ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด – หน้า 15 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด

บทที่สิบห้า

 ข้าผ่านสองสามวันมานี้มาอย่างเหนื่อยยากจริงๆ พอตื่นขึ้นมาก็เป็นรุ่งสางของวันใหม่แล้ว แสงยามเช้าอันอบอุ่นส่องลอดกระดาษหน้าต่างเข้ามาในห้อง พาให้ดูราวกับยังอยู่ในความฝัน

ข้าขยี้ตามองไปที่เตียงตามจิตใต้สำนึก ทว่ากลับสบเข้ากับดวงตากระจ่างคู่หนึ่งพอดี “โม่ซีตื่นแล้วหรือ” ข้ายื่นมือไปลูบหน้าอกเขา “ดีขึ้นหรือยัง” ข้าเคลื่อนมือ บนหน้าผากมีอุณหภูมิปกติ แสดงว่าร่างกายเขาแข็งแรงขึ้นแล้ว

กระทั่งมือถูกปัดออกข้าถึงเพิ่งสะดุ้งตื่น นี่ไหนเลยจะมีโม่ซีที่กำลังป่วยอยู่

ข้าหดมือกลับ ลูบข้อมือตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง เตรียมตัวรับคำด่าว่าของจ้งหวา แน่นอนว่าเตรียมสวนกลับวาจาร้ายกาจของเขาด้วย แต่ไม่คาดว่าเขากลับเพียงแค่เลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง กวาดมองข้าด้วยสายตาราบเรียบคราหนึ่ง “โม่ซีเป็นใคร”

ประโยคนี้มาอย่างกะทันหัน ถามจนข้ารับมือไม่ทัน ได้แต่นิ่งชะงักมองเขา

เห็นสายตาเช่นนี้ของข้า จ้งหวาคล้ายรู้สึกตัวขึ้นมาเช่นกัน เขาคลึงหว่างคิ้วตนเองเบาๆ “ช่างเถอะ…ถือว่าข้าไม่ได้ถามแล้วกัน…”

“โม่ซีคือสามีในสมัยก่อนของข้า”

จ้งหวานิ่งงันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าแปลกใจกับท่าทีที่ตอบคำถามอย่างแน่วนิ่งของข้า หรือตกตะลึงกับเนื้อหาในคำตอบ

“เขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก” ข้าคิดๆ แล้วอดกล่าวเสริมอีกประโยคไม่ได้ “ท่านเทียบกับเขาแล้ว หน้าตาพอๆ กัน แต่นิสัยกลับห่างกันไกล”

เขาชะงัก ดูคล้ายไม่เชื่อถืออยากจะโต้แย้งอะไรกับข้า แต่สุดท้ายกลับเพียงทำสายตาเย็นชา เหลือบมองข้าอย่างไม่แยแสอยู่บ้างเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อ “วันนี้ต้องไปหาปีศาจจิ้งจอกตนนั้น บาดแผลบนมือเจ้ามีปัญหาอะไรไหม”

ข้ายกมือให้เขาดู บนหลังมือเหลือเพียงรอยแผลเป็นเล็กๆ เส้นหนึ่ง “ปีศาจตนนั้นสร้างบาดแผลให้ข้าได้ไม่เท่าไร หายดีแล้ว”

เพิ่งพูดไปประตูห้องก็พลันถูกผลักเข้ามาอย่างแรง สือต้าจ้วงพุ่งเข้ามาสีหน้าร้อนรน “ตามข้ามาเร็ว ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกอยู่ในป่านอกลานบ้าน”

จ้งหวาเลิกผ้าห่มแล้วลงจากเตียงเดินออกไปด้านนอก ข้ารีบดึงแขนเสื้อเขาไว้ “กระบี่ชิงอะไรนั่นของท่านยังหาไม่พบ ไม่สามารถแข็งชนแข็งกับนางได้ พูดตามจริงตอนนี้ท่านก็ไม่มีความสามารถที่ว่า ดังนั้นพอเจอปีศาจจิ้งจอกแล้วอย่าหุนหัน ให้ข้าจัดการเอง หลังจากนี้ยังมีเวลาให้ท่านได้แสดงฝีมือ”

ข้าลากเขาไปข้างหลังแล้วชิงวิ่งออกไปกับสือต้าจ้วงก่อน คร้านจะสนใจสีหน้ากับอารมณ์ของจ้งหวาในตอนนี้แล้ว

เพิ่งออกมาลานบ้านข้าก็สัมผัสได้ว่ามีหมอกพิษไอหยินเข้มข้นตลบอบอวลในป่า เพียงแต่ไอหยินวันนี้เทียบกับวันก่อนแล้วลดความเคียดแค้นและจิตสังหารลงไปหลายส่วน ใกล้เคียงกับไอปราณในปรโลกยิ่งขึ้น

สือต้าจ้วงวิ่งไปพลางเร่งไปด้วย “เร็วหน่อย ข้าให้ปีศาจก้อนหินน้อยไม่กี่ตนพัวพันเล่นกับนาง อย่ารอจนนางคลุ้มคลั่งขึ้นมา ไม่เช่นนั้นก้อนหินน้อยพวกนั้นต้องโชคร้ายแน่”

ข้าแปลกใจ “นางเล่นกับปีศาจก้อนหินน้อยด้วย?”

