ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด – หน้า 7 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

บทที่เจ็ด

หลงเอ้อร์คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะจบได้ไม่ง่ายนัก

ตกกลางคืน ในที่สุดจวีมู่เอ๋อร์ที่นอนมาทั้งวันก็ตื่นขึ้น ช่วงอาหารเย็นนางถูกปลุกให้ลุกขึ้นมากินอาหาร ดื่มยา จากนั้นก็นอนหลับต่อ แม้ว่าพ่อของนางจะไม่วางใจและมาตามหานางที่คฤหาสน์สกุลหลง นางก็ไม่รู้เรื่อง

ผู้เฒ่าจวีที่มาถึงคฤหาสน์สกุลหลงถูกคนสกุลหลงรับรองให้เป็นแขกทรงเกียรติ หลงเอ้อร์ฉวยโอกาสนี้พูดเรื่องการแต่งงานกับเขา

ผู้เฒ่าจวีสับสนงุนงง บุตรสาวของเขามาเป็นพยานให้แก่คดีมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ได้ไปที่จวนว่าการ แต่กลับมานอนอยู่ในคฤหาสน์ของผู้อื่นทั้งวัน เรื่องนี้วางไว้ก่อน แต่เหตุใดบุตรสาวของเขายังไม่ตื่นนอน ผู้อื่นก็มาประกาศปาวๆ ว่าจะขอแต่งงานด้วย!

ผู้เฒ่าจวีตะลึงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะคืนสติกลับมาได้ “จะแต่งหรือไม่ ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องฟังคำของมู่เอ๋อร์”

คนสกุลหลงทั้งหมดที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่ด้านข้างต่างไร้คำพูด ผู้เป็นพ่อคนนี้ช่างเคารพการตัดสินของลูกจริงๆ!

ดังนั้นทุกคนจึงรอให้จวีมู่เอ๋อร์ตื่น ยังรอไม่ถึงตอนนั้นก็มีมือปราบผู้หนึ่งนำทหารประจำการสองนายมาที่คฤหาสน์ บอกว่าท่านเจ้าเมืองต้องการเชิญตัวแม่นางจวีไปชี้ตัวคนร้าย

คราวนี้เป็นเรื่องสำคัญ หลงเอ้อร์คิดว่าผู้หญิงที่ห่วงนอนผู้นี้คงนอนมากพอแล้วจึงส่งคนไปปลุกนาง ผู้เฒ่าจวีสงสารบุตรสาว บอกว่าปกติบุตรสาวก็เป็นเช่นนี้ ทุกวันจะเข้านอนเร็ว หากนอนไม่พอก็ต้องนอนนานเป็นสองเท่าจึงจะสามารถชดเชยได้

ขณะที่ผู้เฒ่าจวีกำลังพูดอยู่ สาวใช้ก็เดินนำจวีมู่เอ๋อร์เข้ามา จวีมู่เอ๋อร์ที่ไข้ลดลงและได้นอนเต็มอิ่มแล้วดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก นางได้ยินว่ามีทหารมาตามตัวนางให้ไปชี้ตัวคนร้ายจึงรีบตอบรับ บอกว่าจะไปในทันที

ดังนั้นแม่นมอวี๋จึงไม่ทันได้พิจารณานางอย่างละเอียด หลงเอ้อร์กับผู้เฒ่าจวีก็พาจวีมู่เอ๋อร์ตามมือปราบและทหารของจวนว่าการออกจากบ้านไปเสียแล้ว

แม่นมอวี๋คิดอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็เข้าใจคำว่า ‘พิเศษ’ ที่นายท่านรองพูดถึง ‘ต้องพิเศษจนทำให้ทุกคนไม่สนใจรูปโฉม นิสัย หรือความสามารถของนาง’

แม่นมอวี๋ครุ่นคิด แม่นางผู้นี้เป็นเช่นนั้นจริง นอกจากแม่นมเห็นว่านางพิเศษแล้วก็จำไม่ได้เลยว่านางมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่านิสัยเป็นเช่นไร มีความสามารถอะไรหรือไม่

อืม…ก็เป็นความพิเศษจริงๆ เสียด้วย

 

หลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าแม่นมอวี๋ ‘เข้าใจ’ ถึง ‘ความพิเศษ’ ที่เขาเคยพูดถึง เขาพาจวีมู่เอ๋อร์ไปที่จวนว่าการ ชิวรั่วหมิงพูดนัดแนะกับพวกเขาก่อนเรียกคนให้คุมตัวเริ่นเป่าชิ่งเข้ามาให้จวีมู่เอ๋อร์ชี้ตัว

เพื่อไม่ให้กระทบถึงการวิเคราะห์ของจวีมู่เอ๋อร์ ชิวรั่วหมิงไม่ได้พูดอะไรกับนางมากนัก เพียงกระซิบบอกหลงเอ้อร์ว่า “ท่านหลงเอ้อร์ คำพูดของแม่นางคนนี้ที่ท่านบอกมาล้วนถูกต้องทั้งหมด เริ่นเป่าชิ่งมีรูปร่างปานกลาง ร่างกายแข็งแรงกำยำ บนหลังมือมีแผลเป็นเล็กๆ ที่เกิดจากสะเก็ดน้ำมัน แต่บนหน้าท้องของเขาไม่มีรอยช้ำจากการถูกไม้เท้าฟาด ที่ข้อมือก็ไม่มีรอยข่วน แต่อาจจะเกิดจากแม่นางจวีมีแรงน้อยเกินไปจนไม่สามารถทำให้คนร้ายบาดเจ็บได้ตามที่นางคิด ส่วนข้ออื่นๆ ล้วนเป็นไปตามที่นางพูด”

หลงเอ้อร์พยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “เขายอมรับหรือยัง”

“ยัง บอกว่าให้ตายก็ไม่ยอมรับ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าหากแม่นางจวีมาชี้ตัว อาจจะทำให้เขายอมเปิดปาก”

หลงเอ้อร์พยักหน้าอีกครั้ง เขาเห็นจวีมู่เอ๋อร์เอียงหูคอยฟังเสียง เริ่นเป่าชิ่งถูกคุมตัวเข้ามาก็เอาแต่ร้องว่าถูกใส่ร้ายมาตลอดทาง จวีมู่เอ๋อร์ที่ได้ยินเสียงของเขา สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

เมื่อเริ่นเป่าชิ่งเห็นจวีมู่เอ๋อร์ก็ตะโกนเสียงดัง “ข้าไม่เคยเห็นนางมาก่อน ข้าไม่ได้ฆ่าเถ้าแก่จู! ใต้เท้า ข้าถูกใส่ร้าย!”

ชิวรั่วหมิงไม่สนใจ เพียงเรียกจวีมู่เอ๋อร์ “แม่นาง”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า เดินสองก้าวเข้าไปหาเริ่นเป่าชิ่ง นางเอ่ยถาม “ใต้เท้า ข้าลูบมือของเขาได้หรือไม่”

ชิวรั่วหมิงตอบรับ ตอนนี้ผ่านมาแล้วหนึ่งวัน เสื้อผ้าและกลิ่นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปจากวันเกิดเหตุ หากเป็นนั้น สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ก็น่าจะมีเพียงรอยแผลเป็นเท่านั้น

ผู้เฒ่าจวีที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกกังวล กลัวว่าคนเลวคนนี้จะทำร้ายบุตรสาวของตน จึงเดินเข้าไปประคองจวีมู่เอ๋อร์ คิดว่าหากคนร้ายจะทำร้ายนางจริงๆ เขาก็สามารถขวางเอาไว้ได้

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วแน่น หญิงผู้นี้มาขอแต่งงานกับเขา แต่ตอนนี้กลับจะไปลูบมือชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งต่อหน้าต่อตาเขา

เขามองดูจวีมู่เอ๋อร์ลูบมือของเริ่นเป่าชิ่งรอบแล้วรอบเล่า จนเขาอยากจะตัดมือข้างนั้นออกมาให้นางลูบจนกว่าจะพอใจเสียจริง

ทุกคนรออยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดจวีมู่เอ๋อร์ก็ลูบจนพอใจ นางหยุดการกระทำแล้วถอยหลังกลับมาสองก้าว เริ่นเป่าชิ่งตัวสั่นประนมมือด้วยความหวาดกลัว

ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยขึ้นในที่สุด “ไม่ใช่เขา”

เริ่นเป่าชิ่งได้ฟังก็ร้องไห้โฮออกมาทันที เขาร้องไห้พลางตะโกนว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยถูกใส่ร้าย ข้าน้อยถูกใส่ร้าย”

ชิวรั่วหมิงขมวดคิ้ว “แม่นางจวี เจ้ามั่นใจหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “เรียนใต้เท้า หลังมือของคนคนนี้มีรอยแผลเป็นมากกว่าของคนร้าย และมีรอยแผลเป็นหนึ่งที่ค่อนข้างลึกซึ่งคนร้ายไม่มี”

