ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด
บทที่แปด
บ่ายวันที่สามหลังเกิดคดีฆาตกรรมจูฟู่ จวีมู่เอ๋อร์เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลตามลำพัง
เรื่องนี้หลงเอ้อร์ไม่เต็มใจให้ทำ แต่จวีมู่เอ๋อร์บอกความคิดของนางให้เขาฟัง คนร้ายคนนั้นมีร่างกายแข็งแรงกำยำ คงต้องเป็นคนที่ทำงานหนัก บนตัวมีกลิ่นน้ำมันหอม เป็นไปได้มากว่าทำงานเกี่ยวกับห้องครัว เขารู้ว่าจูฟู่พักอยู่ที่ห้องใด ซ้ำยังรู้อีกว่ามีเงินอยู่ในมือ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะเป็นคนในโรงเตี๊ยม
ข้อสันนิษฐานเหล่านี้หลงเอ้อร์ล้วนเห็นด้วย เขารู้สึกว่าคนร้ายต้องอยู่ที่นั่น ดังนั้นสายสืบของจวนว่าการกับคฤหาสน์สกุลหลงจึงพุ่งเป้าไปที่โรงเตี๊ยม
แต่ที่โรงเตี๊ยมมีคนที่รูปร่างสูงปานกลางไม่น้อย ในสิบคนก็มีแปดถึงเก้าคนที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ บนตัวมีกลิ่นควันน้ำมันก็มีมาก แต่กลิ่นน้ำมันหอมนั้นกลับไม่มี เหล่ามือปราบเพ่งเล็งคนที่มีท่าทางดุร้าย แต่บนหลังมือของพวกเขาล้วนไม่มีรอยแผลเป็น
‘ดังนั้นจึงต้องให้ข้าไปเอง หากเป็นมือปราบกับสายสืบคนร้ายก็จะไหวตัวทัน แต่ถ้าเป็นข้า คนร้ายก็จะกล้าปรากฏตัวออกมา’ จวีมู่เอ๋อร์พูดเช่นนี้
หลงเอ้อร์เป็นคนฉลาดย่อมรู้ถึงความหมายของนาง แต่เขาไม่อยากทำเช่นนี้ ตอนนี้เขาเห็นจวีมู่เอ๋อร์เป็นคนของเขา ดังนั้นเขาควรจะให้การคุ้มครองนาง
‘เจ้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ พวกเราใกล้ความจริงมากแล้ว อีกไม่นานก็สามารถจับคนร้ายตัวจริงได้’
จวีมู่เอ๋อร์กลับพูดว่า ‘ข้าจำเป็นต้องทำ ท่านหลงเอ้อร์ ข้าติดค้างท่าน’
คำพูดนี้อุดคำเกลี้ยกล่อมของหลงเอ้อร์เอาไว้ เขารู้นิสัยของจวีมู่เอ๋อร์ดี และรู้ถึงความรู้สึกของการติดค้างดีเช่นกัน หากคนผู้หนึ่งรู้สึกติดค้างผู้ใด จิตใจคนผู้นั้นคงยากจะเป็นสุขได้
หลงเอ้อร์ไม่อยากให้จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าติดค้างอะไรเขา
หลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์โต้เถียงกันอยู่นาน เขามีความรู้สึกประหลาดอยู่ในใจอย่างหนึ่ง รู้สึกว่าระหว่างเขากับนางเข้าใจกันได้โดยไม่จำเป็นต้องพูด อาจกล่าวได้ว่าบางอย่างเขาเองก็พูดให้ชัดเจนไม่ได้
นางฉลาดอย่างมาก แม้จะตาบอดแต่กลับสามารถทำเรื่องเหนือความคาดหมายที่แม้แต่ผู้หญิงตาดีก็ทำไม่ได้
นางไม่เหมือนหญิงสาวคนอื่นที่เขาเคยพบมา
ดังนั้นเขาจึงยินดีแต่งงานกับนาง อย่างไรเสียเขาก็ต้องแต่งงานกับใครสักคนอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงถูกทำให้รำคาญใจจนตาย และช่วงเวลาที่นางขอเขาแต่งงานมันช่างพอดิบพอดียิ่งนัก เขากำลังปวดหัวกับเรื่องการแต่งงาน นางก็มาหาเองถึงที่บ้าน เขาไม่อยากแต่งงานกับเหล่าคุณหนูสกุลใหญ่ที่น่าเบื่อและไม่น่าสนใจ นางกลับพูดกับเขาว่า ‘ข้าอยากจะให้ท่านหลงเอ้อร์แต่งงานกับข้า’
หลงเอ้อร์รู้สึกว่านี่เป็นวาสนา
เขาทั้งอยากรังแกนางและอยากปกป้องนาง รู้สึกว่าอยู่กับนางแล้วน่าสนใจ เขาคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีมาก เขาสามารถเห็นหน้านางได้ทุกเมื่อ ได้อยู่กับนางตลอดเวลา คุ้มครองนางได้เต็มที่ และมีโอกาสได้เห็นอารมณ์โกรธของนางที่เหมือนจะไม่มีอยู่แต่กลับปรากฏออกมาให้เห็นอย่างรุนแรงได้ นางกับเขาเป็นสามีภรรยากัน เขาเป็นสามี นางย่อมต้องโอนอ่อนตามเขาเป็นธรรมดา
หลงเอ้อร์รู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ต้องสนุกมากอย่างแน่นอน แท้จริงแล้วเขารู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดพัฒนาไปมากจริงๆ ตอนนี้ท่าทีที่นางมีต่อเขาอ่อนลงกว่าตอนที่เพิ่งรู้จักกันไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
สรุปก็คือหลงเอ้อร์คิดว่าตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์เป็นของเขาแล้ว มู่เอ๋อร์ของเขา อืม คล่องปากมาก ในเมื่อเป็นคนของเขาก็ต้องให้เขาดูแล เขาย่อมไม่อาจให้นางไปพบเจออันตรายใดๆ ได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้นางมีปมในใจเพราะเขาเช่นกัน
