ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด – หน้า 11 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด

ประสบสิ่งที่ชัง

 บทที่สิบเอ็ด

 

ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีช่วงเวลาห้าสิบปีที่เรียกว่า ‘ทุกข์ทนถึงเพียงนี้’ ด้วย

ในที่สุดหลังจากครบการจองจำนี้ ข้าจึงบอกลาท่านพญายมแล้วไปเกิดใหม่

ข้าใคร่ครวญว่าถ้าชาตินี้ไม่ไปหาโม่ซี แล้วครั้งหน้าหลังจากเขากลับมาปรโลกเข้าสังสารวัฏ หากประทับตราห้าสิบปีให้ข้าอีกจะทำอย่างไรดี เอาเป็นว่าทำตามที่เขาต้องการ ไปตามเกี้ยวเขาที่แก่หง่อมแล้วนี่ละ ได้ยินว่าผู้ชายช่วงอายุนี้จะออกนอกลู่นอกทางได้ง่าย มีกิจการ มีครอบครัวแล้ว ที่ควรเสพสุขก็เสพผ่านมาแล้ว ในชีวิตขาดก็แต่ความเร้าใจเท่านั้น

ข้าไปกระตุ้นเร้าเขาเบาๆ สักครั้ง ย่อมไม่ต้องพูดถึงเรื่องเกี้ยวอะไรแล้ว

ข้าเพ้อฝันอย่างสวยงาม แต่ทุกเรื่องย่อมมีเหตุเหนือคาดหมาย

ช่วงเวลาร้อยปีที่ข้าอยู่ในปรโลก ไอหยินบนร่างข้าเทียบกับครั้งแรกที่มาโลกมนุษย์แล้วไม่ได้เบาบางกว่ากันเท่าไร อีกทั้งข้าเพิ่งมา ไอหยินจึงยิ่งสดใหม่ ไม่ทันไรก็ดึงดูดพวกนักพรตน้อยกลุ่มหนึ่งมาห้อมล้อมราวกับเนื้อเน่าล่อแมลงวันอย่างไรอย่างนั้น

ช่างเป็นยุคสมัยที่วิชาเต๋าเจริญรุ่งเรืองและนักพรตชื่นชอบการปราบปีศาจผดุงความเป็นธรรมเหลือเกินจริงๆ อายุของนักพรตน้อยพวกนี้เอามารวมกันแล้วเพิ่มอีกสิบเท่าเกรงว่าก็ยังน้อยกว่าข้าอยู่สองสามปี ท่าทางพวกเขาสุขุมลุ่มลึก ข้าไม่ถนัดต่อกรกับเด็กที่เอาจริงเอาจังเช่นนี้ที่สุด จึงเลียนอย่างน้ำเสียงของท่านพญายมข่มขู่พวกเขา

“เจ้าพวกสารเลวไสหัวไป ไม่เช่นนั้นข้าจะตุ๋นพวกเจ้ากินให้สิ้น!”

“ปีศาจชั่วขวัญกล้าบังอาจพ่นวาจาเหลวไหล!” เด็กคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าชี้กระบี่ใส่ข้าพลางกล่าว “วันนี้ข้าจะต้องทำให้เจ้ามอดไหม้จนหมดสิ้นให้จงได้!”

ข้าเลิกคิ้วมองเด็กคนนั้น อายุยังน้อยแต่จิตสังหารรุนแรงเพียงนี้ คงไม่ได้รับการสั่งสอนมาดีเท่าไรเป็นแน่ ข้าส่ายหัว ถอนหายใจพลางบ่นว่าอาจารย์เขารอบหนึ่ง ขณะกำลังคิดจะหลบหนีพลันมีเสียงร้องใสของหญิงนางหนึ่งดังมาจากไกลๆ

“ฉางอู่รีบถอยมา” คนผู้นั้นสวมใส่ชุดขาว แถบผ้าพลิ้วลอยละล่อง ดูราวกับเทพธิดาเยื้องกรายเข้ามา

