ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
พลัดพรากจากสิ่งที่รัก
บทที่หนึ่ง
ไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไรที่ผู้ผ่านแม่น้ำลืมเลือน* เรียกข้าว่าหินสามชาติซานเซิง หลังจากนั้นมีบางคนทอดทิ้งข้า บางคนจับจูงมือกันสลักบุพเพในชาติก่อนของพวกเขาลงบนตัวข้า บางคนคร่ำครวญโหยไห้เบื้องหน้าข้า
แต่ข้าเป็นเพียงหินก้อนหนึ่งข้างแม่น้ำลืมเลือน ไร้เศร้าสุข ไร้ทุกข์ยินดี ข้าเฝ้าอยู่เงียบๆ ข้างแม่น้ำลืมเลือนมาพันปีจนมีจิตวิญญาณในที่สุด
วิญญาณของสรรพชีวิตล้วนต้องผ่านเคราะห์กรรมเป็นธรรมดา ทว่าข้ากลับผ่านมาแล้วร้อยปีอย่างสงบมั่นคง จนกระทั่ง…
เคราะห์รัก
นักพรตหนวดขาวที่ข้ามแม่น้ำลืมเลือนดูโหงวเฮ้งให้ข้า ส่ายหัวไปมาขณะทำนายคราวเคราะห์ของข้า
ข้าเพียงทำเป็นว่าเขากำลังผายลม ข้าคือวิญญาณของหินสามชาติ จิตวิญญาณของก้อนหิน จิตใจของก้อนหิน ไอหยิน ริมฝั่งแม่น้ำลืมเลือนที่ไม่เคยหายไปตลอดปียิ่งทำให้ข้าเยือกเย็นมั่นคง ไร้รักไร้ร้ายไม่หวั่นไหว แล้วเคราะห์รักจะมาจากไหนอีก
ยามนั้นข้าคิดเช่นนี้
แต่ว่าทุกเรื่องย่อมมีสิ่งเหนือความคาดหมาย
ยามบ่ายอันทึบทึมวันหนึ่งในปรโลก ข้าเดินเล่นกลับไปกลับมาอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือนไม่เปลี่ยนแปลงมาตลอดเหมือนปกติ ข้าเงยหน้าขึ้นมองท่ามกลางความมืดมิดของไอหยินที่แผ่คลุมหนาทึบ คล้ายว่าแสงอาทิตย์ของโลกมนุษย์ฉีกทลายชั้นหมอก สาดส่องดอกปี่อั้น* ที่กระจัดกระจายอยู่บนทางน้ำพุเหลือง** ให้งดงาม
ชายหนุ่มผู้นั้นเยื้องย่างเข้ามา
ข้าพลันนึกถึงประโยคที่หญิงชาวมนุษย์ผู้หนึ่งพึมพำผ่านตัวข้าเมื่อหลายปีก่อนหน้าขึ้นมาได้ ‘มีบุรุษผู้เล่าเรียนดั่งเจียระไน ดั่งกลึงเกลาสลักเหลาดั่งบดเพียร***
กว่าพันปีผ่านมาดวงใจของข้าขยับไหวเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก ข้าคิดว่าบางทีนี่คงเป็นรักแรกพบที่ในนิทานชาวบ้านของโลกมนุษย์กล่าวถึงกระมัง
เขาเดินเข้ามาใกล้ช้าๆ แน่นอนว่าไม่ได้มาหาข้า เพียงเพราะว่าด้านหลังของข้าคือสะพานอนิจจัง* ที่จำเป็นต้องข้ามผ่านยามเข้าสู่ปรโลก ข้ารู้สึกว่าไม่ง่ายเลยที่จะเจอคนงดงามถึงเพียงนี้ สมควรที่จะพบปะสร้างความทรงจำดีงามกับเขาสักครั้งหนึ่ง
ข้าเดินขึ้นหน้าเอ่ยเรียกแผ่วเบา “คุณชาย” ข้าอยากคารวะเขาเหมือนกับคุณหนูที่ได้รับการอบรมในนิทานชาวบ้านแบบนั้น แต่นิทานชาวบ้านของโลกมนุษย์เพียงพูดประโยคคารวะ ไม่ได้บอกถึงการเคลื่อนไหวและท่าทาง
