ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
บทที่สิบสอง
ชื่อในชาตินี้ของอัครราชครูซย่าเฉินคือฮูอี๋ เป็นปีศาจหมาป่า
ข้ากระโดดขึ้นๆ ลงๆ ช่วยดึงยันต์ที่แปะอยู่ทั่วร่างเขาออกจนหมด สายตาที่ฮูอี๋มองข้ายิ่งตื่นตะลึงมากขึ้น สุดท้ายถึงกับมีความเกรงกลัวแทรกอยู่ด้วยรางๆ
“เจ้าเป็นใครกันแน่” เขาออกปากถาม
ข้าสางผมตนเอง โบกมือตามอารมณ์คราหนึ่ง หักโซ่เหล็กใหญ่นับพันเส้น แล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง “ข้าไม่ใช่คนจริงๆ นั่นล่ะ”
สายโซ่หักเป็นท่อนๆ ร่วงลงสู่เบื้องล่างเจดีย์เชียนสั่ว ฮูอี๋ลอยขึ้นมากลางอากาศ เส้นผมขาวแผ่สยาย ดวงตาเขียวเรืองรองส่องประกายเยียบเย็น ในใจเขามีความปลาบปลื้มยินดีเพียงไรข้าหาได้สนใจไม่ ดีดนิ้วกล่าว “ช่วยข้าทำเรื่องนี้สำเร็จ เจ้าก็เป็นอิสระโดยสมบูรณ์แล้ว ไปเถอะ!”
ฮูอี๋กลับนิ่งเงียบครู่ใหญ่ถึงค่อยเอ่ย “เจดีย์เชียนสั่วแห่งหลิวโป เข้าได้ออกไม่ได้”
“ออกไม่ได้?” ข้ามองเขาอย่างขำขัน “ช่วงเวลาที่ข้าปะปนอยู่ในโลกมนุษย์ไม่นับว่านาน แต่ดีชั่วก็รู้หลักไม่อาจบังคับค้าบังคับขาย ให้เข้ามาได้แต่ไม่ให้ออกไป ก็เหมือนสินค้ามีปัญหาแต่กลับพาลไม่ยอมให้คืนของ นักพรตหลิวโปไม่มีเหตุผลไปหน่อยแล้ว”
“พวกเขาพาลแล้วอย่างไร โลกนี้เดิมก็เป็นโลกที่คำพูดผู้แข็งแกร่งถือเป็นสิ้นสุด”
“คำพูดนี้ตรงใจข้าพอดี” ข้าหัวเราะกล่าว “เช่นนั้นตอนนี้พวกเรามาทำลายเจดีย์นี้กันเถอะ”
เขามองข้าอย่างคาดไม่ถึง
ข้ายิ้มตาหยีกล่าวอย่างเบิกบาน “คำพูดผู้แข็งแกร่งถือเป็นสิ้นสุดไง”
หลังจากนี้อีกเนิ่นนาน ยามที่ท่านพญายมพูดถึงเรื่องในคราวนี้กับข้ายังคงมีสีหน้าปลงอนิจจังเหมือนเช่นเคย ‘เป็นนิสัยของก้อนหินจริงๆ ทะเลสาบหลิงหูเอย เจดีย์เชียนสั่วเอย เจ้าบอกว่าทำลายก็ทำลาย กวนจนทะเลสาบเนืองแน่นไปด้วยไอหยินเช่นเดียวกับแม่น้ำลืมเลือน เจ้าควรรู้ว่าท่านเทพโม่ซีต้องรับโทษแทนเจ้าลับๆ ตั้งเท่าไร และก็เพราะเหตุนี้ด่านเคราะห์ในชาติถัดไปของเขาถึงได้ยากเย็นแสนเข็ญเพียงนั้น’
แต่ข้าในยามนี้กลับไม่รู้ว่าภายหลังจะเกิดผลลัพธ์อย่างไร อาศัยแต่อารมณ์ของตนล้วนๆ แกว่งมือกวนน้ำทั้งทะเลสาบ
คืนวันนั้นเขาหลิวโปทั้งลูกสั่นสะเทือน ศิษย์หลิวโปต่างสะดุ้งตื่นจากฝัน จากนั้น…พวกเด็กๆ ในเขาหลิวโปถูกตีจนร้องไห้จ้าทั้งคืน
นั่นเป็นเสียงร้องไห้ที่ดังติดต่อกันไม่หยุด
ฮูอี๋ลงมืออยู่เบื้องหน้า ข้ากุมปากแอบหัวเราะอยู่ข้างหลัง ยามพบตัวฉางอู่ ข้าตบบ่าฮูอี๋เบาๆ “สามเดือน! สามเดือน!”