ข้ามองอย่างยกย่อง ไม่คิดเลยว่าโลกธรรมดาๆ นี้ถึงกับสามารถบ่มเพาะมนุษย์ที่อรชรบอบบางถึงเพียงนี้ออกมาได้ แต่ข้ายังไม่ทันชื่นชมเสร็จ นางพลันปล่อยแถบผ้าขาวเส้นหนึ่งพุ่งเข้ามาตามลมมัดข้าไว้แน่น

ข้าดิ้นอยู่ครู่หนึ่งจึงพบว่าวัตถุดิบที่ใช้ดีจนพาให้ประหลาดใจ

พวกเด็กๆ รอบด้านล้วนคุกเข่าลงขานเรียกหญิงผู้นั้น “อาจารย์ย่า”

อาจารย์ย่า?

หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ เรียกพวกเขาลุกขึ้น แล้วจึงเดินมาข้างหน้าพินิจมองข้ารอบหนึ่ง “ช่างเป็นปีศาจที่งดงามจริงๆ”

ข้ายิ้ม “เจ้าก็เป็นนักพรตหญิงที่งดงามเช่นกัน”

นางยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “แม้ข้าจะมองร่างเดิมเจ้าไม่ออก แต่ถูกผ้าผูกวิญญาณของข้ามัดไว้ ต่อให้เจ้ามีความสามารถมากมายเพียงใดก็หนีไม่รอด”

ข้าลอบประลองกับผ้าอะไรสักอย่างนี่ดูแล้ว รู้สึกว่าข้าไม่ได้มีความสามารถเลิศล้ำ และของสิ่งนี้ก็ใช้มัดได้ดีจริงๆ แต่หากต้องสู้กันขึ้นมามันคงมัดข้าไว้ไม่อยู่ คำพูดของแม่นางคนนี้ออกจะขาดประสบการณ์เกินไปหน่อย

“พานางกลับเขาหลิวโป มอบให้ผู้อาวุโสจัดการ” นางออกคำสั่งกับพวกเด็กๆ “ได้ยินว่าทางตะวันตกร้อยลี้จากที่นี่มีปีศาจตนหนึ่ง ข้าจะไปกำจัดมัน ไม่กลับไปพร้อมกับพวกเจ้า ปีศาจตนนี้แม้ถูกข้ามัดไว้แล้ว แต่ข้าไม่อาจคาดเดาพลังปีศาจของนาง ต้องคอยระวังให้ดี อย่าให้นางมีโอกาสหนีรอดไปได้”

เหล่าเด็กน้อยเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม

ข้าไตร่ตรองดู ตอนนี้ข้าเพิ่งมาถึงโลกนี้ จะหาโม่ซีก็ไม่มีเบาะแสอะไร ไม่สู้ร่วมทางไปกับพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีนักพรตอื่นมารบกวน ยังสามารถถือโอกาสสืบหาข่าวคราวของโม่ซีได้ด้วย

ไม่ใช่การค้าขายขาดทุน

เหล่าเด็กแก่แดดที่เคร่งขรึม ‘กุมตัว’ ข้าเดินทาง เห็นท่าทางเช่นนี้ของพวกเขา ข้ามักเอาไปเปรียบเทียบกับโม่ซีในชาติที่แล้ว ในหมู่พวกเขามีเพียงคนเดียวที่พอมีคุณธรรมอยู่บ้าง เขามีฉายาเต๋าว่าฉางอัน เป็นเด็กสุภาพเรียบร้อยขี้อายไม่ชอบพูดคนหนึ่ง

ลักษณะของเขาคล้ายคลึงกับโม่ซีน้อยในชาติก่อนนิดหน่อย

ข้าชอบมองเขา แต่ทุกครั้งที่ข้าจ้องเขา เขามักตกใจจนหน้าซีดขาวโดยไม่รู้สาเหตุ พอสืบถามดูจึงได้รู้ว่าเด็กคนนี้กลัวว่าวันไหนข้าหลุดรอดไปแล้วจะจับเขาสูบหยางเสริมหยิน

ข้ากระดากอายจนเหงื่อตก ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าข้าเป็นจิตวิญญาณ ไม่ต้องใช้วิธีน่าอายพรรค์นี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กตัวแค่นี้มีพลังหยางอะไรให้ข้าสูบ หากข้าจะสูบ…ย่อมต้องสูบจากโม่ซีก่อน

