ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด – หน้า 13 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด

บทที่สิบสาม

 ข้ามองดูเขา แต่กลับไม่สะอื้นไห้เหมือนเมื่อครั้งมองโม่ซีที่กำลังโกรธในปรโลก เพราะข้ารู้ว่าโม่ซีในตอนนี้จะไม่รวดร้าวเพราะข้าเจ็บปวด จะไม่ทุกข์ตรมเพราะข้าโศกเศร้า เขาคือผู้อาวุโสจ้งหวา เขาชิงชังความชั่วช้าเหมือนดั่งอริศัตรู ปีศาจก็คือความชั่วช้า ข้าก็คือปีศาจ

เขารังเกียจข้า

เห็นข้าถูกเขาตีจนทึ่มทื่อเช่นนี้ จ้งหวาก็ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เขากลับไม่เอ่ยขอโทษสักประโยคก็หมุนตัวจากไป

คิดไปแล้วก็ถูก ตีปีศาจตนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วมีอะไรให้ต้องขอโทษเล่า

แต่แม้ว่าเขาจะตีข้าจนเจ็บ ข้าก็ยังทนปล่อยให้เขาถูกผู้อื่นตีไม่ได้

ดังนั้นข้าจึงคว้าหินใกล้มือมาก้อนหนึ่ง เล็งขว้างไปที่หลังหัวเขาอย่างแรง ตัดสินใจว่าตีเขาให้เจ็บก่อนค่อยว่ากัน

จ้งหวาเอียงหัวหลบราวกับคาดเดาได้ล่วงหน้า หลบหลีกก้อนหินที่ข้าขว้างไปอย่างง่ายดาย เขาผินหน้ามองข้า ทว่าไม่คาดว่าหินที่ข้าขว้างไปเมื่อครู่จะกระแทกเข้ากับต้นเหมยด้านหลังเขา และเพราะใส่แรงไปมากจึงกระเด็นถูกต้นเหมยข้างกายเขาด้วย ลำต้นสั่นไหว หิมะที่ทับถมอยู่บนกิ่งเหมยทั้งสองต้นร่วงกราวใส่ร่างจ้งหวา พาให้นักพรตหญิงชิงหลิงที่เขาอุ้มอยู่ถูกทับด้วยหิมะทั้งร่าง หิมะทำให้ร่างของนักพรตหญิงเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอย่างฉับพลัน จ้งหวาประมาทไปชั่วขณะจึงถูกชิงหลิงดึงร่วงลงไปในหิมะ

ใบหน้าหลังผ่านการเจิมหิมะของเขาดูไม่ได้อยู่บ้าง เขาเหลือบมองข้าอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง โค้งเอวจะพยุงชิงหลิงขึ้นมา

ข้าบุ้ยปากกล่าว “แม้ว่าท่านลงมือกับข้าทำให้ข้าเสียใจและโกรธเคืองมาก แต่ข้ายังต้องการไปกำจัดปีศาจด้วยกันกับท่าน เพียงแต่ครั้งนี้ข้าจะเปลี่ยนวิธีพูด” ข้ากระแอมให้คอโล่ง

“วิชาผนึกนี้ของท่านจะเปลี่ยนเป็นอ่อนแอลงเพราะท่านไม่อยู่หรือไม่ ศิษย์หลิวโปจะมีความสามารถจับตาดูข้าหรือไม่ เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ก็เหมือนเจดีย์เชียนสั่วที่ก้นทะเลสาบนั่นแหละ ในสายตาพวกท่านมันร้ายกาจเพียงใดล้วนไม่เกี่ยวข้องกัน ที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกัน คือข้าอยากออกไปหรือไม่เท่านั้น”

คำพูดนี้ของข้าครึ่งหนึ่งคือยั่วยุอีกครึ่งคือเหยียดหยาม ในใจจ้งหวาราวกับโมโหเดือดดาล ไม่พยุงนักพรตหญิงชิงหลิงแล้ว เพียงยืดตัวตรงหน้าเคร่งมองข้า

“ตอนนี้ท่านสามารถ ‘สู้กับข้ายกหนึ่งก่อนไปกำจัดปีศาจ’ หรือ ‘ไปกำจัดปีศาจด้วยกันกับข้า’ ในสองข้อนี้ท่านเลือกเอาเถอะ”

น้ำเสียงจ้งหวาเย็นเยียบ “ข้าไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า”

