ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
บทที่สิบหก
แต่ที่น่าประหลาดก็คือลำแสงธรรมนี้ส่องข้าเนิ่นนาน ข้ากลับไม่รู้สึกว่าบนร่างมีตรงไหนเจ็บปวด พอมองอย่างละเอียดถึงพบว่าเบื้องหน้าข้าสองชุ่น มีปราณเซียนเกาะตัวเป็นฉากกั้นขวางลำแสงธรรมไว้ มันห่อหุ้มข้าเอาไว้ราวกับเป็นผืนผ้า ปกป้องข้าอย่างแน่นหนาดีเยี่ยมถึงเพียงนั้น
ปราณอันอ่อนโยน เหมือนกับอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลกของชายคนนั้นในสมัยก่อน
ระหว่างที่ข้าเหม่อลอย จ้งหวาก็แย่งบาตรทองในมือบัณฑิตมาได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า
ลำแสงธรรมหายไป ฉากกั้นที่ล้อมรอบกายข้าก็ไม่เหลืออยู่เช่นกัน ในใจข้านึกเสียดายเล็กน้อย เพราะตอนนี้โอกาสได้รับความอบอุ่นจากเขาอย่างแท้จริงมันน้อยถึงเพียงนั้น…บัณฑิตคนนี้ขี้ขลาดเกินไปจริงๆ ทั้งที่มีอาวุธเวทร้ายกาจขนาดนี้ กระทั่งสองกระบวนท่าง่ายๆ ของจ้งหวาก็รับมือไม่ไหวแล้ว
จ้งหวาถือบาตรทองอย่างลำบากใจ ข้าแปลกใจ “เหตุใดไม่ปล่อยวิญญาณ จิต กับลูกกลอนปราณข้างในออกมาล่ะ”
“ข้าใช้อาวุธเวทของฝ่ายพุทธไม่เป็น”
ข้าคว้าสาบเสื้อของบัณฑิตแล้วยกตัวเขาขึ้นเขย่า “ปล่อยวิญญาณ จิต กับลูกกลอนปราณออกมา”
บัณฑิตจ้องข้าอย่างเกลียดชัง “ต่อให้ตายข้าก็จะให้นางวิญญาณแตกซ่านไปด้วย”
“เจ้ามีความแค้นใหญ่หลวงขนาดไหนกันแน่ นางตายแล้ว ไม่ว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ละครฉากนี้ควรสิ้นสุดลงแล้ว ปล่อยนางไปเกิดใหม่ อภัยให้นางและอภัยให้ตนเอง เพื่อสร้างสมบุญกุศลของตนและสร้างความสุขไว้ให้คนรุ่นหลังเถอะ”
“นางตายแล้ว?” บัณฑิตหัวเราะหยัน “ข้าเกลียดก็แต่นางตายสบายเกินไป ตอนนั้นเพื่อบีบให้ข้าแต่งกับนาง นางถึงกับทำร้ายน้องสาวกับท่านแม่ข้าให้ทยอยตายตามกัน เหตุใดนางไม่คิดสร้างบุญกุศลให้ตนเองบ้างเล่า!”
ที่แท้…ยังมีคดีเลือดของสกุลซ่อนอยู่ภายในด้วย…ข้าพึมพำในใจ
วิญญาณของปีศาจจิ้งจอกกลับกระสับกระส่ายขึ้นมาในร่างข้า พลิกไปพลิกมาเช่นนี้ต่อไปข้าคงแบกรับไม่ไหวเช่นกัน จึงตัดสินใจรีบรบรีบจบ หิ้วบัณฑิตมาเผชิญหน้ากับข้าแล้วกล่าว “ปีศาจจิ้งจอกนั่นตายแล้ว เจ้าไม่ปล่อยนาง ก็ได้ ข้าไม่สังหารเจ้า เมื่อครู่เจ้าก็เห็นความร้ายกาจของนักพรตคนนี้แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะให้เขาสังหารภรรยาเจ้า ทำลายจวนของเจ้า พังห้องเจ้า ถมสระน้ำเจ้า แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าในสวนก็จะไม่เหลือให้เจ้าแม้แต่รากเดียว เจ้าคิดเอาเองว่าจะปล่อยไม่ปล่อย”
สีหน้าจ้งหวาไม่น่าดู บัณฑิตยิ่งเขียวคล้ำไปทั้งหน้า
“เจ้าไม่เชื่อ?”
