ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด – หน้า 10 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด

บทที่สิบ

ใกล้เที่ยง โจ๊กที่ข้าตุ๋นให้โม่ซีได้ที่แล้ว ข้าดับไฟตักมาชิมชามหนึ่ง เพิ่งกินไปคำเดียวพลันได้ยินเสียงประตูบ้านถูกผลักเข้ามาดังปัง อัครราชครูซย่าเฉินที่ท่วงท่าราวกับเทพเซียนก้าวเข้ามาในบ้าน ด้านหลังเขามีเด็กรับใช้สองคนท่าทางดูกังวลอยู่บ้างติดตามมาด้วย

ข้าถือโจ๊กเดินออกไป กลืนของที่อยู่ในปากแล้วเลียมุมปากเอ่ยถาม “ผู้มาย่อมเป็นแขก อยากได้สักชามหรือไม่”

ราวกับไม่คิดว่าข้าจะต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทางเป็นปกติถึงเพียงนี้ ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสองจึงต่างตะลึงงันไปเล็กน้อย รอบด้านเงียบลงครู่หนึ่ง ซย่าเฉินสะบัดแส้หางม้าในมือ ชี้หน้าข้าพลางว่า “ปีศาจชั่ว! เมื่อคืนเจ้าหนีไปได้ วันนี้ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอีกแน่”

ข้าถอนหายใจ “นักพรตกับพระอย่างพวกเจ้าหัวแข็งยิ่งกว่าก้อนหินเสียอีก ข้าไม่ใช่ปีศาจ บอกจนเทพเทวาล้วนเชื่อกันหมดแล้ว พวกเจ้ากลับตีให้ตายก็ไม่ยอมเชื่อ ความดึงดันนี้ของพวกเจ้า องค์ตรีวิสุทธิเทพ* กับพระพุทธองค์ของพวกเจ้ารู้หรือไม่”

ซย่าเฉินส่งเสียงเยาะ “ไอหยินเต็มร่าง หากไม่ใช่ปีศาจเจ้าลองว่ามาว่าเจ้าเป็นอะไร”

หากข้าบอกว่าข้าเป็นจิตวิญญาณที่แปลงมาจากก้อนหินริมแม่น้ำลืมเลือน เกรงว่าเขาคงพูดว่าข้าเป็นผีร้ายอีก ข้าขบคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าข้าเป็นปีศาจ”

“ใช่หรือไม่ใช่ ทดสอบด้วยเพลิงกสิณl/ ของข้าก็รู้แล้ว”

ข้าคิดแล้วพยักหน้าตกลง “ได้ แต่เจ้าต้องหาที่ที่คนมากหน่อย แล้วเผาข้าบนยกพื้นให้ชาวบ้านมองเห็นกันทั่ว สุดท้ายหากเผาสำเร็จ พิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ใช่ปีศาจ เจ้าต้องใช้ฐานะอัครราชครูของเจ้าประกาศต่อใต้หล้าว่าเจ้าสังหารผิดคน”

เขาถูกคำพูดนี้ของข้าทำเอาตะลึง นิ่งอึ้งไปนานกว่าจะเอ่ย “อย่าได้คิดเล่นเล่ห์เพทุบาย!”

“เฮ้อ เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรเช่นเจ้าจึงจิตใจไม่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ ช่างเถอะๆ ข้าเองก็กำลังรีบเหมือนกัน ก็เอาตอนนี้เถอะ เจ้ารีบพาข้าไปเผาได้แล้ว” ข้าวางชามไว้บนมือเด็กรับใช้คนหนึ่งของเขาง่ายๆ “ช่วยข้าล้างหน่อย ขอบคุณ”

ข้าสาวเท้าเดินออกนอกประตูบ้าน กลับเป็นเขากับพวกเด็กรับใช้ที่อึ้งงันอยู่ข้างใน ข้าขมวดคิ้วอย่างแปลกใจแล้วกลับไปดึงแขนเขา “เหตุใดจึงเหมือนพวกผู้หญิงเช่นนี้ ครั้งก่อนตอนเจ้าร่วมมือกับพระเฒ่าไล่สังหารข้าไม่เห็นลังเลเช่นนี้”

 

ครั้นเดินไปถึงทางเข้าตลาด มีทหารตั้งแท่นยกพื้นคอยท่าไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าเห็นนายทหารคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคน คล้ายว่าเป็นคนที่ตามซือเชี่ยนเชี่ยนมาหาเรื่องเมื่อวันนั้น ที่นี่คงจะเป็นคนของจวนแม่ทัพทั้งหมด ดูท่าแม่ทัพใหญ่คงคิดจัดการข้าให้ตาย

พวกทหารเห็นข้าดึงราชครูมาถึงที่นี่อย่างไร้บาดแผลก็พลันตกตะลึง ข้าพลิกกายกระโดดขึ้นไปบนแท่นยกพื้น เงาร่างพลิ้วไหวแผ่วเบาจนฝูงชนที่มองอยู่โดยรอบต่างร้องชื่นชม

ข้าใช้เชือกมัดตัวเองไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า กลับเป็นราชครูที่อยู่ด้านล่างโบกมือร้องกล่าว “นี่ พอแล้วๆ!”

