ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด
บทที่หก
หลงเอ้อร์มีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือหากสิ่งใดไม่ใช่ของของเขา เขาจะไม่รู้สึกว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่สนใจความเป็นความตาย แต่หากสิ่งใดเป็นของของเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของหรือทรัพย์สิน เขาจะรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของเขา ไม่ว่าอะไรก็ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว
เมื่อวานจวีมู่เอ๋อร์กับเขายังเป็นคนอื่นไกล แต่มาวันนี้หลังจากที่เขาบอกว่า ‘ข้าจะแต่งงานกับเจ้า’ เขาก็เห็นนางไม่ขัดหูขัดตาเช่นแต่ก่อน ไม่เพียงไม่ขัดหูขัดตา ซ้ำยังรู้สึกว่าการดูแลนางเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำ
ดังนั้นเมื่อคิดว่านางคงปีนขึ้นรถม้าลำบาก เขาจึงอุ้มนาง แต่เมื่อนางขึ้นไปได้แล้วก็หาที่นั่งพิงผนังรถม้านิ่งเงียบ แม้แต่คำอ่อนหวานสักคำก็ไม่ได้พูดกับเขา
หลงเอ้อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา คิดตำหนิหญิงตาบอดที่ไร้จิตใจผู้นี้อย่างมาก ไม่ว่าเขาจะทำอย่างจริงใจเพียงใด จวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่รับรู้
จวีมู่เอ๋อร์นั่งพิงผนังรถม้า นางรู้สึกง่วงเหลือเกิน หลับตาลงอยากจะนอนหลับ
หลงเอ้อร์สะกดกลั้นอารมณ์ เขานั่งตัวตรงอยู่ข้างกายนาง เงียบอยู่นานก็ไม่เห็นนางขยับตัวแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ดูเหมือนนางจะหลับไปแล้วจริงๆ
หลงเอ้อร์ยิ่งอึดอัดมากขึ้นไปอีก
รถม้าวิ่งไปข้างหน้า ภายในรถม้ามีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย นั่นคือหัวของจวีมู่เอ๋อร์ที่พิงผนังรถโงนเงนไปตามการเคลื่อนที่ของรถม้า โขกเข้ากับผนังรถจนเกิดเสียงขึ้นเบาๆ
จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้สึกตัว นางหลับต่อไป เป็นหลงเอ้อร์ที่ถูกเสียงนั้นทำให้รำคาญใจ เขาหันไปมองหัวของจวีมู่เอ๋อร์ที่มีผ้าพันเอาไว้ บาดแผลยังไม่หายดี ตอนนี้มาโขกไปมาเช่นนี้อีก แต่หญิงผู้นี้กลับไม่รู้สึกเจ็บ นางยังจะหลับต่อได้อีก!
หลงเอ้อร์ยื่นมือออกไปอย่างอารมณ์เสีย ใช้ท่อนแขนหนุนหลังหัวให้นาง มือแข็งแกร่งอบอุ่นให้ความรู้สึกสบายกว่าผนังรถที่แข็งกระด้างนั้นอย่างเห็นได้ชัด จวีมู่เอ๋อร์จึงครางหนึ่งที ขยับหัวแนบฝ่ามือของเขาแล้วหลับต่อไปอย่างสบายใจ
คราวนี้ภายในรถไม่มีเสียงอะไรแล้ว หัวของจวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่โขกสิ่งใดแล้ว แต่ฝ่ามือของหลงเอ้อร์กลับถูกนางยึดครองไป
หลงเอ้อร์มองหญิงสาวที่กำลังหลับสบาย พลันรู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกินที่ยกมือค้างไว้เช่นนี้ ไม่มีใครจะพูดยกย่องถึงความดีที่เขาได้ทำนี้เสียหน่อย ความจริงเขาไม่ควรสนใจนาง ปล่อยให้นางหัวโขกผนังรถเช่นนั้นต่อไปก็ดีแล้ว
แต่ท้ายที่สุดหลงเอ้อร์ผู้โง่เง่าคนนี้ก็ยกมือเช่นนี้ไปตลอดทางจนถึงคฤหาสน์สกุลหลง
รถม้าเข้าคฤหาสน์สกุลหลงทางประตูข้าง หลงเอ้อร์ลงจากรถก่อน หันไปสั่งให้คนไปเชิญท่านหมอมือดีมาด้วยเสียงอันเบา แล้วให้สาวใช้จัดเตรียมห้องพัก จากนั้นจึงกลับขึ้นไปบนรถ คิดจะเขย่าตัวจวีมู่เอ๋อร์เพื่อปลุกให้นางตื่น
“ข้าตื่นแล้ว” เขาเพิ่งจะแตะถูกตัวนาง จวีมู่เอ๋อร์ก็พูดเสียงงัวเงียขึ้นมา
“ตื่นแล้วเหตุใดจึงไม่ขยับตัว” หลงเอ้อร์ขบกราม เสียทีที่เมื่อครู่เขาอุตส่าห์ลดเสียงพูดให้เบาลง กลัวจะทำให้นางตื่น จึงพูดและเคลื่อนไหวอย่างเบาๆ แต่นางกลับตื่นนานแล้ว
จวีมู่เอ๋อร์ขยี้ตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ไม่มีใครเรียกก็หมายความว่ายังไม่ต้องขยับ ในเมื่อไม่ต้องขยับ เช่นนั้นก็ขอนอนต่ออีกสักครู่ดีกว่า”
หลงเอ้อร์จ้องหน้านาง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่านางมองไม่เห็น เขาจึงบอกนางว่า “ข้าจ้องเจ้าอยู่”
“อ้อ ข้ารู้แล้ว”
“…” หลงเอ้อร์เหลือจะกล่าว เขาอดจ้องนางต่อไม่ได้
จวีมู่เอ๋อร์นั่งอยู่สักครู่ก็ไม่ได้ยินเสียงเขาขยับตัว จึงเอ่ยถาม “ท่านกำลังจ้องข้าอีกแล้วหรือ”
“ใช่” คำนี้หลงเอ้อร์กัดฟันพูด
จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางปวดหัวมาก อยากจะนอนต่อ “เช่นนั้นพวกเราลงจากรถม้าได้หรือไม่ หรือว่าท่านจะจ้องต่อ หากเป็นเช่นนั้นข้าจะนอนอีกสักครู่”
“ลงรถ!” หลงเอ้อร์โอบเอวอุ้มนางขึ้นมา กระโดดลงจากรถแล้ววางนางลงบนพื้นอย่างแรง หญิงผู้นี้ พอเป็นเช่นนี้ก็สามารถทำให้พระโพธิสัตว์โกรธจนตายได้จริงๆ
นอนๆๆ นางรู้จักแต่นอน
เมื่อออกมานอกรถ อากาศก็หนาวเย็น จวีมู่เอ๋อร์ขนลุกด้วยความหนาว ดึงสติกลับคืนมาได้ นางกุมไม้เท้าไว้แน่น ห่อไหล่แล้วถามว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใดหรือ”
หลงเอ้อร์ยังไม่หายโกรธ เขาฉุดข้อมือนาง เดินนำทางไปด้านหน้า ขณะเดินก็ตอบคำถาม “อยู่คฤหาสน์สกุลหลง”
เหตุใดจึงมาที่คฤหาสน์สกุลหลง จวีมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ แต่เขาเดินเร็วจนนางไม่มีเวลาถามคำถามเหล่านี้ ทำได้เพียงรีบเอ่ย “ท่านเดินช้าสักนิดได้หรือไม่ ข้าตามไม่ทัน”
“ข้ารู้ว่าเจ้าตามทัน ไม่ต้องจำเส้นทางแล้ว และไม่ต้องคิดหนีด้วย ข้าเชิญท่านหมอให้มาดูอาการป่วยของเจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนนอนหลับให้สบายสักงีบ ส่วนข้าจะไปจวนว่าการเยี่ยมหลงจู๊หลี่ว์สักหน่อย จากนั้นค่อยไปคารวะท่านเจ้าเมือง กลับมาแล้วจะเล่าให้ฟัง เจ้าพักผ่อนเสีย หากรู้สึกสดชื่นขึ้นแล้วข้าค่อยพาเจ้าไปจวนว่าการอีกครั้ง”
จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ท่านหลงเอ้อร์ผู้นี้จิตใจดียิ่งนัก นางไม่ได้โต้เถียง ทำตามความต้องการของเขา เดินตามเขาไปพักผ่อนในห้องพักชั่วคราว
ไม่นานท่านหมอก็มาถึง เพื่อตรวจชีพจรและสอบถามอาการป่วยของจวีมู่เอ๋อร์ที่สัปหงก ตอบคำถามท่านหมอด้วยสภาพสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างหนัก หลงเอ้อร์อยากจะจับไหล่นางแล้วเขย่าแรงๆ ตะโกนเสียงดังว่า ‘ตื่นๆๆๆๆ!’
แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาย่อมทำเช่นนั้นไม่ได้ แม้จะโกรธ แต่ยังไม่ถึงขั้นโกรธจนคลั่ง
ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงยืนเม้มริมฝีปากอยู่ด้านข้าง จ้องมองหญิงโง่ผู้นี้ถูกตรวจอาการป่วย ปรากฏว่ากลับทำให้ท่านหมอกังวลใจจนเหงื่อตก คิดว่าตนตรวจได้ไม่ดี ครั้นอยากจะตรวจชีพจรให้นานขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจ ก็เกรงว่าท่านหลงเอ้อร์จะคิดว่าวิชาแพทย์ของเขาไม่ดี หากจะรีบตรวจให้เสร็จโดยเร็วเพื่อแสดงว่าตนมีวิชาแพทย์สูงส่งก็กลับกลัวว่าท่านหลงเอ้อร์จะคิดว่าเขาตรวจไม่ละเอียด
สรุปคือการตรวจโรคในครั้งนี้ คนหนึ่งง่วงจนไร้ชีวิตชีวา คนหนึ่งโกรธจนหน้าดำ ส่วนอีกคนหนึ่งระมัดระวังจนตัวสั่นงันงก สุดท้ายเมื่อตรวจเสร็จ ท่านหมอก็เขียนใบสั่งยาให้ใหม่ คลายผ้าพันแผลบนหัวของจวีมู่เอ๋อร์ออก ตรวจบาดแผลอย่างละเอียดและทายาให้ใหม่
การทำแผลที่หัวทำให้จวีมู่เอ๋อร์เจ็บจนได้สติ นางถามท่านหมอว่าบาดแผลนี้อีกนานเท่าไรจึงจะโดนน้ำได้ ท่านหมอบอกอย่างน้อยต้องสิบกว่าวันขึ้นไป จวีมู่เอ๋อร์หน้าสลดลงทันที
รอจนท่านหมอกลับไปแล้ว จวีมู่เอ๋อร์จึงพูดกับหลงเอ้อร์ว่า “ท่านหลงเอ้อร์ เรื่องคดีรอช้าไม่ได้ พวกเราต้องรีบจัดการให้จบเรื่องในเร็ววัน ข้าจะไปจวนว่าการกับท่านตอนนี้เลย”
“เจ้ากินอาหาร ดื่มยา นอนพักรักษาตัวให้ไข้ลดก่อน ข้าจะไปจัดการเรื่องที่จวนว่าการเอง รอให้เจ้าฟื้นตัวสักนิดแล้วค่อยพาเจ้าไป”
“ไม่เอา ข้าไปกับท่านตอนนี้เลยดีกว่า”
หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “เมื่อครู่เจ้ายังง่วงจนงัวเงีย เหตุใดตอนนี้จึงร้อนใจขึ้นมา”
“ท่านไม่ได้ฟังที่ท่านหมอพูดหรือ”
“พูดอะไร” หลงเอ้อร์คิดไม่ออกว่าท่านหมอได้พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับคดี
“เขาบอกว่าหัวข้าโดนน้ำไม่ได้สิบกว่าวัน”
หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วแน่นขึ้น “แล้วอย่างไร”
“หมายความว่าหัวของข้าในสิบกว่าวันนี้ จะถูกยาเหม็นๆ ทาซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยังสระผมไม่ได้ หากหมักหมมนานถึงเพียงนั้นจะเหม็นสักเท่าใดกัน” นางย่นจมูก “อาศัยช่วงเวลาก่อนที่ข้ายังไม่สามารถใช้กลิ่นรมท่านเจ้าเมืองให้สิ้นสติได้รีบไปกันเถอะ ข้าจะรีบทำสิ่งที่ข้าสามารถทำได้ให้เสร็จ จากนั้นก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ให้ตัวเองเหม็นเพียงคนเดียวก็พอ”
เหตุผลนี้ทำให้หลงเอ้อร์พูดไม่ออก เขารู้สึกว่านางต้องยังง่วงอยู่แน่นอนจึงพูดอะไรสับสนวุ่นวายไปหมดเช่นนี้
แต่เขาไม่สนใจนาง เพียงสั่งสาวใช้ที่ยืนรออยู่ด้านข้างให้ดูแลนางให้ดี ปรนนิบัติให้นางกินอาหาร ดื่มยาเสร็จแล้วก็คอยดูให้นางนอนพักผ่อนสักครู่ด้วย
จวีมู่เอ๋อร์ยืนเบ้ปากอยู่ด้านข้าง การมีกลิ่นเหม็นถือเป็นเรื่องที่สาหัสมากเหมือนกันนะ
หลงเอ้อร์เหลือบมองนางแวบหนึ่ง ร้อง “หึ” หนึ่งทีแล้วเดินจากไป
เขารู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคือความยุ่งยาก ไม่ว่าจะพูดถึงสิ่งที่จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้ก็ตาม
หลงเอ้อร์เพิ่งจะเดินออกจากประตู จวีมู่เอ๋อร์ก็ส่งเสียงเรียก “ท่านหลงเอ้อร์ ช้าก่อน”
“ตอนนี้เจ้าไปไม่ได้” คราวนี้หลงเอ้อร์ตัดบทนางอย่างไม่เกรงใจ
“ในเมื่อไปไม่ได้ เช่นนั้นข้าขอบอกเรื่องบางอย่างแก่ท่านก่อน” จวีมู่เอ๋อร์หน้ายู่อย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ยังคงกวักมือให้หลงเอ้อร์เดินเข้ามาหา “ข้าจะบอกสิ่งที่ข้ารู้แก่ท่าน”
หลงเอ้อร์คิดว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากเขารู้เบาะแสที่มีประโยชน์ก็จะสามารถจัดการเรื่องราวได้ง่ายขึ้น
เขาสั่งให้สาวใช้ไปยืนรอที่หน้าประตู แล้วยกเก้าอี้จะไปนั่งตรงข้างเตียง รอฟังว่าจวีมู่เอ๋อร์จะพูดอะไร
ผลปรากฏว่าเพิ่งวางเก้าอี้ลง จวีมู่เอ๋อร์กลับเอ่ยว่า “ท่านอย่าเข้าใกล้ข้ามากเกินไป”
หลงเอ้อร์อารมณ์เสีย “เพราะเจ้าตัวเหม็นหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า หลงเอ้อร์ถลึงตาใส่นาง
“ข้าไม่ถูกเจ้ารมกลิ่นจนสิ้นสติแน่นอน”
“แต่ก็ยังมีกลิ่นเหม็นอยู่ดี” จวีมู่เอ๋อร์โบกมือ “ไกลออกไปสักนิดดีกว่า”