“ได้ยินว่าเมื่อก่อนนางชอบเด็ก แม้ปัจจุบันจะกลายเป็นเช่นนี้ก็ยังชอบอยู่ หากมีเด็กไปรบเร้าขอเล่นซ่อนหากับนาง ปกตินางจะไม่ปฏิเสธ ต่อให้กลายเป็นแบบนี้ก็ยังมีสัมพันธ์อันดีกับปีศาจน้อยบางตนอยู่ แม้ข้าไม่รู้จักตอนนางมีชีวิต แต่คนที่รักเด็กแบบนี้คิดดูแล้วน่าจะเป็นคนดี ดังนั้นถึงบอกว่านางน่าสงสาร”

ห่างจากไอหยินตรงนั้นมาไม่ไกลแล้ว ข้าผ่อนฝีเท้าลงดึงสือต้าจ้วงไว้แล้วกล่าวกระซิบ “อีกครู่หนึ่งเจ้าจำไว้ว่าต้องขวางจ้งหวา”

สือต้าจ้วงมองไปข้างหลังข้าเล็กน้อยแล้วพยักหน้าตาม

ข้าหายใจเข้าช้าๆ สูดเอาไอหยินที่กระจายอยู่ในป่าลงท้อง

หญิงในชุดขาวหันหลังให้ข้า เล่นซ่อนหาเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ปิดตาหันหน้าเข้าต้นไม้แล้วนับเลข เพียงแต่ลิ้นนางถูกตัดแล้ว จึงได้แต่เปล่งเสียง “อาๆ” ไม่ชัดเจนออกมา ฟังไม่ออกแม้แต่น้อยว่านางนับถึงเท่าไร

ข้าหันไปดูข้างหลัง เห็นสือต้าจ้วงไล่พวกปีศาจก้อนหินน้อยไปแล้วและขวางจ้งหวาให้ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ข้าถึงวางใจเดินต่อไป แตะบ่าปีศาจจิ้งจอกเบาๆ

นางสะท้านไปทั้งร่างครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่ปราณบนร่างแปรเปลี่ยนทันควัน จิตสังหารเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว

คนทั่วไปอยู่ภายใต้การกัดเซาะของหมอกพิษไอหยินเกรงว่าคงขยับไม่ได้แล้ว ข้าเองก็ไม่พูดอันใด รอจนสูดเอาไอหยินรอบกายนางเข้าไปได้ไม่น้อยแล้วค่อยจิ้มกระดูกสันหลังนาง “แม่นาง” หลังนางเกร็งแข็งคล้ายไม่รู้ควรทำอย่างไรกับน้ำเสียงเอื่อยๆ และร่างกายที่ไร้อาการบาดเจ็บของข้า ข้าเอ่ย “ข้าได้ฟังเรื่องของเจ้าแล้ว รู้สึกว่าข้าน่าจะสามารถช่วยเจ้าได้ พวกเรามาคุยกันเถอะ”

นางค่อยๆ หันมา ผมขาวปิดบังใบหน้าทั้งหมดของนาง แต่ข้ายังพอมองเห็นเครื่องหน้าที่ถูกทำลายได้เลือนรางระหว่างเส้นผม นางส่งเสียงในคอราวกับเสียงขู่เตือนของสัตว์ ไอหยินในร่างยิ่งถาโถมมากขึ้น

ข้ารับของขวัญที่นางมอบให้อย่างไม่เกรงใจ อาจเพราะรู้สึกว่าข้าไม่ใช่คนปกตินางจึงเก็บพลังรอบกายกลับไป

“เจ้าฟังข้าพูดหน่อยได้หรือไม่” ข้าพูดชัดถ้อยชัดคำ พูดเสียงดังเชื่องช้า พยายามไม่กระตุ้นยั่วนางเต็มที่

นางถึงค่อยพยักหน้าช้าๆ

ข้านั่งลงกับพื้นแล้วตบที่ว่างข้างตัว “มา ไม่ต้องเกรงใจ นั่งก่อนค่อยว่ากัน”

นางกอดเข่านั่งยองๆ ก้มหัวลงต่ำท่าทางเหม่อลอย ไม่เหมือนเมื่อตอนพบกันครั้งก่อนที่แยกเขี้ยวกางเล็บเปล่งจิตสังหารรุนแรง ดูท่าอารมณ์ความรู้สึกจะมีผลกระทบต่อนางค่อนข้างมาก หรือควรพูดว่านี่จึงจะเป็นท่าทางที่นางควรมี อย่างไรก็ขาดหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิต การตอบสนองเฉื่อยชาเชื่องช้าอยู่บ้างก็เป็นเรื่องปกติ