เริ่นเป่าชิ่งโขกหัวอย่างต่อเนื่อง ตะโกนร้องเสียงดัง “ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้ชัดแจ้งด้วย ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้ชัดแจ้งด้วย”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว ขยับเข้าไปดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้ถอยห่างออกจากเริ่นเป่าชิ่งเล็กน้อย หากคนผู้นี้ตื่นตระหนกจะได้ไม่พุ่งตัวเข้ามาชนนาง จากนั้นก็หาเก้าอี้มาให้นางนั่ง ผู้เฒ่าจวีแอบเหลือบมองท่านเจ้าเมือง เห็นท่านเจ้าเมืองเหมือนจะไม่ถือสา ดังนั้นผู้เฒ่าจวีจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างจวีมู่เอ๋อร์

ชิวรั่วหมิงหลุบตาลงคิดใคร่ครวญสักครู่ แล้วให้ทหารประจำการคุมตัวเริ่นเป่าชิ่งออกไป จากนั้นเขาก็พูดถึงรายละเอียดการสอบปากคำจูเฉินซื่อกับเริ่นเป่าชิ่งให้แก่หลงเอ้อร์และจวีมู่เอ๋อร์ฟัง

 

เดิมทีจูเฉินซื่อแต่งงานกับจูฟู่มาหลายปี แม้จูฟู่จะดีต่อนาง แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีความสามารถในการให้กำเนิดบุตร หลายปีผ่านไปก็ยังไม่ท้องสักที และนางก็ถูกจูฟู่ตำหนิเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง นางรู้สึกทุกข์ใจแต่ก็โอดครวญไม่ได้ เมื่อได้รับการว่ากล่าวจากจูฟู่มากเข้าก็รู้สึกเสียใจเป็นที่สุด

วันหนึ่งนางไปซื้อน้ำมันหอมที่ร้านน้ำมันหอมบนถนนสายนั้นก็ได้พบกับเริ่นเป่าชิ่ง เริ่นเป่าชิ่งที่ยังอายุน้อยมีร่างกายแข็งแรงกำยำ ดูมีชีวิตชีวากว่าจูฟู่ถึงร้อยเท่า กอปรกับเขาเล่นหูเล่นตากับนาง นางจึงมีใจลิงโลดขึ้นมาในทันใด

ต่อจากนั้นนางก็มักจะไปซื้อน้ำมันหอมที่ร้านขายน้ำมันหอม แล้วถูกเริ่นเป่าชิ่งพูดจาแทะโลมหยอกเย้าเป็นประจำ คนทั้งสองจึงเริ่มผูกพันจนกลายเป็นการคบชู้ ทำเรื่องน่าอับอายขึ้นมา

แรกเริ่มจูเฉินซื่อก็รู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นว่าจูฟู่เอาใจใส่แต่เรื่องร้าน ไม่ค่อยสนใจตัวนาง ประกอบกับเริ่นเป่าชิ่งหยอดคำหวานใส่นางบ่อยๆ นางจึงค่อยๆ มีความกล้าขึ้นมา เมื่อเริ่นเป่าชิ่งบอกว่าเงินขาดมือไม่พอใช้ นางก็จะลักลอบเอาเงินให้เขา เมื่อเป็นเช่นนี้เริ่นเป่าชิ่งจึงยิ่งเกาะติดนางมากขึ้น

ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดำเนินมาได้ประมาณครึ่งปี ที่ผ่านมาจูฟู่ไม่ได้สังเกตเห็น แต่ก่อนวันที่จะถูกฆ่า จูฟู่ลืมสมุดบัญชีจึงกลับบ้านไปเอา เขาเห็นจูเฉินซื่อทำท่าทางลับๆ ล่อๆ กำลังออกจากบ้านไปพอดี จูฟู่สงสัยจึงแอบเดินตามไป เหตุการณ์นี้ทำให้เรื่องการคบชู้ระหว่างจูเฉินซื่อกับเริ่นเป่าชิ่งเปิดเผยออกมา

จูฟู่โมโหมาก เอ่ยปากด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ทั้งสองคนตกใจจนไม่รู้จะทำเช่นใด ได้แต่เพียงบอกว่าหลงผิดไปชั่วขณะ ต่อไปไม่กล้าทำอีกแล้ว ขอให้จูฟู่ให้อภัย

จูฟู่เป็นคนรักหน้าตาจึงไม่แจ้งทางการ เพียงลากตัวจูเฉินซื่อกลับบ้านแล้วด่ากราดอย่างแรงอีกหนึ่งยก

คืนวันนั้นจูฟู่ไม่ได้นอน ส่วนจูเฉินซื่อก็หวาดกลัวจนนอนขดตัวอยู่บนเตียงไม่กล้าหลับ ยามเมื่อฟ้าสาง จูฟู่ได้บอกกับนางว่าอย่างไรเสียร้านนี้ก็ขาดทุนมาโดยตลอด เขาทำต่อไปไม่ไหวแล้ว มาตอนนี้นางทำกับเขาเช่นนี้ เขาขายร้านไปเลยดีกว่า แล้วจะมอบเงินให้นางสักก้อนเพื่อให้นางไปใช้ชีวิตใหม่

ความหมายก็คือเขาคิดจะขายร้านแล้วหย่าขาดจากภรรยา จูเฉินซื่อจะยินยอมได้อย่างไร นางร้องไห้อย่างหนัก อ้อนวอนด้วยความทุกข์ใจ แต่จูฟู่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน

วันนั้นเขาจึงนัดหลงจู๊หลี่ว์ที่เจรจาขอซื้อร้านกับเขามาโดยตลอดไปพบหน้ากัน

จูเฉินซื่ออ้างกับที่บ้านว่าจะไปส่งอาหารที่ร้านน้ำชาเพื่อแอบสืบความเคลื่อนไหวของจูฟู่ จากนั้นก็รีบเร่งไปที่ร้านน้ำมันหอมเพื่อปรึกษากับเริ่นเป่าชิ่งว่าจะทำอย่างไร

เริ่นเป่าชิ่งไม่ได้มีใจรักต่อจูเฉินซื่อจริง เพียงแค่เห็นว่านางเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ ทั้งยังให้เงินเขาใช้ เกลี้ยกล่อมให้ทำอะไรก็ง่าย ดังนั้นจึงทำเป็นดีต่อนางมาตลอด แต่เมื่อจูฟู่รู้ถึงสัมพันธ์ลับระหว่างพวกเขาสองคน เขาก็กลัวว่าจูฟู่จะแจ้งทางการแล้วทำให้เขาได้รับความลำบาก ในขณะที่กำลังลนลานอยู่จูเฉินซื่อก็มาพอดี นางบอกว่าจูฟู่จะหย่าขาดจากนาง ต่อไปนางก็สามารถใช้ชีวิตกับเขาได้แล้ว

เริ่นเป่าชิ่งตกใจมาก ผู้หญิงคนนี้ไม่มีเงิน เขาจะใช้ชีวิตกับนางได้อย่างไร ถ้าหากภายหน้าเขามีเงินย่อมสามารถแต่งกับผู้หญิงที่อายุน้อยและงดงามกว่านางได้ อีกอย่างหนึ่ง ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะหาคนที่มีเงินให้เขาใช้ได้ เหตุใดจะต้องมาผูกมัดตัวเองอยู่กับหญิงแก่ที่ถูกสามีทิ้งด้วย

จูเฉินซื่อมองทะลุถึงความคิดของเขา นางข่มขู่เขาว่าหากไม่ทำดีต่อนาง นางก็จะพูดป่าวประกาศเรื่องราวออกไป และหากนางไปโวยวายที่จวนว่าการ ใครก็ไม่อาจอยู่เป็นสุขได้

เริ่นเป่าชิ่งได้ยินดังนั้นก็รีบพูดปลอบ ในใจยังไม่ยินดี สุดท้ายจึงเสนอความคิดออกมา ‘ในเมื่อจูฟู่ไม่เมตตาเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องทำดีต่อเขา เพื่อให้พวกเรามีชีวิตที่ดีในอนาคต รอให้เขาขายร้านได้และมีเงินอยู่ในมือก่อน เจ้าก็แอบลักลอบเอาทรัพย์สมบัติของเขามา แล้วพวกเราก็จะไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตที่อื่น’

เดิมทีจูเฉินซื่อไม่กล้า แต่นางถูกเริ่นเป่าชิ่งเกลี้ยกล่อมเป่าหูยกใหญ่ บอกว่าหากนางถูกหย่าขาดและอยู่ในเมืองต่อไปก็คงโดนคำครหาไม่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้จะสามารถมาใช้ชีวิตกับเขาได้อย่างไร มีเพียงต้องไปจากที่นี่จึงจะมีชีวิตเป็นปกติได้ แต่หากจะไปโดยไม่มีเงินก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องนำเงินของจูฟู่ติดตัวไปด้วย

จูเฉินซื่อถูกเกลี้ยกล่อมจนหลงเชื่อในที่สุด คนทั้งสองนัดแนะกันว่ารอให้จูฟู่ขายร้านได้เงินมาแล้วก็จะลงมือ จากนั้นก็มีสัมพันธ์กันอีกครั้งในร้านน้ำมันหอม

แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อจูเฉินซื่อกลับไปถึงบ้านกลับเห็นคนงานร้านน้ำชามาถามหาจูฟู่ จูเฉินซื่อย่อมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด เมื่อไล่คนช่วยงานในร้านไปแล้ว นางก็กลับไปปรึกษากับเริ่นเป่าชิ่งอีก เพราะครั้งก่อนถูกสะกดรอยตามจนความแตก ดังนั้นครั้งนี้นางจึงหวั่นใจกลัวว่าจูฟู่จะรู้ที่พวกนางทั้งสองคนจะหอบทรัพย์สมบัติหนี