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้าจึงต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ใช้ลูกตาเปิดเปลือยถึงเพียงนั้นไปจ้องมองเขา

ระหว่างเดินทางข้าได้ยินพวกนักพรตน้อยคุยกันว่าฮ่องเต้ในรัชสมัยนี้ชื่นชอบถกหลักธรรมกับนักพรต แม้แต่ในหมู่ชาวบ้านวิชาเต๋าก็เฟื่องฟูไม่น้อย ขุนนางใหญ่คนร่ำรวยจำนวนมากยินยอมส่งลูกไปบำเพ็ญเพียร ส่วนเขาหลิวโปที่พวกเรากำลังจะไปนี้ เทียบกับอารามเต๋าทั่วไปแล้วยังระดับสูงกว่ามาก

มันคือสถานที่บำเพ็ญเซียน

พวกเด็กๆ คุยกันด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ราวกับว่าการเป็นศิษย์ของเขาหลิวโปเป็นวาสนาในรอบหลายร้อยปี แต่ข้ากลับคิดอย่างทดท้อ เรื่องจำพวกคนธรรมดาขึ้นสู่สวรรค์นี้ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่หลายพันปีที่ผ่านมามีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่สำเร็จผล อัครราชครูซย่าเฉินที่ข้าได้พบเมื่อชาติก่อนนับเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางวิชาเต๋าคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่สำเร็จเป็นเซียน เห็นได้ว่าอัตราความสำเร็จน้อยมากจนน่าสงสาร

ข้าเอาคำพูดนี้บอกกับพวกเขา เหล่านักพรตน้อยไม่พอใจ บ่นงึมงำว่าผู้วิเศษของพวกเขาใกล้จะกลายเป็นเซียนขึ้นสู่สวรรค์แล้ว บอกว่าผู้อาวุโสจ้งหวาคือนักพรตที่เก่งกล้าที่สุดในโลกนี้ ข้าไม่เห็นด้วย แต่คร้านจะเถียงกับพวกเขาจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ทว่าในใจกลับจดจำผู้อาวุโสจ้งหวาคนนี้ไว้แล้ว ขอนักพรตผู้นี้อย่าได้หัวแข็งดื้อดึงเหมือนเจ้าลาเฒ่าหัวโล้นกับซย่าเฉินในชาติก่อนเป็นดี

นักพรตน้อยพวกนี้ดูเหมือนก้อนแป้งถึงเพียงนั้น แต่ฝีเท้ากลับไวมาก ไม่กี่วันก็มาถึงเขาหลิวโปแล้ว

ตลอดทางข้าสืบไม่พบข่าวคราวใดของโม่ซี ก็รู้สึกเศร้าซึมอยู่บ้าง ขณะกำลังคิดว่าจะฉวยโอกาสตอนที่พวกเขายังไม่เข้าไปในเขาฉีกผ้าอะไรสักอย่างนี่หนีไป ไม่คาดว่าตราทองบนข้อมือข้าจะมีปฏิกิริยาขึ้น

มันค่อยๆ ร้อนขึ้นเช่นนี้จนข้าร้อง “เอ๊ะ” เสียงหนึ่ง หางเสียงยังไม่ทันหายก็รู้สึกถึงปราณกล้าแกร่งสายหนึ่งวาดมาจากด้านบน ม้วนหอบจนเส้นผมบนหัวปลิวว่อนยุ่งเหยิง

รอจนข้าจัดผมที่บดบังเต็มหน้าออก กลับเห็นนักพรตน้อยรอบด้านพากันคุกเข่าหันไปทางหนึ่ง เปล่งเสียงขานพร้อมเพรียง “ผู้วิเศษ!”

โฮ่ เป็นลูกพี่ใหญ่ของหลิวโปนี่เอง

พอข้ามองให้ชัดก็พลันยิ้มออกมาอย่างโง่งม ช่างเป็นอย่างที่ว่าเดินจนรองเท้าอะไรสักอย่างพัง บทจะมาง่ายดายอะไรนั่นจริงๆ!

