ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด
บทที่เก้า
หลงเอ้อร์สะกดกลั้นอารมณ์นำตัวจวีมู่เอ๋อร์ส่งขึ้นรถม้าให้คนรถไปส่งนางกลับบ้าน ส่วนเขาคิดจะไปรับหลงจู๊หลี่ว์ออกจากคุกด้วยตัวเอง เขาสั่งการคนรถเสร็จก็หันไปพูดคุยกับจวีมู่เอ๋อร์ กำชับให้นางรักษาตัวให้ดี พรุ่งนี้เขาจะหาเวลาว่างไปเยี่ยมนางอีกที
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้ารับคำ นั่งเงียบอยู่บนรถม้ารอให้ออกเดินทาง หลงเอ้อร์ถอยหลังไปหลายก้าว หมุนตัวเตรียมจะเดินไปจูงม้า
แต่เดินๆ ไปก็อดหันไปมองนางไม่ได้ จวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งอยู่บนรถ มือกอดไม้เท้าเอาไว้
คนรถเดินมาปิดประตูลง จวีมู่เอ๋อร์หายไปจากสายตาของเขา
หลงเอ้อร์รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันใด เขาหมุนตัวกลับ รีบเดินไปข้างตัวม้า พูดกับหลี่เคอที่รออยู่ว่า “เจ้ากลับคฤหาสน์ไปหาพ่อบ้านเถี่ย บอกให้ส่งคนไปรับตัวหลงจู๊หลี่ว์ พาเขากลับไปพักผ่อนที่บ้าน จัดเตรียมของช่วยล้างความอัปมงคลให้เขา และเตรียมของขวัญปีใหม่ไปด้วย”
“นายท่านรองไม่ไปหรือขอรับ”
“ข้าจะไปทำเรื่องอื่นก่อน รอเวลาสายสักนิดแล้วค่อยไปเยี่ยมเขา นำคำของข้าไปบอกต่อเขาด้วย” หลงเอ้อร์พูดจบก็เดินไปทางรถม้า ตะโกนบอกให้คนรถรอตนด้วย
หลี่เคอเกาหัว มีเรื่องอะไรต้องไปทำหรือ
หลี่เคอเห็นนายท่านรองเปิดประตูรถ เห็นจวีมู่เอ๋อร์แสดงสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นเห็นนายท่านรองกระโดดขึ้นรถม้า กล่าวอะไรกับจวีมู่เอ๋อร์หลายคำก่อนจะปิดประตูรถ แล้วหลี่เคอก็มองไม่เห็นอะไรอีก
รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสียงดังคึ่กๆๆ หลี่เคอจึงเข้าใจได้ในที่สุด
อ๋อ ที่แท้ก็ไปทำเรื่องนี้นี่เอง!
ไม่รู้ว่าหากหลงจู๊หลี่ว์รู้ว่าภายในใจนายท่านรองจัดลำดับตนไว้อยู่หลังหญิงสาว เขาจะเสียใจหรือไม่ และตัวแม่นางจวีเองจะรู้หรือไม่ว่าในใจของนายท่านรอง นางถูกจัดลำดับไว้เหนือกว่าหลงจู๊หลี่ว์เสียแล้ว
ในฐานะองครักษ์ผู้ภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่ หลี่เคอตัดสินใจเก็บรักษาความลับนี้ไว้เพื่อผู้เป็นนาย
หลงเอ้อร์ไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีความลับใดที่ต้องปิดบัง เขาเพียงรู้สึกอยากส่งมู่เอ๋อร์ของเขากลับบ้านด้วยตัวเองขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาจึงไปส่งนาง
ตลอดทางคนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน เพียงนั่งอยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ดี บรรยากาศสงบสบาย หลงเอ้อร์อารมณ์ดีมาก
จวีมู่เอ๋อร์เดามาตลอดทางว่าเดินทางถึงที่ใดแล้ว หลงเอ้อร์ช่วยดูว่านางเดาถูกหรือไม่ แล้วก็พบว่านางเดาถูกแปดถึงเก้าข้อในสิบข้อ
สำหรับความสามารถเล็กๆ ที่เหนือความคาดหมายนี้ หลงเอ้อร์ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรน่าประหลาดใจอีกแล้ว เขาเพียงแค่สงสัยว่านางเดาถูกได้อย่างไร
จวีมู่เอ๋อร์บอกว่าเคยเดินผ่านมาทางนี้หลายครั้ง อาศัยจำกลิ่นของแต่ละร้านที่แตกต่างกันและคำนวณระยะทาง นางก็สามารถเดาสถานที่เหล่านี้ออกได้โดยไม่ยากนัก หากตอนนี้พวกเขาเดินเท้าไม่ได้นั่งบนรถม้า นางรับรองว่าต้องตอบไม่ผิดอย่างแน่นอน
ตอนที่นางพูดคำนี้มีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า แต่หลงเอ้อร์กลับรู้สึกเห็นใจนางขึ้นมา เขาถามว่า “ตอนนี้ดวงตาของเจ้ายังรู้สึกเจ็บหรือไม่”
“ไม่มากมายนัก ปกติจะไม่รู้สึกอะไรเลย”
หลงเอ้อร์ยื่นมือไปกุมมือของนางไว้ “ต่อไปเจ้าต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดีเข้าใจหรือไม่” คำพูดนี้ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน หลงเอ้อร์พูดจบก็ถูกเสียงของตัวเองทำให้ตกใจ
จวีมู่เอ๋อร์ตะลึงไปเช่นกัน นางพยักหน้าไม่ได้พูดตอบ ไม่รู้เพราะเขินอายหรือดีใจ เอาแต่ก้มหน้าลงต่ำ
หลงเอ้อร์รู้สึกเก้อเขินขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงน่าขนลุกเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร เขากระแอมแล้วปล่อยมือของจวีมู่เอ๋อร์ รู้สึกอับอายอยู่บ้าง โชคดีที่นางมองไม่เห็น แต่เขายังคงแอบหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง
ผ่านไปสักครู่รถม้าก็เคลื่อนออกมานอกเมือง จวีมู่เอ๋อร์เกาะหน้าต่างรถ ยื่นแขนและหัวออกไปเล็กน้อย หลงเอ้อร์เห็นดังนั้นก็มันเขี้ยวอยากจะจัดการนาง เขาดึงนางกลับเข้ามา “บนหัวเจ้ายังมีบาดแผลอยู่ ตากลมมากไม่ดี อาจจะปวดหัวได้”
จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างเชื่อฟัง เพียงแค่พูดว่า “ตอนอากาศอบอุ่น บนถนนสายนี้จะมีกลิ่นดอกไม้และกลิ่นหอมของต้นหญ้า หากยื่นมือออกไปเช่นนั้นจะสามารถรู้สึกถึงสายลมได้”
รู้สึกถึงสายลมแล้วมีอะไรดีหรือ หลงเอ้อร์อยากจะบอกนางมากว่ารอให้อากาศอบอุ่นขึ้นอีกสักนิดและเขาไม่มีงานยุ่งยากแล้ว เขาก็จะสามารถพานางไปขี่ม้าชมความเขียวขจีได้ ถึงตอนนั้นไม่ว่ากลิ่นดอกไหนหญ้าอะไรล้วนมีทั้งหมด
แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก เขากลับไม่อยากเอ่ยออกไป เพียงกระแอมเท่านั้น เมื่อครู่เขาเพิ่งพูดอะไรน่าขนลุกไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ไม่อยากพูดคำแสดงความรักใคร่กับนางเช่นนั้นอีก เหตุใดเขาต้องพานางไปชมความเขียวขจีด้วย รอให้นางแต่งงานกับเขาก่อน ค่อยดีต่อนางให้มากขึ้นสักนิดก็แล้วกัน
ตอนนี้ทำแค่นี้ก็พอแล้ว
หลงเอ้อร์พอใจกับการยับยั้งชั่งใจของตัวเองมาก ในที่สุดเขาก็คิดขึ้นได้ว่าจะรักเอาใจใส่ผู้หญิงมากเกินไปไม่ได้ หากดีต่อนางเกินไป ศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายจะเอาไปวางไว้ที่ใดกัน
หลงเอ้อร์กำลังคิดอยู่ รถม้าก็แล่นมาถึงร้านเหล้าสกุลจวีแล้ว ผู้เฒ่าจวีที่ได้ยินเสียงก็ออกมารับตัวบุตรสาวลงจากรถ
หลงเอ้อร์ตั้งใจวางท่า ไม่ยอมลงจากรถม้า เพียงบอกจวีมู่เอ๋อร์ว่าวันหน้าจะมาเยี่ยมใหม่ และบอกกับผู้เฒ่าจวีว่าจะมีคนที่คอยจัดการงานภายในบ้านมาพูดคุยกับเขาเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีแต่งงานและวันมงคล จวีมู่เอ๋อร์และผู้เฒ่าจวีรับคำ จากนั้นสองพ่อลูกก็รีบเอ่ยปากอำลา คล้องแขนกันเดินพูดเรื่องการจับคนร้ายไปตลอดทางเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมามองเลย
หลงเอ้อร์ที่อยู่บนรถม้ามองดูแผ่นหลังของพวกเขาที่รีบเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามองด้วยความไม่สบอารมณ์ ตกลงใครกันแน่ที่เป็นคนวางท่า
หลงเอ้อร์ยอมจำนน เขาอยากกระโดดลงจากรถไปดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้กลับมายืนส่งเขา ต้องการเห็นนางทำท่าอาลัยอาวรณ์ในตัวเขา อยากเห็นนางพูดกำชับว่าพรุ่งนี้ต้องมาเยี่ยมไม่เช่นนั้นนางจะไม่ยอม เช่นนั้นเขาจึงจะพอใจ
แต่เขาทำไม่ได้ เขาทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าคนผู้นั้นไม่ได้!