เริ่นเป่าชิ่งบอกกับจูเฉินซื่อว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ ระยะนี้ก็ยังไม่ต้องมาพบหน้ากัน รอดูความเคลื่อนไหวของจูฟู่ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยหาทางรับมือ จูเฉินซื่อตอบรับด้วยความกังวลก่อนจะกลับบ้านไป

นางกลับถึงบ้านก็อยู่ไม่เป็นสุข จูฟู่ยังไม่กลับมา นางก็ไม่กล้านอน จนกระทั่งตกดึกมีทหารทางการมาหาที่บ้านบอกว่าจูฟู่ถูกสังหาร ท่านเจ้าเมืองให้นางไปที่จวนว่าการ

จูเฉินซื่อตื่นตกใจ เดิมทีนางคิดว่าจูฟู่ไปหาเริ่นเป่าชิ่งและเกิดต่อสู้กันจนถึงแก่ความตาย แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อไปโถงว่าการ สิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นคนละเรื่องกับที่คิด

ส่วนเริ่นเป่าชิ่งบอกว่าในคืนวันนั้นเขานอนหลับอยู่ในบ้านของตัวเอง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น วันต่อมาจึงได้ยินคนเล่าลือกันบนท้องถนนว่าจูฟู่ตายแล้ว

 

ชิวรั่วหมิงเล่าเรื่องเหล่านี้จบก็พูดต่อ “หลักฐานชี้ไปที่เริ่นเป่าชิ่ง เขามีแรงจูงใจชัดเจน ทุกอย่างก็ตรงตามที่แม่นางจวีพูด ตอนเกิดเหตุเขาบอกว่านอนหลับอยู่ที่บ้าน ไม่มีพยานบุคคล และเพราะวันนั้นจูเฉินซื่ออยู่กับเขาที่ร้าน ทำให้บนตัวนางมีกลิ่นน้ำมันหอมติดไป ดังนั้นในโถงว่าการแม่นางจวีจึงได้กลิ่นน้ำมันหอมจากตัวนาง เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้แม่นางจวีกลับบอกว่าคนร้ายไม่ใช่เริ่นเป่าชิ่ง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็น่าประหลาดนัก”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบอย่างจริงจัง “ใต้เท้า เริ่นเป่าชิ่งน่ารังเกียจก็จริงอยู่ หากเถ้าแก่จูไม่ได้ถูกฆ่าไปเสียก่อน ก็จะถูกชายคนนี้ขโมยทรัพย์สินไป หรืออาจจะเกิดทะเลาะวิวาทกันก็สุดรู้ได้ หากเขามีความผิดย่อมต้องรับผิด แต่หากเขาไม่มีความผิดก็จะใส่ร้ายเขาไม่ได้เช่นกัน”

ชิวรั่วหมิงพยักหน้า “แม่นางจวี ก่อนหน้านี้ข้ามองเจ้าผิดไป จูเฉินซื่อกับเริ่นเป่าชิ่งมีใจคอเหี้ยมโหด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เรื่องคบชู้กันก็มีความผิดแล้ว ดังนั้นข้าจะสืบสวนอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ดูว่าจะหาเบาะแสอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง”

หลงเอ้อร์พูดขึ้นว่า “ใต้เท้า ในเมื่อกำหนดลักษณะพิเศษของคนร้ายได้แล้วก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าคดีนี้ไม่เกี่ยวกับหลงจู๊หลี่ว์ ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะปล่อยคนเมื่อใด”

“ท่านหลงเอ้อร์ แม้ว่าข้าจะเชื่อคำพูดของแม่นางจวี แต่ตอนนี้เป็นเพียงคำพูดปากเปล่าไร้หลักฐานอย่างอื่น หากเริ่นเป่าชิ่งเป็นคนร้ายตัวจริงก็แล้วไป เพราะเขามีลักษณะตรงตามคำพูดของแม่นางจวี แสดงว่านางไม่ได้พูดเท็จ แต่หากจะบอกว่าเขาไม่ใช่คนร้าย แม่นางจวีจะพิสูจน์อย่างไร ข้าไม่อาจนำคำว่า ‘เพราะข้าเชื่อ’ มาบอกแก่ทุกคน ดังนั้นก่อนที่ความจริงจะปรากฏ ข้าก็ยังไม่อาจปล่อยตัวหลี่ว์ซือเสียนไปได้”

หลงเอ้อร์มีสีหน้าเคร่งเครียด รู้ดีว่าชิวรั่วหมิงใช้หลงจู๊หลี่ว์มาบังคับเขา หากหลงจู๊หลี่ว์ออกจากคุก เขาก็คงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้อีก แต่หากหลงจู๊หลี่ว์ยังอยู่ในคุก เขาหลงเอ้อร์จะต้องช่วยในคดีอย่างเต็มกำลัง

ชิวรั่วหมิงผู้นี้เป็นจิ้งจอกจริงๆ!

หลงเอ้อร์ไม่สบอารมณ์ แต่คำพูดของชิวรั่วหมิงหาจุดบกพร่องไม่ได้เลย เพราะคำพูดของจวีมู่เอ๋อร์เป็นเพียงการพูดปากเปล่าไร้หลักฐานจริง

เขาหันไปมองจวีมู่เอ๋อร์ เห็นนางขมวดคิ้วครุ่นคิดไม่พูดไม่จา หลงเอ้อร์คิดว่าบนตัวนางยังมีบาดแผลอยู่ มาเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ก็คงลำบากอยู่มาก

หลงเอ้อร์ใคร่ครวญแล้วจึงเอ่ยถาม “ใต้เท้า เด็กช่วยงานร้านน้ำมันหอมมีอะไรน่าสงสัยหรือไม่”

ชิวรั่วหมิงส่ายหน้า “เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี รูปร่างเล็กผอมบาง ตอนเกิดเหตุนอนหลับอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ของเขาเป็นพยานได้”

หลงเอ้อร์พยักหน้า ถามอีกครั้งว่า “ใต้เท้า การตายของเถ้าแก่จู หากมีการเตรียมการไว้ก่อน คนร้ายต้องคอยติดตามรู้การเคลื่อนไหวจึงจะสามารถลงมือได้ หากเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบหรือเข้าผิดห้องก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมนั้น เพราะหลังเกิดเหตุใต้เท้าได้ปิดล้อมโรงเตี๊ยมไว้ทันที ถึงตอนนี้ใต้เท้าพบเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่”

“ตอนนั้นแขกที่พักในโรงเตี๊ยมมีไม่มาก สอบสวนเพียงหนึ่งรอบ เมื่อไม่พบคนที่น่าสงสัยก็ปล่อยตัวไป แม้แต่คนที่อยู่รอบโรงเตี๊ยมก็ได้สอบสวนแล้ว ไม่มีอะไรน่าสงสัยเช่นกัน” ชิวรั่วหมิงตอบ

“ใต้เท้าได้ตรวจดูของที่อยู่ติดตัวเถ้าแก่จูอย่างละเอียดหรือไม่”

“ท่านหลงเอ้อร์คิดว่าหากเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ ในตัวเถ้าแก่จูต้องไม่มีทรัพย์สินใดเพราะถูกคนร้ายชิงไปแล้ว แต่หากของยังอยู่ คงเป็นด้วยสาเหตุอื่นจึงทำให้เขาถูกฆ่าตายอย่างอนาถ ใช่หรือไม่”

หลงเอ้อร์พยักหน้า

ชิวรั่วหมิงเอ่ยว่า “จุดนี้ข้าคิดแต่แรกแล้ว ในตอนนั้นจึงได้ตรวจสอบของทุกอย่างในห้อง พบถุงเงินของจูฟู่ที่มีเงินอยู่หนึ่งอัฐ”

“เงินหนึ่งอัฐ?” หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว “ใต้เท้า คนร้ายอาจคิดปกปิดโดยเหลือเงินในถุงเอาไว้ ใต้เท้าลองไปตรวจสอบดูได้ว่าวันนั้นเถ้าแก่จูอยู่ในโรงเตี๊ยมกินดื่มไปเป็นเงินจำนวนเท่าใด และเขายังค้างแรมอยู่ในโรงเตี๊ยมอีกด้วย เงินเพียงหนึ่งอัฐจะพอใช้หรือ เท่าที่ข้ารู้มา เถ้าแก่จูเป็นคนรอบคอบ หากในตัวไม่มีเงินคงไม่กล้าจับจ่ายอย่างหนัก ใต้เท้าได้ไปตรวจสอบที่โรงสุราต่างๆ ที่เขาไปเมื่อวานหรือยัง ดูว่าสามารถสอบถามเรื่องทรัพย์สินติดตัวเขาได้หรือไม่ หากวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเพราะเรื่องทรัพย์สิน เรื่องชู้สาว หรือเพื่อแก้แค้น เช่นนั้นคดีนี้ก็อาจจะชี้กลุ่มผู้ต้องสงสัยได้ ใต้เท้าคิดเห็นอย่างไร”