“ข้าย่อมไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับท่าน” ข้ากล่าว “ข้าเพียงแค่อยากไปดูว่าปีศาจตนนั้นมีหน้าตาอย่างไร และถือโอกาสช่วยท่านไปด้วย” ข้าสลับลำดับสองข้อในใจแล้วพูดให้เขาฟัง จากนั้นเอ่ยรับรอง “หากท่านเกรงว่าข้าจะหนีไปกลางทาง ท่านสามารถใช้คำสาปกับข้าได้ เช่นคำสาปที่ไม่ว่าเวลาใดล้วนสัมผัสได้ว่าข้าอยู่ที่ไหน หรือคำสาปที่เพียงเอ่ยเรียกข้าก็ต้องปรากฏตัวข้างกายท่านทันที”

ข้าเดินเข้าไปใกล้แล้วเลิกแขนเสื้อขึ้น พลิกข้อมือเผยจุดตายแก่เขา “ขอเพียงมีคำสาปที่สามารถทำให้ท่านวางใจได้ ท่านก็ร่ายมาเถอะ”

จ้งหวานิ่งเงียบไม่ขยับเขยื้อน

ข้าพลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งพูดว่าใช้เวทคำสาปไม่เป็น กำลังคิดจะบอกให้เขาส่งมือมาให้ข้าลงมือเอง กลับเห็นสายตาเขาหลุบต่ำนิ่งมองบริเวณจุดตายบนข้อมือข้า ดูชะงักงันอยู่บ้างในชั่วขณะนั้น

ข้ามองตามสายตาเขาลงไป สิ่งที่เขากำลังมองอยู่ที่แท้คือตราทองที่โม่ซีประทับบนข้อมือข้า เป็นตราทองที่โม่ซีอนุญาตให้ข้ามีอิสระสามชาติเมื่อแรกพบกัน ตอนนั้นเขาให้ข้าปกป้องจุดตายของตนเองให้ดี แต่การกระทำของข้าในวันนี้เป็นการผิดต่อคำกำชับของเขาจริงๆ

แต่ว่าล้วนเป็นโม่ซี แล้วจะเกี่ยวอันใดกัน ต่อให้วันนี้เขาต้องการชีวิตข้า…

เขาก็เอาไปไม่ได้!

เพราะดูท่าตอนนี้เขาเอาชนะข้าไม่ได้

จ้งหวายื่นมือกุมข้อมือข้า นิ้วชี้กับนิ้วกลางวางบนตราทองที่จุดตายของข้าพอดี

เขามองอยู่ครู่หนึ่ง “รอยตรานี้…”

ข้าเงยหน้ามองเขา นึกว่าเขาจดจำอะไรขึ้นมาได้ แต่เขากลับพูดเพียงสามคำนั้นแล้วนิ่งเงียบไป ผ่านไปอีกครู่เขาคล้ายเรียกสติคืนมาได้ คิดจะดึงมือกลับไป ข้ากลับจับเขาไว้แล้ววาดตราลงกลางฝ่ามือเขาอย่างว่องไว จากนั้นดึงมือเขาเข้ามาแล้วยื่นหน้าผากชนฝ่ามือเขา จ้งหวารีบร้อนชักมือคืนไป แต่หน้าผากข้าสัมผัสฝ่ามือเขาเรียบร้อยแล้ว

รอยยันต์ประทับกลางหว่างคิ้วข้า หลังจากความรู้สึกร้อนลวกจางหายไปใต้ผิวข้าจึงกล่าว “เวทคำสาปนี้สามารถทำให้ท่านรู้ได้ตลอดเวลาว่าข้าอยู่ที่ใด ทั้งยังสามารถเห็นสิ่งที่ข้ามองเห็น ดังนั้น…” ข้ายิ้มเผล่ “ขอเพียงท่านต้องการ ข้าก็จะอยู่ในสายตาท่านไม่ว่าที่ใด”

เขากำมือแน่น ดูเหม่อลอยเล็กน้อย

ข้ากล่าว “ข้าจะไม่หนี และจะไม่จากท่านไป ข้าจะอยู่กับท่านตลอด” ชาติที่แล้วทำไม่สำเร็จ ชาตินี้ข้าต้องพยายามทำให้ได้ ข้ามองเห็นเงาตนเองในลูกตาดำลึกล้ำของเขา เอ่ยราวกับสาบาน “ข้าจะปกป้องท่านตลอดไป” ข้าพูดอย่างเชื่องช้าเพียงนั้น รักและห่วงใยอย่างชัดแจ้งจนตนเองแทบจะซาบซึ้งตามไปด้วย