ข้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเลียนท่าทางปกติของเหล่าวิญญาณยามร่ำไห้กับท่านพญายม สองเข่าคุกลง โขกหัวเสียงดังให้เขาสามครั้ง “คุณชาย ขอบังอาจถามว่าท่านมีนามอันไพเราะว่าอะไร”
เหล่ายมบาลโดยรอบสูดหายใจเสียงเย็นเข้าสองครา เขายืนทื่ออยู่ตรงนั้น ในสายตามีแววประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ตอบคำข้าชั่วขณะ
การปฏิบัติตนต่อผู้อื่นต้องมีความจริงใจ ยมทูตดำยมทูตขาวเฮยไป๋อู๋ฉาง** เคยพูดคำนี้บ่อยๆ ‘มีความจริงใจจึงทำงานได้ดี’ ดังนั้นทุกครั้งพวกเขาจึงสามารถนำสามวิญญาณเจ็ดจิต*** กลับมาได้อย่างว่าง่าย
ข้าเห็นเขาไม่ตอบคำข้า ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้สึกว่าอาจเพราะตนโขกหัวได้ไม่ดังพอ ไม่ได้แสดงความจริงใจออกมา ดังนั้นข้าจึงเดินเข่าไปข้างหน้าสามก้าว โขกหัวหนักๆ อย่างไม่เสียดายแรงอีกสามครั้ง แทบจะโขกจนพื้นดินสั่นสะเทือนสามครา
ยมบาลรอบตัวสูดหายใจเฮือกๆ คล้ายตกใจจนสับสน
ข้าเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยใบหน้ามีเลือดสดหยดย้อย “คุณชายนามว่าอะไร”
อาจเพราะใบหน้าเปื้อนเลือดน่าสลดนี้ทำให้เขาหวาดผวาเข้า เขาจึงไม่พูดคำใด ข้าร้อนใจรีบเช็ดใบหน้าจนทั้งมือเปียกชุ่มไปหมด! ข้าไม่รู้เลยว่าตนเองถึงกับหลั่งเลือดมากเพียงนี้ ทันใดนั้นพลันเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าเหตุใดเขาจึงมีท่าทางทึ่มทื่อเช่นนั้น
ข้าตื่นตระหนก มือเท้าเช็ดถูสับสนไปพักหนึ่ง ผลคือทำจนทั่วร่างตนเต็มไปด้วยเลือดเหนอะหนะ
ข้าเงยหน้ามองเขาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร
นัยน์ตางดงามของเขามีเงาของข้า จากนั้นหางตาโค้งปรากฏแววยิ้มสว่างไสว
แม้ข้าไม่รู้ว่าเขากำลังเบิกบานอะไร แต่เห็นเขาสำราญใจข้าก็แสดงความเป็นมิตรด้วยการเผยฟันขาวสะอาดของตน แต่ไม่คาดว่าการกระทำเช่นนี้กลับขับเน้นให้คนหวาดกลัวรอยยิ้มเปื้อนเลือดนี้ยิ่งขึ้น
ยมบาลจย่า* ด้านข้างท่าทางร้อนรนพิกล เข้าประชิดข้างตัวแล้วดึงข้า แต่ข้าไม่ลุก เขาจึงพูดอย่างฉุนเฉียว “ท่านยายซานเซิงของข้า! ท่านทำท่าทางน่ากลัวเช่นนั้นทำไม! ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร”