หลงเอ้อร์ย้ายเก้าอี้ให้ห่างออกไปเล็กน้อย จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แต่นางไม่รู้ว่าความจริงแล้วหลงเอ้อร์ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น เขาแอบมานั่งตรงข้างเตียง
จวีมู่เอ๋อร์หันไปทางเก้าอี้แล้วเริ่มพูด “ท่านหลงเอ้อร์ ตาของข้ามองไม่เห็นคนและสิ่งของ แต่ยังสามารถรับรู้ถึงแสงไฟรางๆ ได้ สมมติว่าหากจุดเทียนในห้องที่มืดมิด ข้าจะสามารถเห็นแสงเทียนนั้นได้เล็กน้อย แต่หากจุดในที่ที่สว่างสักหน่อย ข้าจะแยกไม่ออก” นางชะงักไปสักครู่ ขยับตัวไปชิดที่ตำแหน่งหัวเตียง พูดกับเก้าอี้ตัวนั้นอย่างจริงจัง “ท่านหลงเอ้อร์ เมื่อคืนตอนที่เดินอยู่บนทางเดินชั้นสองของโรงเตี๊ยม ข้าไม่รู้สึกถึงแสงไฟเลยแม้แต่น้อย ตอนที่ประตูห้องของเถ้าแก่จูเปิดออก ข้ามองไปก็ไม่เห็นแสงไฟเช่นกัน ดังนั้นในห้องเขาคงไม่ได้จุดไฟ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขากำลังนอนหลับ ในตอนที่เขากำลังหลับ คนร้ายก็บุกเข้าไปในห้อง เห็นได้ชัดว่าคนร้ายไม่ได้เข้าผิดห้องหรือฆ่าผิดคน แต่จะต้องแอบติดตามเถ้าแก่จูจนรู้ว่าเขาพักอยู่ที่ห้องใด ซ้ำยังดับโคมไฟตรงระเบียงทางเดินเพื่ออำพรางสายตาของผู้คนก่อนลงมือ”
หลงเอ้อร์ได้ฟังแล้วก็เอ่ยตอบ “เจ้าพูดถูก”
เมื่อเขาพูดก็เป็นการเปิดเผยตำแหน่งของตัวเอง จวีมู่เอ๋อร์รีบหันหน้ามาทันใด รู้สึกโมโหอยู่บ้าง “ท่านแกล้งข้าอีกแล้ว!”
“เปล่าเลย” หลงเอ้อร์ไม่ยอมรับ
เขาจะไม่บอกนางแน่นอนว่าการที่นางพูดกับเก้าอี้อย่างจริงจังนั้นน่าขำเพียงใด
จวีมู่เอ๋อร์มองไปทางหลงเอ้อร์ด้วยความโกรธ เมื่อครู่นางจริงจังถึงเพียงนั้น ช่างโง่งมเสียจริง นางเบ้ปาก ไม่อยากพูดอะไรอีก
หลงเอ้อร์รู้สึกผิดจนเอ่ยคำเพื่อปลอบนาง “เรื่องที่เจ้าพูดพอมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ก็พลาดไปอย่างหนึ่ง หากก่อนหน้านั้นพวกเขามีการต่อสู้กันในห้องแล้วทำตะเกียงดับไปก่อน ตอนเปิดประตูเจ้าก็จะมองไม่เห็นแสงเช่นกัน”
จวีมู่เอ๋อร์ตะลึง คิดไปแล้วเขาก็พูดถูก นางจึงพยักหน้า
หลงเอ้อร์เห็นว่าความสนใจของนางเบนไปที่คดีแล้วก็ยิ้มออกมา “แต่ที่เจ้าเดาก็ไม่ผิด ศพของเถ้าแก่จูสวมเพียงเสื้อตัวบาง คิดว่าคงนอนแล้วจริงๆ หากมีคนมาเยือน เขาก็สมควรต้องสวมเสื้อผ้ามิดชิดก่อนแล้วค่อยออกมาพบ ดังนั้นคงมีคนบุกเข้าไปตอนที่เขานอนหลับจริงๆ”
จวีมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ “คนร้ายสวมเสื้อเนื้อผ้าธรรมดา ข้าไม่ได้สัมผัสถูกใบหน้าของเขา แต่ในวันที่อากาศหนาวเช่นนั้น บนตัวเขากลับสวมเสื้อไม่หนา เขาปิดปากข้า ดึงข้าเข้าไปในห้อง หัวของข้าชนกับคางของเขา เขาคงจะสูงกว่าข้าประมาณครึ่งหัว ร่างกายแข็งแรงกำยำ ตอนนั้นข้าใช้ไม้เท้าตวัดถูกท้องของเขา เขาร้องเจ็บ บางทีที่ท้องอาจจะมีรอยช้ำเหลืออยู่ ข้าจับถูกมือของเขา หลังมือของเขาไม่เรียบเนียน เหมือนจะมีแผลเป็นเล็กๆ อยู่ นอกจากนี้ตอนที่เขาโยนตัวข้าลงบนพื้น ข้าข่วนข้อมือของเขา ตรงนั้นน่าจะเหลือร่องรอยอะไรอยู่บ้าง”
หลงเอ้อร์ฟังอย่างละเอียดจนจบ ย้อนนึกถึงทุกคนในโถงแล้วพูดว่า “โชคดีที่เจ้าไม่พูดสิ่งเหล่านี้ในโถงว่าการ”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ข้ารู้ว่าคำพูดเพียงอย่างเดียวไม่ได้เป็นหลักฐานที่แน่นหนา หากคนร้ายไม่อยู่ในโถง และไม่สามารถจับกุมตัวได้ในที่นั้น แล้วมีข่าวเล็ดลอดออกไป เช่นนั้นไม่เพียงไม่สามารถล้างมลทินให้หลงจู๊หลี่ว์ได้ ซ้ำยังทำให้คนร้ายตัวจริงไหวตัวทัน หากเขาวางแผนหลบซ่อนตัว พวกเราก็จะหาตัวเขาพบได้ยาก”
“แต่เจ้าบอกกับท่านเจ้าเมืองว่าเจ้าอาจมีเบาะแสสำคัญ เพียงแต่ยังคิดไม่ออก ถ้ามีคนนำสิ่งนี้ไปบอกแก่คนร้าย เกรงว่าเจ้าอาจจะมีอันตราย”
“หากข้าไม่พูดเช่นนั้นแล้วท่านเจ้าเมืองตัดสินโทษหลงจู๊หลี่ว์ทันทีเล่า”
“คดีร้ายแรงถึงชีวิตจะตัดสินโทษส่งเดชได้อย่างไร”
จวีมู่เอ๋อร์เบ้ปาก “ข้าไม่ใช่ขุนนางจะรู้ได้อย่างไร ในอดีตท่านซือก็เคยถูกตัดคอไปแล้วไม่ใช่หรือ”
หลงเอ้อร์ตะลึง ท่านซืออะไรถูกตัดคอนะ
จวีมู่เอ๋อร์พูดต่ออย่างรวดเร็ว “ในตอนนั้นข้าคิดแล้วว่ารอให้ออกจากจวนว่าการก่อนก็จะมาขอพบท่าน” นางพูดถึงตรงนี้ใบหน้าก็แดงก่ำ “ตอนที่ฮูหยินของเถ้าแก่จูทุบตีข้า ตัวนางมีกลิ่นหอมเลี่ยนๆ เหมือนน้ำมันหอมอะไรสักอย่าง บนตัวคนร้ายก็มีกลิ่นแบบเดียวกันนี้”