ทว่าจ้งหวากลับเอ่ยถามข้าอย่างเย็นชาหลังได้สติ “อาศัยเจ้า?” น้ำเสียงสูงเล็กน้อยแฝงแววเหยียดหยามอยู่บ้าง

“อาศัยข้า”

คำตอบจริงจังของข้าทำให้จ้งหวาอึ้งไปชั่วขณะ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”

ข้ากะพริบตามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “ยังต้องถามอีก!” ข้าเอ่ย “ข้าแทบจะมอบชีวิตให้ท่านแล้ว การกระทำชัดเจนถึงเพียงนี้เหตุใดท่านยังไม่เข้าใจ! นอกเสียจากข้าต้องการเกี้ยวท่านแล้วยังจะต้องการอะไรอีก!”

สีหน้าจ้งหวาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเขียว หมุนกายแบกนักพรตหญิงชิงหลิงบนพื้นแล้วจากไป

ข้าไล่ตามหลังตะโกนถาม “ท่านยังดึงดันไม่คิดพาข้าไปหรือ เมื่อกี้ท่านไม่เห็นข้าแก้พิษให้นางหรือ แค่พลิกฝ่ามือก็เสร็จแล้ว ข้ามีประโยชน์เพียงนั้นท่านไม่ใช้ให้ดีเล่า ให้ข้าอยู่ที่นี่เป็นการเสียประโยชน์เปล่า!”

เมื่อข้าตามไปถึงริมข่ายอาคม จ้งหวาก็แบกนักพรตหญิงชิงหลิงเข้าโถงหน้าไปแล้ว ข้าได้แต่นั่งลงตรงขอบข่ายอาคม รู้สึกขุ่นเคืองเหลือทนจึงเอาหิมะปั้นเป็นตุ๊กตาหิมะ บนใบหน้าเขียนว่าจ้งหวาสองคำ จากนั้นเริ่มใช้นิ้วจิ้มพุงตุ๊กตาหิมะเป็นรู ขณะที่จิ้มจนตุ๊กตาหิมะใกล้พังลงมา ด้านหลังพลันมีเสียงเย็นชากล่าวขึ้น “นี่ก็เป็นเวทคำสาปหรือ”

ข้าตบทำลายหัวตุ๊กตาหิมะแล้วลุกขึ้นยืน หันไปมองกลับเห็นจ้งหวาเปลี่ยนชุดแล้ว ดูแตกต่างจากการแต่งตัวเมื่อพักผ่อนอยู่ในเรือนนอนตามปกติ เสื้อผ้าชุดนี้บ่งบอกประโยชน์ใช้สอยอย่างชัดเจน ปกตั้งแขนสอบ เป็นการแต่งตัวเพื่อเดินทางไกล ข้างหลังสะพายกระบี่ยาวสามเชียะ* แผ่ประกายเย็นเยียบจู่โจมผู้คน ระลอกคลื่นพิสุทธิ์งดงามรุนแรงจนข้าขนลุกทั้งตัวไม่หยุด ดูท่าจะเป็นของล้ำค่า

ข้าสังเกตเขาทั้งบนล่างผ่านข่ายอาคมครู่หนึ่ง กำลังจะอ้าปากเอ่ยวาจาจ้งหวากลับโบกมือคราหนึ่ง บนข่ายอาคมพลันปรากฏทางออก เขามองดูข้าด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนเก่า “รอให้ข้าแก้เหตุยุ่งยากนี้สำเร็จ เจ้าจะถูกคุมขังอยู่ที่นี่”

สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจใช้ข้า เช่นนี้ดูท่าแล้วยังไม่นับว่าดื้อด้านถึงขีดสุด

ข้ายิ้มกว้าง “ข้าบอกแล้ว ท่านอยู่ไหนข้าก็อยู่นั่น”

ไปปราบปีศาจด้วยกันกับโม่ซีหรือ ข้าตั้งตารอคอยยิ่ง

 

ทางไปเขาหลิงอวี้ข้ายิ่งเดินก็ยิ่งคุ้น แต่กลับนึกไม่ออกว่าเหตุใดจึงคุ้นเคยเช่นนี้ ได้แต่คิดว่าชาติแรกของตนคงเคยจับพลัดจับผลูเดินผ่านมา