ฮูอี๋เข้าใจ เรือนกายวิบไหวก่อนจะเดินไปถึงข้างกายฉางอู่ ถอดกางเกงเขาต่อหน้าทุกคน จากนั้นฟาดฝ่ามือลงไปดัง ‘เพียะๆ’ สองทีก้นของฉางอู่ก็บวมพองขึ้นมา ต่อให้ปกติเด็กน้อยดุดันเพียงไร ยามนี้ก็ตกตะลึงทึ่มทื่อไปหมด รอจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด น้ำตาก็ไหลพรากๆ ลงมา ร้องไห้โฮเสียงดังแล้ว
ข้าชมดูอย่างชอบใจยิ่ง ในใจรู้สึกอดไม่ได้จึงเข้าไปเหยียบก้นบวมแดงของเขาสองครั้ง ค่อยปัดมือเรียกฮูอี๋ปล่อยตัวไป
ฮูอี๋ขมวดคิ้ว
ข้าเอ่ยถาม “ทำไมหรือ”
“เช่นนี้ครึ่งปีเขาก็ไม่อาจลงจากเตียงได้”
“เอ๋!” ข้าปิดปากตกใจ “ข้าเหยียบแรงมากหรือ”
เขาหันมองข้า “เจ้าว่าไงล่ะ”
ข้าเกาหัว ยิ้มแหยไม่เอ่ยคำ
ฮูอี๋มองเด็กคนสุดท้ายซึ่งขดตัวอยู่ในมุมเรือนยังไม่ถูกตี หันกายจะเข้าไปจับเขา ข้ารีบยุดตัวฮูอี๋ไว้ “เด็กคนนี้…” อย่ายุ่งเลย
ยังไม่ทันได้พูด สายฟ้าสายหนึ่งพลันแหวกอากาศผ่าลงมา ข้ากับฮูอี๋กระโดดหลบโดยไวแล้วหันมองขึ้นไปกลางอากาศ
ที่จริงอาศัยเพียงตราประทับซึ่งร้อนขึ้นมาตรงข้อมือข้าก็รับรู้แล้วว่าผู้มาเป็นใคร
โม่ซี หรือผู้อาวุโสจ้งหวาในชาตินี้
เขาเห็นพวกเด็กๆ ที่นอนคว่ำกุมก้นร้องไห้ทั้งเรือนแล้วหัวคิ้วขมวดมุ่น เคลื่อนสายตากวาดมองข้ารอบหนึ่ง สุดท้ายจึงตกลงบนร่างฮูอี๋ ทั้งสองสบสายตากัน ชั่วขณะนั้นข้ารู้สึกหนาวเยือกโดยไม่รู้สาเหตุ
ด้านหลังโม่ซีมีเงาวูบวาบของคนนับสิบคน เป็นผู้เฒ่ากับพวกอาจารย์แห่งเขาหลิวโปที่รีบเร่งมาถึง
พวกผู้ใหญ่เป็นห่วงเหล่าเด็กน้อยมาก พอได้ยินเสียงพวกเด็กๆ ร่ำไห้ แต่ละคนล้วนหน้าเขียวคล้ำ ครั้นเห็นข้ากับฮูอี๋สีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกรอบ สถานการณ์ยุ่งเหยิงขึ้นมาโดยพลัน
พวกเขาส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นมา ข้าแคะหูอย่างรำคาญใจ พูดกับฮูอี๋ว่า “อืม ข้าพูดได้ทำได้ เจ้าช่วยข้าระบายแค้นแล้ว ข้าก็จะช่วยเจ้าเรียกอิสระคืนมา ดูท่าทางของเจ้าแล้วก็รู้ว่าเจ้าไม่ชอบอยู่ที่นี่ อยากไปที่ไหนก็ไปเถอะ”
ฮูอี๋ยังไม่ทันตอบ ผู้เฒ่าหนวดขาวคนหนึ่งก็ลุกขึ้นจากอีกด้าน ชี้หน้าด่าพวกเรา “หลิวโปไหนเลยจะเป็นที่ที่บอกว่ามาก็มาไปก็ไป! ปีศาจฮูอี๋! ผู้อาวุโสของข้าคิดถึงไมตรีเก่าก่อนจึงไว้ชีวิตเจ้า แต่วันนี้เจ้ากลับทำเรื่องเหยียดหยามหลิวโปของเราพรรค์นี้ มีเจตนาใดกันแน่”
ข้าขบคิดความนัยของคำพูดนี้แล้วพอจับอะไรได้นิดหน่อย ข้อหนึ่ง ก่อนหน้านี้ฮูอี๋กับโม่ซีในชาตินี้เป็นคนรู้จักกัน ข้อสอง บางทีฮูอี๋คงถูกโม่ซีขังไว้ในเจดีย์เชียนสั่ว ข้อสาม…ด้วยนิสัยรังเกียจปีศาจถึงเพียงนี้ของโม่ซี แต่เขากลับไม่ฆ่าฮูอี๋ ต้องมีลับลมคมใน!
ข้ากอดอกคอยชมละครอยู่ด้านข้าง เสียดายก็แต่ตอนนี้ไม่มีที่ให้นั่ง ทั้งไม่มีขนมขบเคี้ยวให้ข้าได้เอาใส่ปาก จึงขาดอรรถรสไปเล็กน้อย
ฮูอี๋ยกยิ้มเย็นชาแล้วเอ่ย “ข้าหาได้ขอร้องให้ผู้อาวุโสของพวกเจ้าปล่อยข้า จับข้าคุมขังตลอดชาติ ไม่สู้ให้ข้าลงไปเกิดใหม่ในปรโลก อย่างน้อยก็ไม่ต้องตกนรกทั้งเป็น”
ข้าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“เจ้าปีศาจไม่รู้คุณ!” เขาพูดพลางชักกระบี่ออกจากฝัก พลิ้วกายเข้ามาด้วยท่วงท่าต้องการสังหารฮูอี๋
ข้าดึงฮูอี๋มาข้างหลังแล้วพลิกฝ่ามือรับกระบวนท่าของผู้เฒ่าคนนั้น จากนั้นหิ้วคอเสื้อฮูอี๋โยนขึ้นไปกลางอากาศโดยไม่รอให้เขาเอ่ยปากอันใด “ไป!”