หลงเอ้อร์ครุ่นคิด กลิ่นน้ำมันหอมเลี่ยนๆ หรือ จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าจูฟู่พักอยู่บนถนนผิงหยาง และบนถนนสายนั้นก็มีร้านน้ำมันหอมอยู่ร้านหนึ่งจริง
จวีมู่เอ๋อร์พูดต่อ “สิ่งที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ หากท่านเจ้าเมืองไม่เชื่อคำของข้า สามารถให้เขาทดสอบข้าได้”
“เจ้าได้พบกับคนร้าย เขาได้พูดอะไรอีกหรือไม่”
“ข้าขอให้เขาไว้ชีวิต บอกว่าข้าเป็นคนตาบอด ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ขอให้เขาอย่าฆ่าข้า เขาโยนข้าลงบนพื้นแล้วขยับเข้ามาใกล้เพื่อมองข้า ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจของเขา คิดว่าเขาคงกำลังดูให้มั่นใจว่าข้าตาบอดจริงหรือไม่ จากนั้นหัวของข้าก็ถูกตีแล้วหมดสติไป”
หลงเอ้อร์ครุ่นคิด “เขาคิดจะใส่ร้ายเจ้าโดยการทำหลักฐานเท็จ แม้จะทำได้อย่างรวดเร็ว แต่ดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าใครหากคิดอย่างละเอียดก็ต้องรู้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนฆ่า การตายของจูฟู่ ตำแหน่งและแรงในการแทงมีดล้วนไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะทำได้ ดังนั้นคนร้ายต้องเป็นคนฉลาด แต่กลับไม่ค่อยรอบคอบนัก”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า รู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผล ตอนนี้นางได้พูดทุกอย่างออกมาหมดแล้วจึงโล่งอกและเวียนหัวขึ้นมาทันที ดังนั้นจึงล้มตัวลง คิดจะนอนพักสักหน่อย
หลงเอ้อร์ร้อนรน โน้มตัวไปดึงนางไว้ “เจ้าเป็นอะไร”
“ข้าพูดจบแล้ว นอนได้แล้ว”
คำตอบนี้ทำให้หลงเอ้อร์อึ้งไป จากนั้นก็เกิดโมโห “นอนอะไรกัน ลุกขึ้นมากินอาหารดื่มยาก่อน จู่ๆ ล้มตัวลงนอนโดยไม่พูดไม่จา มีอย่างที่ไหนกัน พวกเรายังคุยกันอยู่เลยนะ!”
จวีมู่เอ๋อร์ตอบกลับด้วยเสียงเบาหวิว “แล้วท่านที่เปลี่ยนที่นั่งโดยไม่บอกกล่าวเล่า ตอนนั้นพวกเราก็คุยกันอยู่เช่นกัน”
หลงเอ้อร์สะอึก เขาไม่สนใจนาง หันหน้าไปพูดกับสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตู “อาหารล่ะ ยาล่ะ ตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่มาอีก”
สาวใช้ตอบรับลนลาน รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หลงเอ้อร์ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้ลุกขึ้น “อย่าเพิ่งนอน หากนอนตอนนี้แล้วยามลุกขึ้นมาจะยิ่งรู้สึกไม่ดี อดทนหน่อย กินอะไรสักนิด ดื่มยาแล้วค่อยนอน”
“เช่นนั้นปล่อยให้ข้าอยู่ที่บ้านยังดีเสียกว่า หากอยู่ที่บ้าน ข้ายังคงนอนหลับสบายได้”
“เจ้ายังจะมีหน้ามาพูดอีก หากอยู่ที่บ้าน เกรงว่าแม้เจ้าจะนอนจนตายไปแล้ว พ่อของเจ้าก็คงยังเฝ้าเตาถ่านอุ่นยาอยู่อย่างนั้น ไม่ไปดูว่าเจ้าไข้ขึ้นได้อย่างไร ยาก็ไม่ได้ให้เจ้ากินตามเวลา ป่วยหนักก็ไม่ไปตามท่านหมอมาดูอาการ หากไม่หายก็ต้องเปลี่ยนยากิน”
“ถ้าป่วยหนักแล้วไม่ได้นอน อาจจะตายเร็วขึ้นก็ได้นี่”
“พูดจาเหลวไหล” หลงเอ้อร์อยากจะเอานิ้วจิ้มหน้าผากของนางนัก เขาประคองให้นางขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “ข้าจะอยู่ดูเจ้ากินอาหารดื่มยาให้เสร็จแล้วค่อยไป”
“อืม” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาทั้งสองไม่ยอมเปิด อย่างไรเสียก็อยู่ในท่านั่งพิง นางนั่งหลับได้
นางเป็นเช่นนี้หลงเอ้อร์ก็รู้สึกอึดอัดใจ นางไม่อยากสนใจเขาแล้วหรืออย่างไร เมื่อครู่ตอนพูดถึงคดียังมีท่าทางดีอยู่เลย พอพูดจบนางก็จะไม่สนใจกันแล้วหรือ
เขาจะทำให้นางสนใจเขาให้ได้
หลงเอ้อร์ผลักนางเบาๆ จวีมู่เอ๋อร์ขมวดหัวคิ้ว เขาหยิกแก้มนาง นางปัดมือเขาออกแล้วย่นจมูก ท่าทางเหมือนเด็กกำลังไม่พอใจทำให้หลงเอ้อร์หัวเราะออกมา
จวีมู่เอ๋อร์ถูกกวนจนรู้สึกรำคาญ นางชี้นิ้วไปทางเก้าอี้แล้วพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ช่วยส่งเก้าอี้ตัวนั้นให้ข้าที”
“จะเอาเก้าอี้ไปทำไม”
“หากข้าเบื่อจะได้นั่งคุยกับมัน ข้าตั้งชื่อให้มันว่า ‘เอ้อร์จื่อ’* ”
หลงเอ้อร์นิ่งอึ้ง เขาถูกนางเหน็บเข้าอีกแล้ว!