แต่ได้ยินว่าบนเขาหลิงอวี้มีหินหยกวิญญาณ แต่เพิ่งถูกพวกมนุษย์พบเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ เมืองเล็กที่ตีนเขาก็เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เพราะอาศัยหินหยกพวกนี้หากิน ดังนั้นทุกบ้านในเมืองน้อยล้วนแต่เป็นร้านขายหยก แต่ละแห่งล้วนมีช่างหยกหัวไวมือคล่อง

ข้าเดินตามโม่ซีตลอดทาง แต่เห็นข้างถนนเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์หยาบกร้านกลุ่มหนึ่งใช้เครื่องมือขัดถูหินเสียงดัง ‘แซ่กๆ’ ทำเอาก้อนหินอย่างข้าหัวใจหดรัด

“โม่ซี พวกเรารีบเดินหน่อยเถอะ” ข้ามองชายสองคนในบ้านหลังหนึ่งใช้เลื่อยแบบเจ้าผลักข้าดึงช่วยกันตัดก้อนหินกลมก้อนหนึ่ง ในใจพร่ำรำพันว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ก้อนหินควรมา จิตใต้สำนึกสั่งให้คว้าแขนเสื้อโม่ซี แต่คนข้างกายพลันถอยหลบก้าวหนึ่ง

พอคว้าไม่ได้ข้าจึงได้สติมองด้านข้าง แต่เห็นจ้งหวาย่นหัวคิ้วถลึงตามองข้าอย่างไม่พอใจยิ่ง

“อย่าได้คิดขยับแขนขยับขาอีก!” เขาพูดจบก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้า

ข้ายืนอยู่ที่เดิม มองเขาอย่างไร้เดียงสาน้อยๆ

จ้งหวาเดินไปแล้วครู่หนึ่ง ข่มกลั้นอารมณ์หันหน้ามามองข้าที่ยืนนิ่งเป็นสาก “มีอะไรอีกเล่า!”

ข้ากล่าวอย่างไร้ความผิด “เป็นท่านที่ห้ามข้าขยับแขนขยับขาอีก พอข้าไม่ขยับ ท่านก็โมโหอีก”

จ้งหวาจนคำพูด

ขณะที่ข้าพูดหยอกเขาอยู่ พลันมีปราณที่ข้าคุ้นเคยสายหนึ่งจากด้านข้างลอยเข้าจมูก ข้าพยายามสูดดม นี่เป็นไอหยินของปรโลกไม่ผิดแน่ เพียงแต่ในนั้นยังผสมกลิ่นเน่าด้วย

ข้าสอดส่ายสายตามองหาภายในร้านน้อยข้างทาง แต่เห็นในห้องมืดมิดด้านหลังสองพี่น้องที่กำลังลากก้อนหินมีเงาสีขาววูบไหวอย่างรวดเร็ว ข้าขมวดคิ้ว กางนิ้ววาดฝ่ามือ ในช่วงเสี้ยวเวลาที่ไอหยินกำลังจะลอยออกจากฝ่ามือไป ร่างจ้งหวาพลันเคลื่อนย้ายมาเบื้องหน้าข้า รวบมือข้าไว้ ขวางการโจมตีที่ยังไม่ทันได้ปล่อยออกไป

เงาสีขาวในห้องมืดนั่นก็กลายเป็นควันขาวสลายไปในช่วงเวลานี้

“อ๋า หนีไปแล้ว ท่านขวางข้าทำไม” ข้าไม่พอใจกับการขัดขวางของจ้งหวาอย่างมาก แต่หลังจากมองดูเขาแล้วข้าก็เข้าใจ “ท่านคิดว่าข้าจะพังร้านค้าผู้อื่นหรือ ข้าอ่อนโยนยิ่ง จะทำเรื่องรุนแรงเช่นนั้นได้อย่างไร”

จ้งหวานิ่งเงียบ หน้าเคร่งขึ้นเล็กน้อย “เจ้าเห็นสิ่งใด”

“ปีศาจน่ะ” ข้าชี้ไปทางสองพี่น้องที่กำลังพิศดูข้ากับจ้งหวาอย่างแปลกใจแล้วเอ่ย “ในห้องด้านหลังพวกเขา หากข้าคิดไม่ผิดน่าจะเป็นปีศาจที่พวกเรามากำจัดในครั้งนี้” ข้ามองเขาอย่างประหลาดใจ “ท่านไม่สังเกตเห็นหรือ”

สีหน้าจ้งหวายิ่งเครียดเกร็ง

นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดนัก ว่าตามระดับของจ้งหวาในตอนนี้ สำหรับมนุษย์ธรรมดาเรียกได้ว่าเป็นระดับสูงแล้ว แต่กระทั่งปราณของฝ่ายตรงข้ามเขาก็ยังสัมผัสไม่ได้…

