้ นางคงไม่เกิดความรู้สึกรักต่อเขา และถึงหากมีความรู้สึกเช่นนั้นจริงก็คงไม่ลึกซึ้งพอที่จะทำให้นางอยากแต่งงานกับเขา

ดังนั้นประเด็นสำคัญจึงไม่ใช่ ‘นางอยากแต่งงานกับเขา’ แต่เป็น ‘นางอยากแต่งงาน’ ต่างหาก และเขาเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน รวมกับมีเรื่องที่นับว่าต้องเกี่ยวพันกันเรื่องหนึ่งพอดี นางจึงคิดว่าสามารถใช้เงื่อนไขนี้มาเป็นข้อตกลงได้

หลงเอ้อร์ระงับจิตใจ เขายังกุมมือของนางอยู่และนางไม่ได้หลบหลีก ปล่อยให้เขากุมต่อไป มือของนางเย็นเฉียบ มิน่าเล่า นางจึงสวมเสื้อหนากว่าผู้อื่น เพราะว่าตัวเย็นเช่นนี้เอง

เขาจับมือนาง รู้สึกว่ามือที่อยู่ใต้ฝ่ามือของเขาค่อยๆ อุ่นขึ้น

จวีมู่เอ๋อร์หันมาทางเขา ท่าทางของนางดูร้อนใจและเต็มไปด้วยการรอคอย ตาของนางสุกใสเป็นประกาย น่าเสียดายที่ไร้แวว สำหรับหลงเอ้อร์แล้วท่าทางของนางน่าสงสารจริงๆ

เขารู้สึกใจอ่อนในทันใด ลืมสิ่งที่ตัวเองเคยสอนหลี่เคอว่าอย่าให้ความน่าสงสารของผู้หญิงหลอกเอาได้ แต่ตอนนี้เขาเองกลับถูกหลอกเองเสียแล้ว

เขารู้ว่านางยังคงปกปิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ยังอยากจะเติมเต็มความปรารถนาของนาง แต่งงานกับนาง

หากเขามอบโอกาสนี้ให้ผู้อื่นไปคงทำให้ตัวเองไม่มีความสุข เช่นนั้นก็แต่งงานเถอะ! อย่างไรเสียก็เพียงแค่เพิ่มตะเกียบกินข้าวอีกคู่หนึ่งเท่านั้น นางน่าสนใจเพียงนี้หากต่อไปสามารถอยู่ข้างกายให้เขาแกล้งได้ทุกวัน เช่นนั้นก็แต่งนางเข้ามาดีกว่าเสียให้ผู้อื่นไป

“ข้าจะแต่งงานกับเจ้า”

พอหลงเอ้อร์พูดออกมา ความตื่นเต้นยินดีก็ฉายชัดบนใบหน้าของจวีมู่เอ๋อร์ทันที ท่าทางเหมือนมีแสงสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างฉับพลัน

หลงเอ้อร์พูดอีกว่า “เจ้ากลับไปกับพ่อของเจ้าก่อน นอนพักให้เพียงพอ ตอนบ่ายแก่ๆ ข้าจะไปหาแล้วไปจวนว่าการเพื่อพูดคุยเรื่องคดีกับท่านเจ้าเมืองด้วยกัน เจ้ามองไม่เห็นหน้าคนร้ายแค่เพียงคำพูดไม่อาจนับว่าเป็นหลักฐานอะไร ดังนั้นต้องมีพยานหลักฐานที่แน่ชัดแน่นหนาจึงจะสามารถนำตัวคนร้ายมาลงโทษได้ พวกเราจะคิดหาวิธีช่วยหลงจู๊หลี่ว์ออกมา เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

“ตกลง” จวีมู่เอ๋อร์ตอบ รู้สึกโล่งอกในที่สุด

หลงเอ้อร์ดึงตัวนางให้ลุกขึ้น เดินไปส่งนางที่โถงด้านหน้า ทั้งสองคนไม่ได้พูดกันตลอดทาง จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกโล่งใจจึงรู้สึกง่วงขึ้นมาทันใด ดวงตาเริ่มปรือ สะลึมสะลือเดินไปสัปหงกไป

หลงเอ้อร์แตะผ้าพันแผลบนหัวของนางแล้วพูดว่า “เจ้ายังไม่ได้ถามข้าเลยว่าจะกำหนดเวลาการแต่งงานอย่างไร”

“เอ๋?” จวีมู่เอ๋อร์ตกใจอยู่บ้าง “กำหนดเวลาการแต่งงาน?”