นี่ไม่ใช่โม่ซีหรอกหรือ!

แต่ดูเขาในยามนี้แล้วเหมือนอายุแค่ยี่สิบสามสิบปี ไม่คล้ายเฒ่าชราเลยแม้แต่น้อย ไหนเลยจะเหมือนคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์มาแล้วห้าสิบปี!

พอข้าย้อนกลับไปคิด ก็จริง ชาตินี้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ที่บำเพ็ญก็คือวิถีเต๋าแห่งการเป็นเซียน แม้พูดไม่ได้ว่าไม่แก่ไม่ตายกลายเป็นเทพบนสวรรค์ แต่การคงสภาพหน้าตาก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าอดลอบยิ้มในใจไม่ได้ โม่ซีหนอโม่ซี ท่านคิดหาวิธีหลบข้า แต่ไม่คาดว่าสวรรค์เบื้องบนจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าการจัดเตรียมของท่าน คราวนี้ข้าจะดูซิว่าท่านจะหลบข้าอย่างไร

มุมปากข้าเพิ่งปรากฏรอยยิ้ม กระบี่ยาวสามเล่มก็พุ่งมาถึงข้างตัวข้าดัง ‘สวบ’ ไอสังหารรุนแรงบนกระบี่ทำเอาข้าสะดุ้ง เก็บรอยยิ้มมองโม่ซีอย่างงงงัน

กระบี่สามเล่มนี้ไม่ได้มาจากเขา แต่ถูกขว้างมาจากนักพรตคิ้วขาวหนวดยาวสามคนที่ตามเขามา ทั้งสามคนต่างขมวดคิ้วมุ่น จ้องข้าอย่างเคร่งเครียดหาใดเปรียบ

โม่ซีกล่าวเสียงเย็น “ตัวอะไรไอหยินเข้มข้นถึงเพียงนี้”

ข้าได้แต่อึ้งมองเขา สายตาเช่นนี้ของเขา…สายตาเช่นนี้…ชาติก่อน สายตาที่เขามองซือเชี่ยนเชี่ยนก็เป็นเช่นนี้

ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจข้าจึงเกิดความกลัวขึ้นเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรข้าไม่ชอบอธิบาย แต่ครานี้กลับอดเอ่ยปากอธิบายไปเองไม่ได้ “แม้ไอหยินบนร่างข้าจะเข้มข้น แต่ไม่ใช่ปีศาจแน่นอน ข้าคือจิตวิญญาณที่กลายร่างมาจากก้อนหิน ข้าชื่อซานเซิง”

นักพรตหนวดขาวทั้งสามต่างมองกันไปมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใคร่เข้าใจคำพูดของข้า

โม่ซีมองมาอย่างเย็นชา “ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับข้า ย่อมต้องมีใจที่แตกต่าง ต้องกำจัด”

เขาพูดประโยคนี้อย่างเด็ดขาด ความเจ็บปวดที่เหลืออยู่ของข้าแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชาตินี้โม่ซีจึงมาเกิดเป็นคนหัวแข็งดื้อดึงเช่นนี้ได้ ข้ายังไม่ทันพูดอะไร ประกายกระบี่ที่ปักอยู่รอบตัวข้าพลันส่องแสงขึ้นอย่างรวดเร็ว แถบผ้าไหมขาวที่มัดข้าไว้ก็รัดแน่นขึ้นจนข้าเจ็บไปหมด

ความคุกรุ่นในใจข้ายิ่งเพิ่มสูง ข้ามีชีวิตอยู่มาพันกว่าปี นอกจากบางครั้งที่ข้ากระทำทารุณตนเองแล้ว ยังไม่เคยมีใครกล้าปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ จึงพลันเคลื่อนพลังวิญญาณแท้จริงประมือกับเขา

หากเขาคือเทพสงครามโม่ซี ยามนี้ข้าคงได้แต่ยอมรับความตายอย่างว่าง่าย แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงโม่ซีที่บำเพ็ญเซียน ในร่างมีพลังเวทไม่เกินสี่สิบปี ต่อให้วิชาเต๋าสูงล้ำขนาดไหน พรสวรรค์ดีเยี่ยมเพียงไร ใช้แข็งชนแข็งกับข้าก็ไม่อาจเอาชนะได้