ชิวรั่วหมิงพยักหน้า เอ่ยขอบคุณหลงเอ้อร์ที่เสนอแนะ บอกว่าเขาจะส่งมือปราบออกไปตามรอยของจูฟู่ ตรวจทุกที่ให้ละเอียดอีกครั้ง หลงเอ้อร์เห็นเขาตั้งใจสืบคดี ไม่คิดจะกระทำการโดยไม่รับผิดชอบจึงรู้สึกวางใจลงได้ครึ่งหนึ่ง

ธุระที่จวนว่าการเสร็จสิ้นแล้ว หลงเอ้อร์ขึ้นรถม้าไปส่งสองพ่อลูกสกุลจวีกลับบ้านด้วยตัวเอง

จวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งเงียบตลอดทาง นางไม่พูด หลงเอ้อร์กับผู้เฒ่าจวีก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน คนทั้งสามจึงนั่งเงียบจนไปถึงร้านเหล้าสกุลจวี

ผู้เฒ่าจวีลงรถไปรอรับตัวบุตรสาว แต่จวีมู่เอ๋อร์บอกว่าอยากคุยกับท่านหลงเอ้อร์สักสองสามประโยคก่อน ผู้เฒ่าจวีมีสีหน้าสลด นิ่งเงียบไปสักครู่ แล้วจึงลูบจมูกพลางเดินไปด้านข้าง

หลี่เคอที่สายตาแหลมคมเรียกให้คนรถหลบออกไปอีกด้าน เว้นที่ว่างให้จวีมู่เอ๋อร์กับนายท่านรองได้พูดคุยกัน

รอจนทุกคนเดินจากไปจนหมด หลงเอ้อร์จึงเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ไม่มีใครแล้ว เจ้าจะพูดอะไรกับข้า”

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก เอ่ยถามเสียงเบา “ท่านหลงเอ้อร์ หากคดีของหลงจู๊หลี่ว์จับคนร้ายตัวจริงไม่ได้ ท่านยังยินดีจะแต่งงานกับข้าหรือไม่”

หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจที่นางถามเช่นนี้ ตามความคิดของเขา เรื่องนี้ถูกกำหนดแน่นอนแล้ว จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร แต่เมื่อได้เห็นท่าทางกระวนกระวายใจของจวีมู่เอ๋อร์แล้ว คิดว่านางคงอยากแต่งงานกับเขามาก หลงเอ้อร์รู้สึกลำพองขึ้นมาทันที “ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ย่อมต้องทำตาม”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มแย้มจนใบหน้าเปล่งประกาย “เช่นนั้นก็คือแต่งใช่หรือไม่”

“ใช่”

หลงเอ้อร์เห็นนางยิ้ม เขาก็ยิ้มตามไปด้วย แต่พอนางอ้าปากหาว เขาก็หาวตามไปด้วย จากนั้นเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที บรรยากาศดีๆ ถูกนางทำพังหมดแล้ว!

“เจ้าง่วงอีกแล้วหรือ”

“อืม ถึงเวลาที่ควรพักผ่อนแล้ว”

หลงเอ้อร์ขบกรามอย่างอดไม่ได้ “วันนี้เจ้านอนมาทั้งวันแล้ว”

“นั่นชดเชยส่วนของเมื่อวาน ตอนนี้ก็เป็นส่วนของวันนี้ พอได้ยินท่านบอกว่ายังจะแต่งงานด้วย ข้ารู้สึกโล่งใจ ก็เลยง่วงอีก”

หลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

จวีมู่เอ๋อร์ร้องเรียกผู้เป็นพ่อ เมื่อผู้เฒ่าจวีประคองนางลงจากรถ นางจึงหันไปพูดกับหลงเอ้อร์ “ท่านหลงเอ้อร์เดินทางปลอดภัย รีบไปพักผ่อนเสีย”

น้ำเสียงของนางอ่อนหวาน หลงเอ้อร์ฟังแล้วรู้สึกใจอ่อนระทวย

สองพ่อลูกสกุลจวีเดินเข้าบ้านไปอย่างช้าๆ หลงเอ้อร์ปิดประตูรถม้า กำลังจะบอกให้คนรถออกตัว ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของผู้เฒ่าจวีดังขึ้น หลงเอ้อร์ตกใจ รีบผลักประตูรถให้เปิดออก ผู้เฒ่าจวีวิ่งกลับมาเร็วปานลมพัด ตะโกนเรียกเสียงดัง “ท่านหลงเอ้อร์ๆ”

หลงเอ้อร์ตอบรับ

สองตาของผู้เฒ่าจวีตื่นเต้นจนเปล่งประกาย “ท่านหลงเอ้อร์ ลูกสาวข้าบอกว่านางจะแต่งงาน นางจะแต่งงานกับท่าน”

เขารู้นานแล้ว! หลงเอ้อร์ถอนหายใจ เหลือบตามองจวีมู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล นางกำลังส่งยิ้มมาทางนี้

หลงเอ้อร์ใจอ่อนระทวยอีกครั้ง

ระหว่างทางกลับคฤหาสน์ เขากำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมนาง

วันต่อมาหลงเอ้อร์ตื่นแต่เช้า เขาคิดได้ว่าเมื่อคืนลืมให้จวีมู่เอ๋อร์นำยากลับไปด้วยจึงสั่งให้คนเก็บใบสั่งยาและห่อยา เตรียมรถม้า จะนำยาไปส่งด้วยตัวเอง

ก่อนออกจากบ้านพ่อบ้านเถี่ยได้แจ้งสิ่งที่เขาต้องทำในวันนี้ให้ฟัง หลงเอ้อร์ดูแล้วก็คิดคำนวณอยู่ในใจ ส่งยาแล้ว เยี่ยมนางเสร็จ เขาก็จะไปตรวจร้านน้ำชาได้หนึ่งรอบพอดี ตอนนี้หลงจู๊หลี่ว์ไม่อยู่ เขาต้องปรากฏตัวเพื่อแสดงความห่วงใยให้บ่อยครั้งสักหน่อย เด็กช่วยงานเหล่านั้นจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ก่อนปีใหม่เป็นช่วงเวลาทองสำหรับการค้าขาย ปล่อยปละละเลยไม่ได้เด็ดขาด

พอถึงตอนกลางวันก็ต้องกินข้าวกับเถ้าแก่หลิวที่มาจากเมืองอี๋เฉิง ตอนบ่ายเขาอาจมีเวลากลับคฤหาสน์ไปอ่านเอกสารอีกสักหน่อย ตอนกลางคืนต้องไปหอหม่านเซียงเพื่อต้อนรับขุนนางราชสำนักหลายคน พวกเขาชอบหญิงสาวที่นั่น

กำหนดการยาวเหยียดเช่นนี้ มีเพียงช่วงเช้าเท่านั้นที่สามารถไปบ้านของจวีมู่เอ๋อร์ได้

หลงเอ้อร์พอใจมาก เขาหาเวลาไปเยี่ยมนางทั้งๆ ที่งานยุ่ง นางคงจะตื้นตันใจมากล่ะสิ

แต่เมื่อเขาไปถึงร้านเหล้าสกุลจวี กลับพบว่าจวีมู่เอ๋อร์หญิงขี้เกียจผู้นั้นยังคงนอนหลับอยู่!

ผู้เฒ่าจวีกับเด็กช่วยงานทั้งสองคนตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าเสร็จก็แยกย้ายกันไปทำงานเรียบร้อยแล้ว แต่หญิงขี้เกียจผู้นั้นยังไม่ยอมลุกจากที่นอนอีก!

หลงเอ้อร์สีหน้าเขียวคล้ำ

ไม่ใช่เพราะจวีมู่เอ๋อร์นอนขี้เซา แต่เป็นเพราะตอนนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งนำของขวัญมาเยี่ยมนาง

ชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับผู้เฒ่าจวีดี คำพูดสนิทสนมราวกับเป็นบุตรชาย เขายังนำผลไม้ของว่างต่างๆ มาด้วย เหมือนจะรู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์ชอบกินอะไร ส่วนผู้เฒ่าจวีก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยความเกรงใจแม้แต่น้อย ยื่นมือไปรับมาทันที

สุดท้ายชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยลาด้วยรอยยิ้มอย่างมีมารยาท เขาฝากให้ผู้เฒ่าจวีบอกต่อจวีมู่เอ๋อร์หลังจากนางตื่นนอนว่าให้นางรักษาตัวให้ดี หากเขาว่างจะมาเยี่ยมนางอีก

ผู้เฒ่าจวีรีบตอบรับ เดินไปส่งเขาที่หน้าประตูร้านเหล้า ปากก็พูดว่า “เหลียงเจ๋อ เจ้าค่อยๆ เดินนะ ฝากทักทายคนในบ้านของเจ้าแทนข้าด้วย แล้วทักทายเมียเจ้าแทนมู่เอ๋อร์ด้วยล่ะ”

เหลียงเจ๋อ? หลงเอ้อร์รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหู แต่คิดไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากที่ใด เขาเหลือบตามองหลี่เคอ หลี่เคอทำหน้าเศร้า กำลังจะเข้าไปอธิบายให้ผู้เป็นนายฟัง ผู้เฒ่าจวีก็เดินกลับเข้ามาในร้านเสียก่อน

“เฮ้อ ไม่มีวาสนาด้วยกันจริงๆ เจ้าเด็กเหลียงเจ๋อนั่นโตมาด้วยกันกับมู่เอ๋อร์ เรียนพิณด้วยกัน เรียนหนังสือด้วยกัน เดิมทีพวกเราทั้งสองสกุลเห็นดีให้หมั้นหมายกันไว้ ใครจะไปรู้ว่ามู่เอ๋อร์จะตาบอด และไม่รู้ว่านางคิดอย่างไรจึงยืนยันไม่แต่งงานกับเขา เฮ้อ ตอนนี้เขาแต่งภรรยาแล้ว ลูกก็ใกล้คลอด” ผู้เฒ่าจวีพูดด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย

หลงเอ้อร์สีหน้าดำเหมือนถ่าน แววตาคมกริบราวกับมีด จ้องตรงไปที่หลี่เคอ

หลี่เคอตีหน้าเป็นผู้บริสุทธิ์ คำเหล่านั้นเขาไม่ได้เป็นคนพูด เฉินเหลียงเจ๋อเขาก็ไม่ได้เป็นคนพามา ในอดีตเขาไม่ได้เป็นคนให้ทั้งสองหมั้นหมายกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแม้แต่น้อย นายท่านรองพานโมโหฉุนเฉียวเกินไปหน่อยกระมัง เขาเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์และทำงานอย่างจริงจังนะ!