“คราวก่อนเจ้าดุร้ายปานนั้นเป็นเพราะถูกข้ากับอีกคนหนึ่งขู่จนตกใจใช่หรือไม่ หรือเจ้าคิดว่าพวกเรามาทำร้ายเจ้า”

นางไม่ตอบสนอง ข้าจึงกล่าวต่อ “ตอนนี้เจ้ากึ่งตายกึ่งเป็น วิญญาณกับจิตในร่างก็ไม่สมบูรณ์ ข้าพอรู้ถึงความทุกข์ของเจ้า ตอนนี้ข้ามีวิธีช่วยเอาวิญญาณและจิตของเจ้าออกมา จากนั้นส่งเจ้าไปเกิดใหม่ เจ้ายินยอมหรือไม่”

นางเงียบอยู่นานค่อยส่ายหัว แม้การกระทำจะเชื่องช้าแต่แน่วแน่มาก

ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวโน้มน้าว “ข้ารู้ว่าเจ้าวางอดีตไม่ลง แต่โลกมนุษย์นี้ไหนเลยจะมีสิ่งที่วางไม่ลง ร่างกายของเจ้าตายไปแล้ว นี่ก็หมายความว่าชั่วชีวิตนี้ของเจ้าจบสิ้นแล้ว เกลียดก็ดี รักก็ดี ไม่ยินยอมก็ดี ทุกความรู้สึกล้วนควรดับสูญตามความตายของร่างกายเจ้า จากนั้นไปยังปรโลก ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งชามหนึ่ง พลิกหน้าหนังสือที่เขียนอักษรจนเต็มแล้วนี้ไป พอเจ้าลืมตาก็จะเป็นการเดินทางอันเชื่องช้าของชีวิตอีกหน ไม่ต้องจมดิ่งยึดติดกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”

นางไม่มีปฏิกิริยา

ข้าเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เมื่อก่อนข้าพบเห็นคนมากมายร่ำไห้คร่ำครวญเจ็บปวดไม่สู้ตายก่อนดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง แต่พอดื่มลงท้อง ไม่ว่าจะตัวประหลาดอะไรล้วนแต่ก้าวลงบ่อเวียนว่ายตายเกิดอย่างสงบนิ่ง นั่นเป็นภาพที่กลมเกลียวกันดียิ่งภาพหนึ่ง สภาพจิตใจที่สุขสงบเช่นนั้น เกรงว่าคงมีแต่ชั่วขณะที่ดื่มน้ำแกงจึงจะสามารถสัมผัสได้ ถึงรสชาติจะขมหน่อย แต่กลืนน้ำลายก็เปลี่ยนเป็นหวานแล้ว ไม่ได้ดื่มยากเหมือนที่เล่าลือกัน ท่านยายที่ต้มน้ำแกงยังทุ่มเทจิตใจ แม้ว่าพวกนั้นจะไม่ค่อยมีผลต่อข้าเท่าไร…”

“อ่ะแฮ่ม!” สือต้าจ้วงที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ส่งเสียงเตือน

ข้ากลับเข้าเรื่อง “โบราณว่าตายเร็วเกิดใหม่เร็ว เจ้ารีบไล่ตามช่วงเวลาที่ผลิบานนี้ถึงจะเป็นเรื่องดี! สมควรยินดี อย่ามาเสียเวลาอยู่เลย ไปเถอะ เจ้าจะได้อยู่ในชะตาแห่งฟ้าดิน มีหน้าตาใหม่ ร่างกายใหม่ เหมือนพวกเด็กๆ ที่มาก่อกวนวุ่นวายอย่างไร้เจตนา วิ่งเล่นซุกซนทั่วทุ่งกว้างและภูเขา เจ้ายังจะได้รักคนอื่น บัณฑิตอะไรนั่นก็ไม่นับเป็นอะไรแล้ว”

หัวของนางขยับเล็กน้อย ค่อยๆ หันมองข้า ใบหน้าที่ถูกเฉือนจนเละเทะปรากฏชัดเบื้องหน้าข้าอีกครั้ง แม้จะได้เห็นเป็นครั้งที่สองข้าก็ยังตะลึงอยู่บ้าง

ปราณรอบกายนางเริ่มเปลี่ยนแปลง เห็นชัดว่าคำว่า ‘บัณฑิต’ ที่พูดถึงเมื่อครู่นี้ไปกระตุ้นนางเข้าแล้ว

ข้าสูดเอาหมอกพิษไอหยินที่นางปล่อยออกมาเงียบๆ พลางพูดไปด้วย “ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะยินยอมให้ข้าเก็บวิญญาณกับจิตเจ้าไปหรือไม่ สุดท้ายข้าก็ยังจะนำมันไปอยู่ดี แม่นาง เจ้าน่าจะเข้าใจ เพื่อคนที่ไม่คู่ควรคนหนึ่ง ต้องส่งผลต่อทุกๆ ชาติต่อจากนี้เป็นเรื่องขาดทุนเรื่องหนึ่ง”

“ไสหัวไป…”

มีเสียงคลุมเครือดังออกมาจากในคอนาง ทว่าเมื่อคิดอย่างละเอียดแล้วถึงเพิ่งพบว่านางถึงกับพูดด้วยท้อง

“แม่นางฟังข้าอีกสักประโยค…”

“แย่แล้ว! วิ่งเร็ว!”