อัครราชครูยังไม่ลงมือ เขาขมวดคิ้วมองดูข้า ข้าเองก็สบสายตากลับไปเช่นกัน

ฉับพลันนั้นหญิงแต่งงานแล้วผู้หนึ่งพรวดพราดเข้ามาจากด้านข้าง เป็นหญิงที่มายั่วยุถึงบ้านพร้อมกับซือเชี่ยนเชี่ยนวันนั้น

นางเห็นข้าก็ร้องตะโกนขึ้น “นางนี่แหละ! นางเป็นปีศาจ! นางล่อลวงสติของผู้ช่วยเสนาบดี แล้วยังลงมืออำมหิตกับคุณหนูและแม่ทัพน้อยบ้านข้า จนถึงตอนนี้คุณหนูของข้ากับท่านแม่ทัพน้อยก็ยังไม่ฟื้น ท่านอัครราชครู ท่านจะต้องช่วยพวกเรากำจัดปีศาจตนนี้ จะได้ไม่กลายเป็นเภทภัยในภายภาคหน้า!” นางดึงแขนเสื้อของราชครูไปด้วยร่ำไห้ไปด้วย เสียงคร่ำครวญนี้ฟังแล้วน้ำตาพานจะไหล เจ็บปวดหัวใจ หากว่าคนที่นางชี้หน้าด่าอยู่ไม่ใช่ข้า เกรงว่าข้าคงร่วมเคียดแค้นชิงชังไปกับนางด้วยแล้ว

ดวงตาของซย่าเฉินเย็นเยียบ ดึงแขนเสื้อสลัดนางออกไปแล้วถามข้าเสียงเย็น “มีอะไรจะอธิบายหรือไม่”

ข้าถอนหายใจ “ข้าไม่ใช่ปีศาจจริงๆ”

ไข่ไก่ฟองหนึ่งกระทบถูกชุดกระโปรงของข้า เด็กน้อยในชุดมีราคาทะลวงผ่านกลุ่มคนออกมา ยกมือขึ้นขว้างไข่ใส่ข้าอีกฟอง “เจ้ารังแกพี่สาวข้า! เจ้าเป็นคนชั่ว! เจ้าแย่งคนที่พี่สาวข้าชอบ! ทั้งที่พี่โม่ซีชอบพี่สาวข้า ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”

เห็นไข่สองฟองบนชุดกระโปรงของข้าก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ที่กระทบใจข้ายิ่งกว่ากลับเป็นสองประโยคนั้นของเขา ข้าหัวเราะหยัน เพียงขยับปลายนิ้ว เด็กคนนั้นก็ถูกข้ายกลอยไว้กลางอากาศ “เจ้าหนู พี่สาวเจ้าชอบเขา แต่คนที่เขาชอบคือข้า”

เด็กน้อยดิ้นรนอยู่กลางอากาศ เสียงร้องไห้ของหญิงแต่งงานแล้วคนนั้นยิ่งดังขึ้น ร่ำร้องไม่หยุด “นางปีศาจอย่าได้คิดทำร้ายคุณชายน้อยของบ้านข้า!” ผู้คนรอบด้านต่างส่งเสียงเซ็งแซ่

“เลิกคิดทำร้ายคนได้เลย!” ราชครูส่งเสียงเย็นชา ข้ารู้สึกเพียงเชือกบนร่างกายมัดแน่นขึ้น ปลายนิ้วไร้แรง เด็กน้อยตกลงมาจากกลางอากาศและถูกหญิงแต่งงานแล้วผู้นั้นรับไว้ได้

จากนั้นก็รู้สึกร้อนลวกไปทั้งร่าง เพลิงกองหนึ่งลุกไหม้จากใต้ฝ่าเท้าข้าขึ้นมา

เพลิงกสิณ

มนุษย์ธรรมดาผู้นี้ถึงกับบำเพ็ญเพลิงกสิณได้จริง ไม่ใช่ง่ายเลยจริงๆ

ความจริงข้ากลัวไฟ จิตวิญญาณในปรโลกมีไม่เท่าไรที่ไม่กลัวไฟ เพียงแต่หากต้องการแยกความแตกต่างระหว่างปีศาจกับวิญญาณ การใช้ไฟตรวจสอบเป็นวิธีที่ดีอย่างแท้จริง เพราะปีศาจถูกไฟเผาแล้วจะเหลือลูกกลอนปราณ* ส่วนวิญญาณหรือมนุษย์ หลังจากถูกเผาแล้วจะไม่เหลืออะไรไว้ทั้งนั้น

ข้าหาได้กลัวตาย เพราะไม่ว่าจะพูดจากมุมไหนข้าล้วนไม่มีชีวิตมาตั้งแต่แรก ทางน้ำพุเหลืองและแม่น้ำลืมเลือนคือบ้านเกิดของข้า