ผู้เฒ่าจวีสังเกตสีหน้าคนไม่เป็น ยังคงพูดต่อ “ข้าเห็นเขามีชีวิตที่ดี มีเพียงลูกสาวข้าที่ตอนนี้ตามองไม่เห็น เรื่องหลายอย่างก็ทำเองไม่ได้ หนังสือที่ชอบอ่านที่สุด ตอนนี้ก็ทำได้เพียงลูบๆ คลำๆ ฟังเสียงของหน้าหนังสือ พิณก็ดีดน้อยลง…”

เขาพูดพลางรู้สึกเศร้าใจ “คิดถึงในอดีต อาจารย์สอนพิณเหล่านั้นล้วนไม่กล้าสอนนาง บอกว่านางดีดได้ดีกว่าพวกเขา บอกว่าหากมู่เอ๋อร์เป็นชาย สามารถไปประชันขันแข่งแย่งชิงฉายามือพิณอันดับหนึ่งได้ เสียดายที่แม่ของนางตายเร็ว ดวงตาของนางยังมืดบอดอีก น่าสงสารเสียจริง ตอนนั้นนางใจเร็วยกเลิกการแต่งงาน ทั้งๆ ที่เหลียงเจ๋อบอกแล้วว่าไม่ถือสา จะแต่งงานกับนางเช่นเดิม แต่นางไม่ใส่ใจ ทำร้ายความรู้สึกของสองสกุล ดีที่เหลียงเจ๋อไม่คิดแค้นจิตใจดีมีเมตตา ตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีแล้ว เมื่อได้ยินว่ามู่เอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บก็ยังนึกถึงส่งของมาเยี่ยมนาง ช่างมีน้ำใจจริงๆ”

หลี่เคอที่อยู่ด้านข้างพยายามส่งสายตาให้ผู้เฒ่าจวี ท่านผู้เฒ่าไม่เห็นหรือว่ามือของนายท่านรองกำหมัดแน่นแล้ว ไม่เห็นหรือว่านายท่านรองหน้าเครียดเพียงใดแล้ว ไม่เห็นเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของนายท่านรองหรือ ท่านผู้เฒ่าเอ๋ย คิดว่านายท่านรองเป็นสหายญาติมิตรที่มาเยี่ยมเยือนหรือ การที่ท่านมาบ่นถึงเรื่องการหมั้นหมายการถอนหมั้นในอดีตกับผู้เป็นคู่หมั้นในปัจจุบันนั้นเหมาะสมแล้วหรือ

ผู้เฒ่าจวีพูดอยู่นาน ในที่สุดก็รู้ตัวจึงเอ่ยถามว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ดื่มชาสักหน่อยหรือไม่”

หลงเอ้อร์กลั้นลมหายใจ เอ่ยตอบเสียงแข็ง “ไม่ดื่ม”

“เช่นนั้นดื่มเหล้าหรือไม่” ผู้เฒ่าจวีพยายามต้อนรับอย่างเป็นมิตร บ้านเขาอาจไม่มีสิ่งอื่นใด แต่มีเหล้าแน่นอน!

“ไม่ดื่ม” หลงเอ้อร์ยังคงเสียงแข็งอยู่

หลี่เคอส่งสายตาต่อ ท่านผู้เฒ่า ตอนนี้ท่านควรไปปลุกแม่นางจวีให้ตื่นมาพบหน้านายท่านรอง เพื่อปลอบให้เขาอารมณ์ดีขึ้นดีกว่านะ จะมาถามดื่มชาดื่มเหล้าอะไรกัน ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ท่านผู้เฒ่าทำเช่นนี้แก้ไขสถานการณ์ได้เหมาะสมหรือ

ในที่สุดผู้เฒ่าจวีก็ดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว เขาเปลี่ยนหัวข้อมาที่จวีมู่เอ๋อร์ บอกว่า “มู่เอ๋อร์ยังไม่ตื่นนอน ต้องให้นางนอนอิ่มก่อนจึงจะตื่นเอง ท่านหลงเอ้อร์จะรอต่อหรือจะอยู่กินอาหารกลางวันก่อน”

หลี่เคอสำลัก กระแอมอย่างแรงหลายที การรอต่อกับอยู่กินอาหารกลางวันมันแตกต่างกันอย่างไร

“ไม่รอแล้ว ให้นางนอนไปเถอะ!” หลงเอ้อร์เดินกลับออกไปด้านนอก ผู้เฒ่าจวีรีบตามไปส่งถึงนอกประตู

หลี่เคอที่เดินตามอยู่ด้านหลังสงสัยว่าผู้เฒ่าจวีจะฟังออกหรือไม่ว่าคำพูดเมื่อสักครู่นายท่านรองกัดฟันพูดมันออกมา

ผู้เฒ่าจวีเดินไปส่งพลางกล่าวขอบคุณ บอกว่าขอบคุณที่ท่านหลงเอ้อร์พามู่เอ๋อร์ไปหาหมอและยังซื้อยามาให้ ยังบอกว่ารอให้มู่เอ๋อร์ตื่นนอน เขาจะบอกว่าท่านหลงเอ้อร์มาเยี่ยมนาง

หลงเอ้อร์มีสีหน้าอึดอัด เดิมทีไม่พูดจา แต่เมื่อขึ้นรถแล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า “อย่าบอกนางว่าข้ามา” เขาไม่อยากเป็นเหมือนเฉินเหลียงเจ๋อ หากผู้เฒ่าจวีบอกจวีมู่เอ๋อร์ว่าเฉินเหลียงเจ๋อกับท่านหลงเอ้อร์มาเยี่ยม เอาชื่อทั้งสองคนมารวมกัน เช่นนั้นเขาคงจะต้องกระอักเลือดตายกระมัง

ดังนั้นเขาจึงยอมไม่ให้พูดถึง แค่ไม่พูดถึงก็พอ!

ผู้เฒ่าจวีไม่เข้าใจแต่ยังคงพยักหน้า หลี่เคอลอบถอนหายใจ ท่านผู้เฒ่าคนนี้ไม่รู้จักวิธีปลอบคนให้อารมณ์ดีเสียเลย หลี่เคอเพิ่งจะคิดเช่นนี้ ผู้เฒ่าจวีก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงเบา “องครักษ์หลี่ ท่านรู้สึกไม่สบายตาหรือ ข้าเห็นท่านขยิบตาให้ข้าตลอดเลย”

หลี่เคอรู้สึกว่าหน้าตัวเองบึ้งขึ้นมาทันใด พูดไม่ออกทันที

ผู้เฒ่าจวีพูดต่ออีกว่า “หากไม่สบายตาต้องรักษาให้ดี เรื่องดวงตาจะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด ท่านหมอฉีสือในเมืองมีชื่อเสียงเรื่องการรักษาดวงตา เจ้าไปหาเขาได้ ในอดีตดวงตาของมู่เอ๋อร์ก็ได้เขาเป็นคนรักษา แต่ว่าถึงตอนนี้ก็สองปีแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนที่ไปหรือยัง ข้าจะเขียนที่อยู่ของเขาให้ เจ้าลองไปหาเขาดู”

หลี่เคอรู้ว่าท่านผู้เฒ่าหวังดี แต่การที่เขาแนะนำท่านหมอที่รักษาดวงตาของบุตรสาวไม่หายให้แก่ผู้อื่น ซ้ำยังไม่ได้เจอกันมาถึงสองปีไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านหมอจะยังอยู่ที่เดิมหรือไม่ เช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ

หลี่เคอทำหน้าอมทุกข์ เหลือบตามองนายของตน พบว่าสีหน้าของเขาดีขึ้นมาก เรื่องลำบากตกไปบนหัวของผู้อื่นสามารถทำให้อารมณ์ของนายท่านรองดีขึ้นได้จริงๆ