เราคุมเชิงกันเพียงครึ่งเค่อ* สีหน้าโม่ซีก็ซีดขาวลงเล็กน้อย ข้าใคร่ครวญว่าหรือจะไม่ควรอาศัยอายุที่อยู่มาพันกว่าปีไปรังแกเทพเบื้องบนที่กำลังเผชิญคราวเคราะห์ผู้หนึ่ง ขณะกำลังคิดจะวางมือ โม่ซีพลันกระอักเลือดดำออกมาคำหนึ่ง

ข้าตกใจสะดุ้งโหยง รีบเก็บพลังวิญญาณทันที

นี่…นี่ คงไม่ใช่ว่าพลังวิญญาณของข้าแข็งแกร่งถึงระดับที่ข้าไม่อาจควบคุมได้แล้วหรอกนะ

ข้าประหลาดใจอย่างยิ่ง

นักพรตหนวดขาวสามคนนั้นต่างร้องเสียงหลง “ผู้อาวุโสจ้งหวา!” แล้วประคองโม่ซีโดยพลัน ช่วยจับชีพจรให้เขา พวกศิษย์หลิวโปรอบด้านเองก็กลุ้มรุมเข้ามาเช่นกัน

ข้ากลับไม่กังวลว่าเขาจะตาย ต่อให้เขาตาย ข้าก็อาจไม่กังวลเท่าไร ด่านเคราะห์ ‘ประสบสิ่งที่ชัง’ นี้ของเขาเกรงว่ายังไม่ผ่านไป ถ้ายังไม่ผ่านด่านเคราะห์ เขาก็ไม่สามารถเข้าสู่สังสารวัฏ

เด็กพวกนั้นรุมล้อมอย่างห่วงกังวลครู่หนึ่ง หนึ่งในนั้นพลันลุกยืนขึ้น ข้ารู้จักเขา เขาก็คือฉางอู่ที่ไอสังหารรุนแรงคนนั้น ไม่ผิดจากที่คาด เขาพลันชักกระบี่ออกจากฝัก ชี้หน้าข้าแล้วกล่าวอย่างเหี้ยมโหด “นางปีศาจถึงกับกล้าฉวยโอกาสที่ผู้วิเศษบาดเจ็บลงมืออำมหิตต่อเขา! สมควรตายอย่างยิ่ง!”

เสียงตะคอกนี้ของเขาปลุกเร้าอารมณ์ได้ในพริบตา พวกนักพรตน้อยต่างพากันชักดาบออกจากฝักชี้มาที่ข้าอย่างเดือดดาล แม้แต่ฉางอันที่ขลาดกลัวเสมอมาก็หน้าแดงด้วยความโกรธ ร่วมร้องตะโกนว่าจะกำจัดข้า ปราบปีศาจผดุงความเป็นธรรม

สิ่งที่ข้ารับไม่ได้ที่สุดก็คือการที่เด็กมาล้อมข้าโหวกเหวกโวยวายว่าจะเอาขนม ส่วนสถานการณ์ในตอนนี้แม้ต่างจากการเรียกร้องขอขนมอยู่มาก แต่สำหรับข้ากลับดูไม่ต่างกันเท่าไร

ข้ายอมแพ้โดยพลัน “ได้ๆๆ! จัดการตามใจพวกเจ้า ตามใจพวกเจ้าเลย!”

พอพูดออกไป พวกเด็กๆ ต่างมองซ้ายมองขวา ไม่มีใครกล้าออกหน้าตัดสินใจ

สุดท้ายยังคงเป็นนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งสบช่องตะโกนออกมา “พาตัวนางไปขังไว้ในเจดีย์เชียนสั่ว* ที่ทะเลสาบหลิงหู!”