เดิมข้าก็มีชีวิตในโลกแห่งความตายอยู่แล้ว

เปลวเพลิงเผาไหม้จนข้าเจ็บปวดไปทั่วร่าง ท่ามกลางสติที่สับสน ข้าคล้ายเห็นสือต้าจ้วงกำลังเกาหัวลนลานอยู่กลางฝูงชน เขาสู้ซย่าเฉินไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถดับเพลิงกสิณนี้ได้ เขาเคลื่อนไหวอย่างร้อนใจ แต่กลับดึงดูดความสนใจของซย่าเฉิน

ซย่าเฉินโบกมือคราหนึ่ง ที่ข้างเท้าของสือต้าจ้วงพลันมีไฟสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นทันที สือต้าจ้วงสะดุ้งตกใจ ผู้คนรอบข้างเขาก็วิ่งหนีไปทันทีเช่นกัน ตอนที่ซย่าเฉินจะลงมือซ้ำอีกครั้ง ไม่รู้ซย่าอีโผล่มาจากไหนพุ่งเข้ากอดแขนของซย่าเฉินไว้ “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่! ท่านปล่อยพวกเขาเถอะ! ปล่อยพวกเขาเถอะ! ต่อไปเสี่ยวอีจะเชื่อฟังท่าน ท่านให้ข้าแต่งกับใครก็ได้ทั้งนั้น! ข้าล้วนฟังท่าน!”

ซย่าเฉินสะบัดนางออกไป “เหลวไหล! ยังไม่กลับไปอีก!”

ซย่าอีพุ่งเข้าไปคว้าซย่าเฉินอีกครั้ง ในมือไม่รู้ทำมุทระคาถาไหนถึงสามารถควบคุมซย่าเฉินได้พริบตาหนึ่ง นางร้องตะโกน “ยังไม่หนีอีก!”

สือต้าจ้วงกัดฟัน ดำดินหนีลงไปไม่เห็นแม้แต่เงา

ช่างเป็นฉากที่ขมขื่นเหลือเกินจริงๆ…

และขณะที่อยู่ระหว่างละครฉากนี้ สัมผัสทั้งห้าของข้าก็ค่อยๆ ลอยจากไป ใบหน้าของผู้คนเบื้องล่างกลายเป็นเลือนราง เสียงจอแจสับสนกลายเป็นเสียงหึ่งๆ ข้างหูข้า

ข้าเงยหน้าเห็นคนคุ้นเคย พวกเขาอยู่กลางอากาศกำลังมองข้าถูกเปลวเพลิงร้อนลวกห่อหุ้ม ข้าคิดจะทักทายพวกเขา แต่กลับเจ็บปวดจนไม่อาจขยับไหว

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ความปวดร้อนจากเพลิงบนร่างข้าค่อยๆ เบาบางลง พอเฮยไป๋อู๋ฉางกวักมือข้าก็ไปถึงข้างกายพวกเขาแล้ว ร่างกายพลิ้วเบาอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน

“ฮ่าๆ!” เฮยอู๋ฉางตบบ่าข้าหัวเราะเสียงดัง “เห็นวิธีตายมาตั้งมากปานนี้ ซานเซิง สารรูปอาบเพลิงของเจ้าทำพวกข้าพี่ชายทั้งสองตะลึงไปหลายรอบเลยเชียว”

ใบหน้าของเขาแสดงอาการชื่นชมถึงเพียงนี้ ทำเอาข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้แต่ประสานมือกล่าวเกรงใจไปสองสามประโยค ครั้นหันมองลงไป ฝูงชนโดยรอบกับหญิงแต่งงานแล้วคนนั้นต่างเปรมปรีดิ์เป็นที่ยิ่ง พากันโห่ร้องเรียกชื่ออัครราชครู มีเพียงซย่าอีที่หน้าซีดขาวทรุดนั่งลงกับพื้น

ส่วนราชครูผู้นั้นกลับเดินขึ้นมาบนยกพื้นเพียงลำพัง สอดส่ายสองตาไปทั่วกองขี้เถ้ารอบหนึ่ง ใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาวซีด

เฮยอู๋ฉางเรียกข้า “ไปเถอะ กลับไปเล่าให้พี่ชายทั้งสองฟังว่าชาตินี้ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ช้าก่อน พวกท่านรอข้าที่นี่สักครู่หนึ่ง ข้า…ข้ามีบางเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ”

พวกเขาสองคนสบสายตากัน ไป๋อู๋ฉางกล่าวว่า “เทพสงคราม?”

ข้าพยักหน้า

“รีบกลับมาล่ะ”

 

ปราณมังกรของวังหลวงยังคงยิ่งใหญ่เช่นเคย ดีที่ตอนนี้ข้ากลายเป็นร่างวิญญาณแล้ว เข้าไปได้ง่ายกว่าเดิมมาก

ยามที่ข้าเห็นโม่ซี เขากำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือเผชิญหน้ากับฮ่องเต้

เขาโค้งกายลงเอ่ย “ขอฝ่าบาททรงคุ้มครองความปลอดภัยของภรรยากระหม่อมด้วย”

ฮ่องเต้จิบชาคำหนึ่งกล่าวว่า “สตรี ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงสตรี”

“ฝ่าบาท ซานเซิงยังเป็นจิตวิญญาณของกระหม่อมด้วย”