“ข้าเพียงตอบตกลงจะแต่งงานกับเจ้า ยังไม่ได้กำหนดเวลา เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเปลี่ยนใจหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ขยี้ตาพูดพึมพำ “ข้าเคยได้ยินแต่คนพูดว่าท่านหลงเอ้อร์ตระหนี่ แต่ไม่เคยได้ยินว่าท่านตระบัดสัตย์ ข้าเชื่อคำพูดของท่าน”

คราวนี้หลงเอ้อร์ดึงไม้เท้าของนางไว้ “ตอนนี้ข้านับเป็นคู่หมั้นหมายของเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับเอาคำของคนนอกมาพูดให้ร้ายข้าได้อย่างไร”

คำว่าคู่หมั้นหมายไปกระตุ้นจวีมู่เอ๋อร์ นางได้สติคืนมาในทันใด เอ่ยตอบอย่างจริงจังว่า “ข้าชมท่านหลงเอ้อร์ว่าเป็นคนรักษาสัจจะ พูดให้ร้ายท่านเสียเมื่อไร”

“เช่นนั้นที่เจ้ากล่าวว่า ‘ได้ยินคนอื่นพูดว่าท่านหลงเอ้อร์ตระหนี่’ หมายความว่าอย่างไร”

“ก็แค่คนอื่นพูดกัน ข้าไม่ได้เป็นคนพูด”

“คนอื่นพูดเจ้าก็ไม่ควรฟัง”

จวีมู่เอ๋อร์ลอบถอนหายใจ ลูบหลังมือของหลงเอ้อร์เพื่อให้คลายความโกรธ “ท่านหลงเอ้อร์พูดถูก คราวหน้าข้าจะไม่ฟังแล้ว”

คนทั้งสองต่อปากต่อคำกันในเรื่องที่ไม่เป็นสาระเท่าใดนักหลายเรื่องจนเดินไปถึงโถงชั้นหน้า จวีเซิ่งที่อยู่ที่นั่นแทบจะทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เขากินอาหารเช้าไปสามรอบ อิ่มจนจุก เมื่อเห็นจวีมู่เอ๋อร์มาถึงจึงรีบเดินเข้าไปหา “เหตุใดแค่ไปจับพิณตัวเดียวจึงนานเช่นนี้”

“ท่านหลงเอ้อร์เชิญข้ากินอาหารเช้าด้วย”

“อ๋อๆ” ผู้เฒ่าจวีเกิดความรู้สึกด้านบวกกับท่านหลงเอ้อร์ขึ้นมาในทันใด ไม่เพียงไม่โกรธที่พวกเขามารบกวนแต่เช้า ยังจัดเตรียมอาหารเช้าให้ด้วย แท้จริงแล้วนิสัยดีกว่าคำเล่าลือมากนัก

ผู้เฒ่าจวีเอ่ยขอบคุณแล้วพาตัวบุตรสาวจากไป

มองดูจนรถม้าของพ่อลูกสกุลจวีลับตาไป หลงเอ้อร์จึงเดินไปยังห้องนอน เขาตัดสินใจจะนอนพักสักครู่ ก่อนเวลาอาหารกลางวันค่อยให้คนไปส่งเทียบขอพบที่จวนว่าการเพื่อขอพบชิวรั่วหมิงในตอนบ่าย

เขานอนลงบนเตียง ทบทวนเรื่องทั้งหมดอีกรอบ พลันคิดขึ้นได้ว่าเรื่องการแต่งงานยังมีหลายสิ่งไม่ได้พูดให้ชัดเจน ทั้งสินสอด ของหมั้น เงินที่ต้องใช้จัดสามหนังสือหกพิธี* ค่าจ้างแม่สื่อ ซื้อของใช้บ่าวสาว เลี้ยงแขก และจับจ่ายเบ็ดเตล็ด เขาไม่ได้คิดอะไรก็ตอบตกลงแต่งงานกับนางเสียแล้ว นี่ไม่ใช่วิสัยของเขาเลย เขาต้องรีบคำนวณให้ถี่ถ้วน จะขาดทุนไม่ได้เด็ดขาด ต้องคิดวิธีหาเงินพวกนี้กลับมาให้ได้โดยไว

 

หลงเอ้อร์นอนพักเพียงหนึ่งชั่วยามก็ลุกขึ้นมาจัดการงานต่างๆ เริ่มจากเรียกตัวหลี่เคอให้มารายงานว่าสายสืบมีความคืบหน้าอะไรบ้าง สั่งให้พ่อบ้านคนหนึ่งจับตามองการค้าของร้านน้ำชาทุกร้านให้ดี แม้หลงจู๊หลี่ว์ไม่อยู่ กิจการโรงน้ำชาจะให้วุ่นวายไม่ได้ จากนั้นจึงให้คนนำเทียบขอพบไปที่จวนว่าการ และส่งคนไปสืบว่าช่วงที่ผ่านมาทางด้านจวีมู่เอ๋อร์มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง

เมื่อกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เขาตรวจสอบสมุดบัญชีอยู่สักครู่จึงให้คนเตรียมรถม้า เดินทางออกไปรับตัวจวีมู่เอ๋อร์ที่ร้านเหล้า

ผลปรากฏว่าเมื่อไปถึงที่นั่นกลับพบว่าจวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ตื่นนอน