 

ในเขาหลิวโปมีทะเลสาบน้ำลึกแห่งหนึ่ง พื้นที่ไม่ใหญ่ ทว่าลึกจนน่ากลัว ในทะเลสาบนี้มีปราณวิญญาณลอยทั่ว ศิษย์หลิวโปจึงเรียกที่แห่งนี้ว่าทะเลสาบหลิงหู เหล่านักพรตใช้เวลาหลายร้อยปีสร้างเจดีย์เชียนสั่วองค์นี้ขึ้นมาใต้ทะเลสาบ เอาไว้ขังปีศาจที่เป็นอันตรายต่อโลกมนุษย์โดยเฉพาะ

ข้ายืนดูอยู่ข้างทะเลสาบ เจดีย์ด้านล่างปรากฏวับแวมภายใต้ระลอกคลื่น ข้าลูบคางพลางคิดว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีต่อการขังปีศาจจริงๆ หนึ่งคือมีปราณวิญญาณรอบทิศ สามารถควบคุมและชำระล้างปราณปีศาจได้ สองคือที่แห่งนี้อยู่ใต้น้ำอย่างไรเล่า! ไม่สามารถหายใจได้ ต่อให้เป็นปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดไหน ภายในร้อยแปดสิบปีเป็นต้องตาเหลือกขึ้นอืดกันทั้งนั้น

แต่สำหรับจิตวิญญาณหินสามชาติอย่างข้ากลับไม่เหมือนกัน ปราณวิญญาณฟ้าดินที่ใสสะอาดนี้เป็นผลดีต่อร่างกายและจิตใจของข้า เป็นสถานที่สะดวกแก่การบำเพ็ญตบะของข้าอย่างดี ข้าจึงไม่ขัดขืนใดๆ ปล่อยให้พวกเด็กๆ ใส่ตรวนข้อเท้าหินร้อยชั่ง* ให้ข้า แล้วใช้วิชากั้นน้ำพาข้าลงไปก้นทะเลสาบ

ทิวทัศน์ในทะเลสาบไม่เลวทีเดียว ข้าคิดในใจ

หลังจากถูกขังในเจดีย์เชียนสั่ว เด็กน้อยก็ตะคอกใส่ข้าจากอีกด้านของประตูเหล็กว่าในเจดีย์มียันต์ แข็งขืนพุ่งออกไปจะต้องตายอนาถอะไรจำพวกนี้ ข้าฉีกกระดาษยันต์ที่อยู่บนเสามาเล่นอย่างไม่ใส่ใจ

นี่เป็นที่ขังปีศาจ ทุกการจัดวางล้วนแล้วแต่ใช้รับมือปีศาจ บอกไปตั้งหลายพันครั้งแล้วว่าข้าไม่ใช่ปีศาจ มนุษย์พวกนี้เหตุใดจึงโง่ดักดานถึงเพียงนี้!

แม้แต่โม่ซีก็เป็นไปด้วย…

คิดถึงตรงนี้ข้าก็รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง จมูกแสบขึ้นมาวูบหนึ่งแต่ยังอดกลั้นไว้

เดินวนด้านล่างเจดีย์แล้วหนึ่งรอบ ข้าพบบันไดทางเข้าแห่งหนึ่ง แสงของไข่มุกราตรีส่องขึ้นไปด้านบนจนถึงยอดเจดีย์ บนยอดเจดีย์คล้ายว่ามีของบางอย่างอยู่ห่างออกไป แสงส่องไปไม่ใคร่ถึงข้าจึงมองเห็นไม่ชัด ด้วยความอยากรู้ และถึงอย่างไรตอนนี้ก็ว่าง ข้าจึงปีนขึ้นไปตามบันไดช้าๆ

รอจนเห็นของสิ่งนั้นชัดเจน…เอ้อ ควรพูดว่ารอจนเห็นคนที่ถูกขังอยู่ในของสิ่งนั้นชัด ข้าก็พลันอยากหัวเราะขึ้นมา เทพดาราซือมิ่งเป็นเทพที่ชื่นชอบวาสนารันทดบดคั้นผู้หนึ่งจริงๆ คนผู้นี้ไม่ใช่อัครราชครูซย่าเฉินในชาติก่อนหรอกหรือ!