เขาไม่ได้ถูกบังคับให้แต่งกับนาง เขาหวังว่านางจะแต่งงานกับเขาเพราะความชอบเช่นกัน ไม่อยากให้นางติดค้างอะไรเขา
ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง
วันต่อมาหลงเอ้อร์จึงรับตัวจวีมู่เอ๋อร์ไปที่จวนว่าการ หลังจากการพูดจานัดแนะเป็นมั่นเป็นเหมาะ เขาก็ส่งจวีมู่เอ๋อร์ไปที่ปากถนนซีโย่ว นางถือไม้เท้าลงจากรถม้า เดินเลี้ยวไปทางโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล
ตอนนี้เป็นช่วงหลังเที่ยง เวลาอาหารจึงผ่านไปแล้ว ภายในโถงของโรงเตี๊ยมไม่มีแขก เมื่อจวีมู่เอ๋อร์เข้าไป เสี่ยวเอ้อร์ที่ชื่อซานจื่อก็เห็นนาง เขารีบเข้ามาต้อนรับ เดินนำจวีมู่เอ๋อร์ไปหาโต๊ะที่เป็นมุมเงียบสงบแล้วเชิญให้นั่งลง
จวีมู่เอ๋อร์เอียงหัวฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบข้าง ซานจื่อรีบเข้ามาคุยกับนาง “แม่นางวางใจได้ ตรงนี้เป็นมุมที่เงียบสงบ ไม่มีคนมารบกวนแม่นางแน่นอน”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าและยิ้มเป็นการขอบคุณ
ซานจื่อถามนางว่าต้องการกินอะไร จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบ กลับพูดขึ้นว่า “พี่เสี่ยวเอ้อร์เป็นคนที่อยู่ในโถงว่าการวันนั้นใช่หรือไม่ ข้าจำเสียงได้”
“แม่นางหูดียิ่งนัก ข้าเป็นคนในโถงว่าการที่ถูกท่านเจ้าเมืองสอบสวนคนนั้นจริงๆ”
“พี่เสี่ยวเอ้อร์เป็นคนเจอพวกเราแล้วแจ้งทางการใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้น ข้ากับแขกอีกคนหนึ่งไปพบแม่นางพร้อมกัน พูดไปแล้วแม่นางก็ดวงแข็งนัก ต่อไปจะต้องมีความสุขมากอย่างแน่นอน”
เป็นเสี่ยวเอ้อร์วิ่งอยู่ในโรงเตี๊ยม ปากหวานเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ คำพูดนั้นย่อมอ้อนมากหน่อยทำให้จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มออกมา
ซานจื่อเอ่ยถามอีก “ครั้งนี้แม่นางมาทำอะไรหรือ มากินอาหารหรือว่า…”
จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “รบกวนพี่เสี่ยวเอ้อร์ยกน้ำชามาให้สักกา ข้าจะนั่งเล่นที่นี่”
ซานจื่อรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ยังคงไปยกน้ำชามาให้นางหนึ่งกา ถามนางว่ายังต้องการอะไรอีกหรือไม่ จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า ซานจื่อวางกาน้ำชาลง พูดเพียงว่ามีเรื่องอะไรก็ให้เรียกใช้เขาได้
จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มขอบคุณ จากนั้นก็จิบชาทีละนิดจนหมดถ้วย แล้วยื่นมือไปหยิบกามาเทน้ำชาให้ตัวเองอีกหนึ่งถ้วย
นางนั่งนิ่งๆ ตามลำพังอยู่สักครู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกายนาง “แม่นาง เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ตามลำพัง” จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกคุ้นเสียงอยู่บ้าง นางกำลังคิดว่าคนผู้นี้คือใคร เขาก็พูดขึ้นอีก “แม่นาง ข้าชื่อต้าหู่ เป็นเสี่ยวเอ้อร์ของที่นี่ วันนั้นที่เจ้ามาพักแรม ข้าเป็นคนพาเจ้าไปที่ห้องพักเอง”
จวีมู่เอ๋อร์นึกออกจึงรีบพยักหน้าแล้วทักกลับ
ต้าหู่ก็ถามอีกว่า “เหตุใดแม่นางจึงมาที่นี่คนเดียว คนร้ายคนนั้นถูกตัดสินโทษหรือยัง”
จวีมู่เอ๋อร์ตะลึง “คนร้ายอะไร”
“หลงจู๊หลี่ว์คนนั้นไง เขาเป็นคนฆ่าเถ้าแก่จูไม่ใช่หรือ แต่ข้าเห็นว่าสองวันมานี้ยังมีทหารของทางการมาตรวจสอบที่นี่อยู่เลย หรือว่าเขาจะไม่ใช่คนร้าย”
จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า
ต้าหู่นั่งลงตรงข้ามกับจวีมู่เอ๋อร์ “พูดไปแล้วเรื่องนี้ก็น่าหวาดหวั่นนัก แม่นางว่าเพราะเหตุใดเวลาเพียงพริบตาเดียว คนก็ตายเสียแล้ว”
“เหตุการณ์ในวันนั้นพี่เสี่ยวเอ้อร์เห็นหรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์ถาม