ข้ายิ้มอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นทันที “การกำจัดปีศาจครั้งนี้ของท่านต้องพึ่งดวงตาของข้าแล้ว!” ข้าตบเขาเบาๆ “รีบมากอดขาข้าเร็ว”

จ้งหวาริมฝีปากกระตุก เหล่มองข้าคราหนึ่ง เขายกเท้ามุ่งหน้า ท่าทางแข็งกร้าวชนิดตีให้ตายก็ไม่ยอมขอร้องข้า

ข้าก็ไม่ฝืนบังคับ กล่าวตามหลังเขา “ไม่กอดก็ไม่กอดเถอะ แม้ว่าท่านจะไม่ดีต่อข้า แต่ข้ายังต้องบอกท่านอย่างรับผิดชอบต่อหน้าที่ ท่านเดินไปผิดทางแล้ว ปราณของเขาที่ข้าสัมผัสได้รำไรมาจากในเขาหลิงอวี้”

จ้งหวากลับไม่โวยวาย หมุนเท้ากลับมาแล้วเอ่ย “นำทาง”

ในเขาหลิงอวี้ทุกที่เต็มไปด้วยหินหยกวิญญาณจริงๆ ข้าเห็นพวกมันแล้วก็เหมือนได้เห็นอนาคตเผ่าก้อนหินอันรุ่งเรืองเผ่าหนึ่ง แต่พอคิดถึงพวกคนที่เลื่อยหินแซ่กๆ ใต้เขาแล้วก็เป็นทุกข์กับวันข้างหน้าขึ้นมาทันที ข้ากำลังใจหายกับโชคชะตาของวงศ์ตระกูล จ้งหวาที่ตามหลังมาพลันเอ่ย “เจ้ากำลังหาปราณปีศาจจริงหรือ”

“จริงแน่นอน” ข้าว่า “เพียงแต่ตอนนี้หาไม่เจอแล้ว” ข้าลูบคางครุ่นคิดพลางเอ่ย “ปีศาจตนนี้ปิดบังปราณได้ดี เวทมนตร์ก็ใช้ได้ดี ดูท่ายากต่อกรอยู่บ้าง แต่ว่ามีจุดที่น่าสงสัย เวทคำสาปบนร่างนักพรตหญิงชิงหลิงไม่คล้ายปีศาจตนนี้ลงมือ เพราะปราณไม่ถูก…”

คำพูดนี้ของข้ายังไม่จบจู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง ไอหยินมืดมิดด้านหลังพุ่งเข้าจู่โจมข้า ให้ความรู้สึกเหมือนครั้งแรกที่ใช้น้ำในแม่น้ำลืมเลือนล้างหน้า สดชื่นยิ่งนัก

ข้าสูดหายใจอย่างรื่นรมย์ ขณะกำลังคิดจะหมุนตัวทักทายปีศาจตนนั้น กลับสัมผัสได้ว่าในไอหยินสอดแทรกไว้ด้วยจิตสังหารรุนแรง

เอาเถอะ ไม่ทักทาย มาตีกันแทนก็ได้

ข้าหมุนกายยกฝ่ามือขึ้น หมอกพิษไอหยินที่โหมซัดเข้ามาถูกข้ารับไว้กลางฝ่ามือทั้งหมด

ในช่วงที่ข้าลงมือ จ้งหวาเองก็ชักกระบี่ยาวสามเชียะบนหลังออกมาอย่างว่องไว บนตัวกระบี่มีอักษร ‘ชิงซวี’ สองคำปรากฏเลือนรางวาบประกายเยียบเย็น พอเขาชักกระบี่ ปราณเซียนสยบผู้คนบนร่างก็ผสมกับจิตสังหารน่าหวาดหวั่นบนตัวกระบี่ตัดผ่านกลางกลุ่มก้อนไอหยินอันมืดมิดนั้น

ไอหยินที่ซัดสาดเข้ามาถูกความสะอาดบริสุทธิ์กวาดหายไปหมดสิ้น

กระบี่เล่มนี้ร้ายกาจดังคาด!