เขานั่งนิ่งอยู่บนรถสักพัก ในที่สุดคนรถก็ถามอย่างอดไม่ได้ “นายท่านรอง พวกเราจะกลับไปหรือไม่ขอรับ”
“กลับ!” เขากัดฟันตอบ
คนรถห่อตัว รีบลงแส้ให้ม้าออกวิ่ง หลงเอ้อร์ปิดประตูอย่างแรง แค่นเสียงดัง “หึ” ด้วยความโมโหดังลอดออกไปนอกรถแล้วลอยหายไปกลางอากาศ
ตอนกลางวันของวันต่อมาหลงเอ้อร์ที่รับรองแขกเสร็จก็ไม่ได้กลับบ้าน แต่กลับขี่ม้ามาหาจวีมู่เอ๋อร์
เมื่อวานนางทำให้เขาไม่มีความสุข ดังนั้นเขาจึงคิดมาตลอดทั้งคืนว่าวันนี้ต้องมาพบหน้านางเพื่อเอาคืนให้ได้
แต่จะมีวิธีเอาคืนอย่างไร หลงเอ้อร์ยังไม่ได้คิด เขานึกหาวิธีมาตลอดทาง จนมาถึงหน้าประตูร้านเหล้าสกุลจวีเขาก็ตัดสินใจได้ว่าจะให้นางเทน้ำชาให้เขาสักถ้วย ทุบไหล่ให้เขาสักครู่เพื่อเป็นการเอาคืน
แต่พอเขาเข้าร้านไปแล้วบอกกับผู้เฒ่าจวีว่าต้องการพบจวีมู่เอ๋อร์ กลับเห็นผู้เฒ่าจวีแสดงสีหน้าลำบากใจ
ตอนนี้เลยช่วงเที่ยงไปแล้ว คงไม่ใช่ว่าหญิงขี้เกียจผู้นั้นยังไม่ตื่นนอนหรอกนะ!
เมื่อหลงเอ้อร์ถาม ผู้เฒ่าจวีก็รีบโบกมือ “ไม่ใช่ๆ มู่เอ๋อร์ตื่นก่อนเวลาอาหารกลางวันนานแล้ว แต่นางบอกไว้ว่าช่วงนี้ไม่อยากพบใคร”
หลงเอ้อร์มองข้ามคำพูดประหลาดที่บอกว่าตื่นก่อนอาหารกลางวันซึ่งนับว่าสายมากแล้วนี้ไป เพียงเลิกคิ้วถาม “กี่วัน”
ผู้เฒ่าจวียกนิ้วขึ้นนับ “แค่เพียงหกเจ็ดวันเท่านั้น”
หกเจ็ดวัน…เท่านั้นหรือ
หลงเอ้อร์ยิ่งเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก “ข้าไม่รวมอยู่ในคำว่า ‘ใคร’ เหล่านั้น ข้าเป็นคู่หมั้นของนาง!”
คำว่า ‘คู่หมั้น’ นี้ พูดได้อย่างหนักแน่นมาก!
ผู้เฒ่าจวีนิ่งอึ้งไป รู้สึกว่าท่านหลงเอ้อร์พูดได้มีเหตุผลเช่นกัน แต่บุตรสาวบอกว่าช่วงนี้ไม่อาจพบหน้าใครโดยเฉพาะท่านหลงเอ้อร์ เขาเชื่อคำของบุตรสาวมาโดยตลอด แต่ก็ไม่อยากทำผิดต่อท่านหลงเอ้อร์ เขาไม่มีความกล้าเหมือนอย่างบุตรสาว
ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงเดินอาดๆ เข้าไปที่เรือนพักด้านหลังเพื่อไปหาคู่หมั้นที่บอกว่าไม่อยากพบใคร ผู้เฒ่าจวีเดินตามต้อยๆ อยู่ข้างหลัง ตัดสินใจว่าหากบุตรสาวกล่าวโทษเขา เขาจะได้บอกได้ว่าท่านหลงเอ้อร์ยืนยันจะบุกเข้ามาและเขาขวางเอาไว้ไม่อยู่
หลงเอ้อร์มาถึงเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์ก็พบว่าห้องของนางปิดสนิท เขาเคาะประตู นางตอบกลับมาว่า “ท่านหลงเอ้อร์เชิญกลับไปเถอะ รออีกสองสามวันข้าจะไปเยี่ยมเยือนท่านที่คฤหาสน์เอง”
ฟัง…ฟังสิ นี่เป็นคำที่ภรรยาใช้พูดกับสามีหรือ!