เสียงสือต้าจ้วงดังมาแต่ไกล ไอหยินบนร่างปีศาจจิ้งจอกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทันใด สมาธิทั้งหมดของข้าจดจ่ออยู่กับการสูดมันเข้าไป แต่ไม่คิดว่าขณะที่ข้ากำลังสูดอยู่นั้นนางพลันกางกรงเล็บคว้าคอข้า ตะปบลำคอของข้าจนฉีกเปิดเลือดทะลัก เส้นโค้งที่พุ่งออกมาทำเอาข้านิ่งอึ้งไปด้วย

ข้ากุมปากแผลเงยหน้าขึ้น ปีศาจจิ้งจอกฟาดกรงเล็บใส่อีกครั้ง ในช่วงฉุกละหุกข้ายกมือข้างหนึ่งขึ้นสกัดแล้วคว้าแขนนางไว้ สูบเอาไอหยินในร่างนางอย่างเอาเป็นเอาตาย

ปีศาจจิ้งจอกบันดาลโทสะอ้าปากออก ในปากที่ไร้ลิ้นปรากฏเขี้ยวสองแถวบนล่างเหมือนกับของสัตว์ นางพุ่งหัวมาจะกัดข้า

ก่อนที่ข้าจะยื่นมือออกต้านพลันมีคนรวบเอวข้าอย่างว่องไว กอดข้าพลางลากให้ถอยหลังสองสามก้าว

ข้าปลาบปลื้มใจ รู้ว่าไม่ว่าโม่ซีจะกลับชาติมาเกิดอย่างไรก็ยังล้วนใส่ใจข้าเสมอ ความอิ่มเอมภาคภูมิในใจของข้าพุ่งตรงขึ้นสู่ยอดกะโหลกทันที ทว่าพอข้าหันกลับไปมองอย่างลิงโลดกลับพบว่าคนที่กอดข้าอยู่คือสือต้าจ้วง!

ก่อนหน้านี้มีความยินดีเท่าไร พริบตานี้ก็มีความผิดหวังเท่านั้น ข้าผลักสือต้าจ้วงออกไปอย่างเคืองโกรธ ชี้หน้าด่าเขา “ในนิทานไม่ได้เขียนเช่นนี้! เอาใหม่!”

สือต้าจ้วงถูกข้าด่าจนตะลึงงัน ข่มกลั้นครู่หนึ่งแล้วว่า “ได้ เรียกพวกเขาสองคนมาทำใหม่…”

ข้าพลันหันไปหาเงาร่างของจ้งหวา แต่กลับเห็นเขาประมือกับปีศาจจิ้งจอกโดยปราศจากอาวุธแล้ว

ร่างปีศาจจิ้งจอกที่ขาดหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตเดิมควรจะเชื่องช้า แต่อาศัยความเดือดดาลชั่วขณะใช้ไอหยินขับเคลื่อนร่างกาย เมื่อครู่ถึงได้ว่องไวราวกับลูกธนู แต่นางเพิ่งถูกข้าสูดเอาไอหยินไปไม่น้อย การเคลื่อนไหวคราวนี้จึงช้าลง มีแนวโน้มว่าจะสู้ไม่ชนะจ้งหวา

ครั้นเห็นท่าไม่ดีปีศาจจิ้งจอกก็ไม่คิดสู้พัวพัน หมุนตัววิ่งหนีไป จ้งหวายิ่งไล่ตามไปโดยไม่มีลังเล ไม่ได้แบ่งใจมามองข้าสักครั้ง

ไม่เลยสักครั้ง…

คอข้าเลือดยังพุ่งไม่หยุด พุ่งจนทั้งหัวทั้งตัวสือต้าจ้วงเป็นสีเลือด เขารีบร้อนฉีกเสื้อตนเองออกพันให้ข้า “อย่าขยับนะ เจ้าอย่าขยับสิ ข้ายังไม่ได้พันให้ดี ยิ่งเจ้าขยับเลือดยิ่งพุ่งแรงนะ!”

ข้าเลือดไหลจนแม้แต่ปีศาจที่เชื่องช้าอย่างสือต้าจ้วงเห็นแล้วยังร้อนรน แต่จ้งหวาถึงกับ…เขาถึงกับจากไปโดยทิ้งข้าไว้แบบนี้?

ไม่ผิด…ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่สุดในการจับปีศาจจิ้งจอก ข้าเข้าใจการกระทำของจ้งหวา ข้าถึงขนาดเปลี่ยนความคิดก็หาเหตุผลนับไม่ถ้วนออกมาให้เขาได้ แต่เขาไปอย่างรวดเร็วเพียงนั้น เด็ดขาดเพียงนั้น…

“ขะ…ข้าเจ็บหน้าอกยิ่งนัก…” ข้าดึงมือสือต้าจ้วงร้อง “เจ็บยิ่ง!”