ผู้เฒ่าจวีพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ตั้งแต่ลูกสาวของข้าตาบอดเมื่อสองปีก่อน ร่างกายก็ไม่ค่อยดีนัก เมื่อคืนนางได้รับความตกใจ ซ้ำยังบาดเจ็บ อดนอนมาทั้งคืน ตอนเช้าพอกลับมาถึงก็รีบนอนพัก ถึงตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย ข้าเรียกนางให้ตื่นขึ้นมากินอาหารก็ไม่ยอมกิน เอาแต่นอนเพียงอย่างเดียว จนข้าอุ่นยานี้ไปหลายรอบแล้ว”

หลงเอ้อร์พยักหน้า ขอให้ผู้เฒ่าจวีช่วยไปดูอีกครั้ง ผู้เฒ่าจวีไม่เต็มใจนัก แต่ระหว่างทางกลับบ้าน บุตรสาวได้กำชับไว้แล้วว่าตอนบ่ายท่านหลงเอ้อร์จะมารับนาง บอกว่าเขาต้องเรียกให้นางตื่น เขาเองก็ไม่อยากขัดความตั้งใจของบุตรสาวจึงเดินไปดูอีกครั้งหนึ่ง

หลงเอ้อร์รออยู่สักพัก ผู้เฒ่าจวีก็ประคองจวีมู่เอ๋อร์เดินออกมา นางได้นอนพักแล้ว แต่กลับยิ่งดูป่วยหนักมากขึ้นไปอีก หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วเอามืออังหน้าผากของนาง “เหตุใดจึงตัวร้อนเช่นนี้ เจ้ากินยาหรือยัง”

“กินแล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ป่วยจนเพียงแค่พูดก็อ่อนแรง

ผู้เฒ่าจวีรีบยกยาที่อุ่นไว้บนเตามาให้ “ยามื้อกลางวันยังไม่ได้กินเลย”

นางย่นคิ้ว ยื่นมือไปรับถ้วยยามาดื่มอึกใหญ่ด้วยสีหน้าเหมือนถูกลงทัณฑ์ ท่าทางเป็นทุกข์นั้นทำให้หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว

จวีมู่เอ๋อร์ดื่มยาเสร็จก็หันไปพูดกับผู้เฒ่าจวีว่า “หลงเอ้อร์ พวกเราไปกันเถอะ”

หลงเอ้อร์โมโห นางเรียกใครว่า ‘หลงเอ้อร์’ น่ะ! เขายื่นมือไปจับใบหน้าของนางให้หันมา “ข้าอยู่ทางนี้”

“อ้อ หลงเอ้อร์ พวกเรารีบไปกันเถอะ” จวีมู่เอ๋อร์พูดคำน่าตกตะลึงนั้นออกมาอีกครั้ง อาการป่วยทำให้ความสดชื่นและพลังที่เคยมีหายไปหมด

เป็นหนักถึงเพียงนี้แล้วยังจะไปอีกหรือ!

หลงเอ้อร์รู้สึกไม่ยินดีอย่างมาก เดิมทีเขาคิดจะกลับมารับนางอีกครั้งในวันอื่น แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็เห็นว่าไม่ได้การ ผู้เฒ่าจวีคนนี้ดูก็รู้ว่าดูแลคนป่วยไม่เป็น มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้คนป่วยนอนจนไม่เรียกให้ตื่นขึ้นมากินยากินอาหาร

หลงเอ้อร์ตัดสินใจว่าต่อจากนี้เขาจะดูแลจวีมู่เอ๋อร์เอง จึงดึงตัวนางเข้ามา “ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านหมอ กินอาหารแล้วพักสักครู่ก่อน ยังไม่ต้องรีบไปพบท่านเจ้าเมืองหรอก”

ผู้เฒ่าจวีเดินตามหลังมาอย่างงุนงง เขาเห็นท่านหลงเอ้อร์อุ้มจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้า แล้วคนรถก็ส่งเสียงว่า “ไป” จนกระทั่งรถม้าค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป ผู้เฒ่าจวีจึงคืนสติ ตะโกนตามไปว่า

“ท่านหลงเอ้อร์ มู่เอ๋อร์พบท่านหมอแล้ว ได้ยามาแล้วด้วย”

แต่ไม่มีใครสนใจเขา รถม้ายังคงเคลื่อนที่ต่อไปไม่หยุด

ผู้เฒ่าจวีเกาหัว ไม่รู้ว่าจะได้ยินกันหรือไม่ พลันคิดขึ้นได้ว่าในเมื่อไม่ได้ไปพบท่านเจ้าเมืองแล้ว เหตุใดท่านหลงเอ้อร์ยังคงรับตัวบุตรสาวของเขาไปอีก

และเหตุใดท่านหลงเอ้อร์กับบุตรสาวจึงดูเหมือนจะสนิทสนมกันมากถึงเพียงนี้

หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่คนเป็นพ่อเช่นเขาไม่รู้?

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com