ไอหยินกระทบแผ่นหลังของเขา พริบตาเดียวก็ผลักเขาออกไปถึงสถานที่ที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด…
คนที่ดูมากฝีมือสองสามคนทำท่าจะตามไป ข้ารวบปราณแล้วตะโกนเสียงต่ำ คลื่นไอหยินรุนแรงแผ่ซ่านออกมากดทับคนพวกนั้นจนต้องกุมหัวครวญคราง ข้ากล่าว “หากพวกเจ้าคิดจะจับเขาก็รอวันหน้าเถอะ ในเมื่อวันนี้ข้าตกลงค้าขายกับเขาแล้วก็ควรค้าขายอย่างซื่อตรง ต้องคุ้มครองให้เขาออกไปได้อย่างปลอดภัยจึงจะถูก”
“นางปีศาจเลิกพูดจาอวดดีได้แล้ว!”
ข้าจ้องผู้เฒ่าปากมากคนนี้แล้วยิ้มอย่างได้ใจ “อวดดีหรือไม่ เจ้าลองดูก็แล้วกัน” สีหน้าของข้าทำเอาผู้เฒ่าที่เข้มงวดเอาจริงเอาจังโกรธจนเต้นเร่า กุมกระบี่จะเข้ามาฟันข้า
ฉับพลันนั้นเสียงร้องตื่นตระหนกดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ “อาจารย์! อาจารย์!” ศิษย์หลิวโปคนหนึ่งขี่ลมเร่งรีบเข้ามา แต่ตอนลงพื้นแข้งขาอ่อนไปชั่วขณะ พอยืนไม่มั่นจึงล้มดังโครม กลิ้งหกคะเมนตีลังกาหลายรอบจนมาถึงเบื้องหน้าผู้เฒ่าคนนี้
“ผู้วิเศษ! อาจารย์! จะ…เจดีย์เชียนสั่ว…เจดีย์เชียนสั่วพังแล้วขอรับ!”
ทุกคนต่างอึ้งตะลึง
ข้าเลิกคิ้วสงบนิ่ง สายตาเพียงกวาดมองเหล่านักพรตที่สีหน้าแปรเปลี่ยนจนแทบจะแปลกประหลาดกลุ่มนี้รอบหนึ่ง แต่เห็นพวกเขาย้ายสายตาหวาดผวามองมาทางข้าในที่สุด ข้ากะพริบตาปริบๆ ยักไหล่กล่าว “อ้อ ข้าไม่คิดว่าเจดีย์อะไรนั่นจะพังง่ายถึงเพียงนี้ ขยับเบาๆ ไม่กี่ครั้ง…” พวกเขายิ่งส่งสายตาแปลกประหลาดมองมาจนข้าประหม่า สุดท้ายได้แต่เกาหัวยิ้มแหย “แหะๆ มันก็กลายเป็นฝุ่นกองหนึ่งกระจายไปทั่วทะเลสาบแล้ว ฮะฮ่าๆๆๆ…”
พวกเขาแต่ละคนเดือดดาลยิ่งกว่าอีกคน แต่กลับไม่เห็นข้าขยับ ไม่แม้แต่จะหนี เหล่าผู้เฒ่าหลิวโปพวกนี้ก็ยุ่งยากใจขึ้นมา พวกเขาไม่รู้ว่าควรจัดการกับข้าอย่างไร ขังก็ขังไม่อยู่ ตีก็ตีไม่ได้ ได้แต่กระทืบเท้าอย่างกลัดกลุ้ม
อันที่จริงข้าไม่คิดจะไปจากเขาหลิวโป แม้ว่าจะปล่อยปีศาจร้ายไปแล้ว ทำลายเจดีย์เชียนสั่วไปแล้ว กระทั่งตีนักพรตน้อยของพวกเขาทั้งกลุ่มจนร้องไห้ไปแล้วข้าก็ไม่คิดหนี
ข้าคิดว่าแม้โม่ซีในชาตินี้จะไม่ถูกกับความชมชอบของข้าถึงขนาดนี้ แต่ข้าก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น อย่างน้อยก็ต้องให้ข้าคุ้มครองความบริสุทธิ์ของเขา คุ้มครองสำเร็จ ไม่แน่ว่าชาตินี้อาจจะให้ข้าได้ทำลายความบริสุทธิ์ของเขา กลายเป็นเรื่องรักอันแสนเจ็บปวดของหญิงสาวชาญฉลาดลุ่มหลงในรักฝืนบีบบังคับชายหนุ่มเก็บอารมณ์
ทางข้ากำลังแต่งเติมเรื่องราวในหัวอย่างมีชีวิตชีวา ด้านโม่ซีของข้าหลังจากไตร่ตรองถ้วนถี่ดีแล้ว ในที่สุดก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งอย่างห้าวหาญยิ่ง “ขังไว้ด้านหลังเรือนนอนของข้า ข้าจะจับตาดูนางเอง”
ขณะที่คนอื่นๆ ยังลังเล ข้าก็พยักหน้าลงร้องว่าดี ทำเอาคิ้วกระบี่ของโม่ซีขมวดเข้าหากัน สายตาแฝงความสงสัย พิจารณาดูข้าทั้งบนล่างรอบหนึ่ง
พอคิดถึงว่านับจากนี้จะได้อยู่ร่วมเรือนเดียวกับเขา ข้าจึงใจกว้างไม่เอาเรื่องพฤติกรรมในยามนี้ของเขา
หลิวโปเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกบำเพ็ญเพียรในปัจจุบันนี้ และผู้อาวุโสจ้งหวาก็เป็นประมุขของหลิวโป เป็นธรรมดาที่เรือนนอนของเขาย่อมไม่ย่ำแย่
แต่ตอนที่ข้าถูกพาตัวไปเรือนนอนของเขา มองสวนเล็กด้านหลังเรือนเขาแล้วสองตาพลันแดงก่ำ ซาบซึ้งจนแทบหลั่งน้ำตา
ด้านหลังเรือนนอนโอ่อ่าเป็นสวนดอกเหมยงดงามเงียบสงบที่ดูไม่เข้ากับหลิวโปอยู่บ้าง โลกมนุษย์ในตอนนี้เป็นต้นฤดูร้อนพอดี เป็นช่วงฤดูที่สรรพสิ่งเจริญงอกงาม แต่ในสวนดอกเหมยของโม่ซีกลับยังคงปกคลุมไปด้วยหิมะขาว ดอกเหมยแดงบานอย่างสดสวย กลิ่นหอมอวลไปสิบลี้ เพียงมองก็รู้ว่าถูกร่ายเวทไว้
“นี่…ดอกไม้นี้…” เสียงข้าสั่นน้อยๆ
เรือนนอนของจ้งหวาไม่อนุญาตให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามา ดังนั้นยามนี้จึงเหลือเพียงข้ากับเขาสองคน เขาเห็นดอกเหมยเต็มสวน สีหน้าก็อ่อนโยนลงกว่าก่อนหน้านี้มาก ตอบข้าอย่างอารมณ์ค่อนข้างดี “ของจำนวนไม่มากที่รักชอบก็เท่านั้น”
ข้ากะพริบตาขับไล่หยดน้ำในดวงตา
โม่ซีหนอโม่ซี แม้ว่าท่านจะดื่มน้ำแกงยายเมิ่งลงไปแล้วก็ยังไม่ลืมเหมยแดงหิมะขาว ทั้งยังจำสวนดอกเหมยที่เงียบสงบงดงามได้หรือ…
ในใจท่าน…จดจำข้าได้
สวนดอกเหมยนี้ถูกจ้งหวาร่ายวิชาผนึกไว้ ผนึกเวลาในดินแดนนี้ รักษาดอกเหมยให้หยุดอยู่ในช่วงที่งดงามที่สุดในฤดูหนาวตลอดกาล ทั้งทำให้คนที่ก้าวเข้ามาไม่อาจออกไปได้อีก นี่คือกรงขังแห่งหนึ่ง เพียงเหยียบย่างเข้ามาก็เป็นสิ่งของในกรงของเขาแล้ว
แต่ซานเซิงยินยอมพร้อมใจถูกโม่ซีกุมขัง
เห็นข้าก้าวเข้าไปในข่ายอาคมของเขา จ้งหวาก็หมุนกายจากไปอย่างเรียบเฉยไม่พูดอะไรอีก ข้ามองเงาหลังของเขา ยื่นมือสัมผัสหิมะบนเหมยแดงเบาๆ หิมะเย็นเยียบกลับอบอุ่นห้องหัวใจข้า ทำให้ข้าไม่อาจไม่มั่นใจอีกครั้งว่านี่เป็นเคราะห์รักจริงๆ
หินสามชาติ เคราะห์รักของก้อนหิน…
ถูกขังมาหลายวันแล้ว ชีวิตข้าผ่านไปอย่างไร้รสชาติยิ่ง ต่อให้ทิวทัศน์งดงามเพียงไร มองดูสองสามวันก็พอให้ข้าเอียนแล้ว
ข้าใคร่ครวญดูว่าจะขอให้จ้งหวาส่งนิทานมาให้ข้าฆ่าเวลาสักหน่อย แต่วนเวียนอยู่ริมข่ายอาคมหลายวันติดต่อกันแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของโม่ซี ข้าผิดหวังเหลือหลาย ผิดหวังอย่างยิ่ง
ทุกวันจึงนอนคว่ำอยู่ริมข่ายอาคม วาดวงกลมเอ่ยเรียกชื่อของโม่ซีอย่างกึ่งเป็นกึ่งตาย แต่แน่นอนว่าชื่อของเขาที่ข้าเรียกในยามนี้ย่อมต้องเป็นจ้งหวา
แต่แม้ข้าจะเอ่ยเรียกอย่างทรหดอดทน เขาก็ยังคงไม่ปรากฏในขอบเขตสายตาข้า
กลับเป็นหลังจากที่ข้าล้มเลิกเรียกชื่อเขา ไม่กี่วันต่อมาเขาก็ปรากฏกาย
ในตอนนั้นข้ากำลังละลายหิมะต้มชาเลียนแบบคนโบราณ แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีใบชาอะไร ดังนั้นข้าจึงโค่นต้นเหมยมาต้นหนึ่ง ใช้กิ่งเป็นฟืน เอาดอกไปต้ม ดูว่าดอกเหมยมากมายเพียงนี้สามารถต้มโจ๊กออกมาได้สักหม้อหนึ่งหรือไม่
ขณะกำลังคิดว่าต้องตัดมาอีกต้นหรือไม่ จ้งหวาที่หน้าเขียวคล้ำก็ปรากฏตัวออกมา
ข้ายิ้มเจิดจ้ากวักมือเรียกเขา
เขาย่ำตะบึงเข้ามาถึงข้างกายข้า กวาดตามองต้นเหมยที่ถูกข้าถอนรากออกมาด้วยแล้วเอ่ย “ต้มดอกเหมย?”