เยี่ยมเยือน เขาไม่อยากให้นางไปเยี่ยมเยือนหรอก เขาอยากให้นางมาเทน้ำชาให้เขาในตอนนี้และอยากให้นางมาทุบไหล่ให้เขาด้วย
หลงเอ้อร์เคาะประตูต่อ จวีมู่เอ๋อร์ก็พูดอีกครั้ง “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านอย่าเพิ่งโมโห อีกไม่กี่วันข้าจะไปขออภัยท่านถึงคฤหาสน์แน่นอน”
หลงเอ้อร์โมโหจริงๆ แล้ว เขาจึงพูดจี้ใจดำนาง “ข้าไม่รังเกียจที่เจ้ามีกลิ่นเหม็น เปิดประตู”
เมื่อเขากล่าวคำว่า ‘เหม็น’ ออกมา จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ภายในห้องก็เงียบลงทันควัน
ผู้เฒ่าจวีที่อยู่ข้างๆ ร้อนใจ เขาประกบมือถูกันไปมา เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหลงเอ้อร์อย่าโกรธเลย มู่เอ๋อร์อารมณ์ไม่ค่อยดี ท่านอย่าได้ถือสานางเลย”
อารมณ์นางไม่ค่อยดี แต่หลงเอ้อร์โกรธยิ่งกว่า ยังต้องให้เขาเปรียบเทียบอีกหรือว่าใครอารมณ์ไม่ดีกว่ากัน เขาใช้แรงเคาะประตูดังตึงๆๆ อีกครั้ง
ครั้งนี้ในห้องมีความเคลื่อนไหว แต่เป็นเสียงพิณดังติงๆ ตังๆ หลงเอ้อร์นิ่งไป เมื่อเขาได้ยินเสียงพิณดังไม่หยุด เกลียวคลื่นอารมณ์ก็ก่อตัว
ผู้เฒ่าจวีตกตะลึง จากนั้นก็รีบอธิบายให้หลงเอ้อร์ฟัง “ท่านหลงเอ้อร์ มู่เอ๋อร์คงดีดพิณคลายกลุ้ม นางไม่กล้าต่อปากต่อคำกับท่านหรอก ท่านอย่าโกรธเลย อีกสักครู่ข้าจะว่ากล่าวนางให้เอง”
หลงเอ้อร์ไม่คิดว่าผู้เฒ่าจวีจะว่ากล่าวจวีมู่เอ๋อร์จริงๆ และก็ไม่คิดว่าจวีมู่เอ๋อร์จะดีดพิณเพื่อคลายกลุ้มด้วย ทั้งหากจะบอกว่านางไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเขา เขาก็ไม่เชื่ออีกอยู่ดี
เพราะเขาฟังรู้เรื่องแล้ว เขามักจะเข้าใจนางได้ และตอนนี้นางก็กำลังด่าเขาอยู่ ด่าว่าเขาเป็นวัวควาย!
ใครก็รู้ว่าเขาหลงเอ้อร์ไม่รู้ดนตรี เขาบอกว่านางเหม็น นางจึงดีดพิณให้เขาฟัง เขาเข้าใจที่นางต้องการสื่อถึง นั่นก็คือคำว่า ‘ดีดพิณให้ควายฟัง’ อย่างไรล่ะ
หลงเอ้อร์แค่นเสียงดัง “หึ” แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ เขาคิดซ้ายก็แล้วคิดขวาก็แล้ว จะทำอย่างไรก็ระงับความโกรธนี้ลงไปไม่ได้ ยายเด็กคนนี้น่าโมโหจริง ไม่ยอมให้พบหน้าแล้วยังกล้ามาดีดพิณประชดเขาอีก เขาแค่พูดว่านางเหม็นเท่านั้น นางต้องโกรธถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ขณะที่หลงเอ้อร์กำลังโมโหอยู่ แม่นมอวี๋ก็มาหาพอดี
สองวันนี้แม่นมอวี๋กำลังวุ่นวายทั้งธุระนอกและในคฤหาสน์เพราะเรื่องงานแต่งงานของหลงเอ้อร์ นางไปหาแม่สื่อเพื่อคุยเรื่องสามหนังสือหกพิธี คิดว่าหากพร้อมแล้วก็จะให้แม่สื่อไปที่บ้านของจวีมู่เอ๋อร์เพื่อทำพิธีให้เรียบร้อย
แต่พอแม่สื่อได้ยินว่าเป็นแม่นางจวีของร้านเหล้าสกุลจวีที่อยู่นอกเมืองทางทิศใต้ก็มีสีหน้าตื่นตกใจ นางบ่นพึมพำขึ้นก่อน จากนั้นก็เอ่ยซักถามแม่นมอวี๋ และเล่าเรื่องคำเล่าลือของผู้คนที่เกี่ยวกับแม่นางจวีให้แม่นมอวี๋ฟังอย่างมากมาย
เมื่อแม่นมอวี๋ได้ฟังก็เป็นกังวลขึ้นมา ปกติแม่สื่อที่มีหน้าที่พูดทาบทามจะพูดแต่สิ่งดีไม่พูดสิ่งร้าย การที่แม่สื่อตื่นตกใจจนพูดออกมาเช่นนี้ แม่นางจวีผู้นี้จะเหมาะสมกับนายท่านรองจริงๆ หรือ
แม่นมอวี๋กังวลใจยิ่งนัก นางจึงไปสืบข่าวของจวีมู่เอ๋อร์จากชาวเมือง ทุกคนต่างพูดเหมือนที่แม่สื่อพูดไม่ผิดเพี้ยน บอกว่าที่จวีมู่เอ๋อร์อายุยี่สิบแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะมีสาเหตุมาจากนางเคยมีคู่หมั้นหมายมาตั้งแต่เด็ก แต่หลงใหลในเสียงพิณจนไม่ยอมแต่งสักที เอาแต่ทำตามใจชอบ สุดท้ายจึงเป็นบ้าและตาบอด ก่อเรื่องยกเลิกการแต่งงาน ต่อมากลับไปเกี่ยวพันกับอวิ๋นชิงเสียนที่มีภรรยาแล้ว แต่ภรรยาเอกของฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมให้นางแต่งเข้าบ้าน ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนมาหลอกล่อท่านหลงเอ้อร์แทน
ทุกคนล้วนพูดว่าหญิงผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยม แม่นมอวี๋ได้ฟังแล้วก็อกสั่นขวัญแขวน
นางตัดสินใจไปปรึกษาเรื่องนี้กับหลงเอ้อร์
เมื่อหลงเอ้อร์ได้ฟังคำเล่าลือเกี่ยวกับจวีมู่เอ๋อร์จากแม่นมอวี๋แล้ว เขาก็ตอบว่า “เรื่องเหล่านี้ข้ารู้อยู่แล้ว”
ท่าทางของนายท่านรองไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ แม่นมอวี๋จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดต่ออย่างไรดี จะว่าไปแล้วนายท่านรองเป็นคนฉลาด ย่อมไม่มีทางถูกหญิงที่เรียกว่า ‘มีเล่ห์เหลี่ยม’ หลอกเอาได้ แต่ในเมืองมีคำเล่าลือกันอย่างหนาหูนัก…
หลงเอ้อร์เห็นท่าทางของแม่นมอวี๋จึงพูดปลอบว่า “แม่นมไม่ต้องกังวลใจ คำพูดเหล่านั้นฟังแล้วอย่าไปใส่ใจให้มากนัก เรื่องบางเรื่องข้าเองก็เคยเป็นคนสั่งให้กระจายข่าวลือออกไป ผลปรากฏว่าพอไปถึงหูชาวเมือง ทุกคนยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะกันไปใหญ่”
แม่นมอวี๋อ้าปากกว้าง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “นายท่านรองเป็นคนปล่อยข่าวลือ?” นายท่านรองของนางเกลียดคนปากมากที่สุด แล้วเหตุใดจึงเป็นคนปล่อยข่าวลือเองเสียได้
หลงเอ้อร์พูดไปแล้วก็หน้าชา เขากระแอม “สรุปว่าคำเล่าลือในหมู่ชาวเมืองนั้น แม่นมไม่ควรเชื่อทั้งหมด”
