ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
บทที่สิบสี่
ข้ารู้สึกว่าป้อนน้ำให้ดื่มไปไม่น้อยแล้ว จึงตั้งใจหาสถานที่สักแห่งให้เขาได้พัก แต่เพิ่งแบกเขาขึ้นมายังไม่ทันเดินเลยสักก้าว พลันสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจลอยมา ข้าหันมองไปตามทิศที่รู้สึก กลับเห็นปีศาจน้อยอายุราวสิบขวบตนหนึ่งแอบมองข้าอยู่หลังต้นไม้ริมลำธารอีกด้าน “ที่ท่านแบกอยู่บนหลังคือผู้บำเพ็ญเซียนใช่หรือไม่”
ปีศาจน้อยตนนี้น่ารักยิ่ง พลังปีศาจบนร่างก็ไม่เท่าไร ข้าจึงไม่ต้องระวังเขา พยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด”
“คนที่สู้กับพี่สาวเซียนจิ้งจอกเมื่อครู่คือพวกท่านหรือ”
หญิงที่ไร้เครื่องหน้าทั้งห้าเมื่อครู่นี้ถึงกับเป็นปีศาจจิ้งจอก? ไม่ใช่ลือกันว่าปีศาจจิ้งจอกล้วนอาภรณ์โบกพลิ้วมีเสน่ห์งามล้ำหรอกหรือ เหตุใดจึงมีหน้าตาเช่นนั้นได้ ปีศาจน้อยเห็นข้ามึนงงจึงเกาหัวกล่าว “ก็คือพี่สาวที่ผมขาว ชุดขาว ใบหน้าถูกคนชั่วทำลายตนนั้น คนที่สู้กับนางคือพวกท่านหรือ”
ฟังเขาพูดเช่นนี้จึงเข้าใจ ข้าพยักหน้า “น่าจะพวกเราไม่ผิด ทำไมหรือ”
ปีศาจน้อยพยักหน้าหงึกหงัก กวักมือไปข้างหลัง “พวกเขานี่ละ!”
ในใจข้าพลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดวาบขึ้นมา ยังไม่ทันได้แน่ใจก็เห็นเงาคนมากมายออกมาจากในต้นไม้ฝั่งตรงข้ามลำธาร มีทั้งแก่ทั้งเด็ก ทั้งชายทั้งหญิง แต่ปราณของพวกเขา ข้าดมดูแล้วล้วนเหมือนกัน เป็นปีศาจที่แปลงมาจากก้อนหินทั้งสิ้น
คนบ้านเดียวกันทั้งกลุ่มเลย!
เพียงแต่ตอนนี้สีหน้าคนบ้านเดียวกันกลุ่มนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไร “เป็นนักพรตหน้าเหม็นอยากได้ชื่อว่ากำจัดปีศาจอีกแล้วรึ”
“ผู้บำเพ็ญเซียนที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“ท่าทางวาดมาดภูมิฐานเช่นนี้พาให้คนสะอิดสะเอียนเสียจริง”
“ฆ่าพวกเขาเลย”
“ฆ่าพวกเขาเลย”
เสียงของพวกเขาเบา แต่ล้วนลอยเข้ารูหูข้าอย่างชัดเจน
ปีศาจพวกนี้ล้วนตบะไม่สูง หากประมือหนึ่งต่อหนึ่งพวกเขาย่อมเอาชนะข้าไม่ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาคนมาก ส่วนข้ายังต้องคุ้มครองจ้งหวาที่สลบอยู่ สำแดงวิชาเวทได้ไม่เต็มที่ หากสู้กันขึ้นมาคาดว่าสถานการณ์คงไม่สู้ดีนัก
ดังนั้นข้าจึงทำหน้านิ่งเอ่ย “ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ไม่ใช่พวกเดียวกัน ข้าถูกเขาบีบบังคับ บีบจนไม่มีทางเลือกถึงต้องช่วยเขากำจัดปีศาจ ที่จริงในใจข้าไม่ยินยอมอย่างยิ่ง พวกท่านดู ที่ตอนนี้เขาสลบไม่ฟื้นเป็นเพราะเมื่อครู่ระหว่างที่ประลองเวทกับหญิงคนนั้น ข้าลอบทำร้ายเขาจากด้านหลัง นี่ข้าไม่ใช่กำลังคิดลากเขาไปฝังหรอกหรือ” พวกปีศาจฝั่งตรงข้ามมองข้าด้วยสายตาเย็นชา แต่ก็ไม่ได้ลงมือจริงๆ ข้าถอยหลังเงียบๆ ก้าวหนึ่ง “ขุนเขาไม่แปรเปลี่ยน ธาราไหลชั่วกาล ทุกท่านไว้พบกันใหม่”
ข้าทำมุทระเตรียมจะหนี ทว่าลำแขนกลับถูกคนคว้าไว้ทันที ข้าปล่อยไอหยินออกไปตามจิตใต้สำนึกด้วยคิดจะบีบให้ผู้มาล่าถอย คนผู้นั้นกลับหลบพ้นการจู่โจมนี้ ใช้น้ำเสียงคึกคักยินดีร้องตะโกน
“ซานเซิง!”
ข้าตะลึง เพิ่งมองผู้มาเต็มตาเอาตอนนี้ “เอ๋ สือต้าจ้วง?”