พลังเวทของข้าในหมู่ดวงวิญญาณแห่งปรโลกไม่นับว่าสูงส่งลึกล้ำ แต่เพราะอาวุโสถึงเพียงนั้นแล้ว พวกยมบาลจึงล้วนเคารพนับถือข้า ยามที่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับข้านั้นจึงน้อยยิ่งกว่าน้อย ข้าขมวดคิ้วกล่าวอย่างแปลกใจ “ข้าย่อมไม่รู้แน่นอนว่าเขาคือใคร ยามนี้มิใช่กำลังถามอยู่หรือ”
ยมบาลอี่ท่าทางราวกับจะกระอักเลือดออกมาตรงนั้น “ท่านยาย! ท่านผู้นี้คือ…” เขายังไม่ทันกล่าวจบ เสียงอ่อนโยนสายหนึ่งก็ดังขัดจังหวะขึ้น
“ข้ามีชื่อว่าโม่ซี”
เขายื่นมือออกมา ข้าจึงวางมือลงบนมือเขาตามธรรมชาติ เขาพลันพลิกมือกุมข้อมือข้า
ข้อมือคือจุดตายของข้า ยามนี้แค่เขาออกแรงเพียงนิดข้าก็จะตายอนาถยิ่ง
ยมบาลจย่าและอี่ที่เดิมใบหน้าขาวซีดไม่น่ามองอยู่แล้วยิ่งซีดลงไปอีกหลายส่วน เจ้าจย่าร้องขออย่างร้อนรน “ใต้เท้า! ใต้เท้า! แม่นางซานเซิงเฝ้าอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือนมาโดยตลอด ปรโลกยังเป็นสถานที่หยาบช้า แม่นางไม่เข้าใจมารยาท ขอใต้เท้าโปรดให้อภัยด้วย”
“ซานเซิง? ชื่อนี้แปลกจนน่าสนใจนัก”
ข้ายังคงจ้องมองเขา ภายในใจกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวด้วยในดวงตาเขาไม่มีไอสังหาร
เขามองข้าอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ปล่อยข้อมือแล้วเปลี่ยนมาเป็นพยุงแขนข้าลุกขึ้น “ก้อนหินในปรโลกถึงกับมีจิตวิญญาณ เป็นเรื่องประหลาดหาได้ยากอย่างแท้จริง แต่ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร เหตุใดจึงมากมารยาทต่อข้าเพียงนี้”
มากมารยาท?
เข้าใจแล้ว ที่แท้เมื่อครู่ไม่ใช่ข้าแสดงความจริงใจไม่พอ แต่เป็นข้าจริงใจมากเกินไป ข้ากล่าวอย่างสัตย์ซื่อออกไป “ท่านรูปงามยิ่งนัก ข้าอยาก…” ข้าจนคำอย่างไม่ถูกเวลา ด้วยอารามรีบร้อนจึงหยิบคำที่กระจัดกระจายอยู่ในสมองไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรขึ้นมา “ข้าอยากเกี้ยวท่าน”
เจ้าจย่าใช้สายตาหมดหนทางรักษามองข้า
เขายิ้ม “ช่างเป็นวิญญาณที่ตรงไปตรงมานัก”
ข้าคิดเอาเองว่านี่เป็นคำชมที่ยอดเยี่ยม แล้วให้รู้สึกยินดีในทันใด รีบเอ่ยถาม “เช่นนั้นข้าเกี้ยวท่านได้หรือไม่”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “ข้ามาครานี้เพราะคราวเคราะห์ จะไม่รั้งอยู่ในปรโลก”
ความหมายในคำพูดคือไม่ได้กระมัง ข้าหลุบตาลง รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“เจ้าเฝ้าอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือนมาตลอดหรือ” เขาพลันถาม