“หลังจากที่ทุกคนคุยกันเสียงดังมาก ข้าตามไปดูจึงได้เห็น วันนั้นหลังจากข้าพาแม่นางไปที่ห้องพักแล้ว พอกลับมานั่งสักครู่ก็รู้สึกง่วงอย่างมาก เมื่อเห็นว่าไม่มีแขกเลยงีบหลับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลงจู๊หลี่ว์คนนั้นก็มาแตะตัวเรียกข้า ถามว่าเถ้าแก่จูอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ ข้าตอบเขาไป โอ เรื่องนี้จะพูดไปก็ต้องโทษข้าด้วย หากข้าไม่บอกเขา ไม่แน่ว่าเถ้าแก่จูอาจจะไม่ตายก็ได้”
“พี่เสี่ยวเอ้อร์ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง หากเถ้าแก่จูที่อยู่ในปรโลกรับรู้ย่อมไม่โทษพี่เสี่ยวเอ้อร์แน่นอน”
จวีมู่เอ๋อร์พูดเสียงเรียบ ฟังเหมือนปลอบใจด้วยจุดประสงค์อันดี แต่กลับทำให้ต้าหู่ตกใจจนเหงื่อผุดไปทั้งตัว ถามเสียงหลงว่า “มีผีมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์ไม่พูดจา ต้าหู่นั่งนิ่งอยู่สักครู่ ครุ่นคิดไปมาแล้วรีบวิ่งจากไปทันที
ผ่านไปพักใหญ่ ซานจื่อก็เดินมาถามจวีมู่เอ๋อร์ว่าต้องการอะไรเพิ่มหรือไม่ นางส่ายหน้า เขาถามอีกว่านางรอคนอยู่ใช่หรือไม่ จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าอีก ซานจื่อเกาหัวพูดว่า “แล้วแม่นางจะไปที่ใด มีเพื่อนอยู่ละแวกนี้หรือไม่ ข้าจะไปตามให้เพื่อนของแม่นางมารับที่นี่ ดวงตาแม่นางไม่ค่อยสะดวก หากกลับไปเองคงไม่ดี”
จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ “พี่เสี่ยวเอ้อร์เป็นคนดียิ่งนัก ไม่ปิดบังพี่เสี่ยวเอ้อร์ ข้าเจอปัญหาเข้าแล้ว”
ซานจื่อมองไปซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีแขกที่จะต้องต้อนรับ เขาจึงนั่งลงแล้วถามว่า “แม่นางมีความลำบากอะไรหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์เอียงหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวรอบข้าง เมื่อไม่ได้ยินว่าใกล้ๆ มีคนอื่นอยู่ นางจึงค่อยกดเสียงลงต่ำแล้วเอ่ยปาก “ท่านเจ้าเมืองมั่นใจว่าหลงจู๊หลี่ว์ไร้ความผิด ต้องการให้ข้าไปให้ปากคำเกี่ยวกับคดีในวันนั้น เดิมทีข้าควรจะต้องจำเรื่องอะไรได้บ้าง แต่หลังจากได้รับบาดเจ็บที่หัวก็มักจะรู้สึกมึนๆ งงๆ จำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ซานจื่อได้ยินก็รีบพูดว่า “ข้าได้ยินเหล่าทหารของทางการบอกว่าต้องการตรวจสอบชายที่มีรูปร่างสูงปานกลาง บนมือมีรอยแผลเป็น เมื่อวานนี้พวกเขามาตรวจสอบละแวกนี้ทั้งวัน”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ข้านึกขึ้นได้ แต่ก็ยังหาตัวคนร้ายไม่พบ ท่านเจ้าเมืองบอกว่าหากหลงจู๊หลี่ว์ไม่ใช่คนร้าย พรุ่งนี้จะต้องปล่อยตัวเขาแล้ว แต่คดีนี้ร้ายแรงมาก จะไม่มีผู้กระทำผิดไม่ได้ ตอนที่เกิดเหตุ ภายในห้องก็มีเพียงหลงจู๊หลี่ว์กับข้า หากข้าไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าตัวเองไร้ความผิดก็ต้องเข้าคุก”
“แม่นางเป็นหญิงเรียบร้อยอ่อนแอ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าฆ่าคนไม่ได้ ท่านเจ้าเมืองทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ขุนนางต้องการทำคดี ข้าเป็นเพียงชาวบ้านสามัญจะไปมีปัญญาทำอะไรได้”
“เช่นนั้นแม่นางมาที่นี่เพื่ออะไร”
“ข้าคิดว่าหากกลับมาที่เกิดเหตุ บางทีอาจจะนึกอะไรได้มากขึ้น ข้าเกรงว่าใต้เท้าจะคิดว่าข้าเสแสร้งแกล้งทำ ดังนั้นจึงมาด้วยตัวเอง หากจำเรื่องราวอื่นๆ ได้แล้วค่อยไปรายงาน”
ซานจื่อเอ่ยถาม “แล้วนึกอะไรได้หรือยัง”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “นึกได้แล้ว” นางไม่รอให้ซานจื่อถาม พูดต่อทันที “แต่ข้าต้องการทำให้มั่นใจกว่านี้สักนิด”
“ทำให้มั่นใจอย่างไร”
จวีมู่เอ๋อร์กดเสียงต่ำเอ่ยถามกลับ “พี่เสี่ยวเอ้อร์ ข้าเชื่อในตัวพี่เสี่ยวเอ้อร์ ดังนั้นช่วยพาข้าเข้าไปในห้องที่เถ้าแก่จูประสบเหตุได้หรือไม่”
ซานจื่อตกใจ “จะไปทำอะไรหรือ ตอนนี้ห้องนั้นถูกปิด ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป”
“ก็เพราะไม่มีใครเข้าไปได้ ดังนั้นหากข้าเข้าไปนั่งสักครู่ ย่อมไม่มีคนรู้แน่นอน ข้านึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ต้องเข้าไปในห้องนั้นจึงจะมั่นใจ พี่เสี่ยวเอ้อร์ เรื่องนี้เกี่ยวกับการตามหาคนร้ายตัวจริง ช่วยข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