แม้ว่าตอนนี้ดวงตาเขาจะเป็นสีเขียว แผ่ไอเย็นออกมาบางๆ แม้ว่าตอนนี้เส้นผมเขาจะเป็นสีขาวเลื่อนไหลแปลกประหลาด แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาตอนนี้ดูอย่างไรก็เป็นปีศาจอันตรายตนหนึ่ง เขาถูกโซ่เหล็กพันมือและเท้า แขวนห้อยไว้กลางอากาศ ด้านนอกยังครอบทับด้วยกรงเหล็กซี่ถี่ยิบแปะกระดาษยันต์ คุมขังอย่างแน่นหนา

คิดดูแล้วตอนที่เขาถูกจับมาคงเป็นปีศาจร้ายที่มากอานุภาพตนหนึ่ง

ในใจคิดถึงว่าชาติก่อนโม่ซีเกลียดพระนักพรตที่ชอบวางมาดภูมิฐานอย่างที่สุด ชาตินี้ตนเองกลับกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ชิงชังมารปีศาจเป็นที่สุดเช่นเดียวกับลาเฒ่าหัวโล้น ส่วนอัครราชครูซย่าเฉินที่ชาติก่อนเห็นการปราบปีศาจผดุงความเป็นธรรมเป็นหน้าที่ของตน ชาตินี้กลับกลายเป็นปีศาจร้ายที่ถูกคุมขังอยู่ใต้ก้นทะเลสาบเขาหลิวโป เป็นการจัดการที่ถึงพร้อมด้วยเหตุและผลเสียจริง

“ไง! ไม่เจอกันนานเลย!” ข้าโบกมือทักทายเขา

“เจ้าเป็นใคร” เสียงของเขาแหบพร่า คำพูดแข็งทื่อ คาดว่าถูกขังอยู่ที่นี่นานมากแล้ว

ข้ายิ้ม “ข้าคือซานเซิง”

เขาขมวดคิ้ว “เรารู้จักกัน?”

ข้าลูบหน้าผากคิดเล็กน้อย “ไม่นับว่ารู้จักกระมัง”

จากนั้นก็ไม่มีคำพูดแล้ว เงียบจนไร้ความน่าสนใจ ข้ามองยอดหลังคาเจดีย์เชียนสั่วผาดๆ ด้านบนสว่างกว่าด้านล่างค่อนข้างมาก เพราะตรงยอดเปิดช่องว่างไว้ช่องหนึ่ง

ข้าแปลกใจ มัดปีศาจไว้แน่นหนาถึงเพียงนี้ แต่กลับเปิดช่องว่างไว้เบื้องหน้าเขา ไม่กลัวว่าเขาจะหาโอกาสหนีไปได้หรือ หรือว่าพวกนักพรตของหลิวโปล้วนเชื่อมั่นว่าเจดีย์เชียนสั่วแห่งนี้สามารถนี้กักขังปีศาจให้ตกตายอยู่ภายในได้ทั้งหมด เปิดช่องให้เขาเพื่อให้มองโลกภายนอกอย่างโหยหา คับแค้นทุกวัน อัดอั้นจนตาย

ข้าพูดไม่ออก นักพรตเต๋าพวกนี้โหดเหี้ยมจริงๆ ชั่วร้ายถึงเพียงนี้!

ยังคิดเพ้อไม่เสร็จ เขาก็เอ่ยปากเสียงเบา “เจ้าถอยไป”

ข้าไม่เข้าใจเจตนาที่เขาเอ่ยคำนี้ชั่วขณะ แต่ก็ถอยไปยังส่วนมืดมิดตามที่เขาต้องการอย่างว่าง่าย

ไม่ทันไรเห็นเพียงน้ำในทะเลสาบนอกเจดีย์เปลี่ยนแปลงอย่างงดงามอลังการ แสงอาทิตย์สายหนึ่งส่องผ่านช่องเข้ามาภายในและตกลงบนใบหน้าเขาพอดี ลำแสงสว่างจ้าเกินไปขับเน้นใบหน้าซีดขาวของเขาจนดูน่ากลัว