“เจ้าไม่ได้บาดเจ็บที่คอหรือ” สือต้าจ้วงไม่เข้าใจ “หน้าอกก็ถูกตะปบด้วย?”

“ปวดใจ! ปวดหัวใจ! หมื่นธนูแทงใจ*! หมื่นอาชาห้อตะบึง!”

“เกี่ยวอะไรกับหมื่นอาชาห้อตะบึง…” สือต้าจ้วงจนใจ “พันแผลก่อนได้หรือไม่”

“ไม่ได้!” ข้ากล่าวอย่างโมโห “ปล่อยเลือดไหลไว้ ให้เขาไล่ตามปีศาจแล้วกลับมาเห็นด้วยตนเอง ตอนนี้ยิ่งพุ่งเยอะยิ่งดี ยิ่งน่ากลัวยิ่งดี! ให้เขามาดูว่าตนเองทำอะไรลงไป!”

สือต้าจ้วงทอดถอนใจ “ซานเซิง…เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นจริงๆ เจ้าทำร้ายตนเองเช่นนี้เพื่ออะไร ทั้งที่เมื่อกี้เจ้าเพิ่งพูดเองว่าน้ำแกงยายเมิ่งเป็นของแบบไหน เจ้ารู้ทั้งรู้ว่า…เขาไม่ใช่โม่ซีคนก่อนแล้ว เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะแลกสายตาห่วงหาจากเขามาได้ เหตุใดเจ้าต้องดึงดันถึงเพียงนี้ด้วย”

เหตุใดต้องดึงดัน?

คำถามนี้ถามจนข้าตื่นตะลึง

ดึงดันให้จ้งหวาดีต่อข้า ดึงดันเอาจ้งหวาในตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับโม่ซีเมื่อก่อน ดึงดันคาดหวังว่าจ้งหวาในตอนนี้จะอยู่ร่วมกับข้าเหมือนเขาในชาติก่อน

ข้าไม่ใช่ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของน้ำแกงยายเมิ่ง ข้าเพียงแค่ปรารถนาให้โม่ซีสามารถกลายเป็นคนพิเศษที่สุดหลังดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง ส่วนข้าคือเหตุผลที่ทำให้โม่ซีกลายเป็นคนพิเศษ พิเศษจนสามารถทำให้เขาหลุดพ้นจากพลังของน้ำแกงยายเมิ่ง สามารถทำให้เขาสลักข้าลงไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณราวกับตราประทับ ไม่ว่าใช้วิธีใด ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าใดก็ล้วนไม่มีวันลบล้างได้

ผู้ที่คุ้นเคยกับพลังการเวียนว่ายตายเกิดในปรโลกดีอย่างข้า ก็ยังรอคอยเรื่องเลื่อนลอยพรรค์นี้อยู่ในใจ

ที่แท้เหตุผลที่ทำไมต้องดึงดัน ก็แค่เพราะคนหนึ่งอยู่วงนอกเห็นชัด อีกคนเป็นคนในจึงสับสน

ในชั่วขณะนั้นข้าพลันเข้าใจความรู้สึกของปีศาจจิ้งจอกแล้ว ไม่ยินยอม วางไม่ลง ทนไม่ได้ ต่อให้ในใจกระจ่างแจ้งทุกเรื่อง แต่การกระทำที่แสดงออกมาในสายตาคนรอบข้างกลับมักไม่พ้นคำว่าโง่งมสองคำนี้

ข้านิ่งงันอยู่นานจนกระทั่งสือต้าจ้วงถอนหายใจข้างกายข้า “ในที่สุดก็หยุดเลือดได้แล้ว”

เพิ่งพูดออกมาก็เห็นปีศาจจิ้งจอกที่หนีไปร่วงลงมาจากฟ้า ถูกโยนลงมาอยู่ข้างหน้าข้า

จ้งหวาเดินกลับมาจากในป่า มองข้าคราหนึ่งแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ

เลือดบนคอของข้าแม้ถูกสือต้าจ้วงหยุดได้แล้ว แต่เลือดที่พุ่งออกมาเมื่อครู่ย้อมสีแดงให้ข้าไปกว่าครึ่งร่าง แม้แต่สือต้าจ้วงยังเปื้อนถูกเลือดจนไม่น่าดู สภาพสยดสยองน่าหวาดกลัว

ข้าตั้งตาคอยเขาอย่างเศร้าสลด รอให้เขาเอ่ยคำพูดห่วงใยอบอุ่นหัวใจข้า แต่ถึงที่สุดเขากลับพูดแค่เพียง “เจ้ายังมีแรงเก็บวิญญาณกับจิตในร่างนางหรือไม่”