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่!” เขาตื่นเต้นระคนดีใจ
“เจ้ายังไม่ตายหรือ” ข้าออกจะแปลกใจอยู่บ้าง
เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เกาหัวยิ้มซื่อๆ แล้ว เพียงแค่ยกริมฝีปาก ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงวิบวับ น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยเอ่ยหยอกเย้า “ฮ่า มีใครพบกันแล้วทักทายแบบพวกเราบ้าง”
ฮ้า การเปลี่ยนแปลงของเขาทำเอาข้าประหลาดใจอย่างแท้จริง
บุคลิกเยือกเย็นเช่นนี้ อารมณ์ขันที่เอ่ยเย้าตนเองเช่นนี้ ทั้งสองอย่างนี้เทียบกับเมื่อก่อนเป็นวิธีที่ไม่รู้ว่าเกี้ยวคนติดได้เพิ่มตั้งกี่เท่า ข้าตะลึงมองเขาอย่างละเอียดอีกครั้งและอีกครั้ง จากหัวจรดเท้า นอกจากใบหน้าของเขาเป็นสือต้าจ้วงแล้ว ข้าหาไม่เจอว่ายังมีส่วนไหนเหมือนสือต้าจ้วงเมื่อครั้งอดีตอีกจริงๆ ข้าประหลาดใจ “จากกันนานปี ต้าจ้วง เจ้าพบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตหรือ”
สือต้าจ้วงได้ยินสีหน้าก็นิ่งขึงชั่วขณะ ก่อนจะกลับเป็นปกติแล้วยิ้มตาหยี “ดูเจ้าพูดเข้า ซานเซิง พวกเราจากกันครั้งนี้เกือบร้อยปี โลกมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปมากมาย แล้วใครจะไม่เปลี่ยนไปได้เล่า”
ไม่ถูกๆๆ นี่ก็ไม่เหมือนคำพูดของสือต้าจ้วงเลยจริงๆ ข้ากุมหน้าผากนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ชาติก่อน หลังจากข้าตาย โม่ซียังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์อีกหลายสิบปี หลังจากชาติแรกของเขาจบลงก็ลงมาปรโลกประทับตราให้ข้า ข้ารออยู่ห้าสิบปี นับดูแล้วข้ากับสือต้าจ้วงก็แยกจากกันเกือบร้อยปีได้ แต่วันเวลาออกจะแล้งน้ำใจไปหน่อยแล้ว เหตุใดจึงทำให้สือต้าจ้วงที่ซื่อตรงไร้เล่ห์เปลี่ยนเป็นมีท่าทางระทมทุกข์ทว่าตระการตาเช่นนี้ได้
“แต่พอดูให้ดี เจ้ากลับไม่เปลี่ยน ยังเปี่ยมไหวพริบเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด นี่…” สือต้าจ้วงมองคนที่ข้าแบกอยู่แล้วตะลึงงันเล็กน้อย “โม่ซี?”
“ตอนนี้เขาชื่อจ้งหวา…”
ข้ายังพูดไม่จบ ที่ฝั่งตรงข้ามก็มีปีศาจส่งเสียงมาอย่างแปลกใจ “ใต้เท้าเหยียนซิ่ว ท่านรู้จักพวกเขาหรือ”
เหยียนซิ่ว? แม้แต่ชื่อก็เปลี่ยนเป็นสง่างามขึ้น…
“สองคนนี้เป็นสหายเก่าของข้า เรื่องนี้เกรงว่าคงมีการเข้าใจผิด” สือต้าจ้วงหมุนตัวพูดกับพวกเขา “ข้าจะถามต้นสายปลายเหตุจากพวกเขาอย่างชัดแจ้งเอง วันนี้ทุกท่านก็แยกย้ายไปก่อนเถอะ” ท่าทางเขาจะมีบารมีและความน่าเชื่อถือยิ่งในหมู่พวกนี้ พูดเพียงสองสามประโยคก็ทำให้ปีศาจตนอื่นแยกย้ายไปได้แล้ว เขาหันหน้ามายิ้มมองข้า “ซานเซิง หากเจ้าไม่มีที่พักก็ไปที่ที่ข้าอยู่ก่อนเถอะ” สีหน้าเขาดูยากจะคาดเดาอยู่บ้าง “แต่หากว่ากันจริงๆ นั่นก็เป็นที่พักของเจ้า”
ชาติก่อนหลังจากโม่ซีไปเป็นขุนนาง ข้าเคยคิดว่าหากโชคชะตาปรานีให้โม่ซีผ่านด่านเคราะห์สำเร็จ ข้าจะต้องอยู่กับเขาจนผมหงอกขาว แล้วตามเขาเกษียณอายุลากลับบ้านเดิม กลับไปยังบ้านที่เขาอาศัยอยู่เมื่อยังเล็ก ใช้ชีวิตอยู่กับเขาเหมือนสมัยก่อน
แต่ภายหลังข้ากลับไม่สามารถร่วมเดินกับเขาจนสุดหนทาง ความปรารถนาในชาติก่อนนั้นข้าปล่อยให้มันไหลรินร่วงลึกไปตามน้ำในแม่น้ำลืมเลือน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่ายังมีวันที่ได้กลับมาที่บ้านเหมยแดง ดังนั้นตอนที่เห็นสวนด้านหลังของจ้งหวาถึงได้ตื่นตะลึงและซาบซึ้งถึงเพียงนั้น
แต่ความตื่นตะลึงและซาบซึ้งในวันนั้นกลับยังไม่เท่าตอนนี้
เมื่อมองเห็นบ้านหลังน้อยตรงหน้า ข้าเกือบจะโยนจ้งหวาลงกับพื้นแล้ว
มันไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ยังคงเหมือนเมื่อแรกพบ
มิน่าข้าถึงรู้สึกคุ้นเส้นทางมาเขาหลิวอวี้ถึงเพียงนั้น ที่แท้นั่นเป็นทางกลับบ้านนี่เอง ทุกก้าวที่เข้าใกล้บ้านหลังเล็กราวกับมีความทรงจำนับไม่ถ้วนแผ่กางขึ้นมาตรงหน้า เหมือนว่าเมื่อวานโม่ซียังอ่านหนังสืออยู่ข้างกายข้า เมื่อครู่ข้ายังเอนตัวอ่านนิทานชาวบ้านบนเก้าอี้โยก
ทว่าเมื่อหันกลับมาก็ผ่านไปร้อยปีแล้ว
ข้าผินหน้ามองจ้งหวาที่แบกอยู่บนหลัง หัวของเขาซบอยู่บนไหล่ข้า หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ข้าสูดจมูกอย่างเศร้าโศก ทอดถอนใจด้วยท่าทางใกล้จะร้องไห้ “คนไม่รับผิดชอบไร้มโนธรรม”
สือต้าจ้วงที่เดินอยู่ข้างหน้าสองเก้าพลันชะงักเท้า หันมามองข้าอย่างความรู้สึกไวไปหน่อย “พูดถึงข้า?”