สุดท้ายสองนายบ่าวก็ออกเดินทางภายใต้การมาส่งอย่างหน้าชื่นตาบานของผู้เฒ่าจวี เดินทางไปได้ครู่ใหญ่ หลงเอ้อร์ก็เปิดผ้าม่านรถขึ้น เอ่ยถามหลี่เคอว่า “เจ้าว่าผู้เฒ่าจวีเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงให้กำเนิดลูกสาวที่ฉลาดเฉลียวออกมาได้”

หลี่เคอไม่ตอบ ขี่ม้าต่อไปด้วยความอึดอัด ผู้เฒ่าจวีเป็นพ่อตาในอนาคตของผู้เป็นนาย เขาไม่บังอาจไปวิจารณ์ ดูสิ ก่อนหน้านี้นายท่านรองบอกว่าแม่นางจวีเจ้าเล่ห์ ตอนนี้กลายเป็นฉลาดไปเสียแล้ว ก่อนหน้านี้เกลียดจนสรรหาสารพัดวิธีมากลั่นแกล้งรังแก แต่ตอนนี้กลับมาเยี่ยมนางแต่เช้า

ใจของผู้เป็นนายเปรียบเสมือนก้นมหาสมุทร

ดังนั้นเขาไม่พูดอะไรเลยจะดีกว่า

 

วันนี้หลงเอ้อร์ทำงานทุกอย่างตามปกติ การที่ตอนเช้าไม่ได้พบจวีมู่เอ๋อร์แต่กลับพบเฉินเหลียงเจ๋อแทน ทำให้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ตัดสินใจว่าช่วงสองสามวันนี้จะไม่ไปหานางเพื่อเป็นการลงโทษ

เขาส่งหลี่เคอไปจับตาดูความคืบหน้าในการสืบคดีที่จวนว่าการ และไปติดตามดูเหล่าสายสืบสกุลหลงสืบหาเบาะแส

ตอนกลางคืนเขาทำงานตามกำหนดการ เป็นเพื่อนขุนนางใหญ่หลายคนไปดื่มเหล้าที่หอหม่านเซียง ใกล้สิ้นปีแล้ว งานเลี้ยงเช่นนี้ย่อมต้องมี เส้นสายที่ต้องดูแลก็ต้องทำ ผลประโยชน์ที่ควรให้ก็จะขาดไม่ได้ สิ่งเหล่านี้หลงเอ้อร์รู้ชัดแจ้ง

ผ่านไปได้ไม่นาน เหล่าผู้ทรงอำนาจที่ดื่มสุราเคล้านารีก็เริ่มออกลาย กอดเหล่าหญิงคณิกาแนบชิด มือไม้อยู่ไม่สุขขึ้นมา หลงเอ้อร์ดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อย วันนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ดื่มไปดื่มมาก็รู้สึกมึนหัวอยู่บ้าง หญิงคณิกาข้างกายแอบอิงออดอ้อนเขา หวังให้เขาพักแรมเหมือนเช่นคนอื่นๆ แต่หลงเอ้อร์ไม่สนใจ

เขาผลักหญิงคณิกาออก เดินไปเรียกสติด้านนอก ถามบ่าวที่คอยปรนนิบัติอยู่นอกห้องว่าตอนนี้เป็นเวลาใดแล้ว

เมื่อรู้ว่าดึกมากแล้ว เขาสมควรกลับได้แล้ว หลงเอ้อร์เรียกแม่เล้าของหอคณิกามากำชับว่าค่าใช้จ่ายของทุกท่านในห้องนี้ให้ลงบัญชีของเขาไว้ ให้นางดูแลให้ดี ฝ่ายแม่เล้าก็ตอบรับด้วยความยินดี

 

หลงเอ้อร์กลับเข้าไปในห้อง หาเหตุผลบอกว่าตัวเขาต้องขอกลับก่อน หญิงคณิกาสองคนที่คอยปรนนิบัติหลงเอ้อร์ยู่ปากด้วยความไม่ยินดี เหล่าขุนนางล้วนไม่ถือสา เพราะคนที่พวกเขาต้องการกอดไม่ใช่ท่านหลงเอ้อร์ เขาจะอยู่หรือไม่ก็ไม่เป็นไร

หลงเอ้อร์จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วก็เดินทางกลับคฤหาสน์

รถม้าโคลงเคลงไปตลอดทาง เขามึนหัวมากขึ้น อารมณ์ยิ่งขุ่นมัว แท้จริงแล้วเขาไม่ชอบการต้อนรับแขกเช่นนี้ กิริยาท่าทางของบางคนทำให้เขาอยากจะทำเหมือนที่จวีมู่เอ๋อร์ทำกับเขา…สาดน้ำชาไปบนตัว แต่เขารู้ว่าทำไม่ได้

อย่างน้อยก็ไม่ใช่คิดอยากจะสาดก็สาด เขาต้องดูคน ดูสถานการณ์ ดูเบื้องลึกเบื้องหลัง ดูความสัมพันธ์ ดูสิ่งต่างๆ อีกมากมาย

หลงเอ้อร์ถอนหายใจ พิงผนังรถอย่างอ่อนล้า ทุกคนเห็นว่าเขาดูยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วเขาก็เหนื่อยเป็น

รถม้าโคลงเคลงเช่นนี้ไปตลอดทางกลับคฤหาสน์ เพิ่งจะเข้าประตู หลี่เคอก็มารายงานว่าทางจวนว่าการสืบสวนได้เบาะแสแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ในหอสุราต๋าเซิงกับโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลล้วนยืนยันว่าในถุงเงินของจูฟู่มีเงินอยู่จำนวนมาก เห็นทีคนร้ายคงคิดจะปิดบังเหตุจูงใจของตนจึงเหลือเงินเอาไว้หนึ่งอัฐ

หลงเอ้อร์พยักหน้า ถามว่ายังมีเบาะแสอะไรอย่างอื่นอีกบ้าง มีผู้ต้องสงสัยหรือไม่ หลี่เคอตอบว่าไม่มี

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็โบกมือ พูดเพียงว่ารู้แล้ว มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยปรึกษากัน แต่หลี่เคอพูดต่อว่า “คืนนี้แม่นางจวีมาที่นี่ขอรับ”

หลงเอ้อร์ชะงัก “นางมาหรือ”

“นางบอกว่ามาพบนายท่านรอง แต่รออยู่นานท่านก็ยังไม่กลับมา นางจึงกลับไป”

หลงเอ้อร์สร่างเมาไปครึ่งหนึ่งในทันที “พวกเจ้าบอกนางว่าข้าไปที่ใด”

หลี่เคอรีบโบกมือ “ไม่ได้พูดอะไรเลยขอรับ บอกเพียงว่านายท่านรองมีงานต้องทำด้านนอก แม่นมอวี๋ดึงตัวนางไปพูดคุยอยู่นาน ข้าเห็นว่านางก็ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับท่านมากนัก”

หลงเอ้อร์ลองนึกดู วันนี้พวกเขาวุ่นวายจนไม่ได้เจอหน้ากันตลอดทั้งเช้าและกลางคืน เขาถอนหายใจ ก่อนเตรียมจะกลับเรือนพักก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง “นางกลับไปนานเท่าไรแล้ว ได้จัดรถม้าส่งนางกลับไปหรือไม่”

“เพิ่งจัดรถม้าส่งแม่นางจวีกลับไปขอรับ”

หลงเอ้อร์ชะงักฝีเท้าทันที “เพิ่งไป?”

“ขอรับ นางเพิ่งจากไป นายท่านรองก็กลับมา”

หลงเอ้อร์ยืนนิ่งไม่ขยับ คิดไปคิดมา ลังเลใจอยู่สักพัก ในที่สุดก็ขบกรามพูดว่า “เตรียมม้า”

หลงเอ้อร์ควบม้าตามจวีมู่เอ๋อร์ไป เพิ่งออกจากประตูเมืองก็ตามทัน ม้ากับรถม้าหยุดอยู่ข้างทาง เขาก้าวเข้าไปในรถ

จวีมู่เอ๋อร์ดูสดใสกว่าเมื่อวานมาก พอเขาขึ้นรถมา นางก็ขมวดคิ้ว จากนั้นใบหน้าก็ย่นยู่

หลงเอ้อร์ไม่พอใจอย่างมาก เอ่ยถามเสียงเข้ม “ทำไมพอเห็นข้าก็ขมวดคิ้ว”

“ข้าไม่เห็นสักหน่อย แต่ข้าได้กลิ่นบนตัวท่าน ท่านหลงเอ้อร์ ท่านเหม็นกว่าข้าเสียอีก”

หลงเอ้อร์เบียดเข้าไปนั่งข้างกายนาง “เช่นนั้นก็เหม็นต่อไป”

จวีมู่เอ๋อร์เบ้ปาก นางถูกเบียดจนไม่กล้าขยับ ผ่านไปสักครู่จึงผลักตัวเขาออก “ท่านหลงเอ้อร์ พวกเราไปคุยกันที่ศาลาไม้ไผ่ดีหรือไม่”

หลงเอ้อร์แค่นเสียง “หึ” หนึ่งที ทั้งไม่พอใจที่นางรังเกียจว่าเขาเหม็น และรู้สึกดีใจที่นางจะไปนั่งคุยกับเขา รถม้าเคลื่อนไปที่ศาลาไม้ไผ่ ส่วนตัวเขาขึ้นม้าขี่ตามไป เมื่อไปถึงที่หมาย หลงเอ้อร์ก็ประคองจวีมู่เอ๋อร์ลงจากรถม้า จูงนางเข้าไปนั่งในศาลา