ข้าพยักหน้า
“อยากออกไปดูข้างนอกบ้างหรือไม่”
ดวงตาข้าเปล่งประกาย ผงกหัวโดยแรง
เขายิ้มบางๆ ตบหัวข้าเบาๆ “ครั้งนี้ข้ารับการหลั่งเลือดคารวะหลายครั้งของเจ้า ย่อมไม่สามารถให้เจ้าคารวะเสียเปล่า ในเมื่อเจ้าอยากออกไปเดินเล่นนอกปรโลก ข้าก็อนุญาตให้เจ้ามีอิสระสามชาติ สามชาติแห่งด่านเคราะห์ของข้าก็คือสามชาติแห่งอิสระของเจ้า หลังจากข้ากลับมาจากคราวเคราะห์แล้ว เจ้าก็กลับมาเฝ้าที่ข้างแม่น้ำลืมเลือนอย่างเชื่อฟัง เช่นนี้ดีหรือไม่”
ไม่ใช่การเจรจาขาดทุนข้าย่อมพยักหน้าร้องว่าดี
เขาประทับตราทองข้างข้อมือข้า “มีจิตวิญญาณแล้วชาญฉลาดหน่อยเป็นดี ต่อไปต้องปกป้องจุดตายของตนให้ดีหน่อย” เขากล่าว “ไม่ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งทุกคนจิตใจดีเยี่ยงข้า”
เขาจากไปภายใต้การคุ้มกันและหน้าตากระตุกของยมบาลจย่าอี่ ข้าลูบตราทองบนข้อมือเบาๆ
“โม่ซี” ข้าร้องเรียกเสียงดัง
เขาซึ่งถือน้ำแกงยายเมิ่ง* ยืนอยู่หน้าสะพานอนิจจังหันมามองข้า
“ข้าไปเกี้ยวท่านที่โลกมนุษย์ได้หรือไม่” ข้าถามอย่างจริงจังมาก ทำเอายายเมิ่งที่ตักน้ำแกงอยู่ยิ้มพิกลไปชั่วขณะ
ริมฝีปากเขาก็ยกโค้งขึ้นเช่นกัน “หากว่าหาเจอก็มาเกี้ยวเถอะ” พูดแล้วเขาก็ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจนหมด จากนั้นเดินลึกเข้าไปภายในปรโลกยิ่งขึ้นโดยไม่หันหลังกลับมา ข้ามองส่งเขาไปตลอดทางจนกระทั่งมองไม่เห็นแล้วก็ยังทำใจชักสายตาคืนมาไม่ได้
ยมบาลอี่เดินกลับมาจากหัวสะพานอนิจจัง มือแห้งเหี่ยวเขียวคล้ำคู่หนึ่งโบกไปมาตรงหน้าข้า “แม่นางซานเซิง!”
“หืม”
“ท่านคงไม่ใช่หวั่นไหวต่อเขากระมัง”
ข้าถึงได้หันสายตามองเจ้าอี่ในยามนี้พร้อมถามจริงจัง “อย่างไรจึงนับว่าหวั่นไหวเล่า”
เจ้าอี่เอียงหัวขบคิด “ก็คือคำอธิบายถึงชายหญิงในนิทานชาวบ้านที่ท่านอ่านเป็นประจำพวกนั้นนั่นแหละที่เรียกว่าหวั่นไหว”
ข้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในนิทานที่ข้าอ่านเป็นประจำพวกนั้น คุณชายพบคุณหนู คุณหนูคารวะ ทั้งสองพูดคุยกันไม่เท่าไรก็เริ่มทำเรื่องอือๆ อาๆ อย่างไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ข้าไม่มีความคิดจะทำเรื่องอือๆ อาๆ กับโม่ซีจึงไม่นับว่าหวั่นไหวกระมัง
ข้าส่ายหน้าหนักแน่น “ไม่ได้หวั่นไหว”