หลังจากไอหยินนั้นสลายไปก็เห็นผู้หญิงในชุดขาวคนหนึ่งยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น นางกุมหัวไหล่ที่ดูเหมือนถูกจ้งหวาฟันใส่ เส้นผมสีขาวที่ยาวอย่างดียิ่งลู่ลงปิดใบหน้าของนาง ทำให้มองหน้าตานางไม่ชัด

“ไสหัวไป…” นางเอ่ยเสียงที่ฟังไม่ชัดอย่างยิ่งออกมาเบาๆ ราวกับว่าในปากถูกอะไรบางอย่างอุดไว้จนพูดไม่ชัด

จ้งหวาไม่แน่ใจที่มาของนางจึงไม่สะเพร่าลงมือ

ข้าค่อยๆ โค้งเอวลงอยากดูหน้าตาของนาง

พริบตานั้นกระบี่ชิงซวีในมือจ้งหวาครวญครางสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที รอบด้านเนืองแน่นไปด้วยไอหยินโดยพลัน “ไสหัวไป!” เสียงแหลมคมราวกับฉีกออกมาจากกลางอากาศ ร่างของหญิงผู้นั้นหายไปในพริบตา รอจนข้าสัมผัสได้อีกครั้งนางก็ขยับมาอยู่ข้างหลังข้าแล้ว!

ปีศาจตนนี้รวดเร็วยิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้ถึงสามส่วน พอกรงเล็บแหลมคมของนางตวัดลงมา ข้าก็ยกมือขึ้นต้านตามจิตใต้สำนึก เล็บที่คมเหมือนมีดไม่มีผิดกรีดผ่านหลังมือข้า ข้าตั้งใจจะจับข้อมือนางตรงๆ แต่ไม่คาดว่ากระบี่ชิงซวีจะแทรกเข้ามาด้านข้างแยกปีศาจสาวออกไป

จ้งหวาเหลือมองหลังมือข้าคราหนึ่ง โยนขวดหยกขาวใบเล็กจากในแขนเสื้อให้ข้าแล้วเอ่ยสั้นๆ ง่ายๆ “หยุดเลือด” ยังพูดไม่จบเขาก็เข้าไปสู้กับปีศาจสาวตนนั้นแล้ว

ข้ารับขวดหยกที่ยังแฝงไออุ่นจากร่างของเขา โรยยารักษาแผลลงบนปากแผล

ความจริงแผลนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หมอกพิษไอหยินของนางทำร้ายข้าไม่ได้ อย่างมากก็นับเป็นรอยสุนัขข่วนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาแผลชั้นดีนี้ของจ้งหวา แต่เพราะเป็นโม่ซี ดังนั้นสำหรับข้านี่ไม่ใช่ยา แต่เป็นความใส่ใจ เขาเพียงแค่ใส่ใจนิดๆ หน่อยๆ ก็ปัดเป่าความคับข้องหมองใจในช่วงหลายวันมานี้ของข้าหายไปราวกับควันได้อย่างปาฏิหาริย์

นอกเสียจากต่อว่าตนเองในใจว่าไม่เอาไหนแล้ว ข้ายังจะโทษอะไรเขาได้เล่า…

ขณะที่ข้าเหม่อลอยพลันได้ยินเสียงร้องอู้อี้ของปีศาจสาว พอเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นจ้งหวาใช้กระบี่ชิงซวีแทงผ่านท้องของนางแล้ว ปีศาจตนนั้นกลับเงยหน้าขึ้นมาในทันที ดวงหน้าน่ากลัวจนข้าที่เติบโตในปรโลกยังต้องสูดหายใจหนาวเยือก

นางไม่มีลูกตา ไม่มีจมูก ไม่มีหู คิดดูแล้วลิ้นในปากก็คง…

จ้งหวาเองก็ตะลึง ทว่าชั่วพริบตาที่เขาชะงัก ไอหยินที่รวมไว้กลางฝ่ามือปีศาจสาวก็กระแทกเข้ากับหน้าอกจ้งหวา ตบจนเขาปลิวลอยไป กระบี่ชิงซวีกระเด็นหลุดจากมือเขาปักเข้าไปในพื้นดินอีกด้าน

ข้ารีบร้องเรียกชื่อโม่ซีแล้ววิ่งเข้าไป แต่เห็นเขาสีหน้าเขียวคล้ำ ริมฝีปากมีเลือดไหล เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทั้งหน้า ข้าเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง คิดแต่จะหักกระดูกคนที่ทำร้ายเขา แต่พอข้าหันไปมองที่นั่นก็ไม่มีใครแล้ว แม้แต่ปราณก็ล้วนหายไปสิ้น

จ้งหวาร้องครางเสียงหนึ่ง “ไม่ต้องสนใจข้า…” เขาพูดไปด้วยหอบไปด้วย “ปีศาจตนนี้ถูกข้าทำร้ายบาดเจ็บสาหัสแล้ว รีบไปจับนางก่อน…”

“ท่านก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน อย่าขยับ”

ข้ากดตัวเขาไว้ ขยับมือจะแหวกสาบเสื้อดูบาดแผลให้เขา จ้งหวากลับไม่รู้เป็นอะไร กุมสาบเสื้อของตนเองแน่น “ไม่…ไม่ต้องมาแตะข้า!”