แม่นมอวี๋เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นนายท่านรองเคยถามแม่นางจวีหรือไม่ว่าเรื่องราวเก่าก่อนเหล่านั้นเป็นอย่างไร
“ข้าไม่ได้ถาม” หลงเอ้อร์ไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่เหมาะไม่ควร ด้วยเชื่อว่าเรื่องที่ควรจะอธิบาย นางต้องบอกกับเขาแน่นอน หากไม่ได้บอก เช่นนั้นคงไม่มีอะไรน่าอธิบาย ไม่มีอะไรน่าอธิบายก็แสดงว่าไม่มีเรื่องอะไร หากเขาถามไปโดยไม่ทันคิดแล้วทำให้โดนนางดูถูกจะทำเช่นไร เขายังอยากมีความน่าเกรงขามต่อหน้านาง ดังนั้นจะกล้าพูดจาเหลวไหลได้อย่างไร
“ไม่ได้ถามหรือ” แม่นมอวี๋ยังคงไม่วางใจ “เช่นนั้นเหตุใดนายท่านรองจึงต้องการแต่งงานกับนาง”
แม่นมอวี๋ยังจำคำว่า ‘พิเศษ’ ที่นายท่านรองพูดได้ แต่คราวนี้หากเขายังพูดเช่นเดิมอีก นางคงต้องถามให้ชัดแจ้งว่าหญิงผู้นั้นมีความพิเศษเช่นใดกันแน่
หลงเอ้อร์คิดอยู่สักครู่ เมื่อนึกถึงน้ำเสียงและท่าทางของจวีมู่เอ๋อร์ตอนที่มาขอร้องให้เขาแต่งงานด้วย เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ จึงตอบเลียนแบบน้ำเสียงของนาง “ข้าเพียงอยากแต่งงานกับนาง”
แม่นมอวี๋นิ่งเงียบไร้คำพูด คิดอยู่นานจึงพูดออกมาได้เพียงประโยคเดียว “เช่นนั้น…หาก…หากนางเคยทำเรื่องที่ผิดจารีตจริง…”
แม่นมอวี๋เพิ่งพูดออกมา ดวงตาของหลงเอ้อร์ก็เปล่งประกาย “ถูกต้อง แม่นมพูดถูกต้อง ข้ารู้แล้วว่าจะต้องสั่งสอนนางอย่างไร”
ไม่รอให้แม่นมอวี๋ตั้งสติได้ หลงเอ้อร์ก็เรียกหลี่เคอเข้ามา เอ่ยกำชับว่า “เจ้าไปหา ‘ตำราสอนหญิง’ มาสักเล่มแล้วส่งไปให้จวีมู่เอ๋อร์”
คงไม่ใช่กระมัง เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่
หลี่เคอรีบหันหน้าไปมองแม่นมอวี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้าง แม่นมอวี๋สบตาเขาแวบหนึ่งอย่างไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจเช่นกัน
“เอ่อ นายท่านรอง เมื่อครู่ท่านพูดว่า ‘ตำราสอนหญิง’ หรือขอรับ” หลี่เคอถามอย่างระมัดระวัง
“ถูกต้อง”
หลี่เคอสูดลมหายใจเข้าแล้วมองแม่นมอวี๋อีกครั้ง ค่อยๆ ถามต่ออย่างมีความหวัง “จะให้ข้าน้อยไปส่งแม่นมอวี๋เพื่อนำ ‘ตำราสอนหญิง’ ไปให้แม่นางจวีหรือขอรับ”
“ไม่ เจ้าไปส่ง แม่นมอวี๋กำลังวุ่นวายกับการจัดการเรื่องงานแต่งงาน”
คราวนี้หลี่เคอแทบควันออกหู เหตุใดต้องเป็นเขา เขาเป็นองครักษ์ผู้ภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่ ทำไมต้องส่งเขาไปทำเรื่องประหลาดเช่นนี้ด้วย ให้ไปส่ง ‘ตำราสอนหญิง’ ให้แก่คู่หมั้นของผู้เป็นนาย ซ้ำนางยังเป็นคนตาบอดอีกด้วย ต้องให้เขาอ่านให้ฟังด้วยหรือไม่!
หลี่เคออึดอัดจนแทบจะยกชายเสื้อกระโดดขึ้นมาต่อต้าน แต่เขาไม่กล้า เห็นหรือไม่ว่าเขาภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่เพียงใด
โชคดีที่ตรงนี้ยังมีแม่นมอวี๋อยู่อีกคน นางช่วยถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจของเขาออกมา “นายท่านรอง เหตุใดต้องส่ง ‘ตำราสอนหญิง’ ไปให้แม่นางจวีด้วย ท่านคิดว่านางมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมหรือ เช่นนั้นเรื่องการแต่งงาน…”
หลงเอ้อร์โบกมือตัดบทแม่นมอวี๋ “การแต่งงานก็ต้องจัด ‘ตำราสอนหญิง’ ก็ต้องส่ง ยายเด็กคนนั้นใจกล้าขึ้นทุกที นางไม่ยอมพบหน้าข้า ต้องรอให้บาดแผลบนหัวหายดีก่อนจึงจะสระผมแล้วออกมาพบ มีคู่หมั้นคนใดที่ทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้บ้าง ซ้ำร้ายนางยังกล้าดีดพิณให้ข้าฟังอีก…สรุปว่าแม่นมเตือนสติข้าได้ดี หลี่เคอเจ้าส่ง ‘ตำราสอนหญิง’ ไปให้นาง บอกให้นางเรียนรู้ให้ดี ส่วนแม่นม เรื่องการแต่งงานต้องรีบเร่ง พิธีที่ควรทำก็กำหนดเสีย ข้าจะดูว่านางยังกล้าไม่สนใจข้าอีกหรือไม่!”
หลี่เคอกับแม่นมอวี๋พูดไม่ออกไปตามๆ กัน คนทั้งสองสบตาแล้วพากันลอบถอนหายใจ
แม่นมอวี๋พูดเกลี้ยกล่อมนายท่านรองไม่ออกแล้ว มองดูท่าทางของเขาในตอนนี้ก็รู้ว่าปรารถนาจะแต่งงาน แม่นมอวี๋อยู่ในคฤหาสน์สกุลหลงมานานหลายปี เข้าใจสีหน้าของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี นางรู้ว่าหากพูดไม่ถูกหูนายท่านรอง รังแต่จะทำให้เกิดผลด้านลบ ดังนั้นนางจึงคิดว่าตนต้องไปพบแม่นางผู้นั้นอีกครั้ง คราวนี้จะต้องพิจารณานางให้มากขึ้นสักหน่อย
หลี่เคอที่ยังคิดจะขัดขืนพูดขึ้นว่า “นายท่านรอง ถึงท่านให้ ‘ตำราสอนหญิง’ ไป แม่นางจวีก็มองไม่เห็นอยู่ดี ดังนั้นเชิญให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนท่านไม่ดีกว่าหรือขอรับ”
“ไม่ต้องไปเชิญนางมา ข้าบอกว่าอยากพบหน้านางหรือ ข้าไม่อยากได้เพื่อนนั่งเล่นแม้แต่น้อย หากนางมองไม่เห็นก็อ่านให้นางฟัง”
หลี่เคออยากจะตบปากตัวเองสักสองทีจริงๆ ปากนี้พูดอะไรออกไป หากเมื่อครู่รับคำสั่งแล้วจากไปก็คงไม่ต้องอ่านหนังสือแล้ว
องครักษ์ชายที่องอาจกล้าหาญภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่เช่นเขาต้องไปอ่าน ‘ตำราสอนหญิง’ อะไรนั่น นายท่านรองขอรับ สิ่งนี้เหมาะสมแล้วจริงหรือขอรับ
หลงเอ้อร์เหลือบมองหลี่เคอที่ย่นหน้าเหมือนซาลาเปา แล้วพูดเสียงดัง “ให้พ่อของนางอ่านให้นางฟัง!”