ข้าเช็ดน้ำตา “ข้าพูดถึงเขาต่างหาก” ข้าก้าวตามสือต้าจ้วงพลางเอ่ยว่า “เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงอยู่ที่นี่ เมื่อครู่ปีศาจพวกนั้นมันเรื่องอะไรอีก”
“หลังจากอัครเสนาบดีโม่ซีตายไป…” เขามองจ้งหวาคราหนึ่ง
ข้าอธิบาย “นี่คือโม่ซีกลับชาติมาเกิด ปัจจุบันคือจ้งหวาเจ้าสำนักหลิวโป ไม่ใช่โม่ซีที่เจ้ารู้จักสมัยก่อนแล้ว”
สือต้าจ้วงตะลึง ดวงตาที่เปลี่ยนเป็นงดงามเผยประกายแปลกใจ “เช่นนั้นเจ้า…”
“ข้าก็มาเกิดใหม่เช่นกัน แต่ว่าข้ามีสัมพันธ์ภายในจึงไม่ต้องดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง”
สือต้าจ้วงเงียบไปนาน “จริงสิ เมื่อก่อนเจ้าเคยพูดว่าเจ้าเป็นยมบาล ตอนนี้มาคิดดูแล้ว แม้ฐานะยมบาลจะโกหก แต่เจ้าคงเกี่ยวข้องกับปรโลกอยู่บ้างจริงๆ”
แน่นอน เกี่ยวข้องลึกซึ้งเลยล่ะ
สือต้าจ้วงเงียบไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยถาม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดตอนแรกเจ้าจึงไม่รีบกลับมาดูโม่ซีสักหน่อย เพื่อเจ้าแล้วเขา…” สือต้าจ้วงคล้ายว่าพูดต่อไม่ได้ และที่โม่ซีต้องทุกข์ระทมเพราะข้า เรื่องพวกนี้ข้ารู้แล้วจึงคร้านจะไล่ถามเขาอีก
“ช่างเถอะ นี่เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว พูดกับเจ้าอีกก็ไร้ประโยชน์” เขากล่าวต่อ “ตอนนั้นหลังเจ้าจากไปแล้ว ข้ายังอยู่ในเมืองหลวงอีกสองสามปี ภายหลังข้าออกจากเมืองหลวงจึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ คำนวณดูก็หลายสิบปีแล้ว พวกปีศาจเมื่อครู่กลายร่างมาจากหินหยกบนเขานี้ ล้วนแต่ก่อรูปร่างในช่วงยี่สิบสามสิบปีนี้ คงเพราะได้รับอิทธิพลจากปราณปีศาจบนร่างข้ากระมัง ดังนั้นพวกเขาเลยเรียกข้าว่าใต้เท้า ทั้งที่จริงข้าก็ไม่ได้ทำเรื่องอื่นใด”
อันที่จริงข้าไม่เชื่อคำพูดเขา ไม่ได้ทำเรื่องใด แล้วคนที่เถรตรงสัตย์ซื่อคนหนึ่งเหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้
เขาผลักประตูบ้าน กลิ่นหอมสายหนึ่งพุ่งออกมาต้อนรับ หอมแรงจนฉุนไปบ้าง
“อาซิ่ว” เสียงอ่อนหวานดังตามกลิ่นหอมเข้าสู่รูหู ราวกับว่าจะเรียกให้กระดูกผู้คนอ่อนยวบไร้แรงไปด้วย
ข้าตัวสั่นคราหนึ่ง แต่กลับเห็นหญิงในชุดชมพูนางหนึ่งเกาะติดกับร่างสือต้าจ้วงราวกับไร้กระดูก
ข้ากะพริบตาปริบๆ พิจารณาคนทั้งสอง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเครื่องหน้าของหญิงผู้นี้คุ้นตาอยู่บ้าง
สือต้าจ้วงโอบเอวหญิงผู้นั้นอย่างคุ้นเคย “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าดื้ออีกแล้ว ไม่ใช่บอกแล้วหรือว่าวันที่แปดเดือนหน้าข้าจะไปหาเจ้า” พฤติกรรมนี้ของเขาไม่แตกต่างกับชายเจ้าชู้ในนิทานเลยแม้แต่น้อยจริงๆ
ข้าชมดูอย่างตื่นตาตื่นใจ
หญิงสาวใช้นิ้วมือวาดวงกลมบนหน้าอกเขา ไม่มองข้าแม้สักนิด “ผู้อื่นคิดถึงท่านนี่นา”
“วันนี้มีสหายเก่ามาเยี่ยมเยียน รอวันที่แปดข้าค่อยไปหาเจ้า” พูดจบสือต้าจ้วงก็โยนหญิงในชุดชมพูออกไปนอกประตูบ้าน แล้วลากข้าเข้าไปข้างใน เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นพร้อมประตูที่ปิดลง
ข้ามองจนปากอ้าตาค้าง “เช่นนี้…ก็ได้หรือ”
“ย่อมได้อยู่แล้ว”
เยี่ยมยอด วิธีปฏิเสธผู้หญิงยังเชี่ยวชาญยิ่งขึ้น เบ็ดเสร็จสมบูรณ์แบบเช่นนี้เป็นความเด็ดขาดที่หาได้ยากจริงๆ
เขาเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย “ห้องที่เจ้าเคยอยู่เมื่อก่อน ตอนนี้ข้าใช้อยู่ ข้าจะจัดเก็บห้องอื่นสองห้องให้พวกเจ้าพัก”
ข้าตะแคงหูฟัง นอกบ้านถึงกับไม่มีเสียงคนงามตวาดด่าว่าชายใจโฉด ดูท่าคงคุ้นเคยกับวิธีปฏิบัติเช่นนี้แล้ว?
“ผู้กล้า!” ข้ารีบแบกจ้งหวาตามไปด้วย “ผู้กล้า ความสามารถในการสยบจิตใจคนพวกนี้เจ้าทำอย่างไรกันแน่ เจ้าสอนข้าที ช่วงนี้ข้ากำลังฝึกคนผู้หนึ่งให้เชื่องพอดี”
สือต้าจ้วงปูผ้านวมให้ข้าพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ง่ายมาก ไม่มีใจก็ได้แล้ว”
เห็นสีหน้าเขาขณะพูดประโยคนี้แล้ว ข้าพลันรู้สึกได้ว่าหลายสิบปีที่ผ่านมานี้เขาต้องมีความในใจบางอย่างแน่ๆ ข้าครุ่นคิดอย่างละเอียด ในที่สุดก็นึกออกว่าเหตุใดเมื่อครู่จึงรู้สึกคุ้นดวงหน้าของผู้หญิงคนนั้น
ข้าวางจ้งหวาลงบนเตียงที่เขาปูผ้าดีแล้ว มองเขาอย่างจริงจัง “ซย่าอี…” ครั้นสองคำนี้หลุดออกมา แววตาของสือต้าจ้วงพลันอึมครึมลง ข้าเอ่ยถาม “เจ้ายังจำนางได้หรือ”
“จำได้สิ” เขายิ้มมองข้า “นางตายเพราะข้า” เขาพูดราวกับว่าการตายของซย่าอีไม่มีผลอะไรต่อเขาแม้แต่น้อย แต่หลังพูดประโยคนี้จบเขาก็รีบร้อนทิ้งอีกประโยค “ข้าจะไปจัดอีกห้องให้” แล้วเดินจากไปราวกับกำลังหนี
ข้าลูบคางน้อยๆ หวนระลึกถึงสีหน้าของซย่าอีเมื่อครั้งกลับมาเกิดใหม่ในปรโลก รู้สึกอยากรู้เรื่องราวระหว่างทั้งสองขึ้นมาในทันที หนอนตะกละที่อยากชมดูความคึกคักในท้องถูกล่อออกมาแล้ว ขณะกำลังคิดจะออกไปจับตัวสือต้าจ้วงมาถามเรื่องราวที่ผ่านมาของพวกเขาให้ดีๆ พลันได้ยินเสียงครางคราหนึ่งจากข้างหลัง เป็นจ้งหวาที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว
ละเว้นสือต้าจ้วงชั่วคราวก่อน ข้าเดินไปข้างกายจ้งหวา เห็นเขาพยายามประคองตัวขึ้นนั่งจึงยื่นมือออกไปคิดจะช่วยพยุง แต่กลับถูกเขาหลบโดยจิตใต้สำนึก เขาสำรวจทั่วห้องอย่างระแวดระวังรอบหนึ่ง “นี่คือที่ไหน”
‘บ้านท่าน’ สองคำนี้สุดท้ายข้าก็กลืนมันเข้าไปในท้อง ไม่ได้พูดออกไป ขณะกำลังไตร่ตรองกลับเห็นจ้งหวาที่กวาดตามองเครื่องตกแต่งภายในห้องเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเหม่อลอยอยู่บ้าง “ห้องนี้…”
ห้องนี้คือห้องที่โม่ซีอยู่สมัยก่อน เครื่องเรือนพื้นฐานไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่โต๊ะเก้าอี้ดูเก่ากว่าเมื่อก่อนมากเท่านั้น
เห็นสีหน้านี้ของเขา ในใจข้าซาบซึ้งเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่คิดฝ่าฝืนกฎสวรรค์บอกเรื่องราวในชาติก่อนกับเขา ข้าเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง “เป็นบ้านของสหายเก่าคนหนึ่งของข้า ท่านไม่ใช่บาดเจ็บหรือ ข้าจึงขอยืมสถานที่ของผู้อื่นพักผ่อนครู่หนึ่ง” เพิ่งเอ่ยคำไป สือต้าจ้วงก็หอบของเก่าชำรุดที่ค้นออกมาจากอีกห้องหนึ่งผ่านหน้าประตูพอดี
ครั้นจ้งหวาเห็นเขา จิตสังหารก็พวยพุ่งขึ้นทั่วทั้งร่าง ขยับมือคิดจะกำจัดปีศาจ
“นี่ ท่านบาด…” คำพูดขัดขวางของข้ายังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นจ้งหวาที่ยื่นมือออกไปด้านหลังจะหยิบกระบี่หยุดชะงักแข็งทื่อขึ้นมาพลัน
ย่อมต้องหยุดแน่นอน เพราะกระบี่ชิงซวีเล่มนั้นของเขาถูกข้าทิ้งไว้ในป่าแล้ว