ซานจื่อลำบากใจมาก “ที่นั่นไม่อนุญาตให้เข้าไปจริงๆ ถ้าข้าช่วยแม่นาง ข้าอาจจะถูกไล่ออกก็ได้ เอาเป็นว่าข้าจะพาแม่นางไปเดินรอบๆ อาคารห้องพักที่ด้านหลัง เช่นนี้อาจทำให้นึกออกได้กระมัง”
จวีมู่เอ๋อร์คิดสักครู่ “แค่ไปเดินเล่นที่อาคารด้านหลังข้าไปเองก็ได้ พี่เสี่ยวเอ้อร์ไม่จำเป็นต้องไปเป็นเพื่อน เช่นนี้หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจะได้ไม่ทำให้พี่เสี่ยวเอ้อร์ลำบาก”
ซานจื่อก็ไม่ดึงดัน “เช่นนั้นแม่นางก็ระวังตัวด้วย”
ซานจื่อเดินจากไป จวีมู่เอ๋อร์นั่งต่ออีกสักครู่ จากนั้นจึงหยิบไม้เท้าค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ ไปที่อาคารด้านหลัง นางจำเส้นทางของที่นี่ได้
นางเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ ผ่านระเบียงทางเดินที่เงียบสนิท จากนั้นจึงหยุดอยู่ตรงหน้าห้องเทียนจื้อหมายเลขหก
นางยืนนิ่งอยู่สักพัก ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ดังนั้นจึงยื่นมือไปแตะบานประตูแล้วออกแรงผลัก ประตูไม่ได้ถูกลงกลอนไว้จึงเปิดออก จวีมู่เอ๋อร์ยืนอยู่ตรงหน้าประตูสักครู่แล้วถึงเดินเข้าไป จากนั้นก็หมุนตัวมาปิดประตู
จวีมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ภายในห้อง ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงเคาะประตู นางตกใจแต่ไม่ได้ขยับตัว จากนั้นคนที่อยู่ด้านนอกประตูจึงส่งเสียงพูดเบาๆ “แม่นางจวี ข้าเอง”
จวีมู่เอ๋อร์สงบสติแล้วเดินไปเปิดประตู
ผู้ที่มาคือซานจื่อ เมื่อเขาเข้ามาก็รีบปิดประตู เอ่ยอย่างร้อนใจ “แม่นางบอกว่าแค่เดินเล่นอยู่รอบอาคารไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงแอบเข้ามาที่นี่ หากมีใครเห็นเข้าจะทำอย่างไร”
“ข้าเดินไปเดินมาก็มาถึงที่นี่เอง พอลองผลักประตูถึงค่อยเห็นว่าไม่ได้ลงกลอนไว้จึงเดินเข้ามา”
ซานจื่อได้ฟังก็ถอนหายใจ “แม่นางรีบออกไปดีกว่า ห้องนี้ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาจริงๆ จะให้คนอื่นเห็นแม่นางไม่ได้เด็ดขาด หากทหารทางการเอาผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “พี่เสี่ยวเอ้อร์พูดถูกต้องแล้ว ข้าเองก็นึกได้แล้ว จะออกไปเดี๋ยวนี้”
ซานจื่อเอ่ยถาม “แม่นางนึกอะไรได้หรือ”
“ข้าคิดวิธีชี้ตัวคนร้ายออกแล้ว ต้องไปเรียนใต้เท้าเดี๋ยวนี้”
“แม่นางมั่นใจหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ไม่ผิดพลาดแน่นอน วันนั้นแม้คนร้ายจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขายังคงทิ้งร่องรอยที่สำคัญมากเอาไว้ ต้องโทษที่ข้ากลัวจนเกินไปและหัวได้รับบาดเจ็บจึงทำให้พลาดจุดนี้ไป ปรากฏว่ามาที่นี่แล้วจึงนึกขึ้นได้ทั้งหมด”
ซานจื่อเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอยินดีกับแม่นางด้วยที่สามารถล้างข้อสงสัยของตัวเองได้ พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะมาเห็น”
จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม ซานจื่อแง้มประตูออก แอบยื่นหน้าออกไปมองความเคลื่อนไหวนอกห้อง จากนั้นจึงหันหน้ามาบอกจวีมู่เอ๋อร์ว่า “ด้านนอกไม่มีใคร ข้าจะออกไปก่อน แม่นางนั่งรออีกสักครู่ค่อยออกไปเถอะ”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า นางได้ยินเสียงประตูเปิดออกแล้วปิดลง ซานจื่อจากไปแล้ว
จวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งไม่ขยับ ในห้องเงียบมาก นางรอได้สักพักก็ได้ยินเสียงของท่านหลงเอ้อร์ดังขึ้น “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้แตะต้องนางแม้เพียงปลายเล็บ ไม่เช่นนั้นเจ้าใช้มือข้างใดแตะต้องนาง ข้าก็จะสับมือข้างนั้นทิ้ง”
แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันก็ทำให้จวีมู่เอ๋อร์ตัวสั่น นางร้องเรียกทันทีว่า “ท่านหลงเอ้อร์!”