หลี่เคอตื่นตัวทันใด คล้ายได้รับหน้าที่สำคัญใหญ่หลวง รีบวิ่งตุบตับออกไปทันที แม่นมอวี๋มองตามอย่างเห็นใจ พอหันหน้ากลับมาก็เห็นนายท่านรองกำลังมองนางอยู่พอดี จึงรีบพูดว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอตัวไปเตรียมงานต่อเช่นกัน”
เมื่อคนออกไปหมดแล้ว หลงเอ้อร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ปลดปล่อยความรู้สึกโกรธออกมา คนปากมากเหล่านั้น…เหตุใดจึงพูดให้ร้ายมู่เอ๋อร์ของเขา เหตุใดจึงไม่ลือกันว่านางฉลาดเฉลียวเพียงใด นางน่าสนใจเพียงใด นางดีดพิณได้ไพเราะเพียงใด…
เอาเถอะ หลงเอ้อร์ยอมรับว่าเขาฟังดนตรีไม่เป็น แต่ทุกคนล้วนพูดกันว่าศิลปะการดีดพิณของนางนั้นสูงส่ง เช่นนั้นนางก็คงดีดได้ดีอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องในอดีตของนาง แม้นางไม่ได้พูดอะไร เขาก็ยังยินดีที่จะเชื่อในตัวนาง
หลี่เคอต้องลำบากไปที่ร้านเหล้าสกุลจวี ครั้นพอกลับมาถึงคฤหาสน์ ขายังไม่ทันก้าวข้ามประตูหน้า บ่าวเฝ้าประตูก็บอกว่านายท่านรองให้เขาไปพบทันทีที่กลับมา
หลี่เคอถอนหายใจ เข้าไปในหอหนังสือเพื่อพบกับนายของตน ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยถามก็รายงานขึ้นเอง “ผู้เฒ่าจวีทำตามที่นายท่านรองกำชับ อ่านหนังสือให้แม่นางจวีฟังแล้วขอรับ”
“แล้วนางมีปฏิกิริยาอย่างไร”
“ไม่มีปฏิกิริยาใด”
“ดีดพิณอีกหรือไม่”
“ดีดขอรับ” หลี่เคอตอบอย่างระมัดระวัง เห็นนายท่านรองกำลังเตรียมพู่กันเพื่อเขียนหนังสือ แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรบ้าง และดูเหมือนจะไม่ได้โกรธแล้ว เขาจึงรู้สึกโล่งอก
หลี่เคอรออยู่สักครู่ นายท่านรองก็ยื่นแผ่นกระดาษที่เขียนเสร็จแล้วให้เขา “พรุ่งนี้เช้าเจ้าส่งสิ่งนี้ไปที่บ้านสกุลจวี บอกผู้เฒ่าจวีให้เรียกจวีมู่เอ๋อร์ตื่นแล้วอ่านให้นางฟัง”
หลี่เคองุนงง “นายท่านรอง นี่คืออะไรหรือขอรับ”
“กฎสกุลหลง”
หลี่เคอรู้สึกว่ากระดาษบางๆ แผ่นนั้นหนักมือเหลือเกิน “กฎสกุล? ทำไมข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อนเล่าขอรับ”
“ข้าเพิ่งจะกำหนดขึ้น พรุ่งนี้เจ้าไปส่งแต่เช้า บอกผู้เฒ่าจวีว่าอย่าให้นางนอนตื่นสาย และอ่านกฎสกุลให้นางฟังด้วย”
หลี่เคอไร้คำพูด เขาถือ ‘กฎสกุล’ เอาไว้แล้วถอยออกไป
เช้าวันต่อมา หลี่เคอไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีตามคำสั่ง ผู้เฒ่าจวีต้อนรับอย่างอบอุ่น จัดเตรียมอาหารเช้าพร้อมเหล้าให้เขา คนทั้งสองนั่งกินดื่มและถอนใจกับ ‘กฎสกุลหลง’ ด้วยกัน
ผู้เฒ่าจวีถามว่า “องครักษ์หลี่ เจ้าบอกความจริงกับข้าที ท่านหลงเอ้อร์ไม่ต้องการลูกสาวของข้าแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ๆ” หลี่เคอโบกมือด้วยความตกใจ “เมื่อวานนายท่านรองยังเร่งให้แม่นมอวี๋รีบเตรียมการเรื่องงานแต่งอยู่เลย ไม่มีทีท่าไม่ต้องการแม่นางจวีแม้เพียงนิด”
ผู้เฒ่าจวีถอนหายใจ “เจ้าว่าลูกสาวของข้าคนนี้เหตุใดอยู่ดีๆ จึงต้องทะเลาะกับท่านหลงเอ้อร์ด้วย เมื่อวานข้าถามนางว่าที่นางมักโกรธท่านหลงเอ้อร์เพราะแท้จริงแล้วนางไม่ค่อยอยากแต่งงานกับเขาใช่หรือไม่ นางบอกว่าไม่ใช่ นางต้องการแต่งงานกับเขาจริงๆ แต่เจ้าว่าเพราะเหตุใดพวกเขาสองคนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว กลับไม่ไว้หน้ากันเลย”
หลี่เคอครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงตอบว่า “ทำเช่นนี้พวกเขาอาจมีความสุขก็ได้”
หลังจากหลี่เคอกลับถึงคฤหาสน์ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนพูดไปในวันนี้นั้นผิด นายท่านรองไม่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
“ผู้เฒ่าจวีได้อ่านหรือยัง”
“อ่านแล้วขอรับ”
“จวีมู่เอ๋อร์มีปฏิกิริยาอย่างไร”
“ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ”
ดังนั้นข้าน้อยผู้นี้จึงถูกท่านจ้องเขม็งเช่นนี้
หลี่เคอรีบอธิบาย “ผู้เฒ่าจวีให้ข้าน้อยรออยู่ในร้าน ส่วนเขาไปอ่านให้แม่นางจวีฟังด้วยตัวเอง” นี่เป็นคำพูดที่เขาตกลงกับผู้เฒ่าจวีเอาไว้
หลงเอ้อร์ไม่พอใจมาก “ในเมื่อเจ้ารออยู่ในร้าน เหตุใดจึงรู้ว่าผู้เฒ่าจวีอ่านแล้ว”
“ผู้เฒ่าจวีบอกข้าน้อยเองขอรับ”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าจึงไม่ถามเขาว่าจวีมู่เอ๋อร์ฟังกฎสกุลแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร”
หลี่เคอสะอึก ไร้คำพูดจะแก้ตัว ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับผิด “ข้าน้อยบกพร่องต่อหน้าที่ ขอนายท่านรองลงโทษด้วย” ลงโทษโดยการให้เขาไปจับโจรภูเขาหรือไปทลายรังโจรเถอะ อย่าให้ไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีอีกเลย
“หึ” หลงเอ้อร์เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “พรุ่งนี้เจ้าไปอีกรอบ คราวนี้ให้จวีมู่เอ๋อร์ท่องกฎสกุลให้ฟัง นางท่องจบเจ้าจึงกลับมาได้”
หลี่เคอกลุ้มใจจนอยากร้องไห้ นายท่านรองมักจะหาเรื่องแม่นางจวีเช่นนี้ ไม่กลัวนางไม่แต่งงานด้วยหรือขอรับ
วันต่อมาหลี่เคอยังไม่ทันได้ไป จวีมู่เอ๋อร์ก็มาที่คฤหาสน์เอง
พอนางมาก็ถือได้ว่าดวงดาวช่วยชีวิตของหลี่เคอมาถึงเช่นกัน
หลี่เคอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของนายท่านรองกับตาของตัวเองตอนมีบ่าวมารายงานว่าแม่นางจวีมาขอพบ เห็นกับตาว่าเขารีบร้อนออกจากหอหนังสือไปรับนางที่หน้าประตูใหญ่ หลี่เคอตื้นตันจนน้ำตาแทบจะไหล วันเวลาแห่งทุกข์ของเขาคงจบลงแล้วสินะ