สีหน้าจ้งหวาเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ชั่วขณะ เส้นเลือดที่เต้นตุบๆ บนหน้าผากแสดงออกเป็นนัยว่าเขากำลังข่มอารมณ์อย่างยิ่ง “กระบี่ชิงซวีอยู่ที่ไหน”
“ถูกข้าทิ้งไปแล้ว”
เขาเงยหน้าขึ้นมองข้า ดวงตาแฝงแววสังหาร “ทิ้งไว้ที่ใด”
“ในป่า” เห็นจิตสังหารรอบกายเขายิ่งหนักขึ้นข้าจึงเอ่ยอธิบาย “เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้จริงๆ กระบี่เล่มนั้นของท่านจดจำเจ้านาย ข้าแตะไม่ได้ ขนาดใช้เสื้อผ้าของท่านห่อมันยังไม่ยอม ข้าหมดปัญญาจึงได้แต่ทิ้งมันไว้ในป่า”
จ้งหวาข่มโทสะลงชั่วคราว นับว่าฟังคำอธิบายนี้ของข้าแล้ว
“พาข้าไปหามัน”
“ตอนนี้ท่านไม่ควรเคลื่อนไหวมั่วซั่ว” ข้าขวางเขา
“พาข้าไป”
“แต่ตอนนี้ท่าน…ไม่สามารถขยับได้”
เขาเงยมองข้า “กระบี่ชิงซวีเป็นของล้ำค่าของหลิวโป ไม่อาจสูญหายได้”
“แต่ท่าน…ก็ได้ ที่จริงท่านสามารถขยับได้เล็กน้อย แต่…” ข้าเอ่ยตามจริง “แต่ข้าหาป่าแห่งนั้นไม่เจอแล้ว” สีหน้าจ้งหวาขึ้นสีเขียว ข้าเกาหัว เสมองคานห้อง “เมื่อครู่บังเอิญพบสหายเก่า เดินไปคุยไปตลอดทาง ฮะๆๆ… ข้าก็เลยไม่ได้จำเส้นทาง ฮ่าๆๆ…”
เสียงสูดหายใจของเขาทั้งสะกดอารมณ์ทั้งหนักหน่วง “ปีศาจก้อนหินเมื่อครู่นี้คือสหายเจ้าสินะ ให้เขาพาข้าไป”
“เขาก็อาจหาที่นั่นไม่เจอเหมือนกัน” ข้ากล่าว “จุดที่ทิ้งดาบไว้ห่างจากจุดที่ข้าพบเขามากโขอยู่…”
จ้งหวาพลันไม่คิดพูดกับข้าอีก และไม่สนว่าหมอกพิษไอหยินในหน้าอกเป็นอย่างไร เขาผลักข้าออก มุ่งหน้าเดินเข้าไปในลานบ้าน แต่ไม่ถึงสองก้าวก็ต้องกุมหน้าอกคุกเข่าลงแล้ว คงเพราะไอหยินที่ตกค้างในร่างกระจายออกไป
“ได้ๆๆ ข้าไปหาๆ” ข้าทนเห็นเขาเคี่ยวกรำตัวเองไม่ได้จึงรีบเอ่ย “รอหาพบแล้วข้าก็จะอยู่เฝ้าข้างๆ กระบี่ ก่อนหน้านี้ท่านไม่ใช่ร่ายเวทคำสาปใส่ข้าหรือ พออาการท่านดีขึ้นบ้างแล้วค่อยตามมาทางที่ข้าอยู่เป็นใช้ได้”
“พวกเจ้ามีอะไร…” ขณะที่ข้ากำลังพูดกับจ้งหวา สือต้าจ้วงก็ยกน้ำชาเข้ามาในห้อง
จ้งหวาเงยหน้า สายตาเย็นเยียบจับจ้องสือต้าจ้วง ดูท่าคงเพราะความคิดแง่ลบที่ว่าไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมมีใจแตกต่างอะไรนั่นอีกแน่ ข้าพยุงเขากลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้งแล้วห่มผ้าให้ “กระบี่ของเขาถูกข้าทิ้งไว้ในป่า ข้ากำลังจะออกไปหา เจ้าดูเขาให้ดี อย่าให้เขาจับเจ้าสังหารเสียล่ะ”
สือต้าจ้วงได้ยินแล้วหลุดขำ “ข้าไม่ใช่ปีศาจซื่อบื้อในสมัยก่อนแล้ว ตอนนี้หากคิดสังหารข้าก็ต้องงัดฝีมือออกมาหน่อย” เขาวางน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างไม่ร้อนรน “ส่วนเรื่องกระบี่เล่มนั้น ข้าไหว้วานคนช่วยพวกเจ้าหาก็ได้แล้ว”
ข้าคิดแล้วเห็นด้วย ปีศาจในเขานี้ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ล้วนวิ่งอยู่บนเขานี้ทุกวัน ซ้ำคนก็มาก ย่อมต้องหาได้ไวกว่าข้า แต่ทางข้ายังไม่ทันได้พยักหน้าตกลง จ้งหวาที่เอนนอนอยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้น “กระบี่ชิงซวีไม่ต้องใช้ปีศาจอย่างพวกเจ้าไปหา…”
ข้านั่งลงข้างเตียงเขาอย่างซาบซึ้งยิ่ง กำผ้าห่มไว้แน่น “ท่านหมายถึง ท่านอนุญาตให้ข้าไปหา เท่ากับไม่มองข้าเป็นปีศาจแล้วใช่ไหม”
จ้งหวานิ่งเงียบ