ใจข้าไหวกระเพื่อม ความอบอุ่นทะลักล้นออกมา ข้าพลิ้วกายลงข้างเขาแล้วโอบกอดเขาไว้จากด้านหลัง “โม่ซี ได้พบเจ้าเป็นโชคดีของซานเซิง”

โม่ซีชะงักร่างไปเล็กน้อย เขาค่อยๆ หันหน้ามาด้านหลัง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เห็นข้า แต่ไม่รู้เหตุใดจึงดูตะลึงงันอยู่บ้าง

ฮ่องเต้ที่หลังโต๊ะหนังสือวางถ้วยชาลง เอ่ยปากอีกครั้ง “เมื่อคืนอัครราชครูส่งฎีกาด่วนขอเข้าเฝ้า เขาบอกข้าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนแม่ทัพใหญ่ระยะนี้เป็นการกระทำของภรรยาคนนั้นของเจ้าจริงๆ ราชครูไม่มีทางมองผิด เจ้าเก่งกาจปราดเปรื่อง วันหน้าต้องดำรงตำแหน่งสำคัญเพื่อเรา หากถูกพวกขุนนางวิพากษ์วิจารณ์เกรงว่าจะไม่เหมาะ อย่าข้องเกี่ยวกับปีศาจพวกนั้นอีกเลย…”

“ซานเซิงหาใช่ปีศาจ” โม่ซีเงยหน้ามองฮ่องเต้

ขันทีข้างกายฮ่องเต้พลันตวาดเสียงสูง “บังอาจ!”

ฮ่องเต้โบกมือน้อยๆ “เมื่อคืนข้าสั่งลงไปแล้ว ให้อัครราชครูจับปีศาจมากำจัดที่ทางเข้าตลาดด้วยตัวเองในวันนี้…”

โม่ซีราวกับถูกแรงอะไรบางอย่างผลัก เขาถอยหลังก้าวหนึ่งโดยพลัน ไม่รอให้ฮ่องเต้พูดจบก็หมุนกายอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงเข้มงวดดุดันของฮ่องเต้ เขาเดินตะบึงทะลุผ่านร่างข้าออกจากตำหนักใหญ่ จากนั้นฝีเท้ายิ่งเร็วขึ้นทุกที ยิ่งมายิ่งเร็ว สุดท้ายกลายเป็นวิ่งอย่างรวดเร็วไปตามทางในพระราชวังอันสง่างาม

เขาวิ่งเร็วถึงเพียงนั้น ราวกับแค้นที่ไม่อาจบินได้ก็ไม่ปาน

ข้าตามเขามาตลอดทาง

เขาทะยานไปทางเข้าตลาด ยิ่งเดินใกล้เข้าไปก็ยิ่งเห็นคนมากมาย ใบหน้าเขายิ่งขาวซีด ฝีเท้าซวนเซมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าแทบจะเดินไม่ไหวหายใจไม่ออกแล้ว

ในที่สุดก็มาถึงที่ที่ซย่าเฉินเผาข้าตาย ในเวลาเดียวกันซย่าเฉินกำลังยืนอยู่บนแท่นยกพื้น มือกำผงขี้เถ้าขาว สีหน้าเคร่งขรึมทว่าอึมครึมเอ่ยว่า “ข้าขอใช้ชื่ออัครราชครูล้างมลทินให้ซานเซิง หญิงผู้นี้ นางหาใช่ปีศาจ”

ฝูงชนเงียบโดยพลัน

ยามนั้นสำหรับข้า เสียงอึงอลทั้งหลายในโลกมนุษย์ล้วนนิ่งเงียบ ข้าเห็นเพียงแค่โม่ซีดวงตาว่างเปล่า ถอยหลังไปสองก้าว

ข้าคิดจะเข้าไปพยุงแต่มือกลับทะลุผ่านร่างของเขา

ข้าถอนหายใจคราหนึ่ง

“ซานเซิง…” เขาเรียกชื่อข้าอย่างแผ่วเบา แฝงด้วยความปวดร้าวที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้

ข้าขานตอบ “อื้ม” แต่กลับเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงของข้าแล้ว มองไม่เห็นร่างข้าแล้ว

“ซานเซิง”

“ข้าอยู่นี่”

ทว่าในสายตาเขา ข้าไม่อยู่แล้ว

ชีวิตนี้ของโม่ซี ซานเซิงไม่อยู่แล้ว

เขามองเถ้าขาวที่ปลิวอยู่ในมืออัครราชครูบนยกพื้น ขยับเท้าก้าวตามส่วนที่ลอยไปสองก้าวอย่างเลื่อนลอย แล้วยื่นฝ่ามือว่างเปล่ารับขี้เถ้าที่ตกลงมาตามลม ข้าก้าวเข้าไปเบื้องหน้าเขาอย่างอดไม่อยู่ กุมมือของเขาไว้เบาๆ ผงขี้เถ้าตกผ่านมือที่โปร่งแสงของข้าลงมาบนฝ่ามือเขา ราวกับมันยังคงมีอุณหภูมิของเปลวเพลิง แผดเผาจนเขาร้าวราน ปลายนิ้วของโม่ซีสั่นเทา ทั้งร่างเปลี่ยนเป็นแข็งค้าง