มือใหญ่อบอุ่นข้างหนึ่งกุมมือนางไว้ทันที จวีมู่เอ๋อร์สงบใจลงได้ เอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง
“ท่านหลงเอ้อร์”
“ข้าเอง ไม่ต้องตกใจ”
“เขาเปิดและปิดประตูแต่ไม่ได้ออกไปจริงๆ ใช่หรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์ถามหลงเอ้อร์
“ถูกต้อง” หลงเอ้อร์เหลือบตามอง แววตาคมกริบราวกับมีดพุ่งตรงไปยังซานจื่อ
“เขาคิดจะฆ่าข้าอย่างไร”
“ในมือเขาถือผ้า อาจจะคิดอุดปากอุดจมูกเจ้าให้ตาย”
“เช่นนั้นก็สามารถทำให้ข้าไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือและทำให้ตายได้ในคราวเดียว”
ทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ หากจวีมู่เอ๋อร์ปรากฏตัว คนร้ายจะต้องระแวงสงสัย เมื่อรู้ว่านางอาจนึกอะไรขึ้นมาได้ คนร้ายต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันตัวเองอย่างแน่นอน
สิ่งที่จวีมู่เอ๋อร์ทำก็คือเล่นไปตามสถานการณ์ นางนั่งอยู่ในโถงพักหนึ่งเพื่อให้คนร้ายสังเกตเห็นนางแล้วเกิดความหวาดกลัว จากนั้นจึงหาวิธีสร้างโอกาสให้แก่คนร้าย ทำให้เขาสามารถเข้าใกล้และลงมือกับนางได้โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
สถานที่ที่วางไว้ในแผนคือหนึ่ง ห้องที่คนร้ายก่อเหตุ สอง ตรอกแคบด้านหลังโรงเตี๊ยม แต่เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างอื่นขึ้น ดังนั้นนอกประตูโรงเตี๊ยมรวมไปถึงอาคารทางด้านหลังของโรงเตี๊ยมล้วนมีสายสืบกับทหารทางการในชุดสามัญชนซุ่มซ่อนอยู่
ภายในห้องนี้เดิมทีได้มีการจัดเตรียมทหารทางการไว้ด้านหลังฉากกั้นหนึ่งคน ดังนั้นเมื่อจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงของท่านหลงเอ้อร์ก็พูดได้ว่านางทั้งตกใจและดีใจ สำหรับนาง เขาทำให้นางอุ่นใจได้มากกว่าทหารทางการ
ซานจื่อที่อยู่ด้านข้างตกใจจนขาอ่อน หัวใจแทบหลุดออกมานอกอก เขาคิดจะฉวยโอกาสตอนที่จวีมู่เอ๋อร์ไม่ระวังตัวอุดปากอุดจมูกนางให้ตาย จากนั้นค่อยโยนร่างนางออกไปนอกหน้าต่าง สร้างสถานการณ์ว่านางตกจากอาคารตายเอง สุดท้ายท่านเจ้าเมืองก็อาจคิดว่านางฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด และไม่อยากทนรับความลำบากในคุกจึงได้ตัดสินใจกระโดดลงจากอาคารเพื่อฆ่าตัวตาย หากเป็นเช่นนั้นท่านเจ้าเมืองก็จะต้องรีบปิดคดีเพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ครหา
ซานจื่อคิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่ยากจะได้พบ ไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ หญิงตาบอดผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนร้าย ดังนั้นจึงคิดฉวยโอกาสตอนที่ทุกอย่างยังสามารถแก้ไขได้ลงมือกระทำ
นางบอกว่าอยากจะมาที่ห้องนี้ เขาจึงอาศัยตอนที่นางยังนั่งอยู่ในโถง แอบขึ้นมาปลดกลอนประตูห้อง จากนั้นรอคอยเพื่อสังเกตการณ์ เขาเห็นหญิงตาบอดผู้นี้หาห้องเทียนจื้อหมายเลขหกพบโดยไม่ผิดพลาด ในใจก็เกิดความคิดแน่วแน่ที่จะสังหารนาง
เขารอสักครู่ หาโอกาสตอนที่ไม่มีผู้คนเดินผ่านเพื่อจะลงมือ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในห้องนี้มีคนอยู่ ดังนั้นที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะเหลือเกิน แต่นางลงกลอนประตูไว้ หากเขาทำอะไรผลีผลาม นางอาจตกใจจนร้องตะโกนเสียงดัง ดังนั้นเขาจึงเคาะประตู ค่อยๆ พูดคุยด้วยก่อน จากนั้นก็แกล้งทำเป็นออกจากห้อง ทำให้นางไม่ทันระวังตัว เขาจะใช้มีดไม่ได้ ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ หากตัวเขาเปื้อนเลือดจะจัดการได้ยาก ดังนั้นเขาต้องอุดปากอุดจมูกนางให้ตาย
คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งพันผ้าใส่มือย่องเข้าใกล้นาง ท่านหลงเอ้อร์ก็ปรากฏตัวออกมาเสียก่อน