เขาไม่ตอบอยู่นาน ในใจข้าอดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้ ถอนหายใจเอ่ยกับสือต้าจ้วง “สมองเขาใช้การไม่ได้อีกแล้ว เจ้าอย่าจริงจังกับคำพูดไม่รื่นหูเมื่อครู่ของเขาเลย ก็ให้ปีศาจบนเขาไปหาเถอะ ให้พวกเขาหาไวหน่อย ผู้วิเศษจ้งหวาของพวกเรายังมีปีศาจร้ายต้องไปกำจัด”
“ข้ามาเพื่อพูดกับพวกเจ้าเรื่องปีศาจร้ายที่เจ้าพูดถึงนั่น” สือต้าจ้วงไม่รีบไปทันที แต่กลับเลื่อนเก้าอี้นั่งลงเอาเอง “จากที่ข้ารู้มา นิสัยเดิมของปีศาจจิ้งจอกตนนั้นไม่ได้เลวร้าย ที่กลายเป็นเช่นตอนนี้ ความจริงเพราะถูกคนชั่วทำร้าย หากทำได้พวกเจ้าช่วยหลับตาข้างลืมตาข้างปล่อยนางไปได้หรือไม่ อย่างไรก็เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง…”
“ปีศาจไหนเลยจะน่าสงสาร…” ข้ายัดมุมผ้าห่มใส่ปากจ้งหวาแล้วอุดไว้แน่น ตอนนี้เขาร่างกายอ่อนแอ แม้จะเดือดดาลแต่กลับไม่อาจต่อต้านได้
ข้าเอ่ยถามต้าจ้วง “เจ้าเล่ามาหน่อยว่าเหตุใดนางจึงน่าสงสาร”
สือต้าจ้วงดื่มชาที่ตนยกเข้ามาซะเอง แล้วเอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงดำดิ่งจับใจคนฟังราวกับนักเล่านิทานก็ไม่ปาน “พูดไปก็เหมือนละครเรื่องหนึ่ง สามปีก่อนปีศาจจิ้งจอกตนนี้ชอบพอบัณฑิตยากจนคนหนึ่งที่เมืองตีนเขา จึงวางแผนจนได้แต่งให้เขา ภายหลังบัณฑิตสอบติด ถูกราชสำนักส่งไปเป็นนายอำเภอ ท่านเจ้าเมืองผู้เป็นเบื้องบนถูกใจบัณฑิตคนนี้มากจึงคิดยกลูกสาวของตนให้เขา บัณฑิตก็หาได้บอกเจ้าเมืองว่าเขาแต่งภรรยาแล้ว ทางหนึ่งแต่งเจ้าสาวคนใหม่ อีกทางส่งนักพรตมาภูเขาต้องการกำจัดปีศาจจิ้งจอก แต่นักพรตคนนั้นฝีมือไม่มาก ไม่สามารถสังหารปีศาจจิ้งจอกได้ แต่เพราะเก็บบาตรทองกลางป่าในชาติ…แค่ก หมายถึงบาตรทองของพระธุดงค์ในสมัยก่อน เขามีบาตรทองคุ้มกายจึงหนีออกจากเขานี้ได้”
จริงสิ ชาติก่อนตอนลาเฒ่าหัวโล้นนั่นตายในป่า อาวุธเวทร้ายกาจในมือพวกนั้นไม่รู้กลิ้งหายไปไหน ไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะกลับมาปรากฏในชีวิตข้าอีกครั้งด้วยวิธีเช่นนี้
“แม้บัณฑิตจะทรยศแล้งน้ำใจ แต่ปีศาจจิ้งจอกกลับไม่คิดไปแก้แค้นเขา รู้สึกว่าอย่างไรก็เป็นตนที่ตัดสินใจแต่งให้เขาเองในตอนแรก ตอนนี้มีผลเช่นนี้นางก็ขอยอมรับ”
ความรู้สึกนี้ของนางคล้ายกับของข้า เป็นข้าที่ตัดสินใจเกี้ยวโม่ซี ดังนั้นไม่ว่าชาตินี้เขาจะโหดร้ายต่อข้าอย่างไรข้าล้วนยอมรับ ข้าถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจ พยักหน้าน้อยๆ ด้วยเข้าใจความรู้สึกของปีศาจจิ้งจอก
“เดิมทีเรื่องราวถึงตรงนี้ก็นับว่าจบสิ้นแล้ว แต่ไม่คาดว่าบัณฑิตคนนั้นจะมาหาถึงบ้าน คร่ำครวญว่าตัวเองถูกท่านเจ้าเมืองบีบจนต้องแต่งหญิงอื่นอย่างไร อ้อนวอนขอให้ปีศาจจิ้งจอกไปช่วยเขา ปีศาจจิ้งจอกชอบบัณฑิตอยู่แล้วจึงใจอ่อนชั่วขณะยอมตามเขาไป กลับไม่คิดว่าบัณฑิตคนนั้นจะให้นักพรตที่อยู่ในบ้านจัดวางค่ายกลไว้แล้วกักขังปีศาจจิ้งจอก คว้านลูกตา ตัดลิ้น เฉือนหู เก็บเอาลูกกลอนปราณไว้ในบาตรทอง เดิมเขายังคิดจะตีวิญญาณปีศาจจิ้งจอกให้แตกซ่านจนไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้อีกตลอดไป สุดท้ายนางหนีออกมาได้ มีเพียงหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตกับลูกกลอนปราณของนางที่ถูกขังเอาไว้ในบาตรทอง”