จวีมู่เอ๋อร์ยังคงสวมเสื้อบุฝ้ายสีเขียว ในมือถือไม้เท้าเช่นเดิม แต่ที่แตกต่างจากที่ผ่านมาคือนางสวมหมวกไว้บนหัว หมวกใบใหญ่มากจนสามารถคลุมผมและหัวทั้งหัวเอาไว้ได้ ดูไปแล้วก็น่าขำอยู่บ้าง
“เหตุใดจึงแต่งตัวเช่นนี้” หลงเอ้อร์ถาม
“ฉิงเอ๋อร์ทำหมวกให้ข้า คลุมหัวเอาไว้เช่นนี้จะได้ไม่มีกลิ่นเหม็น”
หลงเอ้อร์แค่นเสียงหึทีหนึ่ง “ไม่เหม็นแล้ว แต่น่าเกลียดมาก”
จวีมู่เอ๋อร์ไม่สนใจ “ไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็มองไม่เห็นตัวเอง”
หลงเอ้อร์บิดติ่งหูนางเบาๆ เมื่อนางสวมหมวกใบหูจึงโผล่ออกมาให้เห็น ทำให้เขาคันไม้คันมือมาก “เจ้าตั้งใจมาเพื่อให้ข้าดูสภาพน่าเกลียดของเจ้าเช่นนี้หรือ”
“ไม่ใช่ ข้ามาแล้วท่านก็จะได้ไม่ต้องลำบากเขียนกฎสกุลอีก หากว่างเช่นนี้ ไม่สู้เอาเวลาไปตรวจกิจการงานค้าไม่ดีกว่าหรือ” จวีมู่เอ๋อร์เอียงคอเล็กน้อย สีหน้าไร้เดียงสา แต่ปากกลับเหน็บแนมหลงเอ้อร์ ชี้เป็นนัยว่ากฎสกุลของเขาช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
หลงเอ้อร์ฟังเข้าใจแต่ในใจกลับรู้สึกยินดี เขาพานางมาที่หอหนังสือ บอกว่าตนต้องอ่านเอกสารอีกมากมาย เพราะสองวันข้างหน้าหลงจู๊จากที่ต่างๆ จะมาเมืองหลวงเพื่อรายงานบัญชีการค้าขายก่อนปีใหม่และปรึกษากันเรื่องกิจการในปีหน้า ส่วนตัวเขาก็ต้องทำหน้าที่ปลอบขวัญการทำงานของหลงจู๊เหล่านั้น
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร หลงเอ้อร์หาตั่งนิ่มมาวางไว้ในห้องหนังสือของเขา ถามจวีมู่เอ๋อร์ว่าอยากจะทำอะไร นางเพียงส่ายหน้าแล้วนั่งฟังเสียงพลิกกระดาษเขียนอักษรของหลงเอ้อร์อย่างเงียบๆ
ในห้องหนังสือเงียบมาก เวลาหลงเอ้อร์ทำงานจะมีสมาธิเป็นพิเศษ เขาเหลือบมองนางเป็นครั้งคราว เมื่อเห็นท่านั่งนิ่งของนางแล้วก็รู้สึกตลก คิดจะทำงานอีกสักครู่แล้วค่อยไปคุยเป็นเพื่อน เขายังสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารกลางวันส่วนของนางด้วย
หลงเอ้อร์คิดอย่างอื่นไปด้วยอ่านเอกสารไปด้วย จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ให้นางเทน้ำชาทุบไหล่ให้เลย เขาหันหน้าไปคิดจะเรียกนาง กลับเห็นนางเอนตัวลงบนตั่งเหมือนจะหลับไปเสียแล้ว
ลมหายใจของนางเบายาว มือคลายออกจากไม้เท้าที่พิงอยู่ข้างตั่ง ใบหน้าใต้หมวกใบใหญ่นั้นดูเล็กเพียงนิดเดียว
หลงเอ้อร์มองนาง รู้สึกว่านางผอมเหลือเกิน แม้บนตัวจะสวมเสื้อตัวหนาจึงดูไม่ค่อยออก แต่ใบหน้ากลับเห็นได้อย่างชัดว่าไม่ค่อยมีเนื้อสักเท่าใดนัก ขนตานางยาวเหมือนพัด ปากไม่ใหญ่ไม่เล็ก หลงเอ้อร์คิดว่าเวลายิ้มมุมปากของนางยกขึ้นได้น่ารักมาก
เขายืนขึ้นเตรียมจะแกล้งให้นางตกใจ
ยายผู้หญิงขี้เกียจคนนี้นี่ มาเยี่ยมเขาแท้ๆ ทำไมกลายเป็นว่ามาเปลี่ยนที่นอนเสียได้ เขาทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวอย่างยากลำบาก แต่นางกลับไม่รู้จักสงสารเขาแม้แต่น้อย นางสมควรมาพูดคุยกับเขา ถามเขาว่าเบื่อหรือไม่ กระหายน้ำหรือไม่ หรือเหนื่อยหรือไม่มิใช่หรือ
แต่นางไม่ถามอะไรเลย เอาแต่นั่งนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ยังมาหลับอีก!
หลงเอ้อร์เดินเข้าไปเตรียมจะทำให้นางตกใจ จวีมู่เอ๋อร์กลับเหมือนรู้สึกตัว สะดุ้งลุกขึ้นนั่งและหดตัวไปทางด้านหลังทันที
นางมีท่าทางลนลานหวาดกลัวเหมือนจะตกใจไม่น้อย
หลงเอ้อร์รีบพูดว่า “ข้าเอง”
จวีมู่เอ๋อร์ยังคงตกใจอยู่บ้าง หลงเอ้อร์จึงเอ่ยอีกครั้ง “ข้าเอง มู่เอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าอยู่ในห้องหนังสือของข้า”
นางกะพริบตาถี่ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลงแล้วใช้มือนวดหน้าตัวเอง หลงเอ้อร์เดินเข้าไปย่อตัวลงตรงหน้านาง เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เจ้าหลับจนเลอะเลือนแล้วหรือ”
นางส่ายหน้า หลงเอ้อร์กลัวว่านางยังไม่ได้สติ จึงพูดอีกว่า “พูดกับข้าสิมู่เอ๋อร์”
จวีมู่เอ๋อร์อ้าปาก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าฝันร้าย ลืมไปว่าตอนนี้อยู่ที่คฤหาสน์ของท่าน”
“ฝันร้ายหรือ” หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “ฝันเห็นอะไร”
“จำไม่ได้แล้ว” จวีมู่เอ๋อร์เอนตัวมาด้านหน้าอย่างช้าๆ ไม่อยากให้ชนตัวของหลงเอ้อร์ แต่เขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดอย่างเป็นธรรมชาติ ลูบหลังของนางเบาๆ
จวีมู่เอ๋อร์หลับตา แผ่นอกกว้างของท่านหลงเอ้อร์ทำให้นางผ่อนคลายลงได้ ฉากน่ากลัวที่ลานประหารยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ แต่นางกลับพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรจริงหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า หลงเอ้อร์จึงยื่นมือไปบิดติ่งหูของนาง จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกเจ็บ จากนั้นก็ได้ยินเขาพูดว่า “ไม่เป็นอะไรแล้วก็มีสติสักนิด มาช่วยเทน้ำชาทุบไหล่ให้ข้า”
“อ้อ” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างเนือยๆ ฟังแล้วไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก หลงเอ้อร์จึงบิดติ่งหูของนางอย่างแรงอีกหนึ่งที
จวีมู่เอ๋อร์เอามือป้องหูหลบหลีก หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดัง แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด พูดว่า “เจ้าผอมเหลือเกิน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปถึงฤดูร้อนคงเหลือเพียงกระดูกสินะ รีบกินให้อ้วนขึ้นบ้างจึงจะดี”
จวีมู่เอ๋อร์ไม่พูดจา เพียงเอาหน้าซุกกับแผ่นอกของเขา ผ่านไปสักครู่จึงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านจะแต่งงานกับข้าจริงๆ ใช่หรือไม่”