“ไม่แตะแล้วจะรักษาได้อย่างไร!” ข้าบังคับงัดมือเขาออก เปิดสาบเสื้อทันเห็นบนหน้าอกราบเรียบมีรอยฝ่ามือดำกำลังหายไปช้าๆ ข้ารู้ว่าหมอกพิษไอหยินพวกนี้กำลังแทรกเข้าไปภายในร่างกายเขาแล้ว หากว่าอวัยวะห้ากลั่นหกกรองถูกกัดกร่อน หากว่าข้าดูดออกมาไม่หมด ถึงตอนนั้นตายไปยังนับว่าดี ที่น่ากลัวที่สุดคือร่างกายจ้งหวาแข็งแกร่ง ยืนหยัดได้สามเดือนห้าเดือนไม่ตาย ความเจ็บปวดของการถูกไอหยินรุนแรงทิ่มแทงก็คือการทรมานผู้คนดีๆ นี่เอง

ข้าร้อนใจจึงคร้านจะเอ่ยปากบอกเขาแล้ว ก้มหัวลงเหนือหน้าอกเขา ริมฝีปากแนบเข้ากับแผ่นอกเบาๆ ร่างกายจ้งหวาแข็งเกร็งขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ เขาอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายผลักหัวข้า “เหลว! เหลวไหล!”

ข้าไม่สนใจเขา มือข้างหนึ่งจับกดมือของเขา อีกข้างอุดปากจมูกเขาไว้แน่น จากนั้นก็แนบปากกับหน้าอกเขาแล้วสูดหายใจเข้าลึก ไอหยินที่ยังไม่เข้าไปในทรวงอกเขาพวกนั้นค่อยๆ ถูกข้าสูบเข้าไปในปาก แต่ยังคงมีบางส่วนตกค้างอยู่ในเลือดและอวัยวะภายในของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าต้องหาสถานที่กรอกน้ำใส่เข้าให้มากหน่อยจึงจะได้

“จ้งหวา ข้าพยุงท่านไปหาน้ำดื่ม สองวันนี้ต้องกินให้มากถ่ายให้มาก” ข้าพูดออกมาเช่นนี้ แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ข้าเงยมองเขาอย่างงงัน ปล่อยมือที่อุดปากกับจมูกเขาแล้วตบหน้าเขาเบาๆ “ นี่…จ้งหวา? โม่ซี?” ข้าตบแรงขึ้นอีกสองทีเขาก็ยังไม่ฟื้น

ที่แท้…ถูกข้าอุดปากอุดจมูกจนสลบไปแล้ว

ก็ได้ สมน้ำหน้าข้าแล้วที่ต้องแบกเขาไปหาน้ำดื่ม

ข้าแบกจ้งหวาขึ้นมาแล้วไปเก็บกระบี่ชิงซวีที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมาก่อน แต่เมื่อมือข้าเพิ่งแตะถูกด้ามจับ ได้ยินแต่เสียง ‘ชิ้ง’ ดังขึ้นมา มือของข้าก็ถูกดีดออกไป ตามด้วยความรู้สึกปวดชาราวกับถูกฟ้าผ่า ข้าสะบัดมือ “จำคนได้อีก เป็นของล้ำค่าหายากจริงๆ”

ข้าฉีกชายเสื้อของจ้งหวาอย่างไม่เกรงใจ คิดจะใช้เสื้อผ้าของเขามัดกระบี่ชิงซวีแล้วลากไปด้วย แต่ไหนเลยจะรู้ว่าผ้าชิ้นนี้ของข้าเพิ่งเข้าใกล้ด้ามกระบี่ ปราณเซียนที่รุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่ก็ตีมือข้าผ่านผืนผ้าดังเปรี๊ยะๆ ทำเอาสองมือของข้าถูกลวกแดงไปหมด