หลงเอ้อร์ไม่พอใจ เขาไม่พูดอะไร เพียงสะบัดปลายแขนเสื้อแล้วหมุนตัวเดินจากไป
หญิงที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณผู้นี้!
ใครบอกว่าเขาหลงเอ้อร์ใจร้าย นางสิถึงจะเรียกว่าใจร้าย!
หากเขายังดีต่อนาง เขาก็คือ…ก็คือ…ก็คือเอ้อร์จื่อ!
หลงเอ้อร์จากไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ ทำให้สาวใช้สองคนที่ยกถาดมาทั้งตกใจและสงสัย พวกนางไม่เคยเห็นนายท่านรองพูดคุยกับหญิงสาวคนใดแล้วมีท่าทางเช่นนี้มาก่อน
เริ่มแรกนายท่านรองก็ปล่อยให้หญิงสาวผู้นี้พูดเรื่องผมเหม็นหรือไม่เหม็น ซ้ำนางยังทำหน้ายู่เบ้ปากอีกด้วย สักพักก็คุยกันหัวเราะเสียงดังสนุกสนาน พวกนางนำอาหารและยามาให้ช้า นายท่านรองก็โมโห แต่พอพวกนางรีบนำของมาส่ง ผ่านไปแค่เพียงครู่เดียว นายท่านรองกลับโมโหและทะเลาะกับหญิงผู้นี้จนหัวเสีย
นายท่านรองเป็นอะไรไป มีความสัมพันธ์ใดกับหญิงสาวผู้นี้กัน
เหล่าสาวใช้ล้วนเป็นคนของแม่นมอวี๋ ดังนั้นพวกนางจึงตัดสินใจว่าอีกสักครู่จะต้องไปรายงานข่าว
ตอนที่แม่นมอวี๋ได้รับข่าวและไปแอบดูจวีมู่เอ๋อร์ หลงเอ้อร์ก็ไปถึงที่ว่าการแล้ว เขาให้คนไปแจ้งท่านเจ้าเมือง ส่วนตัวเองไปเยี่ยมหลงจู๊หลี่ว์ในคุกก่อน
หลี่ว์ซือเสียนเห็นท่านหลงเอ้อร์ก็ดีใจ ท่านหลงเอ้อร์ปลอบเขาว่าไม่ต้องเป็นกังวล เรื่องราวมีเบาะแสแล้ว เขาจะต้องพ้นผิดอย่างแน่นอน
เมื่อหลี่ว์ซือเสียนได้รับคำยืนยันจากหลงเอ้อร์ก็มีท่าทางสบายใจขึ้นมาก หลงเอ้อร์ให้เขานึกย้อนไปถึงเรื่องในวันนั้นอย่างละเอียด หลี่ว์ซือเสียนจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง
หลงเอ้อร์เอ่ยถาม “ตอนที่เจ้าไปถึงโรงเตี๊ยม บนระเบียงได้จุดโคมไฟไว้หรือไม่ และในห้องของเถ้าแก่จู ตะเกียงถูกจุดอยู่หรือไม่”
“ไม่มีเลยขอรับ ทุกอย่างมืดสนิท แต่ข้าน้อยถือโคมไฟไว้ในมือ ดังนั้นเมื่อไปถึงจึงเห็นได้ทันที”
หลงเอ้อร์พยักหน้า สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องร้านของหลงจู๊หลี่ว์กับจูฟู่ หลี่ว์ซือเสียนตอบกลับอย่างตั้งใจ จากนั้นหลงเอ้อร์ก็พูดปลอบใจเขาหลายประโยค บอกให้เขารอต่อไปอีกสักนิด เรื่องราวจะต้องกระจ่างในไม่ช้า
หลงเอ้อร์แวะไปเยี่ยมหลี่ว์ซือเสียนเสร็จแล้ว เขาก็ไปขอพบท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิง วันนี้ชิวรั่วหมิงออกไปตรวจสอบคดีนอกจวนว่าการ เพิ่งกลับมาเมื่อครู่ เมื่อได้ยินว่าหลงเอ้อร์มาขอพบจึงรีบเอ่ยปากเชิญ
คนทั้งสองทักทายกันหลายประโยค จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อเข้าสู่เรื่องคดีทันที หลงเอ้อร์เล่าเรื่องราวที่จวีมู่เอ๋อร์บอกกับตนแก่ชิวรั่วหมิงทั้งหมด และบอกว่าวันนี้นางไม่สบายป่วยไข้ ร่างกายอ่อนแอจึงไม่สะดวกจะมาพบ รอให้ร่างกายดีขึ้นสักนิดแล้วจะมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเองอีกครั้ง
ชิวรั่วหมิงได้ฟังแล้วก็ตกใจอย่างมากจนถึงขั้นไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่เคยคิดเลยว่าหญิงตาบอดคนหนึ่ง เมื่อพบเจอสถานการณ์อันตรายเช่นนั้น จะสามารถสงบใจจับสังเกตจดจำสิ่งรอบด้านได้ดีถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงจำได้มากกว่าคนตาดีเสียอีก
ชิวรั่วหมิงนิ่งเงียบ เขากำลังคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่หลงเอ้อร์จะสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อปกป้องหลี่ว์ซือเสียนเสียเอง
หลงเอ้อร์รู้ถึงความคิดของชิวรั่วหมิง หากเขาไม่ได้พูดคุยกับจวีมู่เอ๋อร์ด้วยตัวเองมาหลายต่อหลายครั้ง ก็คงไม่เชื่อว่านางจะฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้เช่นกัน
“ใต้เท้า ถึงแม้แม่นางจวีผู้นี้จะตาบอด แต่ก็เป็นคนที่ฉลาดเกินใคร ข้ารู้จักกับนางมาระยะหนึ่ง กล้ายืนยันในเรื่องนี้ หากใต้เท้ามีข้อสงสัย รอให้นางสุขภาพดีขึ้นสักหน่อยแล้วค่อยทดสอบนางอีกครั้งก็ได้” ชิวรั่วหมิงใคร่ครวญแล้วพยักหน้า หลงเอ้อร์จึงพูดต่อว่า “ตามคำบอกเล่าของแม่นางจวี กลิ่นน้ำมันหอมบนตัวของจูเฉินซื่อคล้ายกับของคนร้ายมาก เมื่อคืนในโถงว่าการ จูเฉินซื่อที่เข้ามาพบศพของจูฟู่ก็โถมตัวเข้าไปหาแล้วร้องไห้ หากแต่ไม่ได้โถมไปบนตัวเขา แต่กลับโถมไปข้างตัวเขา ถ้าเป็นสามีภรรยาที่รักกันลึกซึ้งจริงๆ การกระทำเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดอยู่บ้าง อีกอย่างหนึ่ง ตอนที่ใต้เท้าไต่สวนหลงจู๊หลี่ว์ นางก็พูดอย่างมั่นใจว่าหลงจู๊หลี่ว์เป็นคนร้าย ขอใต้เท้าให้ความเป็นธรรม แต่ตอนใต้เท้าไต่สวนแม่นางจวี นางก็พูดอย่างมั่นใจว่าแม่นางจวีเป็นคนร้าย โผเข้าไปทุบตี แม้จะบอกว่านางไม่มีพิรุธอะไร แต่ก็ดูแปลกอยู่บ้าง”
ชิวรั่วหมิงมองหน้าท่านหลงเอ้อร์อีกหลายทีอย่างอดไม่ได้ แม้ชื่อเสียงของเขาจะไม่ค่อยดี แต่กลับมีความสามารถในการพิจารณาสิ่งต่างๆ อยู่ไม่น้อย สิ่งที่เขาพูดก็เป็นจุดที่ชิวรั่วหมิงรู้สึกว่าผิดปกติเช่นกัน ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงไปที่พักของคนช่วยงานทั้งสองคนของจูฟู่ และไปหาจูเฉินซื่อเพื่อสอบถามข้อมูล แต่ก็ไม่พบจุดใดที่น่าสงสัย เดิมทีคิดจะกลับมาวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าท่านหลงเอ้อร์จะมาให้เบาะแสถึงที่
กลิ่นน้ำมันหอม?