ลูกตาสีเขียวรางค่อยๆ ปรากฏความเจ็บปวดสายหนึ่ง

ข้ามองดูผิวของเขาค่อยๆ บวมแดงราวกับถูกไฟเผาอย่างหวาดผวา แสงอาทิตย์ยิ่งมายิ่งแรง ผิวพองแดงของเขาขึ้นตุ่มน้ำ บางเม็ดถึงขนาดแตกออกหนองไหล

สีหน้าของเขานอกจากความเจ็บปวดที่ปรากฏในตอนแรกแล้วกลับนิ่งสงบยิ่งขึ้น

อยู่ในปรโลกเคยเห็นการลงโทษมากมายถึงเพียงนั้น แต่ภาพเบื้องหน้านี้ยังคงทำกระเพาะข้าปั่นป่วน ข้าทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงถอดเสื้อตัวนอกออกโยนขึ้นไปปิดช่องบนยอดเจดีย์นั้น แสงอาทิตย์ถูกบังเช่นนี้ก็อ่อนแสงลงไปไม่น้อย

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม* กว่า ดวงอาทิตย์จึงเคลื่อนออกจากยอดเจดีย์ช้าๆ

ข้าพลันนึกขึ้นได้ เมื่อครู่เป็นยามเที่ยงวันพอดี หมายความว่าปีศาจตนนี้ล้วนถูกแสงอาทิตย์แผดเผาเช่นนี้วันละครั้งทุกวัน?

“ยุ่งมากเรื่อง”

เขาวิจารณ์การกระทำของข้า

ข้าใจกว้างไม่ถือสาเขา “เจ้าถูกขังอยู่ในนี้นานเท่าไรแล้ว”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หัวเราะเย็นชาพลางว่า “อาจจะสิบปีหรือยี่สิบปี ใครเล่าจะรู้”

ข้าถอนหายใจ รู้สึกว่าเขาน่าสงสารมาก ทว่ากลับประหลาดใจกับชะตาชีวิตในชาตินี้ของเขา “เหตุใดจึงถูกจับเข้ามา ใครเป็นคนจับเจ้า”

เขาเงียบไม่สนใจข้าอีก ข้าคิดดูแล้ว ในใจของทุกสรรพชีวิตล้วนมีบางเรื่องที่ไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้อย่างไม่อาจเลี่ยง ดังนั้นจึงไม่ถามเขาอีก แต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “เจ้าอยากออกไปหรือไม่”

“อยากแล้วอย่างไร ก็แค่เพ้อฝันเท่านั้น”

ข้ายิ้มอย่างได้ใจ “หากข้ามีวิธีช่วยเจ้าออกไปได้เล่า”

เขาเงยหน้ามองข้า ดวงตาเขียวเรืองรองเปล่งประกายวาบ

“อืม ข้าเห็นเจ้าไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงอย่างไรเมื่อครู่ตอนที่แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาเจ้ายังใจดีเรียกข้าให้หลบไป แม้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าถูกขังที่นี่เพราะเหตุใด แต่ถูกขังมานานขนาดนั้น ไม่ว่าลงโทษอะไรล้วนเพียงพอแล้ว จะว่าไปเจ้ากับข้านับว่าคุ้นเคยกันอยู่บ้าง ข้าจึงใจบุญช่วยเจ้าสักหน่อย แต่ข้าไม่ใช่ช่วยเปล่าๆ วันนี้เจ้ารับน้ำใจจากข้า วันหน้าจะต้องตอบแทนคืนมา”

“เจ้าต้องการให้ตอบแทนอะไร”

“ช่วงนี้มีเด็กไม่รู้ความสองสามคนมาสร้างความหงุดหงิดให้ข้า ข้าเป็นแม่นางจิตใจงามผู้หนึ่งจึงลงมือกับพวกเขาไม่ลง หลังจากเจ้าออกไปก็ตีก้นพวกเขาแทนข้าที ไม่ต้องมาก แค่ลงจากเตียงไม่ได้หนึ่งเดือนเป็นพอ” ข้าคิดเล็กน้อย “จริงสิ ในนั้นมีคนหนึ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ให้เขาลงจากเตียงไม่ได้สามเดือนจึงจะดี ข้าจะอธิบายกับเจ้าให้ละเอียด…”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com