ข้ากะพริบตา ยิ้มแย้มดีใจ “ผู้อาวุโสรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสง่างามหรือไม่”
เขาส่งเสียงหยัน “ในสายตาเจ้าเผาพิณต้มกระเรียน* เป็นเรื่องสง่างามหรือ”
ข้ากล่าวอย่างปกติ “นี่ต้องดูว่าพิณใช้ไม้อะไร ไม้ชั้นดีย่างออกมาแล้วเนื้อย่อมหอม ส่วนกระเรียนก็แก่ไปไม่ได้ แก่เกินไปฆ่าแล้วเนื้อคงไม่น่ากินเท่าไร”
มุมปากเขากระตุก บนดวงหน้าเมินเฉยคล้ายว่าพังลงมามุมหนึ่ง เขาระงับอารมณ์ น้ำเสียงยิ่งเย็นชากว่าก่อนหน้าสามส่วน “ไม่อนุญาตให้แตะต้องต้นเหมยของข้าอีก”
ข้าส่ายหน้ากล่าวเต็มปากเต็มคำ “ไม่ได้” เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวใกล้ระเบิดของเขาแล้วข้าจึงเอ่ยปากอธิบาย “หากไม่ใช่ข้าว่าง ว่างจนเบื่อหน่ายสุดๆ จริงๆ ข้าไหนเลยจะโค่นต้นเหมยของท่าน ดังนั้นคนร้ายตัวจริงที่สังหารดอกเหมยของท่านคือความเบื่อหน่ายของข้า ถ้าข้าไม่เบื่อแล้วย่อมไม่สนใจดอกเหมยของท่าน อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าร้องเรียกอยู่ริมข่ายอาคมหลายวันถึงเพียงนั้น ท่านล้วนไม่เคยสนใจข้า ผู้ที่บีบให้ข้ากระทำการในวันนี้ก็คือท่าน หากท่านไม่อยากให้ข้าแตะต้องเหมยของท่าน…”
“เจ้าจะเอาอย่างไร”
“ท่านต้องให้นิทานชาวบ้านกับข้า เล่มใหม่ล่าสุด ยังมีเม็ดแตงกับน้ำชา”
“แต่ไหนแต่ไรหลิวโปไม่ปรนนิบัติใคร” เขาทิ้งคำพูดไว้แล้วหมุนตัวจากไป
ข้ากล่าวเสียงเย็นเล็กน้อย “เหมยพวกนี้โตช้า สามารถเลี้ยงจนมีขนาดนี้ได้คงใช้เวลาไม่น้อยกระมัง ได้มาไม่ง่ายเลยนะ ข้าจะพยายามประหยัดให้ท่านหน่อย หนึ่งวันตัดหนึ่งต้น รับรองว่าใช้ประโยชน์ครบทุกส่วน ไม่สิ้นเปลืองแน่นอน”
เงาร่างที่จากไปชะงักเล็กน้อย
วันรุ่งขึ้นพอข้าตื่นขึ้นมา บนพื้นก็มีนิทานชาวบ้านโยนกองไว้ไม่น้อย
ข้าพลิกเรื่องพวกนี้ดูพลางปิดปากหัวเราะ
โม่ซีหนอโม่ซี ชาตินี้ท่านเป็นคนปากไม่ตรงกับใจจริงๆ!
ชีวิตของข้าผ่านไปด้วยดีขึ้นมากเมื่อมีนิทานชาวบ้านอยู่เป็นเพื่อน ดูเหมือนวันคืนในปรโลกเองก็ไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้เหมือนกัน ไม่สู้ข้าอยู่เฝ้าโม่ซีที่นี่ไปพลาง มีเหมยแดงหิมะขาวเป็นเพื่อนไปด้วยอย่างสุขเสรี
แต่วันคืนแห่งอิสรเสรีนี้มักยากจะเลี่ยงสิ่งของแปลกปลอมที่ผสมปนเข้ามาด้วย
วันนั้นสภาพอากาศไม่ดีเท่าไร ข้าไถลลื่นอยู่ในสวนน้อยรอบหนึ่ง ส่งเสียงก่อกวนจ้งหวาสองสามครั้งและไม่มีใครสนใจเหมือนเช่นปกติ ขณะกำลังคิดจะกลับห้องไปนอน บนฟ้าทางทิศตะวันตกนอกข่ายอาคมพลันมีคนผู้หนึ่งเหินลงมา ข้ามองอย่างละเอียด นี่มิใช่นักพรตหญิงคนงามที่พบเมื่อหลายวันก่อนหรอกหรือ นางกลับมาจากการกำจัดปีศาจแล้ว?
ข้ายังเดาไม่จบก็เห็นท่าทางนักพรตหญิงผู้นั้นเปลี่ยนไป พุ่งเข้ามาจะชนป่าเหมยทางฝั่งข้า
วิชาผนึกนี้ของโม่ซีไม่มีความสามารถแยกแยะผีวิญญาณมารปีศาจ มีเพียงได้รับอนุญาตจากเจ้านายเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้ นอกเสียจากมีพลังแก่กล้าจนสามารถพังข่ายอาคมนี้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็ต้องถูกกันไว้นอกเขตแดน ด้วยความเร็วที่นักพรตหญิงร่วงลงมาไม่ต่างอะไรกับการโหม่งหัวลงหินปูพื้น ต้องกลายเป็นเนื้อบดคาที่แน่ๆ ข้ารีบตีข่ายอาคมร้องตะโกน “นี่! นักพรตหญิงหลิวโปของท่านจะร่วงลงมาตายแล้ว! นี่! โม่ซี!”