ผงเถ้าขาวซ่านกระจายลงมาดั่งหิมะ ปกคลุมลงบนไหล่โม่ซี เขากำหมัดแน่นวางแนบกับอก ก้มหน้าลงเอ่ยถามเสียงแผ่ว “นี่คือชั่วชีวิตที่เจ้าพูดถึงหรือ” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดที่ข้าไม่อาจคำนวณได้ “นี่น่ะหรือชั่วชีวิต”

ร่างเขาส่ายโอนราวกับยืนไม่มั่น “เจ้าโกหกข้า ซานเซิง…เจ้าโกหกข้า…”

โม่ซีล้มลงไปบนพื้นตรงๆ เหมือนกับหุ่นไล่กา ราวกับถูกชิงเรี่ยวแรงทั้งหมดไปอย่างไรอย่างนั้น ฝุ่นผงบนพื้นลอยตลบ หมุนวนผสมไปกับเถ้าที่ลอยอยู่ทั่วแล้วร่วงลงมาคล้ายกับว่าต้องการฝังเขาเอาไว้

ข้าก้มตัวลงคิดจะพยุงเขา แต่ไป๋อู๋ฉางกลับเอ่ยเสียงเย็นอยู่ด้านหลังข้า “ควรไปได้แล้ว”

ข้ามองดูโม่ซี สลักรูปร่างหน้าตาสุดท้ายของเขาในชาตินี้ที่ข้าสามารถมองเห็นได้ไว้ในใจเงียบๆ

“ไปเถอะ” ข้าหมุนกายก้าวเข้าไปบนทางน้ำพุเหลือง “พวกเราเดินช้าหน่อยเถอะ”

ให้ข้าได้ละโมบสูดอากาศในโลกเดียวกับเขาอีกสักคำ แม้จะแค่ชั่วขณะเดียวก็ตาม

 

พริบตาที่เหยียบเข้าสู่ปรโลก หลังคอของข้าก็อุ่นร้อนขึ้นมาน้อยๆ เป็นตราทั้งสามที่ท่านพญายมมอบให้ข้าเมื่อหายไปดวงหนึ่ง หมายความว่าสามชาติที่โม่ซีรับปากข้าจบลงแล้วหนึ่งชาติ

หลังกลับมาปรโลก ข้าไม่ชอบเดินเล่นข้างแม่น้ำลืมเลือนตามลำพังอีก เพราะไม่ว่าจะเดินอย่างไรก็มีเพียงคนเดียว ทุกวันข้านั่งข้างก้อนหินรอโม่ซีกลับเข้าสู่สังสารวัฏอีกครั้ง จากนั้นข้าก็จะไปโลกมนุษย์เผชิญคราวเคราะห์พร้อมกับเขา

เวลาในปรโลกมักผ่านไปเร็ว

ระหว่างนั้นข้าได้พบซย่าอี นางคล้ายว่าผ่านเวลาในโลกมนุษย์มาไม่ค่อยดี เพียงยิ้มให้ข้าเล็กน้อยก็ไปเกิดใหม่แล้ว ข้าถึงขนาดไม่ทันได้ถามสักประโยคว่าต่อมานางกับสือต้าจ้วงเป็นอย่างไร

ข้ารออีกพักใหญ่ ตอนที่เห็นเงาคนที่พอนับว่าคุ้นเคยอีกคนหนึ่ง ข้าถึงได้รู้ว่าโลกมนุษย์ผ่านไปแล้วหลายสิบปี

ข้ายิ้มมองเขา เขาเองก็มองเห็นข้าและตะลึงไปชั่วขณะ “เจ้า?”

“ซย่าเฉิน ไม่เจอกันนาน หน้าตาเจ้ากลับไม่เปลี่ยนไปมากเท่าไร”

เขากลับไม่สนใจคำหยอกของข้า ขมวดคิ้วมุ่น “เหตุใดยังไม่เข้าสังสารวัฏ”

“ข้ารอคน”

คำพูดนี้ของข้าพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทว่ากลับทำให้เขาตะลึงไปอีกครั้ง นิ่งเงียบไปนานถึงถอนใจกล่าว “เป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าต้องพรากจากกันคนละโลก…”

ข้าโบกมือ ขณะกำลังจะบอกว่าทั้งหมดเป็นด่านเคราะห์ที่ฟ้ากำหนดไว้ เขาก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “เจ้ารอเขาในปรโลกชั่วชีวิต ส่วนเขาใช้ทั้งชีวิตเฝ้าระลึกถึงเจ้า เป็นความผิดของข้า ข้าทำลายบุพเพในชาตินี้ของพวกเจ้า” เขาหยุดไปครู่หนึ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วเอ่ยปากอย่างแน่วแน่ “ด้วยผลของกรรมแห่งสังสารวัฏ ชาตินี้ข้าติดค้างพวกเจ้า ชาติหน้าจะต้องชดเชยมันให้ได้”

“ไม่ต้องๆ” ข้ารีบกล่าว “นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับโม่ซี ไม่จำเป็นต้องดึงคนนอกเช่นเจ้าเข้ามาด้วย”

เขาสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วเยื้องกรายจากไป

ข้าคิดว่านี่เพราะมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นาน จึงไม่อาจเลี่ยงนิสัยเสียที่ใช้มุมมองตัวเองไปคาดคะเนและกำหนดความคิดของผู้อื่น

ต่อให้ชาตินี้เขาเป็นราชครูที่มีวิชาเต๋าแก่กล้า แต่พอดื่มน้ำแกงยายเมิ่งลงท้อง ข้ามสะพานอนิจจัง และกระโดดลงบ่อเวียนว่ายตายเกิดไปแล้วก็จะลืมเรื่องราวในอดีตจนหมดสิ้น

ไม่อาจชดเชยความผิดในชาติก่อนได้ตลอดไป

หลังซย่าเฉินไปเกิดใหม่ ข้าใคร่ครวญว่าโม่ซีเองก็น่าจะใกล้มาปรโลกแล้ว ดังนั้นทุกวันจึงส่องดูเงาในแม่น้ำลืมเลือนพลางหวีผมแต่งตัว ดูแลตัวเองให้สะอาดสะอ้านจนแทบจะไม่เข้ากับปรโลกอันทึบทึม ยามไร้เรื่องราวก็จะเลียนแบบพวกมนุษย์ หยิบกิ่งไม้มาวาดวนไปมาอยู่ใต้ก้อนหิน ปากพึมพำว่า “โม่ซีรีบลงมาๆ”

อาจเพราะความจริงใจของข้าทำให้สวรรค์ซาบซึ้งในที่สุด วันนั้นข้าแต่งตัวเรียบร้อยดีแล้ว ขณะกำลังจัดท่าทางบนก้อนหิน โม่ซีก็ย่ำผ่านดอกปี่อั้นบนทางน้ำพุเหลือง ก้าวพรวดๆ หัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้ามา

ใช่แล้ว เขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

ขณะที่ข้ายังตะลึงงัน ลูกไฟสว่างแวววาวคละเคล้าความร้อนกระทบถูกข้างเท้าข้า ข้าสะดุ้งรีบร้อนกระโดดหลบ

เหล่าวิญญาณและพวกยมบาลที่ชมความครึกครื้นอยู่รอบด้าน ครั้นเห็นไฟก็พากันสลายตัวไปทันที

ข้ามองโม่ซีอย่างไม่เข้าใจ ลักษณะหน้าตาของเขาในตอนนี้เหมือนกับเมื่อแรกที่ข้าได้พบไม่มีผิดเพี้ยน…รูปลักษณ์แห่งเทพสวรรค์

เพียงแต่เทพสวรรค์องค์นี้โกรธเกรี้ยวมาจากที่ใดไม่มีใครรู้จริงๆ

ในใจข้ารู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง เฝ้ารอคอยให้เขามาตั้งนานขนาดนี้ พอพบหน้ายังไม่ทันเอ่ยอะไรเขาก็ลงมือกับข้าแล้ว ทำร้ายจิตใจข้าจริงๆ ทำร้ายจิตใจข้า!

เขาโน้มตัวลงมา ที่กระทำคือจะจับยึดข้อมือของข้า ข้าปกป้องจุดตายเบี่ยงหลบออกไปด้านข้าง รอดพ้นกรงเล็บของเขาอย่างฉิวเฉียด

เขาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “ครานี้รู้จักหลบรู้จักกลัวแล้วหรือ เหตุใดเจ้าไม่ปล่อยให้ข้าจับให้ข้าเผาเล่า รู้ว่าชีวิตนี้ของตนไม่ใช่ได้มาง่ายๆ จึงทำใจทิ้งไปไม่ได้แล้วหรือ”

ข้าขบคิดความหมายในคำพูดนี้ของเขาอยู่ครู่หนึ่ง “โม่ซี ท่านกำลังโกรธข้าหรือ”

“โกรธ?” เขาส่งเสียงฮึ “ข้าจะโกรธได้อย่างไร เจ้าปกป้องข้า ทั้งใช้ตนเป็นเกราะขวางกั้นเภทภัยแทนข้า ข้ายังขอบคุณเจ้าแทบไม่ทัน ไหนเลยจะกล้าโกรธ”

ข้าอ้าปากคิดจะบอกว่าข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาโกรธเรื่องอะไร จากนั้นก็จิ้มนิ้วใส่คำพูดและการกระทำที่ไม่เข้ากันนี้ของเขา แต่เมื่อเห็นเพลิงโกรธกลางหว่างคิ้วของเขา ข้าปิดปากทนเอาไว้จะดีกว่า ความอดสูน้อยใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น

โม่ซีเห็นท่าทางได้รับความอยุติธรรมของข้าที่มองเขาด้วยน้ำตาคลอหน่วย สีหน้าเขาก็แข็งค้าง เอ่ยเสียงกระด้าง “ไม่อนุญาตให้ร้องไห้”

ข้ายังคงน้ำตาคลอมองเขา

เส้นเลือดบนหน้าผากเขาเต้นตุบๆ เขากุมหน้าผากอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจยาว “ช่างเถอะ” สายตาเขาอ่อนโยนลง ยื่นมือมาตบหัวข้าเบาๆ ยิ้มอย่างอ่อนใจพลางว่า “พูดถึงที่สุดแล้ว ความจริงเป็นความผิดของข้า…” ที่ตามมาคือสีหน้าอึมครึม “เหตุใดไอหยินบนร่างเจ้าจึงเข้มข้นเพียงนี้”