ความอดสูในใจข้าทั้งหมดพรั่งพรูจากอวัยวะห้ากลั่นหกกรองขึ้นสู่ปลายลิ้นแล้ว แต่สุดท้ายกลับได้แค่พะงาบปากครั้งหนึ่ง ลิ้มรสขมขื่นนี้ด้วยตนเองก่อนขยับปากกล่าว “ไม่มีปัญหา”

เขาไม่ใช่ข้อยกเว้นหลังจากดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง

ข้าเตือนตนเองในใจ ค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆ การเกี้ยวโม่ซีในชาตินี้เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น ยังเร็วไป

ข้าถกแขนเสื้อที่ถูกเลือดย้อมจนเปียก “บาดแผลเล็กน้อย เลือดกระเด็นออกมานิดหน่อยเท่านั้น ไม่เป็นไร” ข้าพูดคำนี้จบรอบด้านก็เงียบไปนานมาก มีเพียงปีศาจจิ้งจอกที่ดิ้นขยุกขยิกคิดจะหนีไปอยู่บนพื้น

สายลมแผ่วเบาพัดเข้ามา สือต้าจ้วงเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้น…เจ้าควรเก็บวิญญาณกับจิตนางออกมาแล้วใช่หรือไม่”

ข้ายังคงจ้องมองจ้งหวา ไม่ปล่อยให้สีหน้าใดๆ ของเขาหลุดรอดไป “ท่านไม่ห้ามข้าหรือ” ข้าถาม เห็นเขาขมวดคิ้วก็กล่าวต่อ “ข้ากำลังฝืนตัวเองอยู่นะ ท่านจะไม่ห้ามข้าหรือ”

สือต้าจ้วงกุมขมับอยู่ด้านข้าง มุมปากจ้งหวากระตุกน้อยๆ “เจ้าสามารถอดทนฝืนตนเอง ก็ควรมีความอดกลั้นอย่าพูดออกมา”

“ข้าไม่พูดออกมา ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าฝืนตัวเล่า” ข้าสั่งสอนเขา “จ้งหวา ข้ากำลังให้โอกาสท่านรักใคร่ข้า ท่านต้องทะนุถนอมไว้”

เขาเอือมจนโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดไม่ใช่หรือว่าปีศาจตนนี้ทำร้ายเจ้าไม่ได้!”

“ข้าพูดอะไรท่านก็เชื่อเช่นนั้นหรือ ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าตนเองไม่ใช่ปีศาจเหตุใดไม่เห็นท่านเชื่อ”

เส้นเลือดบนขมับจ้งหวาเต้นตุบๆ แล้ว

ตีฝีปากชนะแล้วในใจข้าค่อยนับว่าเบาสบายขึ้นมาก จึงหันไปมองปีศาจจิ้งจอกที่นอนอยู่บนพื้น

นางอาจรู้สึกว่าพวกเราล้วนไม่สนใจนางจึงพยายามกลิ้งหนีไปด้านข้างสุดชีวิต เพียงแต่บาดเจ็บสาหัสขยับได้ไม่เร็วไปกว่าเต่า ข้าคว้าข้อมือนางแล้วกักตัวนางไว้ “ข้าเข้าใจความไม่ยินยอมของเจ้า และเข้าใจความรู้สึกว่าตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าล้วนคิดไม่ตกเรื่องนี้ ดังนั้นจึงรู้ว่าอาศัยคนอื่นเกลี้ยกล่อมก็กล่อมเจ้าไม่ได้” ข้าเอ่ย “ข้าลงมือนะ”

ข้าจรดนิ้วโป้งลงบนหน้าผากปีศาจจิ้งจอก นางต่อต้านสุดชีวิตด้วยแรงเฮือกสุดท้าย จ้งหวากับสือต้าจ้วงถูกไอหยินที่ทะลักออกมาจากร่างนางบีบให้ถอยหลังไปสองก้าว ปากข้าท่องคาถาเก็บวิญญาณ บนนิ้วโป้งมีแสงทองวาบผ่าน ขณะที่เปลี่ยนมือ กลุ่มไอสีขาวกลุ่มหนึ่งก็ถูกข้าจับไว้ในฝ่ามือ

หนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตที่ขาดหายไปทำให้สภาพร่างวิญญาณไม่มั่นคง อาจสลายเป็นเถ้าได้ทุกเวลา

ข้าอ้าปากกลืนวิญญาณของนางลงไป ใช้ร่างกายตนเป็นที่พักพิง แบกรับวิญญาณและจิตที่ไม่สมบูรณ์นี้ของนาง

ทำเช่นนี้มีความเสี่ยง หากไม่ระวังก็อาจถูกวิญญาณของนางชิงร่างเนื้อไป แต่ข้าเชื่อมั่นในตนเองว่าด้วยระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณกับพลังจิตใจของข้า อัตราการเกิดเรื่องเช่นนี้น้อยมากจริงๆ

จ้งหวาหรี่ตาเล็กน้อยถามข้า “เมื่อครู่เจ้ากินอะไรลงไป”