สองคำสุดท้ายของข้าเพิ่งพูดออกไป พลันเห็นแสงสีขาวพุ่งออกมาจากในเรือนหลักตรงขึ้นไปยังขอบฟ้ารับนักพรตหญิงคนนั้นไว้ จากนั้นทิ้งตัวลงด้วยท่วงท่าสง่างาม ดูแล้วน่าจะร่วงลงในข่ายอาคม กะประมาณดูคงใกล้กับกระท่อมของข้า
ข้าวิ่งเหยาะๆ เข้าไป ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงกระอักเลือดของนักพรตหญิง ข้าเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นเพียงนักพรตหญิงขยุ้มแขนเสื้อจ้งหวาแน่น ส่วนจ้งหวาช่วยจับชีพจรให้นางพลางเอ่ยถามเสียงเย็น “ชิงหลิง ใครทำร้ายเจ้า”
นักพรตหญิงชิงหลิงเพียงพูดออกมาว่า “เขาหลิงอวี้*” สามคำอย่างยากลำบาก จากนั้นเลือดคำหนึ่งก็ทะลักอุดปากนาง นางหายใจไม่ได้ สำลักเลือดของตนเองสลบไป
จ้งหวารีบจับข้อมือของนาง ถ่ายเทลมปราณเข้าไปในร่างนักพรตหญิงอย่างต่อเนื่อง ทว่ายิ่งส่งสีหน้าของเขาก็ยิ่งซีดชาว เลือดที่นักพรตหญิงอาเจียนออกมาก็ยิ่งมากขึ้นเช่นกัน
ข้าเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “หากท่านไม่ปล่อยมือคงได้ทำร้ายนางจนตายจริงๆ แล้ว”
จ้งหวาเองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน ข้าเพิ่งพูดออกไปเขาก็เก็บลมปราณกลับคืนมาแล้ว
เขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ไม่นาน คำนวณดูแล้วคงทนรับการเคี่ยวกรำได้ไม่เท่าไร ถ่ายลมปราณแค่ครู่เดียวก็ทำให้หน้าผากเขาหลั่งเหงื่อเย็นแล้ว ข้าฉีกเสื้อผ้าส่วนที่ยังสะอาดของนักพรตหญิงชิงหลิงยื่นส่งให้เขาอย่างใส่ใจ “เช็ดเหงื่อหน่อย”
จ้งหวาจัดการลมปราณในร่างดีแล้วค่อยลืมตามองข้า อุ้มนักพรตหญิงจะเดินออกไปโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ข้าเองก็ไม่ไล่ตาม เพียงนั่งลงบนพื้นหิมะเอ่ยปาก “อาการของนาง นักพรตอย่างพวกท่านรักษาไม่ได้หรอก”
จ้งหวาชะงักเท้าหันมามองข้า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ดูจากที่ท่านรักษาให้นางเมื่อครู่ก็รู้แล้ว” ข้ากวักมือน้อยๆ “ท่านวางนางลง ข้าสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของนาง อืม หรือควรบอกว่าข้าสามารถแก้พิษกับเวทคำสาปบนร่างนางได้”
จ้งหวาขมวดคิ้ว ยังคงไม่อาจลดวางการป้องกันในใจที่มีต่อข้าผู้ ‘มีใจที่แตกต่าง’ ลงได้ แม้ข้าจะไม่ชอบใจท่าทางเช่นนี้ของเขา แต่เพราะเป็นโม่ซี ข้าจึงเก็บกลั้นความไม่พอใจทั้งหมดนี้ลงไป
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบนักพรตหญิงคนนี้ครั้งหนึ่ง ผิวขาวพักตร์งาม สีหน้าเปล่งปลั่ง รูปโฉมยอดเยี่ยม สามจุดนี้แม้นางเทียบข้าไม่ได้ แต่ในโลกมนุษย์นี้ก็นับว่างดงามโดดเด่นแล้ว ทว่ายามนี้หว่างคิ้วคล้ำดำ สองแก้มตอบ สีผิวเหลืองคล้ำ แค่มองก็เห็นถึงอาการถูกพิษภายใน อีกอย่างตอนท่านช่วยนางปรับลมปราณ ตนเองก็ได้รับผลกระทบด้วย เห็นได้ว่าอาการบาดเจ็บนี้ของนางสามารถส่งผ่านไปยังร่างผู้อื่นได้ และของอย่างพลังเวทพวกนี้พอทำร้ายใครสักคนแล้ว จะไม่ส่งต่อจากร่างคนผู้หนึ่งไปทำร้ายอีกคน ดังนั้นความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือพิษ สุดท้าย ข้าเห็นนางลมหายใจสับสน พ่นไอขาวหนาวเย็น เลือดที่อาเจียนออกมามีสีดำปะปน จากความเห็นข้านี่คือหมอกพิษไอหยิน”