“เรื่องนี้มีปลอมได้ด้วยหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์ไม่ตอบ แต่เอนตัวอิงแอบกับอกเขา หลงเอ้อร์คิดสักครู่แล้วเอ่ยถาม
“เจ้ามีเรื่องอะไรอยากบอกข้าหรือไม่”
จวีมู่เอ๋อร์นิ่งอึ้งไปสักครู่แล้วส่ายหน้า
หลงเอ้อร์ตบหมวกของนาง ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด เขาดึงตัวนางมาที่ข้างโต๊ะหนังสือแล้วพูดว่า “มา มายกน้ำชาให้ข้า”
จวีมู่เอ๋อร์ย่อตัวคำนับรับคำ นางสวมหมวก แต่งตัวน่าตลก เลียนแบบท่าทางเชื่อฟังอ่อนโยนของสาวใช้ แต่หลงเอ้อร์รู้ดีแก่ใจว่านางนั้นดื้อรั้นและจะไม่ยอมแพ้เขาอย่างแน่นอน
แล้วก็เป็นจริงดังคาด นางเริ่มจู้จี้ถามว่าถ้วยชาอยู่ที่ใด กาน้ำชาอยู่ตรงไหน จากนั้นก็คลำไปรอบโต๊ะของเขารอบหนึ่ง บอกว่าหากเทน้ำชาหกแล้วทำให้หนังสือ เอกสาร หรือสมุดบัญชีของเขาเสียหายก็คงไม่ดี
เพื่อจะได้ดื่มน้ำชาที่นางเทให้สักถ้วย หลงเอ้อร์ยังต้องวุ่นวายปรนนิบัตินางก่อนจึงจะสมดังปรารถนา
เขามั่นใจว่านางจงใจทำ ทุกครั้งที่โดนเขาแกล้ง นางจะต้องหันกลับมาสร้างความลำบากให้เขาเป็นการตอบแทน
ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่หลงเอ้อร์ก็ยังคงนำนางไปคลำโต๊ะ ช่วยนางเก็บของให้เรียบร้อย จากนั้นจึงจัดวางกาน้ำชาถ้วยน้ำชาให้จวีมู่เอ๋อร์สามารถเทน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่งได้เสียที
หลงเอ้อร์ถือถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยท่วงท่างดงาม จวีมู่เอ๋อร์ถามขึ้นว่า “ท่านหลงเอ้อร์ น้ำชาที่ข้าเทอร่อยหรือไม่”
เขาแสร้งวางท่า “พอใช้ได้”
“เช่นนั้นคงเป็นเพราะใบชาของท่านไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เพราะไม่ว่าใครจะเป็นคนเท มันก็คงมีรสชาติแบบเดิม”
หลงเอ้อร์แทบสำลักน้ำชา เขาหันไปมองหญิงตาบอดที่กำลังแอบหัวเราะแล้วรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที “มาทุบไหล่ให้ข้า”
จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับ ค่อยๆ คลำทางไปด้านหลังตัวของหลงเอ้อร์ เขารู้สึกจั๊กจี้จึงอดแกล้งนางอีกไม่ได้ “จะจับก็จับดีๆ”
การเคลื่อนไหวหยุดลงในทันใด จากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็พูดเสียงดัง “เรียนท่านหลงเอ้อร์ พนักเก้าอี้สูงเกินไป มันขวางทางเอาไว้”
นางไม่ได้จงใจ ใครอยากลูบเขากัน!
หลงเอ้อร์หันไปมอง เมื่อเห็นว่าใบหน้านางแดงก่ำก็รู้สึกว่าน่าขำ เขาหมุนเก้าอี้ นั่งเอียงข้างแล้วยื่นไหล่ออกมา จากนั้นจับมือของนางวางลงบนไหล่ตน
คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์เริ่มนวดไหล่ให้เขาอย่างจริงจัง นิ้วมือของนางเรียวยาวแต่มีพลัง จุดที่กดก็พอเหมาะพอดี หลงเอ้อร์นั่งทำงานเป็นเวลานาน บ่าไหล่จึงแข็งเกร็ง เมื่อนางบีบนวดให้เช่นนี้ก็รู้สึกสบายจนอยากจะส่งเสียงครางออกมา
“ท่านหลงเอ้อร์ ข้ากดจุดดีหรือไม่”
“ธรรมดา” เขารู้สึกสบายแต่กลับไม่ยอมพูดชมนาง
จวีมู่เอ๋อร์ไม่สนใจ พูดเพียงว่า “ข้าเคยนวดไหล่ให้พ่อข้า ข้อเรียกร้องของท่านสูงกว่าของพ่อข้ามากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจึงคิดว่าจะใช้ความสามารถในการดูแลบ้านมาทำให้ท่านมีความสุขแทนดีกว่า”
“ห้ามดีดพิณ ห้ามแอบพูดประชดข้า”
จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังเขา
หลงเอ้อร์ถามนางอย่างอารมณ์เสีย “กฎสกุลท่องได้หรือยัง”
จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่หยุดหัวเราะ หลงเอ้อร์จึงยื่นมือไปกุมมือเล็กของนาง
“กฎสกุลที่ข้าเขียนมันน่าขำถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า กฎสกุลแผ่นนั้นนางไม่รู้ว่ามีอะไรเขียนอยู่บ้าง นางไม่ได้ให้พ่ออ่านให้ฟัง ท่านหลงเอ้อร์คิดจะแกล้งเล่น นางรู้ดี
หลงเอ้อร์ต้องการแกล้งนางจริง เขาเอ่ยว่า “ในกฎสกุลมีอยู่ข้อหนึ่งที่บอกว่าห้ามใช้พิณมาเหน็บแนมหัวเราะเยาะข้า”
จวีมู่เอ๋อร์ฟังแล้วก็หัวเราะอีกครั้ง “ท่านหลงเอ้อร์เข้าใจข้าดียิ่งนัก สิ่งที่ข้าถนัดที่สุดก็คือการดีดพิณนั่นเอง”
หลงเอ้อร์แค่นเสียง “หึ” ทีหนึ่ง ดึงสองมือของนางลงมาให้ลำตัวนางแนบกับแผ่นหลังของเขา บีบนิ้วมือของนางแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ใจเจ้า เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่สามารถทำให้ข้าโกรธ ข้าก็เดาความคิดของเจ้าได้แล้ว”
“ข้าก็เข้าใจท่าน ขอเพียงคิดไปในทางว่าท่านจะสั่งสอนข้าอย่างไรก็สามารถเดาความคิดของท่านออกแล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ที่พาดอยู่บนแผ่นหลังของเขาย่นจมูก “ข้าเดาว่าท่านต้องให้ข้าอยู่กินอาหารกลางวัน และในอาหารที่ท่านสั่งให้ห้องครัวเตรียมมาจะต้องมีปลาแน่นอน”
หลงเอ้อร์นิ่งเงียบไป จากนั้นก็หัวเราะจนสุดเสียง เหตุใดนางจึงฉลาดและน่าสนใจถึงเพียงนี้
เขาหยุดหัวเราะแล้วกระแอม เอ่ยเสียงแข็ง “ไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าอยู่กินอาหารด้วย แต่ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว แค่เพิ่มตะเกียบอีกคู่เท่านั้นเอง”
จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับเสียงอ่อนเสียงหวาน “ขอบคุณท่านหลงเอ้อร์ แต่ว่าในปลามีก้าง ข้ากินไม่ได้จริงๆ”
เมื่อหลงเอ้อร์คิดขึ้นได้ว่าเคยเชิญนางมากินอาหาร และนางต้องอมเนื้อปลาที่มีก้างไว้เต็มปากด้วยท่าทางทุลักทุเล ใจเขาก็อ่อนลง เขาเอื้อมมือไปแตะใบหน้าเล็กของนาง “ข้าจะคีบส่วนที่ไม่มีก้างให้เจ้าเอง”