ข้าปิดหน้าเขินอาย “เพราะคิดว่าท่านใกล้จะมาแล้ว ดังนั้นข้าเลยใช้น้ำในแม่น้ำหวีผมล้างหน้าทุกวัน ท่านเห็นหน้าตาตอนนี้ของข้าแล้วชอบหรือไม่”

โม่ซีเงียบไปครู่ใหญ่

ข้าเอ่ย “ทุกวันข้าล้วนเก็บของเตรียมไว้อย่างดี รอท่านลงมา โม่ซี ท่านจะไปเกิดใหม่ตอนไหน ข้าจะไปกับท่านด้วย”

เขาขมวดคิ้ว “ไปด้วย?”

“แน่นอน”

เขาพลิกข้อมือ ตราทองดวงหนึ่งแนบลงบนร่างข้า “ภายในห้าสิบปีมนุษย์ เจ้าไม่อาจออกจากปรโลกได้”

ข้าตกใจ “เพราะเหตุใด! ท่านเคยบอกว่าอนุญาตให้ข้าใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ได้สามชาติ”

“ไม่ผิด แต่ว่าให้เจ้าไปหลังจากห้าสิบปีแล้วเท่านั้น”

“แต่ท่านก็ตกลงให้ข้าเกี้ยวแล้ว”

“อีกห้าสิบปีเจ้าค่อยไปเกี้ยว”

“แต่ถึงตอนนั้นท่านก็กลายเป็นผู้เฒ่าไม้ใกล้ฝั่งแล้ว หลังจากข้าหาท่านเจอ ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับท่านก็จะน้อยลงมาก!”

“เช่นนั้นก็อย่าหาเลย”

พูดจบเขาก็สาวเท้าข้ามสะพานอนิจจังไป ข้าโมโหจนคว้าโคลนกำมือหนึ่งขว้างใส่หลังหัวเขา

เขาหันหลังให้ข้า ข้าไม่รู้ว่าเขามีสีหน้าอย่างไร เห็นก็แต่ยายเมิ่งพลันคุกเข่าลง โขกศีรษะพลางกล่าวอย่างนบนอบ “ท่านเทพโปรดอภัยให้ด้วย”

ข้าถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ในยามนี้ ดินโคลนบนทางน้ำพุเหลืองในแดนปรโลกถูกวิญญาณนับหมื่นเหยียบย่ำ เป็นของที่สกปรกอย่างยิ่งในสามภพนี้ ข้าขว้างโคลนนี้ใส่หัวเขา สำหรับท่านเทพบนสวรรค์แล้วเป็นการเหยียดหยามอย่างรุนแรง

เขาผินหน้าด้านข้างมา น้ำเสียงเย็นเยียบเล็กน้อย “ข้าไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นด่านเคราะห์ของข้า”

คำพูดนี้ไม่รู้มาอย่างไร ข้าไม่อาจเข้าใจได้ชั่วขณะ เห็นเพียงเขาดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้วเข้าสู่สังสารวัฏไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

เขาต้องรังเกียจที่ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ไม่อยากอยู่กับข้าอีกแล้วแน่ๆ พอคิดเช่นนี้ข้าพลันรู้สึกปวดใจไร้ได้เปรียบ หันหัวกลับเข้าไปในหิน สะอื้นไห้เต็มที่รอบหนึ่ง

หากคนอื่นรังแกข้า ข้าจะต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า แต่ว่าโม่ซีรังแกข้า…เขารังแกข้า ข้าทำได้แค่ปล่อยให้เขารังแก จะตีก็ไม่ชนะ จะปล่อยไปก็ไม่ได้

ไม่รู้ร้องไห้ไปนานเท่าใด นอกหินมีเสียงร้องเรียกเข้ามา “แม่นางซานเซิง อ๋า ท่านยายซานเซิงของข้า อย่าร้องเลยๆ”

ข้าโผล่หัวออกมาจากก้อนหิน ดวงตาบวมแดงมองผู้มา “เจ้าจย่า มีอะไร”

ยมบาลจย่ากุมหน้าผากส่ายหน้า ถอนหายใจเอ่ย “สองสามวันนี้น้ำที่ไหลออกมาจากก้อนหินท่านทำให้แม่น้ำลืมเลือนสูงขึ้นอีกหลายส่วนแล้ว ก้อนหินก้อนหนึ่งร้องไห้จนเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องจริงๆ วิญญาณสรรพชีวิตที่ข้ามสะพานอนิจจังล้วนถูกทำเอาตกใจจนขวัญแทบบินหายกันหมดแล้ว ท่านพญายมจึงให้ข้ามาเรียกท่านเป็นพิเศษ อยากจะปรับอารมณ์จิตใจของท่าน”