หากเป็นทหารทางการตัวเล็กๆ ซานจื่ออาจจะกล้าประมือด้วย แต่กับท่านหลงเอ้อร์ เขาไม่กล้าขยับแม้เพียงนิดเพราะรู้ว่าท่านหลงเอ้อร์สามารถตัดมือเขาได้จริงตามที่พูด เขาคิดไปถึงขั้นว่าหากท่านหลงเอ้อร์สังหารเขาเสีย ทหารทางการก็คงไม่อาจทำอะไรท่านหลงเอ้อร์ได้
ซานจื่อหวาดกลัวมาก แต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้คนทั้งสองเอาแต่คุยกัน ท่านหลงเอ้อร์ไม่ได้สนใจเขา หญิงตาบอดคนนั้นก็ไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน
ซานจื่อเห็นดังนั้นก็ขบกราม ตัดสินใจหมุนตัววิ่งไปทางประตู เขาเพิ่งจะผลักบานประตูให้เปิดออก มีดสองเล่มก็วางทาบลงบนคอ ทหารทางการที่เฝ้าอยู่นอกประตูจับตัวซานจื่อไว้ได้โดยไม่ต้องเสียแรง
เหล่าทหารทางการคุมตัวซานจื่อกลับเข้าไปในห้อง ชิวรั่วหมิงเดินเข้ามาอย่างมาดมั่น ยกเก้าอี้ไปนั่งลงตรงด้านหน้า ซานจื่อที่มองไม่เห็นทางรอดคุกเข่าทรุดฮวบลงบนพื้น
“ใต้เท้า” จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยเรียก “ให้ข้าน้อยลูบมือของเขาได้หรือไม่”
ลูบอีกแล้วหรือ! หลงเอ้อร์ไม่สบอารมณ์ ขมวดคิ้วมองไปที่ซานจื่อแวบหนึ่ง
ชิวรั่วหมิงย่อมต้องตอบตกลง จวีมู่เอ๋อร์ยืนขึ้นแต่ไม่รู้ว่าตนควรจะเดินไปทางไหน เมื่อครู่มีคนกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา ตอนนี้นางจึงแยกไม่ออกว่าซานจื่ออยู่ที่ใดกันแน่
ทหารทางการผู้หนึ่งเดินเข้ามาเพื่อจะนำทางให้นาง แต่จวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็น นางยื่นมือออกไปทางหลงเอ้อร์ เอ่ยเรียกขอความช่วยเหลือเสียงหวาน “ท่านหลงเอ้อร์”
หลงเอ้อร์ที่มองดูอยู่รู้ว่าท่าทางนั้นเป็นการแสดงว่าจวีมู่เอ๋อร์ต้องการเขา นางไม่ต้องการผู้ใด เรียกหาเพียงแต่เขา เขารู้สึกยินดีจนไม่สนใจอารมณ์ที่ขุ่นมัว ยอมทำเรื่องน่าโมโหเช่นการพาภรรยาในอนาคตของตนไปลูบมือชายอื่น
หลงเอ้อร์ยื่นมือไปกุมมือนางเอาไว้ ฝ่ามือใหญ่ของเขากุมมือบางของจวีมู่เอ๋อร์ได้พอดี แม้ในใจจะยินดี แต่กลับปั้นหน้านิ่ง ประคองนำทางนางไปตรงหน้าซานจื่อ
ทหารทางการจับมือซานจื่อให้ยื่นมาข้างหน้า จวีมู่เอ๋อร์ลูบอย่างละเอียด ลูบอยู่นานมาก นานจนหลงเอ้อร์ขมวดคิ้วแน่น ในขณะที่เขากำลังทนไม่ไหวจะดึงมือนางกลับ จวีมู่เอ๋อร์ก็ปล่อยมือพอดี ในที่สุดนางก็พูดว่า “เป็นเขา”
ซานจื่อตัวสั่นระริกไม่กล้าพูดอะไร จวีมู่เอ๋อร์ถอยกลับไปสองก้าว ชี้ไปทางซานจื่อแล้วพูดเสียงดัง
“ใต้เท้า เป็นเขา”
ตอนที่พูดคำนี้ใบหน้าเล็กของนางเปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าดีใจและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลงเอ้อร์ดึงนางมาข้างกายอย่างอดไม่ได้ นางจับมือเขาไว้แล้วพูดด้วยความยินดี “ท่านหลงเอ้อร์ เป็นเขา จับเขาได้แล้ว เป็นเขานั่นเอง”
เรื่องราวต่อไปง่ายขึ้นมาก ชิวรั่วหมิงฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน เปิดการพิจารณาคดีทันที ซานจื่อที่จนต่อหลักฐานยอมรับสารภาพออกมาหมดสิ้น
ที่แท้ซานจื่อติดหนี้พนันอยู่ไม่น้อย ถูกคนของบ่อนพนันข่มขู่บีบบังคับ เขาหวาดกลัวจึงซื้อมีดสั้นไว้ป้องกันตัว แต่อย่างไรเงินก็ต้องใช้คืน เขาที่กำลังกลุ้มใจไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดก็บังเอิญได้พบกับจูฟู่
วันนั้นจูฟู่เข้ามาในโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดื่มเหล้าไปไม่น้อยโดยไม่พูดไม่จา ซานจื่อพูดเตือนไปคำหนึ่ง จูฟู่กลับโมโหเกรี้ยวกราด หยิบถุงเงินออกมาแล้วบอกว่า ‘ข้ามีเงินดื่ม’ เมื่อซานจื่อเห็นเงินก้อนโตก็เกิดความโลภขึ้นในใจ คิดทันใดว่านี่เป็นโอกาส