“แก่นแท้แห่งฟ้าดิน” ข้าเอ่ยอย่างใจกว้าง “รสชาติขมอมหวาน ท่านอยากกินหรือ ข้าสามารถคายออกมาให้ท่านชิมได้”

ดังนั้นจ้งหวาจึงไม่สนใจข้าอีก

ข้ามองร่างกายปีศาจจิ้งจอกที่แข็งทื่อในพริบตาและเริ่มเป็นสีดำช้าๆ สั่งกับสือต้าจ้วง “ให้ปีศาจน้อยตนอื่นเอาร่างนางฝังเถอะ พวกเราอาศัยช่วงนี้ไปหาบัณฑิตมากรักคนนั้น ชิงวิญญาณกับจิตที่เหลือกลับมาภายในวันนี้ จากนั้นค่อยส่งนางไปเกิด”

สือต้าจ้วงพยักหน้า “ข้ารู้จักจวนนายอำเภอ มุดดินไปก็แค่พริบตาเดียวเท่านั้น หาตัวบัณฑิตเจอได้ง่ายมาก อย่างเดียวที่ตึงมือคือบาตรทองที่บัณฑิตพกติดตัวอยู่ตลอดนั่น”

ข้าหันมองจ้งหวาเงียบๆ สือต้าจ้วงเองก็หันมองเขาเช่นเดียวกับข้า

จ้งหวาเงียบไปครู่ มองปราดผ่านข้าคราหนึ่ง “บาดแผลบนคอเจ้ามีเลือดไหล”

ข้าเข้าใจว่าเขายังยึกยักเรื่องช่วยไม่ช่วยปีศาจอยู่เลยหาข้ออ้างหลบเลี่ยง ดังนั้นจึงรีบเอ่ยรับรองจริงจัง “นี่แค่บาดแผลภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ดูแล้วน่ากลัว แต่ไม่ขัดขวางการขุดรากคนหยาบช้าปลอบโยนคนเมตตาของข้า”

เขาขมวดคิ้วเงียบอีกครู่หนึ่ง “ไปก็ได้”

สือต้าจ้วงโบกมือร่ายเวทหดระยะพื้นดิน เพียงชั่วพริบตาทัศนียภาพรอบด้านก็เปลี่ยนไปแล้ว นี่คือสวนน้อยที่ล้อมด้วยกำแพงอิฐ ในสวนเงียบสงบไร้คน มองดูดอกไม้ใบหญ้าต้นไม้พวกนี้แล้วเห็นได้ว่าเป็นสวนภายในจวนนายอำเภอ

ข้ามองซ้ายมองขวาแล้วเอ่ยถามสือต้าจ้วง “ในเมื่อตอนนี้บัณฑิตคนนั้นเป็นนายอำเภอแล้ว ช่วงกลางวันย่อมควรทำงานอยู่ในศาลาว่าการ ต่อให้ไม่ได้ว่าการก็น่าจะอยู่ในห้องหนังสือ เจ้าพาพวกเรามาที่สวนดอกไม้ทำไม”

สือต้าจ้วงยิ้มลึกลับ “ข้าพาเจ้ามาย่อมต้องมีเหตุผล” ยังเอ่ยไม่จบกลับได้ยินเสียงฝีเท้าเชื่องช้าจากทางเดินเล็กที่ขวางกั้นด้วยภูเขาจำลอง สือต้าจ้วงยิ้มอย่างได้ใจ เอ่ยเสียงเบา “เมื่อก่อนตอนที่คิดช่วยปีศาจจิ้งจอก ข้าเคยมาดูลาดเลาบ้างแล้ว”

เสียงฝีเท้านั่นยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งได้ยินเสียงแผ่วเบามากของชายหนุ่มคนหนึ่งดังมา “กลับไปพักผ่อนเถอะ เมื่อวานอาเจียนทั้งคืน เช้าวันนี้ก็ยังไม่ได้กินอะไร…”

“นอนทั้งวันก็เพลียเช่นกัน เจ้าตัวน้อยนิ่งอยู่ในท้องก็น่าเบื่อ ข้าเดินบ้างเขาจะได้ไม่ซน”

คำพูดนี้ทำเอาข้าสามคนตะลึง ที่แท้บัณฑิตคนนี้ก็มีลูกกับคุณหนูบุตรสาวเจ้าเมืองแล้ว

ความคิดนี้เพิ่งปรากฏในหัว ข้าพลันรู้สึกได้ว่ามีปราณในร่างสายหนึ่งพวยพุ่ง รุนแรงจนข้าแทบยืนไม่มั่น เอนไปด้านข้างเล็กน้อย ข้าคว้าแขนเสื้อจ้งหวาเอาไว้ถึงค่อยตั้งสมาธิให้มั่น จ้งหวาขมวดคิ้วมองข้า ทว่าใจดีไม่ได้สะบัดข้าออกอย่างหาได้ยาก “เป็นอะไร”

ข้าตบหน้าอกสูดหายใจ “ปีศาจจิ้งจอกนางหึงจนโกรธแล้ว…”