ความระแวดระวังในดวงตาจ้งหวาเลือนหายไปเล็กน้อย ดูท่าคงเชื่อคำพูดข้าสองสามส่วนแล้ว
ข้าตบพื้นหิมะเบื้องหน้าเบาๆ ให้จ้งหวาวางนักพรตหญิงลง “ท่านว่าพิษที่มาจากแดนปรโลกเช่นนี้ นักพรตหลิวโปอย่างพวกท่านสามารถแก้ได้หรือ”
ความจริงหมอกพิษไอหยินนี้ล้วนมีอยู่ทั่วในปรโลก บ้างล่องลอยอยู่กลางอากาศ บ้างไหลร่วงลงสู่แม่น้ำลืมเลือน เพียงแต่ผู้ที่มาปรโลกหากไม่ใช่ผีวิญญาณก็เป็นเทพเซียน หมอกพิษพวกนี้ไม่มีผลกระทบอันใดต่อพวกเขา ส่วนเหล่าจิตวิญญาณยมบาล ยิ่งคุ้นเคยจนสามารถบำเพ็ญตบะยกระดับความสามารถของตนท่ามกลางไอหยินไอหมอกพิษนี้ได้ สำหรับข้านี่เป็นไอปราณที่คุ้นจนไม่อาจคุ้นมากไปกว่านี้แล้ว
ดังนั้นพอนักพรตหญิงผู้นี้ร่วงลงมาข้าก็มองร่องรอยภายในออกแล้ว ที่พูดจาใหญ่โตถึงเพียงนี้ให้จ้งหวาฟัง ก็แค่อยากอวดความรอบรู้กว้างขวางของตน ทำให้เขาทึ่งตะลึง จากนั้นก็มอบไมตรีจิตให้เท่านั้น
“นอกจากนี้ท่านดูหน้าผากนาง ในจุดแดงที่คล้ายถูกยุงกัดนั่นดูเหมือนมีร่องรอยคำสาปอยู่ หากข้าไม่ได้มองผิด นี่คงเป็นเวทคำสาปที่ทำให้ความจำเลอะเลือน ปีศาจตนนี้ดูท่าจะไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องที่นักพรตหญิงพบเจอมากระมัง”
จ้งหวามองหน้าผากของชิงหลิงอย่างละเอียด “เจ้ารู้จักเวทคำสาป?”
“ในกองนิทานที่ท่านหอบมาให้ข้าไม่กี่วันก่อนมีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเวทคำสาปอยู่เล่มหนึ่งพอดี ข้าว่างไม่มีอะไรทำจึงพลิกอ่านไป ช่วยไม่ได้ที่ความสามารถในการทำความเข้าใจยอดเยี่ยม จึงเรียนไปได้กว่าครึ่งแล้ว”
ประโยคในครึ่งหลังนี้แน่นอนว่าต้องเป็นคำโอ้อวดตน ก่อนหน้านี้ข้าเคยเรียนพื้นฐานเวทคำสาปมานิดหน่อยในปรโลก เพียงแต่ไม่ค่อยได้ใช้ ที่ลืมก็ลืมไปไม่น้อยแล้ว สองสามวันก่อนเปิดอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเวทคำสาปในกองหนังสือซึ่งจ้งหวาเอามาให้ทั้งเล่มแล้ว พอนับได้แค่ว่าเป็นการทบทวนความรู้เก่ารอบหนึ่งเท่านั้น หากจะพูดว่า ‘เรียนไปได้กว่าครึ่ง’ จริงๆ เกรงว่ายังขาดอีกสักหน่อย…
แต่ยังดีที่คำสาปซึ่งติดตัวนักพรตหญิงอยู่ตอนนี้เป็นเพียงเวทคำสาประดับค่อนข้างต่ำ ด้วยความสามารถของข้าน่าจะพอแก้ได้อยู่…กระมัง?
จ้งหวาขมวดคิ้วถามข้า “เจ้ารู้ว่าจะช่วยนางแก้คำสาปขับพิษอย่างไร?”
“ย่อมต้องรู้แน่นอน” ข้าแปลกใจ “ท่านเป็นถึงผู้วิเศษแห่งหลิวโป กลับไม่เคยเรียนเวทคำสาปหรือ”
เขานิ่วหน้า “ข้าศึกษาแต่วิถีบำเพ็ญเซียนกับวิชากระบี่”
ความนัยในคำพูดกลับเป็นไม่ใคร่เห็นเวทคำสาปอยู่ในสายตา ข้าเบะปากไม่เห็นด้วย แต่ไม่ต่อปากกับเขาอีก
ทุกอย่างพลันเงียบลงในชั่วขณะ
นักพรตหญิงชิงหลิงแขนขาทั้งสี่กระตุกไม่หยุดและอาเจียนเลือดดำอยู่กึ่งกลางระหว่างเราสองคน
จ้งหวาคล้ายรอให้ข้ายินยอมรักษานักพรตหญิงชิงหลิงด้วยตัวเอง แต่เหตุใดข้าต้องยอมไปช่วยนางด้วยเล่า ข้าอยากให้โม่ซีในชาตินี้ละวางท่าทีลงขอร้องข้า
ในที่สุดภายใต้กลิ่นคาวเลือดที่ทิ่มแทงจมูก จ้งหวาย่นคิ้วเป็นฝ่ายเอ่ยปากเจรจาเงื่อนไขกับข้า “เจ้าต้องการอะไรถึงจะยอมรักษานาง”
ประโยคนี้ถามได้ดีจริงๆ
“ข้าต้องการให้ท่านเป็นคนของข้าไง”
หัวคิ้วจ้งหวาขมวดแน่น ตะคอกเสียงดุดัน “เหลวไหล!”