เจ้าอี่ถอนหายใจยาวพึมพำกับตนเอง “ก็จริง ก้อนหินก้อนนี้จะหวั่นไหวได้อย่างไร เป็นข้าคิดมากไปแล้ว” ตามด้วยจ้องหน้าข้าอีกครั้งกล่าวว่า “ไม่หวั่นไหวก็ดี! ในโลกนี้ไม่มีอะไรทรมานยิ่งกว่าคำว่ารักแล้ว ไม่ใช่หมายความว่าแม่นางซานเซิงไม่อาจชอบใครได้เด็ดขาดหรอกนะ เพียงแต่ท่านเทพโม่ซีผู้นี้เป็นผู้ที่สตรีในใต้หล้าไม่สามารถไปชอบได้มากที่สุด”
“เพราะเหตุใด เขาคือผู้ที่มีหน้าตารูปร่างและบุคลิกดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาเลยนะ” ข้าหยุดไปเล็กน้อย “ยังมีน้ำเสียงที่น่าฟังที่สุดด้วย”
“ก็เพราะเขาดีเลิศในทุกด้านเช่นนี้ถึงไม่สามารถหวั่นไหวต่อเขาได้เด็ดขาดอย่างไรเล่า! ท่านเทพโม่ซีคือผู้ที่ดำรงตำแหน่งเทพสงครามแห่งสวรรค์ชั้นเก้า จากเบื้องฟ้าถึงใต้พิภพไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่เขาเพียงผูกใจไว้กับใต้หล้า กลางอกมีปวงประชา ไหนเลยจะใส่ความรักฉันชายหญิงลงไปได้”
ข้ารู้สึกว่าในใจโม่ซีใส่ความรักฉันชายหญิงลงไปได้หรือไม่หาได้เกี่ยวอันใดกับข้านัก กลับเป็นประโยคครึ่งแรกของเจ้าอี่ที่ทำให้ข้าตกตะลึง “ตำแหน่งเทพสงครามที่ไอสังหารพวยพุ่งพรรค์นี้เหตุใดจึงเป็นเขาไปได้เล่า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาใจดีปานนั้น”
เจ้าอี่แทบจะกระอักเลือดออกมา “ใจดีหรือ ซานเซิง ท่านคงไม่ได้เชื่อจริงๆ หรอกนะ”
ครั้นเห็นข้าพยักหน้า เจ้าอี่ก็ส่ายหัวกล่าวอย่างไร้แรง “ตอนที่เผ่าปีศาจกำเริบ ทหารปีศาจสิบหมื่นบุกสวรรค์ ท่านเทพโม่ซีนำทหารสวรรค์สามพันสังหารจนสิ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องใช้น้อยชนะมาก ภายหลังยังนำทหารลงไปยังเมืองปีศาจ สังหารจนทั้งแดนปีศาจเลือดไหลราวกับสายน้ำ ไม่ได้ยินเสียงร้องของปีศาจไปสิบปี ด้วยขอเพียงเป็นเผ่าปีศาจที่อายุมากกว่าสามปีล้วนถูกสังหารเรียบ”
เรื่องนี้ข้าพอมีความทรงจำอยู่บ้าง ช่วงนั้นปรโลกแออัดอย่างยิ่ง เสียงร่ำไห้แทบพลิกตำหนักพญายม สะพานอนิจจังถูกเหยียบจนเกือบถล่ม แต่แม้เผ่าปีศาจพวกนี้ล้วนบอกว่าถูกโม่ซีสังหาร ทว่าการสงครามก็เป็นเรื่องที่เจ้าตายข้ารอดอยู่แล้ว โม่ซีมีฐานะเป็นเทพสงคราม การใช้กำลังปราบปรามกบฏเป็นหน้าที่ของเขา เขาภักดีต่อเผ่าพันธุ์ของตน เหี้ยมโหดอำมหิตในการสู้รบก็เป็นเรื่องสมควร
ข้าตบไหล่เจ้าอี่ “ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องนี้กับข้า ข้ากลับไปจัดของในก้อนหินแล้ว”
เจ้าอี่งงงัน “แม่นางจะไปที่ใด”
ข้ายิ้ม “ย่อมต้องไปเกี้ยวเขาที่โลกมนุษย์แน่นอน”