ถนนผิงหยางที่บ้านของจูฟู่ตั้งอยู่ มีร้านน้ำมันหอมอยู่ร้านหนึ่งจริงๆ
ชิวรั่วหมิงสั่งให้มือปราบปลอมตัวไปลอบสืบข่าวที่ร้านน้ำมันหอมและบ้านของจูฟู่ รวมทั้งบอกให้หลงเอ้อร์รีบนำตัวจวีมู่เอ๋อร์มาสอบถามความ
หลงเอ้อร์รับปากแล้วอำลาจากไป
คดีนี้มีเบาะแสแล้ว หลงเอ้อร์โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง เขาไปที่ร้านน้ำชาก่อน ตรวจดูสภาพภายในร้านทุกร้านหนึ่งรอบ เมื่อเห็นว่าทุกคนทำงานได้อย่างปกติราบรื่นจึงกลับไปที่คฤหาสน์สกุลหลง
เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์และส่งม้าให้แก่คนเฝ้าประตูแล้ว เขาก็อยากจะไปดูว่าหญิงตาบอดตัวเหม็นผู้นั้นนอนหรือยัง ปรากฏว่ายังไปไม่ถึงเรือนที่พักของจวีมู่เอ๋อร์ก็เห็นเฟิ่งอู่ดึงตัวหลงเป่าบุตรสาวคนโตของนางซึ่งอายุห้าขวบวิ่งไปทางเรือนพักนั้นด้วยความเบิกบานใจ
“เร็วเข้า ฉวยโอกาสตอนลุงรองของเจ้ายังไม่กลับมารีบไปดูกัน”
หลงเอ้อร์โกรธจนหน้าดำไปทั้งแถบ คิดได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาเดินตามหลังสองแม่ลูกไป เห็นพวกนางมีท่าทางตื่นเต้นดีใจ วิ่งไปรวมตัวกับแม่นมอวี๋ที่กำลังแอบดูอยู่นอกหน้าต่างห้องพักของจวีมู่เอ๋อร์
“แม่นมๆ พวกเราเพิ่งกลับมา ตอนนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” เฟิ่งอู่พาหลงเป่านั่งยองๆ อยู่ด้านนอกหน้าต่าง
แม่นมอวี๋โบกมือ สาวใช้ด้านข้างก็รีบยกเก้าอี้มาให้สองตัว แม่นมอวี๋ดึงตัวเฟิ่งอู่กับหลงเป่าให้นั่งลง “นางนอนหลับแล้ว”
เฟิ่งอู่ยืดคอมองเข้าไปในหน้าต่าง “หลับแล้ว? เช่นนั้นพวกเรามาทำอะไรตรงนี้”
“มาคอยอย่างไรล่ะ ตอนกลางวันนางคงนอนได้ไม่นาน อีกสักครู่หากนางตื่นแล้วอาจจะได้คุยกัน สอบถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ นายท่านรองพาแม่นางคนงามกลับมาพักค้างแรมที่คฤหาสน์ นี่ย่อมเป็นเรื่องใหญ่”
“แม่นางคนงาม? แม่นมจะบอกว่าคนที่พี่รองเคยพามาไม่งามเช่นนั้นหรือ” เฟิ่งอู่ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แม่นม ท่านเล่าให้ฟังทีว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ อีกอย่าง สถานการณ์ตรงหน้านี้ไม่นับว่าเป็นการพักค้างแรมกระมัง ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ต้องผ่านกลางคืนก่อนจึงจะถือว่าใช่ ถูกต้องหรือไม่”
หลงเอ้อร์ทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาปรากฏตัวจากทางด้านหลังต้นไม้ กระแอมอย่างแรงสองที
สาวใช้ แม่นมอวี๋ เฟิ่งอู่ และหลงเป่าพากันหันมามองเขา สาวใช้มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแม่นมอวี๋กับเฟิ่งอู่สบตากัน แล้วเริ่มพูดคุยกันว่าวันนี้อากาศดีจริง เหมาะที่จะนั่งคุยกันในสวน มีเพียงหลงเป่าที่มีสีหน้าเป็นปกติ เด็กน้อยโผเข้ามากอดขาของเขาเอาไว้ เอ่ยเรียกเสียงหวาน “ลุงรอง”
หลงเอ้อร์อุ้มหลงเป่าขึ้นมาแล้วยกตัวเด็กน้อยให้ลอยสูง หลงเป่าหัวเราะคิกๆ เขาอุ้มนางเดินไปตรงหน้าแม่นมอวี๋ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่นม อะไรที่เรียกว่า ‘พาแม่นางคนงามกลับมาพักค้างแรม’ ข้าไม่เคยพาหญิงสาวคนไหนกลับมาพักค้างแรมนะ”
แม่นมอวี๋มีสีหน้าเก้อเขิน “สิ่งที่บ่าวอยากจะพูดก็คือนายท่านรองไม่เคยพาผู้หญิงมาพักค้างแรมที่คฤหาสน์มาก่อน เป็นไปได้ยากนักที่ท่านจะพากลับมาสักคน หนำซ้ำยังเป็นแม่นางคนงามเสียด้วย”
หลงเอ้อร์อดนิ่วหน้าไม่ได้ เขาวางตัวหลงเป่าลงบนพื้น แล้วพูดว่า “แม่นม อากาศดีถึงเพียงนี้ ท่านกับเฟิ่งเฟิ่งก็พาเด็กไปเดินเล่นเถอะ เชี่ยวเอ๋อร์ล่ะ เด็กคนนั้นยังเล็กมาก ปล่อยให้ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยไม่ได้ ดังนั้นก็รีบไปเถอะ”
เชี่ยวเอ๋อร์หรือหลงเชี่ยวเป็นลูกคนที่สองของหลงซานกับเฟิ่งอู่ เพิ่งจะเรียกพ่อแม่เป็น ปกติแม่นมอวี๋จะชอบเล่นกับนางเป็นที่สุด แต่ตอนนี้แม่นมอวี๋มองเข้าไปในห้องของจวีมู่เอ๋อร์อย่างอาวรณ์
หลงเอ้อร์ถอนหายใจ “แม่นม ใบบอกวันมงคลของปีหน้าที่ท่านให้ข้าในครั้งก่อนข้าหาไม่เจอแล้ว ท่านช่วยข้าเลือกวันด้วยเถอะ”
แม่นมอวี๋อ้าปากกว้าง สูดลมหายใจเข้าอย่างตกใจ พูดตะกุกตะกัก “เอ่อ…เอ่อ…จะแต่งคนเข้าหรือแต่งออกเจ้าคะ”
คราวนี้หลงเอ้อร์แทบจะรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งอยู่ไม่ไหว เฟิ่งอู่จึงรีบแก้ไขสถานการณ์