อืม ข้อเรียกร้องนี้มากเกินไปหน่อยดังคาด ข้านิ่งคิดชั่วครู่แล้วทนเจ็บยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง “เช่นนั้นท่านก็จูบข้าแล้วกัน”
มุมปากจ้งหวากระตุก ข้าเห็นสีหน้าเขาครึ้มดำขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางเหมือนจะทำลายการเจรจาสงบศึกจึงรีบถอยให้อีกก้าว “เอาล่ะๆ เช่นนั้นเรื่องนี้พักไว้ก่อน ท่านจำไว้ว่าท่านติดค้างข้าเรื่องหนึ่งเป็นใช้ได้ ข้าช่วยนางถอนพิษก่อน อาเจียนเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าคงได้อาเจียนเอาอวัยวะห้ากลั่นหกกรอง* ออกมาด้วย”
ข้าวางฝ่ามือลงบนหน้าผากนักพรตหญิง หมอกพิษไอหยินบนร่างนางพวกนั้นยังไม่พอให้ข้านำมาเล่น ขยับมือเพียงครั้งเดียวก็ดูดไอพิษในร่างนางทั้งหมดออกมาให้สลายไปเองได้แล้ว “เรียบร้อย”
จ้งหวามองข้าอย่างติดจะประหลาดใจ “เท่านี้ก็เสร็จแล้ว?”
ข้าพยักหน้า “ใช่แล้ว แก้พิษแล้ว แต่คำสาปนี้ ตอนนี้ยังแก้ไม่ได้
“เพราะเหตุใด”
ข้าเอ่ยอธิบาย “การแก้คำสาปจำเป็นต้องใช้ของสิ่งหนึ่งบนร่างผู้ร่ายเวทมาเป็นกระสายยาจึงจะดำเนินการได้ พวกเราต้องไปหาผู้ร่ายเวทที่เขาหลิงอวี้อะไรนั่นที่นางเพิ่งพูดออกมาด้วยกันถึงจะได้”
จ้งหวามุ่นหัวคิ้ว “ด้วยกัน?” น้ำเสียงนี้ไม่แยแสเหมือนกับเมื่อครั้งในปรโลกที่เขาสั่งให้ข้า ‘ไม่อาจออกจากปรโลกได้ภายในห้าสิบปี’ ไม่ผิดเพี้ยน “ข้าไปก็พอแล้ว” กล่าวจบเขาก็อุ้มนักพรตหญิงชิงหลิงขึ้นมา ยกเท้าเตรียมก้าวออกไปนอกข่ายอาคม
ข้ารีบเร่งตามไป “เหตุใดไม่ให้ข้าไป!”
เขาไม่ตอบคำถามข้า เพียงกล่าวเสียงเย็น “วิชาผนึกจะไม่อ่อนลงเพราะข้าไม่อยู่ ศิษย์หลิวโปเองก็หาได้ไร้ความสามารถ หากเจ้าคิดฉวยโอกาสหนี…”
“ข้าไม่หนี ข้าจะไปปราบปีศาจด้วยกันกับท่าน” ข้าเอ่ยขัดคำพูดเขาตรงๆ พยายามผลักดันตนเองสุดใจ “ท่านดูสิ นักพรตหญิงคนนี้ทั้งถูกพิษทั้งต้องคำสาป เห็นได้ว่าคนที่ทำร้ายนางฝีมือร้ายกาจ ท่านพาข้าไป ข้าสามารถถอนพิษทั้งยังแก้คำสาปได้ เป็นผู้ช่วยปราบปีศาจชั้นดีโดยแท้ พาข้าไป ท่านลงแรงเพียงครึ่งก็ได้ผลตอบแทนเป็นเท่าตัวแล้ว”
“ปราบปีศาจเป็นหน้าที่ของหลิวโปของข้าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องยืมมือปีศาจตนอื่น” เขาไม่หยุดฝีเท้า ข้าร้อนรนจนดึงเข็มขัดของเขาไว้
พูดตามจริงข้าเป็นกังวลว่าความสามารถของโม่ซีในตอนนี้ไม่อาจสู้ปีศาจตนนั้นได้ ใช้คำสาปได้ไม่แปลก ที่แปลกคือสามารถปล่อยหมอกพิษไอหยินในโลกมนุษย์ได้ เพียงคิดก็รู้ว่านั่นไม่ใช่พวกที่คบหาด้วยดีได้ แม้ข้าไม่กลัวว่าโม่ซีจะตาย แต่ข้ากลับกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บ กลัวเขาเจ็บปวด กลัวว่าเขาจะถูกรังแก
แต่เมื่อข้าดึงเขาไว้ ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร จ้งหวาพลันชะงักเท้าหันกลับมาด้วยดวงตาเยียบเย็น ลมปราณสายหนึ่งตีถูกมือข้าอย่างรุนแรง “บังอาจ!”
ลมปราณครั้งนี้ของเขาตีมาแรงมาก พาให้หลังมือข้าแดงเป็นปื้นใหญ่เจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่ประกายเย็นเยียบที่ราวกับกระบี่ในดวงตาเขากลับทิ่มแทงหัวใจข้าให้เจ็บยิ่งกว่า ชั่วขณะนั้นคำพูดที่ข้าคิดเอาไว้ในใจล้วนแล้วแต่หายไปในลำคอ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรวางมือของตนไว้ที่ไหน ตระหนกจนไม่รู้แม้แต่ว่าต่อไปต้องแสดงอาการอย่างไร
โม่ซีในชาตินี้ เขารังเกียจข้าถึงเพียงนี้เชียว
เขา…
ไม่มีความสงสารเห็นใจให้ข้าแม้แต่เสี้ยวเดียว