ข้าพยักหน้าน้อยๆ เดินซึมเซาตามเจ้าจย่าไปตำหนักพญายม

ท่านพญายมคนนี้รูปร่างผอมบางแต่กลับเป็นจอมตะกละผู้หนึ่ง ตอนที่เห็นท่านพญายม เขากำลังอ้าปากกัดขาหมูอย่างสำราญใจ

ข้าพยักหน้าให้เขา “ท่านพญายม”

“อ้อ ซานเซิงมาแล้ว” เขากวักมือ ยมบาลด้านข้างส่งขาหมูมาให้ข้าน่องหนึ่ง น้ำมันเยิ้มจนข้าพะอืดพะอมจึงโบกมือให้เขาเอากลับไป

ท่านพญายมมองข้าแล้วพูด “ได้ยินว่าสองสามวันมานี้เจ้าร่ำไห้โศกเศร้าเพราะท่านเทพโม่ซี”

พอได้ยินชื่อโม่ซี ข้าก็แสบจมูก ท่าทางน้ำตาจะหยดอีกรอบ

“อย่าๆๆ!” เขาเอ่ยหยุดข้าไม่ขาดปาก “วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อช่วยแก้ปมหัวใจนี้แทนเจ้า หากเจ้าร้องต่อไปอีก เกรงว่าน้ำในแม่น้ำลืมเลือนคงได้ท่วมเข้าจริงๆ แล้ว”

ท่านพญายมเช็ดปากกล่าวว่า “ซานเซิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านเทพโม่ซีลงมาจุติครั้งนี้เพื่อเผชิญด่านเคราะห์สามด่านไหน”

ข้าส่ายหน้าตอบว่าไม่รู้

“พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ประสบสิ่งที่ชัง ไม่ได้ในสิ่งที่หวัง ด่านเคราะห์ทั้งสามก็คือทุกข์สามประการในทุกข์ทั้งแปด* ด่านเคราะห์ชาติที่แล้วของท่านเทพคือพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่เขียนไว้ในบันทึกชะตาของเทพดาราซือมิ่ง** คือท่านเทพโม่ซีกับซือเชี่ยนเชี่ยนบุตรสาวแม่ทัพใหญ่รักใคร่ชอบพอกัน ทว่าเพราะขัดผลประโยชน์จึงต้องพลัดพรากจากกันชั่วชีวิต นี่คือทุกข์แห่งการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก แต่ชะตาของเขากลับถูกก่อกวนเพราะการปรากฏตัวของเจ้า เดิมเขาต้องเดียวดายชั่วชีวิต แต่เพราะได้พบกับเจ้า ได้อยู่กับเจ้านานหลายปีจนบ่มเพาะความรู้สึกโดยไม่รู้ตัว เจ้าต้องการยับยั้งเคราะห์ของเขา ใช้ความตายปูทางที่ราบเรียบเบื้องหน้าให้เขา เขาต้องจากกับเจ้าเพราะความตายก็เป็นทุกข์แห่งการพลัดพรากจากสิ่งที่รักเช่นกัน เจ้าจึงนับว่ากลายเป็นด่านเคราะห์ของเขาไปโดยปริยาย”

ท่านพญายมหยุดไปครู่หนึ่งค่อยถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้าไม่เคยเห็นท่านเทพโม่ซีในโลกมนุษย์จากกระจกอดีตชาติ จุ๊ๆ คนที่เดิมนิ่งเฉยโอนอ่อนคนหนึ่ง ทว่าเพื่อเจ้ากลับลงมือเหี้ยมเกรียมบีบให้ฮ่องเต้สั่งประหารจวนแม่ทัพใหญ่เก้าชั่วโคตร เขาคงมีใจต่อเจ้าอย่างลึกซึ้งจึงไม่แต่งภรรยาตลอดชีวิต หลังกลับมาปรโลกและจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดได้แล้ว ว่าตามเหตุผล เขาซึ่งเป็นท่านเทพบนสวรรค์ที่จิตใจสงบไร้ความทะยานอยาก เดิมไม่ควรยึดติดกับอดีต แต่เขากลับแสดงท่าทีดุจเดิมต่อเจ้า อืม…เห็นได้ว่ายังหลงเหลือเยื่อใย ตอนนี้ท่านเทพขังเจ้าให้อยู่ในปรโลกห้าสิบปีมนุษย์ ก็เพราะคิดเลี่ยงช่วงเวลาที่เจ้าไปโลกมนุษย์เท่านั้น เขาไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นด่านเคราะห์ของเขาอีก”

ท่านพญายมกล่าว “เขากำลังปกป้องเจ้า”

ข้าฟังจนอึ้งตะลึง

“พวกเทพเซียนบนสวรรค์ส่วนมากล้วนดูถูกพวกเราชาวปรโลก ซานเซิงเจ้าต้องทำให้ดี เกี้ยวท่านเทพโม่ซีผู้นี้ให้อยู่หมัด เพื่อพวกเราชาวปรโลก…ฮ่าๆๆๆ เจ้าเข้าใจนะ!”

เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของท่านพญายมกลายเป็นห่างไกลสำหรับข้า ในสมองข้ามีเพียงประโยคเดียวที่ลอยกระเพื่อมไปมา

‘เขากำลังปกป้องเจ้า!’

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com