เขานำเหล้ามาให้จูฟู่จำนวนมาก ให้จูฟู่ดื่มจนเมามายไร้สติ จากนั้นจึงกล่อมจูฟู่ว่าเขาดื่มมากเกินไปแล้ว นอนพักในโรงเตี๊ยมเสียเลยจะดีกว่า ในตอนนั้นจูฟู่พึมพำตอบรับ บอกว่าไม่อยากกลับบ้านไปเห็นหน้าภรรยา ดังนั้นซานจื่อจึงพาตัวจูฟู่ไปที่ห้องพักได้อย่างราบรื่น
จูฟู่หลับแล้วแต่ยังคงกอดถุงเงินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซานจื่อไม่รู้ว่าเขาเมามากน้อยเพียงใดจึงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม คิดรอให้เขาหลับสนิทก่อนแล้วค่อยมาขโมยถุงเงิน
ซานจื่อกลับไปทำงานที่โถง แต่ในใจเริ่มคิดวางแผนว่าเรื่องนี้จะให้ผู้อื่นสังเกตเห็นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรอให้ต้าหู่นำแขกไปส่งที่ห้องพักเสร็จ เมื่อต้าหู่กลับมา เขาก็เทน้ำที่ผสมยานอนหลับปริมาณเล็กน้อยเอาไว้ให้ต้าหู่ถ้วยหนึ่ง ยานอนหลับนี้เป็นสิ่งที่เพื่อนในบ่อนพนันเคยให้เขา บอกว่าพวกเพื่อนๆ ของเขาใช้มันบ่อยๆ สิ่งนี้สามารถทำให้คนสะลึมสะลือง่วงนอนได้ แต่ไม่ขั้นหมดสติ หากใช้แล้วย่อมไม่มีช่องโหว่แน่นอน
ต้าหู่หลับไปอย่างรวดเร็ว ซานจื่อจึงแอบไปดับโคมไฟบนทางเดิน เขายังเตรียมเสื้อของคนส่งน้ำมันหอมมาชุดหนึ่งด้วย ตอนที่คนส่งน้ำมันหอมขนของมาส่งได้ถอดเสื้อทำงานและทิ้งเสื้อไว้ ภายหลังรีบร้อนจากไปจึงลืมหยิบไปด้วย ซานจื่อคิดว่าเมื่อตนเปลี่ยนชุดแล้ว แม้จะมีคนเห็นเงาเขาเคลื่อนไหวก็คงไม่คิดว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
แต่เขาเพิ่งคิดจะเปลี่ยนชุดเพื่อลงมือ แขกที่ชื่อเหลียงผิงผู้นั้นก็มาหา บอกว่าหิวแล้ว ยังบอกอีกว่าโคมไฟบนระเบียงดับ ซานจื่อด้านหนึ่งคิดว่าควรจะทำอย่างไร อีกด้านก็เดินนำเหลียงผิงเข้าไปในห้องครัว เหลียงผิงหิวมากจึงกินอาหารในครัวนั้นเลย ซานจื่อเกิดแผนการขึ้นในใจทันที เขาปล่อยให้เหลียงผิงกินอาหารไป ส่วนตัวเขาบอกว่าจะไปหาโคมไฟที่ห้องเก็บของ เหลียงผิงตอบรับ ซานจื่อจึงฉวยโอกาสนี้รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลอบเข้าไปในห้องของจูฟู่
ในความมืด ซานจื่อคลำเจอถุงเงินอย่างรวดเร็ว แต่คาดไม่ถึงว่าจูฟู่จะตื่นขึ้น ซานจื่อตกใจจนชักมีดสั้นออกมา ส่วนจูฟู่ทะยานออกไปทางประตูเพื่อตะโกนขอความช่วยเหลือ
หลังจากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ผ่านมา ซานจื่อพบว่านางตาบอดจริง ดังนั้นเขาจึงคิดแผนการขึ้นมาได้ ตั้งใจจัดฉากว่าจูฟู่กับหญิงสาวมีความสัมพันธ์กัน และถูกนางพลั้งมือแทงตาย เขายังเหลือเงินหนึ่งอัฐไว้ในถุงเงิน แล้วนำมันกลับไปวางที่หัวเตียงเพื่อปิดบังจุดประสงค์ในการฆ่าคนชิงทรัพย์ จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อเปื้อนเลือดออก เปลี่ยนรองเท้า หยิบโคมไฟอันใหม่แล้วกลับไปหาเหลียงผิง แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวใดๆ เขาเดินนำเหลียงผิงกลับห้องพัก ตั้งใจนำคนผู้นี้ไปที่เกิดเหตุพร้อมกัน หากเป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีใครคิดสงสัยในตัวเขาแล้ว
คาดไม่ถึงว่าพอไปถึงที่นั่น กลับพบหลี่ว์ซือเสียนอยู่ตรงนั้นพอดี คราวนี้ซานจื่อยิ่งคิดว่าสวรรค์ช่วยเขา ภายหลังเขานำเสื้อเปื้อนเลือดกับรองเท้าไปเผา เมื่อไม่หลงเหลือหลักฐานอะไรไว้ให้สาวถึงตัว เขาจึงคิดว่าจากนี้ไปคงหมดเรื่อง แต่แล้วเหล่าทหารทางการกลับเริ่มสืบหาชายหนุ่มรูปร่างสูงปานกลางที่มีรอยแผลเป็นอยู่บนหลังมือ โชคดีที่ไม่มีใครสงสัยเขา เขาเป็นเด็กช่วยงาน ดังนั้นจึงมักจะพาดผ้าเอาไว้บนมือ ปิดบังสายตาของผู้อื่นไปได้ เดิมทีเขายังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็พบว่าเป็นเพราะหญิงตาบอดที่เขาไม่ได้สังหารในตอนนั้นทำลายแผนการทั้งหมด นางสามารถชี้ตัวคนร้ายได้