“พี่รองอย่าเพิ่งโกรธ แม่นมเพียงอยากจะถามเพื่อความมั่นใจว่าพี่รองจะแต่งงานเอง หรือว่าแค่ช่วยถามแทนคนอื่น”
แม่นมอวี๋รีบพยักหน้า ถูกต้อง นางหมายความเช่นนั้นแหละ
แม่นมอวี๋จ้องหลงเอ้อร์ตาไม่กะพริบ ท่าทางมีความหวังเหมือนกับหากหลงเอ้อร์ตอบว่าช่วยถามแทนผู้อื่น นางก็จะกระอักเลือดออกมาจริงๆ
“ข้าแต่งคนเข้า ส่วนนางแต่งออก” หลงเอ้อร์พูดพลางชี้นิ้วเข้าไปในห้องของจวีมู่เอ๋อร์
แม่นมอวี๋แทบจะร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติอยู่ตรงนั้น นี่ช่างเป็นข่าวดีที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นจริงๆ นางเดินวกไปวนมาไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดก่อนดี “บ่าวต้องไปจุดธูปบอกท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรองสักหน่อย โอ ไม่ถูกๆ บ่าวไปเลือกฤกษ์งามยามดีก่อนดีกว่า ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องเตรียม โอ ไม่เอาดีกว่า บ่าวจะรออยู่ตรงนี้ อีกสักครู่หากแม่นางตื่นขึ้นมาจะได้พูดคุยกันสักนิด”
หลงเอ้อร์ตะโกนเสียงดังอย่างอดไม่ได้ “แม่นม!”
แม่นมอวี๋สะดุ้ง สงบสติลงได้ในที่สุด “ก็ได้เจ้าค่ะๆ บ่าวจะไปเลือกวันดีก่อน จากนั้นค่อยไปบอกท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรอง รอให้แม่นางคนนี้ตื่นก่อน บ่าวค่อยมาดูนางทีหลัง”
หลงเอ้อร์พยักหน้าแล้วโบกมือให้แม่นมอวี๋รีบพาเฟิ่งอู่กับหลงเป่าไป
คราวนี้แม่นมอวี๋ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง นางดึงตัวเฟิ่งอู่กับหลงเป่าจากไปอย่างชื่นบาน หลงเอ้อร์กำลังจะโล่งอก แต่กลับเห็นแม่นมอวี๋วิ่งกลับมาด้วยความเร็วราวกับติดปีกบิน แล้วเอ่ยถามเขาว่า “นายท่านรอง แม่นางผู้นี้มีชื่อว่าอะไรเจ้าคะ”
“จวีมู่เอ๋อร์”
“ดีๆ ชื่อดียิ่งนัก บ่าวจะรีบไปบอกท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรอง” แม่นมอวี๋พูดจบก็วิ่งจากไปอีกครั้ง
หลงเอ้อร์กุมขมับ ร่างกายของแม่นมอวี๋แข็งแรงเหลือเกิน ดูจากการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วนั้นทำให้เขาทั้งดีใจและเป็นกังวลไปในคราวเดียวกัน
แม่นมอวี๋ไปแล้ว เฟิ่งอู่ไปแล้ว หลงเป่าก็ไปแล้ว คราวนี้รอบด้านเงียบสงบลง หลงเอ้อร์มองสาวใช้ที่ยืนเฝ้าประตูแวบหนึ่ง สาวใช้ผู้นั้นหดตัวรายงานเสียงสั่นว่า “แม่นางจวีดื่มยา กินข้าวต้มไปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็นอนหลับมาถึงตอนนี้เจ้าค่ะ”
หลงเอ้อร์ทำตาดุใส่นาง สาวใช้รู้ดีว่าผู้เป็นนายกำลังตำหนิที่นางแจ้งข่าวแก่แม่นมอวี๋จึงยิ่งตัวสั่นขึ้นไปอีก โชคดีที่เขาไม่ได้พูดอะไร หมุนตัวเข้าห้องไป
ภายในห้อง จวีมู่เอ๋อร์กำลังห่มผ้านอนหลับอย่างสบาย ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ หลงเอ้อร์แตะหน้าผากนางก็รู้สึกว่าไม่ร้อนแล้ว ใบหน้าเล็กซับสีเลือด ตามลำคอมีเม็ดเหงื่อผุดอยู่เล็กน้อย คงเพราะขับเหงื่อออกมาตอนที่นอนหลับทำให้ไข้ลดลง
หลงเอ้อร์ดูผ้าพันแผลบนหัวของนาง คราบเลือดไม่มี คิดว่าเลือดคงหยุดแล้ว นางนอนหลับสบายถึงเพียงนี้ บางทีแผลคงไม่เจ็บมากแล้วกระมัง
หลงเอ้อร์ยกเก้าอี้มาที่ข้างเตียง คิดจะนั่งเป็นเพื่อนนางสักครู่ เมื่อเห็นว่านางยังไม่ตื่นจริงๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เมื่อครู่เสียงของพวกแม่นมอวี๋ดังไม่น้อย แต่นางกลับไม่ตื่น เป็นเช่นนี้ก็ดี นางจะได้ไม่ต้องได้ยินเรื่องที่แม่นมอวี๋พูดว่าเขาพาผู้หญิงกลับมาแล้วเก็บไปคิดให้วุ่นวายใจ
หลงเอ้อร์นั่งเงียบๆ อยู่สักพักก็คิดขึ้นได้ว่าเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่มีชื่อว่า ‘เอ้อร์จื่อ’ เขานึกโกรธจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมาทันที จึงใช้นิ้วจิ้มแก้มของนาง ยายตัวร้ายคนนี้ชอบยั่วให้เขาโกรธเหลือเกิน
จวีมู่เอ๋อร์ถูกจิ้มแก้มแต่ไม่มีปฏิกิริยาใด หลงเอ้อร์จิ้มอีกครั้ง คราวนี้นางยู่ปากขมวดคิ้ว เกาตรงตำแหน่งที่ถูกจิ้ม แล้วพลิกตัวนอนต่อ
หลงเอ้อร์เม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกไม่สบอารมณ์ ทำขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมตื่นอีกหรือ เขาที่มานั่งเฝ้านางนอนหลับช่างเป็นคนโง่อันดับหนึ่งจริงๆ เขาตัดสินใจไม่สนใจนาง ที่หอหนังสือยังมีงานอีกมากให้เขาทำ