บนโต๊ะอาหาร หลงเอ้อร์รักษาสัจจะด้วยการคีบก้างปลาออกให้จวีมู่เอ๋อร์ คีบไปก็คิดได้ว่าตัวเองหลงกลอีกแล้ว เหตุใดเขาจึงถูกคำพูดของนางทำให้ใจอ่อนจนหลุดปากออกไปเช่นนั้นด้วย
จวีมู่เอ๋อร์ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนหวานและกินเนื้อปลาที่หลงเอ้อร์คีบก้างออกให้จนหมด
แม่นมอวี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูนายท่านรองของตนที่ด้านหนึ่งขบกรามจ้องหน้าแม่นางจวี แต่อีกด้านหนึ่งก็ตั้งใจคีบก้างปลาออกให้ นางคิดว่าเข้าใจแล้วว่าแม่นางจวีเจ้าเล่ห์อย่างไร
แม่นมอวี๋เริ่มตั้งใจจัดเตรียมงานแต่งอีกครั้ง เรื่องนี้ถูกแม่สื่อโพนทะนาไปทั่ว ดังนั้นชาวเมืองจึงสงสัยและเล่าลือกันอย่างหนักว่าหญิงตาบอดจวีมู่เอ๋อร์ผู้นั้นใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดทำให้ท่านหลงเอ้อร์หลงใหลหรือใช้วิธีใดบีบบังคับท่านหลงเอ้อร์ ทุกคนต่างเดากันไปต่างๆ นานาจนเกิดข่าวลือขึ้นนับไม่ถ้วน
หลงเอ้อร์ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะหากเขาไม่สั่งให้คนไปสืบข่าวกลับมารายงานให้ฟัง เขาก็ไม่รู้อยู่นั่นเอง เพราะคงไม่มีใครไม่มีสมองถึงขั้นกล้าเอาเรื่องนี้มาพูดต่อหน้าเขา
หลงเอ้อร์รั้งตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้อยู่เป็นเพื่อนอยู่นาน จากนั้นจึงอนุญาตให้นางไม่ต้องมาหา ไม่ใช่เพราะว่าทำตามความต้องการของนางที่ไม่อยากออกจากบ้านไปพบหน้าผู้ใดก่อนจะได้สระผม แต่เขาพบว่าเมื่ออยู่กับนางแล้ว เขาเสียเวลาอ่านเอกสารไปไม่น้อย
เดิมทีเขาต้องอ่านเอกสารให้ได้หนึ่งกอง แต่ผลคือหากเขาไม่เอาแต่ต่อปากต่อคำกับนางก็แกล้งนางเล่น สุดท้ายจึงอ่านได้เพียงไม่ถึงสองเล่ม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องเตือนสติตัวเองว่าการทำการค้าเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างจริงจัง
หลงเอ้อร์เก็บตัวอยู่หน้าโต๊ะหนังสือสองวันติด เมื่อเหล่าหลงจู๊ทยอยมาถึงก็พากันมาเยี่ยมเยือนที่คฤหาสน์สกุลหลง หลงเอ้อร์ออกไปพบทุกคนด้วยตัวเอง พูดคุยปรึกษาปัญหาในการค้าขายอย่างตั้งใจ
วันนี้มีหลงจู๊หลายคนยื่นเทียบขอเข้าพบหลงเอ้อร์ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ติงเหยียนซานกลับมาเยือน เดิมทีหลงเอ้อร์ไม่ยอมพบ บอกให้บ่าวเฝ้าประตูแจ้งว่าวันนี้เขาต้องพบแขกจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่มีเวลาว่าง
แต่เมื่อหลงเอ้อร์คุยธุระกับหลงจู๊คนหนึ่งเสร็จ กำลังจะส่งเขาออกนอกประตู ติงเหยียนซานกลับยืนรออยู่หน้าประตู พอนางเห็นเขาก็รีบเข้ามาคุยด้วย
เมื่อได้พบหน้าแล้ว หลงเอ้อร์ก็ไม่อาจพูดอะไรได้ จำต้องเชิญนางเข้ามาดื่มน้ำชา
ติงเหยียนซานมาด้วยเรื่องการแต่งงานของหลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์ พอได้เอ่ยปาก นางก็ถามหลงเอ้อร์ทันทีว่าข่าวลือที่บอกว่าเขาจะแต่งงานกับจวีมู่เอ๋อร์นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
หลงเอ้อร์ตอบตามตรงว่า “ใช่”
ติงเหยียนซานหน้าถอดสี “ท่านหลงเอ้อร์ต้องคิดให้รอบคอบ จวีมู่เอ๋อร์คนนั้นมีข่าวลือไม่ดีเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงของคฤหาสน์สกุลหลงมัวหมองได้”
“ชื่อเสียงของคฤหาสน์สกุลหลงไม่มัวหมองง่ายๆ เพราะข่าวลือเช่นนั้นหรอก”
“แต่นางกับพี่เขยข้าทำเรื่องเช่นนั้น…”
“ข้าไม่ได้แต่งงานกับพี่เขยเจ้า เขาเป็นอย่างไรย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
“ท่านหลงเอ้อร์” ติงเหยียนซานร้อนใจจนลุกขึ้นยืน “พี่สาวข้าบอกว่าจวีมู่เอ๋อร์ตอบตกลงแต่งเป็นอนุของพี่เขยข้าแล้ว นางหลอกท่าน ท่านจะแต่งกับหญิงแพศยาคนนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
หลงเอ้อร์จ้องติงเหยียนซานอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ากลับไปบอกอวิ๋นชิงเสียนว่าทางที่ดีอย่ามายุ่งกับภรรยาของข้า ไม่เช่นนั้น…”
เขาไม่ได้พูดจนจบ แต่ลากท้ายเสียงยาวสื่อความหมายชัดแจ้ง ติงเหยียนซานยืนตัวแข็งอยู่ภายใต้สายตาเย็นเยือกของเขา ในที่สุดก็ทนไม่ไหว สะบัดหน้าเดินจากไป
หลงเอ้อร์พูดไล่ตามหลังนาง “อีกอย่างหนึ่ง อย่าให้ข้าได้ยินใครด่ามู่เอ๋อร์ของข้าว่าหญิงแพศยาอีกนะ”
ติงเหยียนซานชะงักฝีเท้า จากนั้นก็ยกมือปิดหน้าร้องไห้แล้วรีบเดินจากไป
ติงเหยียนซานไปแล้ว แต่หลงเอ้อร์กลับนั่งไม่ติด จวีมู่เอ๋อร์ตอบตกลงแต่งเข้าสกุลอวิ๋นหรือ เรื่องนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก วันนั้นที่นางมาขอแต่งงานกับเขาอย่างฉับพลันโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ หรือว่าจะเป็นเพราะอวิ๋นชิงเสียน?
หลงเอ้อร์เรียกพบแม่นมอวี๋ ถามนางว่าสินสอดที่ใช้ในงานแต่งเตรียมการไปถึงขั้นไหนแล้ว แม่นมอวี๋บอกว่าสองวันนี้นางไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีเพื่อปรึกษากับผู้เฒ่าจวีและแม่นางจวีแล้ว เรื่องทุกอย่างสามารถกำหนดและตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว
หลงเอ้อร์พยักหน้า กำชับแม่นมอวี๋ว่าหลังจากเตรียมของเสร็จต้องเอามาให้เขาดูก่อน แม่นมอวี๋ตอบรับ หลงเอ้อร์จึงให้นางถอยออกไป
เขาเดินกลับไปที่หอหนังสือ คิดถึงจวีมู่เอ๋อร์ไปตลอดทาง นึกถึงสีหน้าของนางตอนที่พูดว่าอยากแต่งงานกับเขา ในที่สุดหลงเอ้อร์ก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้หลังจากคุยงานกับหลงจู๊ทั้งหลายเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะดึกเพียงใดเขาก็ต้องหาเวลาว่างไปพบนางให้ได้