ลมกลางคืนพัดเย็นสบาย แสงจันทร์สว่างไสว ค่ำคืนนี้บรรยากาศในศาลาไม่เลวเลย

“เจ้ามาพบข้ามีเรื่องอะไร” หลงเอ้อร์ถาม

“ข้าอยากถามว่าคดีมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง แต่ท่านหลงเอ้อร์ไม่อยู่ ข้าก็เลยกลับ”

หลงเอ้อร์กุมมือนางเอาไว้ รู้สึกว่าปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบ เขาวางไม้เท้าของนางไว้ข้างๆ แล้วตัดสินใจกุมสองมือของนางเพื่อให้ความอบอุ่นเสียเลยดีกว่า

หลงเอ้อร์บอกเบาะแสคดีที่หลี่เคอมารายงานแก่จวีมู่เอ๋อร์ คิดสักครู่ก็เอ่ยปากอธิบายกำหนดการของตัวเอง “ก่อนสิ้นปีงานเลี้ยงจะค่อนข้างมาก”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ข้าเข้าใจ”

หลงเอ้อร์พอใจกับการตอบสนองของนาง และมือเล็กของนางที่ค่อยๆ อุ่นขึ้นในฝ่ามือของเขาก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมากเช่นกัน เขากำลังจะหัวเราะ กลับได้ยินนางถามว่า

“ไปที่หอหม่านเซียงหรือหอซีชุน?”

รอยยิ้มของหลงเอ้อร์กระด้างไป

หอหม่านเซียงหรือหอซีชุน? คำถามนี้ช่างถามได้…

หลงเอ้อร์ไอ ไอแล้วไออีก กำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดี สมองกลับคิดไปถึงอีกเรื่อง รู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ

เขาจัดเลี้ยงตอนกลางคืน บนตัวอาจมีกลิ่นเหล้า กลิ่นแป้งหอมติดอยู่บ้าง นางเดาได้ไม่ยากว่าเขาไปที่หอคณิกา แต่ว่า…

“เจ้ารู้ชื่อหอคณิกานั้นได้อย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบช้าๆ “กลิ่นแป้งหอมบนตัวท่านหลงเอ้อร์ถูกผสมกับกลิ่นเหล้า ดังนั้นกลิ่นจึงเลือนรางไปบ้าง แต่ยังคงดมรู้ว่าเป็นกลิ่นที่หญิงสาวในสองหอนี้ชอบใช้ หากมีแค่กลิ่นแป้งหอมเพียงอย่างเดียว ข้าสามารถเดาได้แม่นกว่านี้”

คราวนี้หน้าของหลงเอ้อร์แทบเขียว ชายหนุ่มที่ไปหอคณิกาบ่อยๆ อาจจะรู้ว่าหญิงคณิกาชอบใช้แป้งหอมกลิ่นอะไรก็ว่าไปอย่าง แต่จวีมู่เอ๋อร์ของเขารู้ได้อย่างไร

“หออี้เซียงชอบใช้กลิ่นดอกเหมย หอหรั่นชุ่ยชอบใช้กลิ่นพลับพลึง หอไป่ฮวาชอบใช้กลิ่นมะลิ ส่วนหอหย่าเซียนชอบใช้กลิ่นจำปี” จวีมู่เอ๋อร์สามารถพูดถึงกลิ่นอื่นออกมาได้อีกด้วย

หลงเอ้อร์หน้าเขียวจริงๆ เสียแล้ว “เห็นทีว่าเจ้าคงรู้จักหอคณิกามากกว่าข้าเสียอีกนะ” น้ำเสียงปวดใจพอสมควร

“คงไม่ถึงขั้นรู้ดี เพียงแต่หญิงคณิกาที่ข้ารู้จัก คิดว่าคงจะมากกว่าท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์บีบมือของนางแน่น จวีมู่เอ๋อร์เจ็บจนร้องโอย เขาเอ่ยเสียงขุ่น “เจ้าเป็นหญิงสาว เหตุใดจึงรู้จักหญิงกร้านโลกเหล่านั้นได้”

จวีมู่เอ๋อร์ทำหน้าย่นยู่บ่นว่าเจ็บ “พวกนางมาเรียนพิณกับข้า”

หลงเอ้อร์ตะลึง “เรียนพิณ?”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ท่านหลงเอ้อร์คงรู้ว่าหญิงสาวในหอคณิกามีมากมายหลากหลายเพียงใด หากคิดอยากได้รับการอุ้มชูจากแม่เล้าในหอมากสักนิดก็ต้องมีจริตรัญจวนใจ ทั้งศิลปะย่อมขาดไม่ได้ ดีดพิณร่ายกลอนเป็นศิลปะที่งดงามและง่ายที่สุด หญิงคณิกาเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องศึกษาให้ทะลุปรุโปร่ง เพียงแค่พอทำได้ สามารถใช้กล่อมใจคนได้ก็เพียงพอแล้ว แต่หากคิดจะขึ้นชั้นแนวหน้า ย่อมต้องเรียนให้ชำนาญหลายส่วนจึงจะดี ตอนที่ตาข้ายังไม่บอดก็มีหญิงคณิกาแอบมาหา บอกว่านักพิณคนอื่นไม่ยอมสอน และนักพิณในหอคณิกาก็เลือกสอนคน ดังนั้นจึงมีคนลองเสี่ยงมาหาข้า”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าก็สอนหรือ”

“อืม” จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ในตอนแรกเริ่มไม่ได้สอน ข้าถามนางว่าเหตุใดจึงคิดอยากเรียนพิณ นางบอกว่าชอบ แต่แววตาไม่ได้เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย ข้าจึงปฏิเสธไป ภายหลังนางมาพบข้าอีก ข้าถามนางอีกครั้งว่าเหตุใดจึงอยากเรียนพิณ นางร้องไห้ คุกเข่าลง แล้วบอกว่าอยากจะขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง แต่นางไม่เป็นศิลปะวิชาใดๆ ดังนั้นข้าจึงสอนนาง”

หลงเอ้อร์มองนาง ตอนที่พูดนางมีท่าทางเฉยชา ใจเขากระตุก เขาไม่เห็นใจหญิงคณิกาคนนั้น คนประเภทนี้เขาเจอมามากแล้ว เขาสงสารพวกนางไม่ลง แต่ท่าทางของจวีมู่เอ๋อร์ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีคำพูดอื่นที่นางยังไม่ได้พูดอยู่อีก

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ แล้วพูดต่อ “นางฉลาดมาก เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ภายหลังนางยังคงขายทั้งศิลปะและเรือนร่าง กลายเป็นยอดบุปผา เชี่ยวชาญทั้งด้านศิลปะและเชิงชั้นยั่วยวน มีชื่อเสียงโด่งดัง”

“นางหลอกเจ้าหรือ?” หลงเอ้อร์ไม่พอใจ มู่เอ๋อร์ของเขาหวังดีแต่กลับถูกหลอกใช้หรือ ในเมืองหลวงนี้มียอดบุปผานั่นยอดบุปผานี่มากมาย เขาไม่รู้ว่าเป็นคนไหน

“ข้าไม่รู้ว่านางหลอกข้าหรือไม่ ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นบางทีอาจจะเลือกไม่ได้” จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ “ต่อมานางอาจหลุดปากเรื่องที่ข้าสอนพิณออกไป ทำให้มีหญิงคณิกาคนอื่นแอบมาพบข้าอีก หลังจากนั้นข้าก็ตาบอด แม้แต่แม่เล้าในหอคณิกาก็แอบมาพบข้า คิดจะเชิญข้าไปสอนพิณในหอคณิกาของนาง เพราะข้ามองไม่เห็นและเป็นหญิงจึงเข้ากับหญิงคณิกาเหล่านั้นได้ง่ายกว่านักพิณชาย พวกนางก็ไม่กลัวว่าข้าจะจำหน้าได้ ท่านก็รู้ พวกนางไม่ใคร่จะชอบให้ใครพบหน้า และมีบางคนที่มีชื่อด้านศิลปะการดีดพิณอยู่แล้ว ดังนั้นพวกนางจึงไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพวกนางต้องไปหาอาจารย์เพื่อเรียนพิณเพิ่ม”

“มีชื่อด้านศิลปะการดีดพิณยังจะต้องหาอาจารย์เรียนเพิ่มอีกหรือ”

“เพียงแค่มีชื่อเท่านั้น แขกที่มาฟังหูไม่ใคร่จะดีเท่าใดนัก”

หลงเอ้อร์ก็เป็นแขกที่หูไม่ใคร่จะดี ซ้ำยังเป็นประเภทที่ไม่ใคร่จะดีอย่างมากอีกด้วยเพราะเขาไม่รู้เรื่องพิณแม้แต่น้อย

เขาบอกตัวเองในใจว่ามู่เอ๋อร์ไม่ได้หมายถึงเขา แต่ยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ดี ดังนั้นจึงกระแอมแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วเจ้ายังสอนพวกนางอยู่อีกหรือ”