เมื่อคิดดังนี้หลงเอ้อร์ก็เดินออกไปจริงๆ เขากำชับสาวใช้เฝ้าประตูว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนนาง หากนางตื่นแล้วต้องมาแจ้งเขาก่อน อย่าให้ผู้ใดรู้ก่อนเขาว่านางตื่นแล้วมารบกวนนางเด็ดขาด
สาวใช้ที่ถูกจับได้ก่อนหน้ารู้สึกกลัว จึงรีบตอบรับแล้วบอกว่าต่อไปไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว
หลงเอ้อร์ไปที่หอหนังสือด้วยความพึงพอใจ หากเขาอยู่ในบ้าน ทุกบ่ายจะต้องกินอาหารว่างหนึ่งมื้อตามความเคยชิน บ่าวเข้ามาถาม จากนั้นก็ยกเกี๊ยวกุ้งมาให้หนึ่งเข่ง หลงเอ้อร์กินแล้วก็นึกถึงคนที่กำลังนอนขี้เซา หากนางตื่นแล้วจะหิวหรือไม่ กินข้าวต้มเพียงเล็กน้อยคงจะไม่อิ่ม ดังนั้นเขาจึงสั่งให้คนไปที่ห้องครัวบอกให้นึ่งของว่างเตรียมไว้สักหน่อย
เมื่อหลงเอ้อร์กินของว่างหมดจึงตรวจเอกสารต่อ รออยู่นานก็ไม่เห็นคนมาแจ้งว่าจวีมู่เอ๋อร์ตื่นแล้ว ทำให้เขาอยากจะไปดูด้วยตัวเอง แต่ก็คิดว่าไม่ควรทำให้เหล่าบ่าวไพร่เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับนางมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงทำเหมือนไม่ได้ใส่ใจนางเลยแม้แต่น้อย ยังคงรอให้คนมารายงานเอง
รอต่อไปอีกพักใหญ่ หลี่เคอก็กลับมา
หลี่เคอรับคำสั่งพาพวกสายสืบไปสืบคดีของหลงจู๊หลี่ว์ เขานำข่าวเกี่ยวกับจูเฉินซื่อที่นายท่านรองให้พวกเขาคอยจับตาดูกลับมา ในทีแรกพวกเขาสืบไม่เจออะไรเพราะหลังจากจูเฉินซื่อออกจากโถงว่าการไปแล้วก็เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมพบผู้ใด ขณะที่เหล่าสายสืบกำลังเฝ้าคอยอย่างเบื่อหน่าย กลับพบมือปราบของจวนว่าการสวมใส่ชุดธรรมดาเข้าไปที่ร้านน้ำมันหอมแล้วทำทีซื้อตะเกียงเพื่อสืบความ
เดิมทีไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่มือปราบที่เพิ่งเริ่มพูดคุยได้ไม่กี่คำก็ถูกคนรู้จักที่เข้ามาซื้อน้ำมันหอมทักว่าวันนี้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาซื้อตะเกียงได้ เพียงเท่านั้นฐานะของมือปราบผู้นั้นก็ถูกเปิดเผยออกมา
มือปราบทักทายหลายคำแล้วจากไป แต่เหล่าสายสืบกลับพบว่าเถ้าแก่ร้านน้ำมันหอมมีท่าทางลนลานอยู่ไม่เป็นสุข ดังนั้นจึงคอยเฝ้าดูอยู่ เถ้าแก่ผู้นั้นทิ้งร้านให้เด็กช่วยงานดูแล ส่วนตัวเขาก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าวิ่งออกไปทางประตูหลังเพื่อพบกับจูเฉินซื่อ
หลี่เคอรู้ว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำจึงส่งสายสืบคนหนึ่งไปแจ้งมือปราบ ส่วนเขานำเหล่าสายสืบลอบเข้าไปในบ้านของสกุลจู แอบฟังว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันบ้าง
เถ้าแก่ร้านน้ำมันหอมชื่อเริ่นเป่าชิ่ง เป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำอายุสามสิบกว่าปี จูเฉินซื่อเห็นเขามาหาก็มีท่าทางตกใจมาก คนทั้งสองพากันหลบๆ ซ่อนๆ เข้าไปในบ้าน
เริ่นเป่าชิ่งพูดว่า ‘เจ้าบอกอะไรกับทางการใช่หรือไม่ ทำไมวันนี้พวกเขาต้องไปที่ร้านของข้าด้วย’
จูเฉินซื่อตกใจจนสะดุ้งดีดตัวลุกขึ้นยืน ‘อะไรนะ เป็นไปได้อย่างไร เขาถามอะไรเจ้า’
‘ยังไม่ทันได้ถามก็มีแขกคนหนึ่งจำได้ว่าเขาคือมือปราบ แต่หากพวกเขาไม่รู้อะไร จะปลอมตัวมาสืบความที่ร้านข้าทำไม ไม่ได้การแล้ว พวกเรารีบหนีไปจากที่นี่กันเถอะ’
‘จะไปได้อย่างไร ท่านเจ้าเมืองบอกเอาไว้ว่าจะมาสอบถามความจากข้าได้ทุกเมื่อ หากข้าจากไปก็จะทำให้เขาสงสัยได้ไม่ใช่หรือ’
‘เช่นนั้นข้าไปเอง ตอนนี้มีข่าวหนาหู หากพวกเขาตรวจสอบต่อไปจะต้องสาวมาถึงตัวข้าแน่นอน ข้าดูแลเจ้าไม่ได้แล้ว’
หลี่เคอฟังถึงตรงนี้ก็เข้าใจเจ็ดแปดส่วน ต่อมาคนทั้งสองยังเถียงกันว่าจะไปที่ไหนจะหนีอย่างไร ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเรื่องคดีอีก เริ่นเป่าชิ่งบอกว่าหากจูเฉินซื่อตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะไปเอง และจะไปทันทีด้วย
หลี่เคอเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบลอบออกมา และได้พบเข้ากับสายสืบที่พามือปราบกลับมาพอดี หลี่เคอเล่าสิ่งที่ตนได้ยินให้เขาฟัง มือปราบรู้สึกว่าเรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ดังนั้นจึงรีบกลับไปขอหมายจับจากจวนว่าการ แล้วเข้าจับกุมตัวคนทั้งสองที่กำลังเก็บสัมภาระเตรียมหลบหนีได้คาบ้าน
หลงเอ้อร์ฟังรายงานจากหลี่เคอจบก็รู้สึกดีใจมาก “เมื่อคนร้ายตัวจริงถูกจับ หลงจู๊หลี่ว์ก็ใกล้จะได้ออกมาแล้ว”