เรื่องราวทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว ชิวรั่วหมิงจับคนร้ายตัวจริงได้ เขาสั่งให้มือปราบและทหารคุมตัวซานจื่อไปที่จวนว่าการ และรับปากกับหลงเอ้อร์ว่าจะปล่อยตัวหลงจู๊หลี่ว์ทันทีที่กลับไปถึง
จวีมู่เอ๋อร์ดีใจมาก นางมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา หลงเอ้อร์จูงนางเดินออกจากโรงเตี๊ยม ก้าวเท้าตามจังหวะการเดินของนางไปทางรถม้าอย่างช้าๆ
นางยิ้มอยู่ตลอดไม่ยอมหุบ สายลมพัดมา เส้นผมข้างหูของนางปลิวไสว เผยให้เห็นติ่งหูกลมกลึงงดงาม หลงเอ้อร์เห็นก็ยื่นมือไปบิดอย่างอดไม่ได้ แล้วเอ่ยถามว่า “ดีใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์ถูกบิดหูจนสูดปาก เขาได้ชื่อว่าเป็นสามีในอนาคตของนาง ดูเหมือนนางจะไม่อาจตำหนิที่เขาลงไม้ลงมือได้ แต่นางอารมณ์ดีจริงๆ ดังนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยตอบ “ดีใจ”
“ดีใจอะไร”
“หลายเรื่องเลย” จวีมู่เอ๋อร์กล่าวถึงเรื่องทั้งหมด “สามารถล้างมลทินให้หลงจู๊หลี่ว์ได้ คนร้ายตัวจริงได้รับโทษตามกฎหมาย หากเถ้าแก่จูที่อยู่ในปรโลกได้รับรู้ก็คงจะสบายใจ อีกอย่าง ในที่สุดข้าก็ไม่ต้องออกมานอกบ้านแล้ว”
นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดพูด หลงเอ้อร์ตะลึง เหตุใดจึงไม่มีเรื่องของเขาล่ะ
“ได้ข้าปกป้อง เจ้าดีใจหรือไม่” อย่างไรเสียเรื่องที่นางยินดีสมควรจะต้องมีเขาอยู่ด้วยจึงจะถูก
“ดีใจ” จวีมู่เอ๋อร์รีบตอบรับทันควัน
“เช่นนั้นเจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้าหรือไม่”
“อืม…” จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง จะพูดว่า ‘ขอบคุณท่านหลงเอ้อร์’ ก็ฟังดูห่างเหินไปหน่อย หรือจะพูด ‘ท่านหลงเอ้อร์ช่างดีเหลือเกิน’ ก็ดูน่าขนลุก เช่นนั้นก็ถามคำถามกลับไปเลยดีกว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านปีนหน้าต่างเข้าไปในห้องหรือ”
หลงเอ้อร์นิ่งอึ้ง นางเริ่มพูดคำที่เขาคาดไม่ถึงอีกแล้ว อะไรเรียกว่าปีนหน้าต่าง คำว่า ‘ปีน’ ฟังดูทุลักทุเลเกินไป เขาเข้าไปอย่าง ‘สง่าผ่าเผย’ ต่างหาก
“หน้าต่างปิดอยู่หรือ” จวีมู่เอ๋อร์ถามต่อทันที
มันปิดอยู่ หลงเอ้อร์ตอบในใจ ตอนนั้นเขาเปิดหน้าต่างออก ‘ตามใจต้องการ’
“ที่จริงตอนยังเด็กข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่ามีโจรลอยตัวขึ้นไปงัดหน้าต่างบนอาคารแล้วลอบเข้าไป ข้าไม่เข้าใจเลย เช่นนั้นต้องใช้แรงขนาดไหนกัน ต้องโก่งตัวพาดตรงนั้นแล้วสะเดาะกลอนออกหรือไม่”
‘โก่งตัว’ ‘พาดตรงนั้น’ … นางไม่มีคำที่น่าฟังกว่านี้สักนิดหรือ
สีหน้าหลงเอ้อร์ยากจะอธิบาย ในสมองภรรยาในอนาคตของเขาจะคิดว่าเขาเข้าไปปกป้องนางอย่าง ‘งามสง่า’ หรือไม่อย่างไร เขาไม่อยากจะครุ่นคิดอีกแล้ว
“ท่านหลงเอ้อร์ ท่านยังอยู่หรือไม่” ไม่มีเสียงตอบรับ จวีมู่เอ๋อร์หยุดเดินแล้วหันหลังกลับ
“ข้าอยู่ตรงนี้” หลงเอ้อร์จับตัวนางให้หันกลับมาอย่างอารมณ์เสีย เขาอยู่ข้างกายนางตรงนี้ นางจะหันหลังกลับไปเพื่ออะไร
“อ๋อ” จวีมู่เอ๋อร์รีบหัวเราะเอาใจ หลงเอ้อร์บิดติ่งหูของนางอีกครั้งเป็นการระบายอารมณ์
จวีมู่เอ๋อร์หดตัวหลบ รีบยื่นมือไปกุมมือเขาเอาไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านหลงเอ้อร์ ในห้องนั้นที่ท่านปกป้องข้า ข้าดีใจมากจริงๆ”
หลงเอ้อร์ชะงักไปชั่วครู่ ยายเด็กคนนี้…ยายเด็กคนนี้นี่! นางพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจหรือว่าจงใจพูดกันแน่
ตอนที่เขาอยากฟังนางไม่พูด แต่ตอนที่เขาคิดว่านางจะไม่พูด นางกลับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจนทำให้เขาเลี่ยนหู
นางจงใจทำ!