นี่…หากครึ่งแรกยังสามารถพูดได้ว่าเป็นโครงเรื่องในนิทานชาวบ้าน ความโหดเหี้ยมของบัณฑิตในครึ่งหลังก็เรียกได้ว่าแม้แต่ชายมากรักในนิทานยังไม่สามารถถึงขั้นนี้เลย
“ไม่กี่วันก่อนบัณฑิตคนนั้นเชิญนักพรตหญิงฝีมือร้ายกาจคนหนึ่งมากำจัดปีศาจจิ้งจอกอีก ผลคือนักพรตหญิงคนนั้นก็ไม่ใช่คู่ปรับของปีศาจจิ้งจอก ได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่รู้หนีไปที่ใด”
นักพรตหญิงคนนั้น ตอนนี้นอนพักอย่างดีอยู่ในเรือนของจ้งหวาน่ะ
ข้าจุปาก “มีความแค้นมากขนาดไหนนะ ฆ่านางไปเลยไม่ได้หรือ เหตุใดยังต้องทรมานนางถึงเพียงนี้”
“ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนั้นดูเหมือนปีศาจตนนั้นจะใช้แผนการทำให้บัณฑิตแต่งนาง บัณฑิตหยิ่งยโสโอหัง บางทีในใจอาจมีความขุ่นแค้นอยู่ตลอดก็เป็นได้ แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรข้าก็ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ต่อจากที่เล่าเมื่อครู่ ตอนนั้นแม้ปีศาจจิ้งจอกจะรอดพ้นเงื้อมมืออำมหิตของบัณฑิต ไม่รู้เหตุใดกลับไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ ได้แต่แบกร่างกายที่ตายไปแล้วของตนร่างนั้นลอยไปลอยมาในป่าบนเขานี้ กลายเป็นครึ่งปีศาจครึ่งผี นางคิดไปแก้แค้นบัณฑิตนั่น แต่บาตรทองที่อยู่ในมือบัณฑิตร้ายกาจเกินไปทำให้นางหมดปัญญาเข้าใกล้ นางจึงได้แต่อยู่ในโลกมนุษย์อย่างว่างเปล่า ใครเห็นต่างก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย…”
ข้าหันมองจ้งหวา เห็นเขาขมวดคิ้ว ไม่รู้กำลังคิดอะไร
สือต้าจ้วงเอ่ยโน้มน้าว “อย่างไรตอนนี้นางก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย ปล่อยนางไว้ไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้” น้ำเสียงข้าหนักแน่นอย่างไม่อนุญาตให้สอดปาก
สือต้าจ้วงตะลึงมองข้า แม้แต่จ้งหวาก็มีสีหน้าประหลาด
ข้าเกาหัว “เดิมทีหากนางเป็นปีศาจธรรมดาตนหนึ่ง ปล่อยนางไปก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ดูจากที่เจ้าพูด ตอนนี้นางไม่ใช่ปีศาจทั่วไปแล้ว นางไม่นับว่ามีชีวิต เพราะร่างกายตายไปแล้ว ดังนั้นไอหยินบนร่างถึงเข้มข้น แต่นางก็ไม่นับว่าตาย เพราะนางขาดหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิต วิญญาณกับจิตไม่สมบูรณ์ก็ไม่อาจเข้าสู่ปรโลก” ข้ามองจ้งหวาแล้วเอ่ย “ตอนนี้มาคิดดู ที่ท่านสัมผัสปราณนางไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะนางกลายเป็นตัวตนนอกเหนือวัฏจักรธาตุทั้งห้า* ยิ่งรวมกับความเคียดแค้นลึกล้ำในใจ เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่แน่ว่าวันใดจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดคิดถึง จำเป็นต้องส่งนางไปเกิดใหม่ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้จึงจะถูก”
“แต่หนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตของนางยังถูกขังอยู่ในบาตรทอง” สือต้าจ้วงถอนหายใจ “พูดไปก็น่าละอาย ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ข้าไม่เคยคิดช่วยนาง เพียงแต่…เจ้าน่าจะรู้ดีถึงความร้ายกาจของบาตรทองนั่น บัณฑิตพกบาตรทองติดตัวทั้งวันเพื่อป้องกันการแก้แค้นของปีศาจจิ้งจอก ข้าลองมาหลายครั้งก็ยังไม่อาจเข้าใกล้เขาได้”