แววตาจ้งหวาเข้มขึ้นเล็กน้อย ข้ายังไม่ทันเข้าใจความหมายในนั้น บัณฑิตก็นำภรรยาของเขาเดินผ่านภูเขาจำลองประจันหน้ากับพวกเราแล้ว

บัณฑิตดึงคุณหนูลูกเจ้าเมืองปกป้องไว้ด้านหลัง เอ่ยถามเสียงเคร่ง “พวกเจ้าเป็นใคร”

ข้ามองสองคนด้านข้างแล้วเอ่ยตอบเสียงเคร่งเช่นกัน “พูดอย่างรุนแรงหน่อยก็คือพวกเราล้วนไม่ใช่คน”

บัณฑิตได้ยินแล้วสีหน้าเย็นชา ปกป้องคุณหนูพลางว่า “เจ้าออกไปก่อน” คุณหนูลูกเจ้าเมืองหน้าซีดมองพวกเราสองสามครั้ง ท้ายที่สุดก็กัดฟันกุมท้องวิ่งจากไปไกล

ข้ามองแผ่นหลังคุณหนูลูกเจ้าเมืองแล้วลูบคางครุ่นคิดเล็กน้อย ปราณบนร่างคุณหนูคนนี้…แปลกนิดหน่อย

บัณฑิตหยิบของบางอย่างจากในแขนเสื้อกว้าง “ปีศาจชั่วที่ไม่รู้จักประมาณตน คงรับการไหว้วานจากนางปีศาจนั่นมารนหาที่ตายอีกแน่ ครั้งก่อนปล่อยให้นางปีศาจหนีไปได้ ครานี้ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าได้มีชีวิตรอดออกไปจากจวนนายอำเภอ”

จ้งหวาอ้าปากคิดจะเอ่ยวาจา แต่บัณฑิตล้วงเอาบาตรทองออกมาแล้วส่องใส่จ้งหวาโดยไม่ฟังคำอธิบายใดๆ จ้งหวาโบกมือคราหนึ่ง ใช้ปราณเซียนกำบังสกัดกั้นลำแสงธรรมสีทองทั้งหมดไว้ได้ ข้าหลบอยู่ข้างหลังเขา จิ้มกระดูกสันหลังเขาเบาๆ “คราวนี้ท่านคงรู้แล้วว่าการถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจ แล้วยังต่อยตีโดยไม่ฟังคำอธิบายมีรสชาติอย่างไรกระมัง”

จ้งหวาส่งเสียงฮึเย็นชา “เจ้าไม่ใช่ปีศาจแต่ก็ไม่ใช่คน ไหนเลยจะเปรียบกับข้าได้” เขาโบกแขนเสื้อ ปราณเซียนสลายลำแสงธรรมที่บัณฑิตส่องมา

แม้บาตรทองนั่นจะร้ายกาจ แต่บัณฑิตกลับไม่มีพลังเวท หากเป็นข้ากับสือต้าจ้วงคงถูกลำแสงธรรมส่องจนตายไปแล้ว แต่จ้งหวากลับไม่เหมือนกัน ปราณบริสุทธิ์น่าเกรงขามทั้งร่างเขามีรากฐานมาจากพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน บวกกับการบำเพ็ญหลายสิบปี การจะกลั่นแกล้งบัณฑิตจึงง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ

เห็นลำแสงธรรมถูกปะทะสลายไปบัณฑิตก็ตกใจหน้าถอดสี

จ้งหวาสาวเท้าขึ้นหน้าเอ่ยจริงจัง “ข้าคือเจ้าสำนักหลิวโป วันนี้หาใช่ได้รับการไหว้วานจากปีศาจจิ้งจอกจึงมาหาเรื่องท่าน เพียงต้องการให้ท่านคืนวิญญาณ จิต และลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอก ข้าก็จะจากไปเอง”

บัณฑิตกอดบาตรทองถอยหลังสองก้าวอย่างระแวดระวัง “เจ้าคิดว่าข้าจะหลงกลปีศาจอย่างพวกเจ้าหรือ!”

“เช่นนั้นข้าขอล่วงเกินแล้ว”

บัณฑิตตื่นตระหนก รู้ว่าลำแสงธรรมดูเหมือนจะทำร้ายจ้งหวาไม่ได้ เขาจึงหันมือส่องมาทางข้า เดิมข้านึกว่าหลบอยู่หลังจ้งหวาก็ไม่เป็นไรแล้ว ไหนเลยจะคิดว่ายามนี้จ้งหวาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว บัณฑิตถอยหลังสองสามก้าวแล้วสาดแสงอันโชติช่วงแยงตาเข้ามาจากตำแหน่งมุมเอียง

ข้าถูกส่องจนรับมือไม่ทัน นิ่งตะลึงอยู่กับที่ นึกถึงแผ่นหลังที่ถูกเผาในชาติก่อนขึ้นมาได้ ข้าร้องเสียงดังว่าแย่แล้ว คราวนี้ต้องถูกทำให้เสียโฉมแน่!

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com