“อืม มีเงินก็ต้องเก็บ ข้าตามองไม่เห็น อยากจะหาเงินไว้เลี้ยงตัวเองให้มากขึ้นสักนิด เหล่าแม่เล้าและหญิงคณิกาเวลาจ่ายเงินจะใจกว้างมาก” จวีมู่เอ๋อร์พูดพลางไล่นิ้วเหมือนท่าดีดพิณด้วยความเคยชิน นิ้วของนางนุ่มนิ่ม เล็บกรีดลงบนฝ่ามือของหลงเอ้อร์ เขาก้มลงมอง แบมือปล่อยให้นางเล่นตามใจชอบ

“ท่านหลงเอ้อร์ แท้จริงแล้วหญิงสาวเหล่านั้นไม่ได้เป็นเหมือนที่ท่านคิดทุกคน บางคนน่าสงสารมาก บางคนน่ารังเกียจมาก คนที่น่ารังเกียจข้าก็จะไม่ตั้งใจสอน คนที่น่าสงสารข้าก็สอนมากสักนิด หลังจากพวกนางสนิทกับข้าก็จะเล่าเรื่องซุบซิบนินทาให้ฟัง”

“เรื่องพวกนางชอบใช้แป้งหอมกลิ่นดอกไม้อะไรน่ะหรือ” หลงเอ้อร์อารมณ์ไม่ดี เช่นนั้นภายหน้าหากเขาต้องไปจัดเลี้ยงที่หอคณิกาอีกก็ต้องชำระร่างกายเปลี่ยนเสื้อก่อนจึงจะพบนางได้หรือ

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “ไม่เพียงเท่านี้ เรื่องหญิงหอใดชอบไปซื้อของที่ร้านใด ชอบเสื้อผ้าประเภทใด สีปากสีอะไร พวกนางล้วนบอกข้าทั้งหมด ข้ามองไม่เห็น และความชอบของทุกหอก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นพวกนางบางคนต่างรู้จักกัน พบกันโดยบังเอิญในหอเรียนพิณ จึงให้ข้าทายว่าใครมาจากหอใด ข้าเล่นกับพวกนางนานวันเข้าก็สามารถจับทางเดาได้”

หลงเอ้อร์จ้องนางในทันที “พวกนางไม่ได้พูดจาหยาบคายอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่”

“อืม…” จวีมู่เอ๋อร์เอียงหน้าครุ่นคิด “พวกนางแค่บอกว่าหากท่านหลงเอ้อร์มาจะใช้จ่ายเงินไม่น้อย เหล่าแม่เล้าล้วนชอบใจ แต่ท่านหลงเอ้อร์ไม่เคยให้เงินรางวัลสักครั้ง ทำให้แม่เล้ากับเหล่าหญิงคณิกาแอบโอดครวญกัน สิ่งนี้นับว่าหยาบคายหรือไม่”

ใบหน้าของหลงเอ้อร์แดงซ่านขึ้นมาทันที ศักดิ์ศรีความเป็นชายของเขาถูกหญิงคณิกากลุ่มหนึ่งเอามานินทาต่อหน้าคู่หมั้นว่าเขาไม่ให้เงินรางวัล นี่มันอะไรกัน!

เขาตัดสินใจทำเป็นไม่ได้ยิน ลมเมื่อครู่พัดแรงมาก แรงจนหูของเขาฟังไม่ชัด

ตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์กุมมือของหลงเอ้อร์ไว้แน่น “ท่านหลงเอ้อร์ ข้าได้ยินพวกนางพูดถึงท่านมากมาย ข้าคิดว่าท่านเป็นคนดี ดังนั้นเมื่อฉิงเอ๋อร์ตากฝนจนป่วยหนัก ข้าที่ร้อนใจจึงได้ไปยังโรงน้ำชาเพื่อขอร้องให้ท่านทำกันสาดให้”

หลงเอ้อร์กระแอมเบาๆ หนึ่งที ใจลอยหวิวเพราะจวีมู่เอ๋อร์ชมว่าเขาดี “ข้ารับปากแล้วก็ต้องทำ ฤดูใบไม้ผลิหลังปีใหม่ก็จะเริ่มทำ”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านหลงเอ้อร์หนึ่งคำพูดแน่นหนักดุจเก้ากระถางศักดิ์สิทธิ์*

“เรื่องนี้แน่นอน” หลงเอ้อร์ผยองขึ้นมาทันใด “ข้ายังตอบตกลงแต่งงานกับเจ้าด้วย อย่างไรก็ต้องแต่งแน่นอน”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นอีก นางสวมเสื้อผ้าธรรมดา บนหัวมีผ้าพันไว้ แม้สภาพจะไม่น่าดูนัก แต่หลงเอ้อร์กลับรู้สึกว่าความงามบนตัวนางทำให้เขารู้สึกสบายใจ เขานึกถึงเฉินเหลียงเจ๋อขึ้นมา นั่นก็เป็นชายหนุ่มท่าทางเหมือนบัณฑิตเช่นกัน ดูไปแล้วก็มีลักษณะคล้ายกับจวีมู่เอ๋อร์อยู่บ้าง

หลงเอ้อร์นึกอยากถามขึ้นมาทันใดว่าเพราะเหตุใดนางจึงยืนยันจะยกเลิกการแต่งงานกับเฉินเหลียงเจ๋อ ฝ่ายตรงข้ามมีความสัมพันธ์ทางใจกับนางมาหลายปี ซ้ำยังไม่ถือสาที่นางตาบอด มีเหตุผลใดที่นางต้องยกเลิกการแต่งงานด้วย ปกติแล้วช่วงที่เพิ่งตาบอดใหม่ๆ ต้องเป็นช่วงที่ไร้หนทางและน่าหวาดกลัวที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้นยิ่งต้องเกาะติดเฉินเหลียงเจ๋อเอาไว้ให้มั่นเพื่อเป็นที่พึ่งพิง เหตุใดจวีมู่เอ๋อร์จึงทำในทางตรงกันข้ามเช่นนี้

หลงเอ้อร์กำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ท้ายที่สุดก็อดกลั้นไว้ไม่ยอมพูด ในเมื่อนางจะแต่งงานกับเขาแล้ว มาพูดเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้กับนางให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

ลมกลางคืนพัดโชย ผมเส้นบางของนางปลิวติดข้างแก้ม เขาปัดออกให้นาง ในตอนนี้เองจวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านหลงเอ้อร์ หลังจากแต่งงานแล้วข้ายังสอนพิณได้หรือไม่”

ในสมองหลงเอ้อร์ปรากฏภาพหญิงคณิกากลุ่มหนึ่งกับภรรยาของตนอุ้มพิณคนละตัว ถกกันว่าเมื่อคืนเขาไปที่หอไหน ไปกับใคร ชี้ตัวเรียกหญิงสาวคนใด ใช้เงินไปเท่าไร หญิงคนนั้นพูดอะไรกับเขา เขาตอบกลับว่าอย่างไร หญิงสาวลูบส่วนใดของเขา และมือของเขาวางอยู่ที่ใด…

หลงเอ้อร์รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่ต้องสอนแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าติดต่อกับหญิงคณิกาเหล่านั้นอีก”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ก็คงเป็นเช่นนั้น หากพวกนางรู้ว่าข้าแต่งกับท่าน และถามว่าตอนที่ท่านอยู่ที่คฤหาสน์เป็นอย่างไร ท่านพูดอะไรกับข้าบ้าง ทำอะไรกันบ้าง แม้ข้าจะไม่ตอบ แต่หากพวกนางใช้คำถามเหล่านี้มาหัวเราะเยาะข้า ข้าก็คงจะรับไม่ได้จริงๆ”

หลงเอ้อร์รู้สึกเหมือนมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่บนหัว เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าไม่เพียงไปจัดเลี้ยงนอกบ้านจะถูกนินทา แม้แต่เรื่องส่วนตัวภายในบ้านก็โดนไปด้วยเช่นกัน เขานิ่งไปครู่ใหญ่จึงกล่าวออกมาได้ประโยคหนึ่ง “แท้จริงแล้ว…ข้าไม่ค่อยได้ไปสถานที่เหล่านั้น เป็นแค่การจัดเลี้ยง แค่จัดเลี้ยงเท่านั้น”

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “ข้ารู้ว่าท่านหลงเอ้อร์เป็นคนดีมาก”

การที่นางพูดเช่นนี้ทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกเขินขึ้นมา เขากระแอมแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าข้าดีอยู่แล้ว”

“ท่านหลงเอ้อร์ ข้าคิดวิธีหาตัวคนร้ายได้แล้ว”

หลงเอ้อร์ตะลึงแล้วลอบถอนหายใจอยู่ภายใน หญิงสาวผู้นี้ต้องพูดจากระโดดไปกระโดดมาเช่นนี้ด้วยหรือ เมื่อสักครู่เขากำลังรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนกำลังอบอุ่น แต่จู่ๆ นางกลับมาพูดกับเขาเรื่องหญิงคณิกา พอเขารู้สึกอึดอัดใจปวดหัวที่เหล่าหญิงคณิกาปากมาก นางก็เปลี่ยนเรื่องไปที่คดีอย่างฉับพลัน

คุยกับนางแล้วเขาไม่รู้สึกเบื่อเลยจริงๆ ไม่เพียงไม่น่าเบื่อ ยังตื่นเต้นน่าลุ้นระทึกอีกด้วย

หลงเอ้อร์ถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยถาม “วิธีอะไร”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com