ความร้ายกาจของบาตรนั่นข้าย่อมตระหนักดี ชาติก่อนมันเพียงส่องใส่ข้าครั้งเดียว หลังข้าก็ถูกเผาจนบาดเจ็บแล้ว ทั้งยังทำให้โม่ซีเป็นกังวลอยู่นาน
ไอหยินที่ข้าบำเพ็ญมาพันปีในแม่น้ำลืมเลือนยังสู้ลำแสงธรรมในนั้นไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปีศาจที่มีพลังเวทไม่กี่ร้อยปีพวกนี้เลย ข้านิ่งคิดรอบหนึ่ง “ข้ามีวิธีดึงวิญญาณกับจิตของปีศาจจิ้งจอกออกมาจากร่าง ส่วนหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตที่เหลือของนาง…” ข้าหันมองจ้งหวา “ผู้วิเศษ เชิญท่านเถอะ”
จ้งหวาผลักมือของข้าแล้วคายมุมผ้าที่ถูกยัดไว้ในปากออก “หลิวโปของข้าไม่เคยช่วยปีศาจ…”
“เช่นนั้นกระบี่ชิงซวีท่านก็หาเองเถอะ” ข้าเอ่ย “ปีศาจจิ้งจอกนั่นท่านก็ตามเอาเองแล้วกัน แต่ดูเหมือนท่านจะสัมผัสปราณนางไม่ได้ อีกทั้งดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ผู้ที่ทำร้ายนักพรตหญิงชิงหลิงคงเป็นปีศาจจิ้งจอกไม่ผิด เกรงแต่ว่าคนที่ร่ายคำสาปใส่นางจะเป็นอีกคน เพราะด้วยสภาพเช่นนั้นของปีศาจจิ้งจอกเป็นไปไม่ได้ที่จะร่ายเวทคำสาปใส่ผู้อื่น คนร่ายคำสาปนี้ท่านก็ค่อยๆ หาเอาเองเถอะ กลัวก็แต่นักพรตหญิงรอท่านหาตัวคนไม่ไหวเท่านั้น”
จ้งหวาพูดไม่ออกอีกครั้ง
ข้าโปรยดอกไม้ให้ตัวเองในใจ กดนิสัยยโสในชาตินี้ของเขาลงได้แล้ว ซ้ำยังแทงจุดปวดได้ทุกเข็มอย่างแม่นยำด้วย
สือต้าจ้วงปิดปากหัวเราะตัวสั่นอยู่ด้านข้าง “เช่นนั้นข้าจะไปบอกให้คนตามหากระบี่พร้อมกับหาร่องรอยของปีศาจจิ้งจอกตนนั้น เพื่อที่เจ้าจะได้ลงมือเก็บวิญญาณกับจิตของนาง”
“อืม ช่วงนี้จะได้ให้ผู้วิเศษจ้งหวาปรับลมปราณในร่างเขาพอดี”
สือต้าจ้วงจากไปทำให้ในห้องเงียบสงบลงอีกครั้ง จ้งหวาหลับตาไม่มองข้า เดิมข้าคิดจะเปิดเสื้อผ้าเขาออกดูรอยดำบนหน้าอก แต่เห็นเขาขมวดคิ้วไม่ใคร่พอใจจึงไม่ขยับ เพียงเอ่ยว่า “อารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อครู่ของท่านทำให้ไอหยินในร่างกระจายออกไปแล้ว แต่ว่าไอหยินนิดหน่อยพวกนั้นท่านน่าจะสามารถจัดการเองได้ ข้าไม่สอดมือยุ่งแล้ว หากท่านอยากดื่มน้ำก็บอกข้าแล้วกัน”
เขาหลับตาไม่พูดจา ขณะที่ข้านึกว่าเขาเริ่มปรับลมปราณอย่างจริงจังแล้ว จู่ๆ เขากลับเอ่ยปากออกมา “เจ้าเป็นใครกันแน่”
“เป็นหญิงดีงามที่มาเกี้ยวท่าน”
“เจ้าไม่ยอมพูดความจริงก็ช่างเถอะ” เขาหลับตากล่าว “ไม่ต้องเอาคำพูดไร้สาระพวกนี้มาหลอกลวงข้า”
ที่แท้คำสารภาพที่ข้ามีต่อเขา เขาล้วนมองเป็นว่าข้ากำลังพูดจาล้อเล่นแกล้งหยอกเขาเท่านั้น…
ข้าทอดถอนใจหดหู่อย่างอดไม่ได้ ชาติก่อนข้าพูดอะไรโม่ซีล้วนเชื่อทั้งนั้น ไม่ว่าคำโกหกหรือว่าความจริง แต่ชาตินี้ไม่ว่าข้าพูดอะไรโม่ซีล้วนไม่เชื่อแล้ว บางทีนี่อาจเป็นผลกรรมหลังจากที่ข้าหลอกลวงโม่ซีที่เชื่อใจข้าถึงเพียงนั้นในสมัยก่อนกระมัง
ข้าไม่อธิบายต่ออีก ลมหายใจของจ้งหวาเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแผ่วยาวเสมอกัน
ข้าย้ายเก้าอี้มานั่งลงด้านข้างเหมือนยามเฝ้าไข้เขาในสมัยก่อน มองดูใบหน้าเขาเงียบๆ เพียงแต่ต่อให้เป็นใบหน้าที่ถูกใจอย่างไรก็ไม่ใช่นิทานที่มากด้วยสีสันพัฒนาเรื่องราวต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าจึงมองไปๆ แล้วค่อยๆ หลับลง