ข้าโยนผ้าทิ้งแล้วจ้องกระบี่เล่มนี้ครู่หนึ่ง “เอาเถอะ เช่นนั้นเจ้าก็รอที่นี่”

กระบี่ชิงซวีคล้ายว่ากำลังครวญครางด้วยความโกรธ

ข้ารู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้เย่อหยิ่งทะนงตนเหมือนจ้งหวาเจ้าของมันไม่มีผิด เพราะจ้งหวาคือโม่ซี ดังนั้นข้าจึงยอมให้อภัยโทสะของเขา แต่กระบี่เล่มนี้มีค่าแค่ไม่เท่าไรในใจข้า ข้าไม่จำเป็นต้องให้อภัยมัน

ดังนั้นข้าจึงแบกจ้งหวาจากไปโดยไม่ลังเล ปล่อยให้มันปักอยู่ตรงนั้นร้องครวญไปจนฟ้าร้างดินเก่า*

เดินไปถึงลำธารเล็ก คราวนี้ข้ากลับลำบากใจว่าจะเอาอะไรมารองน้ำให้เขาดี ใบไม้เล็กก็ตักน้ำได้ไม่เท่าไร ใบใหญ่ก็ไม่มี ใช้มือหรือ ไม่ทันเดินถึงข้างกายเขาก็รั่วหมดแล้ว

ข้าหงุดหงิดจึงลากตัวจ้งหวาไปที่ริมลำธาร ตั้งใจว่าเอาหัวเขาลงไปในน้ำให้เขาดื่มเองเสียเลย ผลคือเพิ่งจับหัวเขาวางลงไปในน้ำ น้ำใสสะอาดในลำธารก็ไหลเข้าไปในโพรงจมูกเขาจนสำลักไอไม่หยุด ข้าต้องรีบยกหัวเขาขึ้นมา หลังจากครุ่นคิดอยู่รอบหนึ่งในที่สุดก็หาท่วงท่าที่ถูกต้องได้

ขาข้างหนึ่งของข้าคุกเข่าอยู่ในน้ำ ให้เขาหนุนอยู่บนเข่าข้า คลึงเปิดขากรรไกรล่างแล้ววักน้ำให้เข้าไปในปากเขา

ดวงอาทิตย์สาดส่องจนน้ำในลำธารอบอุ่น ยาบนหลังมือข้าไม่ทันไรก็ถูกน้ำพัดหายไปแล้ว ปากแผลฉีกเปิดอีกครั้งภายใต้การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ เลือดที่หลังมือปะปนลงไปในน้ำและถูกข้าตักเข้าปากจ้งหวา

กลิ่นเลือดอาจจะเข้มไปหน่อยทำให้เขารู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เขาลืมตาเป็นเส้นเล็กๆ คงเพราะไม่มีแรงจะทำรังเกียจข้า ดังนั้นจึงได้แต่มองข้าอย่างกึ่งฝันกึ่งตื่น นิ่งสงบจนคล้ายกับโม่ซีในชาติก่อน ไม่ต่อต้านและไม่ระแวดระวังแม้แต่น้อยเวลาพบข้า

เห็นเขาที่เป็นเช่นนี้ข้าก็ใจอ่อนยวบ ลูบหัวเขาเหมือนกับสมัยก่อน “ยังไม่สบายตัวอยู่หรือไม่”

เขาไม่ตอบข้า แสงอาทิตย์ในดวงตาเขาแตกพร่าน้อยๆ “เปียก…”

เปียก?

ข้าช้อนเส้นผมที่ร่วงลงน้ำของเขาขึ้นมาบิดเบาๆ “รออีกครู่ ช่วยท่านเช็ดให้แห้งก็ได้แล้ว”

สาบเสื้อของเขาเมื่อครู่ถูกข้าแบะออก ยามนี้ข้าขยับนิ้วมือเบาๆ ก็เห็นแผ่นอกเรียบลื่นของเขาแล้ว หมอกพิษไอหยินสีดำถูกข้าดูดออกมาได้ส่วนใหญ่แล้ว แต่ยังหลงเหลือบางส่วนอยู่ในผิวของเขา “ไอหยินของปีศาจตนนั้นร้ายกาจน่าดู แต่ว่าท่านวางใจ มีซานเซิงอยู่ จะไม่ให้ท่านเกิดเรื่องใดขึ้นแน่”

เปลือกตาของเขาขยับน้อยๆ แล้วจึงปิดลง หลับไปอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เขาได้ยินคำพูดของข้าหรือไม่

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com