ข้าหันหน้าไป พอดีกับที่มีองครักษ์ของจวนนายอำเภอกลุ่มหนึ่งเร่งเข้ามาจากข้างนอก ข้าใช้ศอกถองแขนจ้งหวา “ทุ่มพวกเขา” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนกับสั่งโม่ซีไปซื้อซีอิ๊วในสมัยก่อน
จ้งหวายกมือข้างหนึ่ง ระหว่างที่โบกมือองครักษ์กลุ่มนั้นก็ร้องโหยหวน แต่ละคนพลิกคว่ำลงดินไม่เคลื่อนไหวอีก ลงมือตีคนไปแล้วจ้งหวาถึงเพิ่งมีปฏิกิริยา จ้องมองฝ่ามือตนเองอย่างตื่นตะลึง คล้ายกับไม่เข้าใจการกระทำที่เชื่อฟังถึงเพียงนี้ของตนอยู่บ้าง
ข้าไม่สนใจเขา เพียงจับบัณฑิตเขย่า “เห็นหรือไม่ หากเจ้าไม่ทำตาม ที่จะถูกตีคนต่อไปก็คือคนใกล้ชิดของเจ้า”
บัณฑิตกัดฟันแน่น สุดท้ายจึงเอ่ยออกมาอย่างคับแค้น “ได้…ข้าปล่อย”
ข้าปล่อยมือ ให้จ้งหวาส่งบาตรทองให้เขา บัณฑิตรับบาตรทองไปแต่ไม่ขยับอยู่นาน
จ้งหวาค่อยๆ ขยับมาขวางเตรียมป้องกันเบื้องหน้าข้า ข้าชะโงกหัวออกมาจากด้านหลังเขา พูดกับบัณฑิต “ช้าเร็วล้วนต้องปล่อย บาตรดีถึงเพียงนี้รีบทำให้ว่างเร็วหน่อยแล้วเอาไปบิณฑบาตจะดีเพียงไร เหตุใดต้องเอามันไปฆ่าๆ ฟันๆ ทุกวันด้วยเล่า”
จ้งหวาหันกลับมาขมวดคิ้วใส่ข้าคราหนึ่ง “อย่าได้ลบหลู่อาวุธเวท”
ข้าเบ้ปาก ไม่ใส่ใจคำพูดเขา
บัณฑิตลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ร่ายคาถาใส่บาตรทองแล้วพลิกมือคว่ำมันลง มุกสีทองวาววับเม็ดหนึ่งกับควันสีขาวกลุ่มหนึ่งร่วงออกมาจากภายใน
จ้งหวาเก็บมุกขึ้นมา ส่วนข้าคว้าควันขาวกลางอากาศกลืนลงท้อง ให้วิญญาณและจิตของปีศาจจิ้งจอกรวมตัวกันภายในร่างข้า
ทำเรื่องนี้เสร็จแล้วข้าจึงโบกมืออย่างเฉียบขาด “เอาล่ะ เรื่องนี้เลิกแล้วต่อกัน ยังมีอีกเรื่อง…”
ข้ายังพูดไม่จบ พลันรู้สึกว่าไอหยินในร่างตนเพิ่มพูนทันใด วิญญาณและจิตที่ครบสมบูรณ์ของปีศาจจิ้งจอกพยายามดิ้นรนวุ่นวายในร่างข้า ข้าเพียงรู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงสายหนึ่งในร่าง จากนั้นก็ตาลาย รอจนคืนสติกลับมาข้าก็ลอยอยู่กลางอากาศ มองดูร่างกายตนเองค่อยๆ ขยับภายใต้การบงการของวิญญาณปีศาจจิ้งจอกแล้ว
เจ้าปีศาจสารเลวนี่…
ข้าแค่ไม่ทันระวัง นางถึงกับ…ชิงร่างกายข้าไป! สลับเปลี่ยนวิญญาณภายในร่างข้า โดยที่สือต้าจ้วงกับจ้งหวาอยู่ข้างกายแต่กลับไม่ทันได้สังเกต
สือต้าจ้วงจับแขน ‘ข้า’ กำลังจะใช้วิชาดำดิน แต่กลับถูกปีศาจจิ้งจอกสะบัดออกโดยแรง เขาตะลึงไปเล็กน้อย “เป็นอะไร”
ปีศาจจิ้งจอกหาได้สนใจเขา เพียงหมุนตัวอย่างเฉยเมยจับจ้องบัณฑิต ข้าลอยอยู่กลางอากาศจึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่ความผิดปกติของนางกลับทำให้จ้งหวาสังเกตเห็น เห็นเพียงจ้งหวายื่นมือออกมาคว้าข้อมือ ‘ข้า’ ตั้งใจจะควบคุมจุดตาย
ปีศาจจิ้งจอกพลิกมือสะบัดตัวหลุดแล้วแผ่ไอหยินรอบกายออกมา ผลักจ้งหวาจนถอยหลังไปสองก้าวอย่างรุนแรง ต้องกุมหน้าอกราวกับลมปราณภายในถูกตีสับสน ทรมานเป็นอย่างยิ่ง
นี่ย่อมแน่นอน ก่อนหน้านี้ตอนประมือกับจ้งหวาข้าล้วนออมพลังไว้ส่วนหนึ่ง แต่ปีศาจจิ้งจอกตอนนี้กลับเป็นพวกไม่รู้จักเสียดายพลังทั้งที่ยืมใช้ร่างกายของข้า ทุกกระบวนท่าล้วนเต็มแรง จ้งหวาที่มีพลังเวทเพียงสี่สิบปีไหนเลยจะสู้นางได้
ข้ามองจนร้อนใจ ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจดันนางออกมาจากในร่างข้าได้
แต่โชคดีที่นางผลักจ้งหวาออกไปแล้วไม่ได้ลงมือกับเขาต่อ เพียงจ้องบัณฑิตอย่างเอาเป็นเอาตาย เอ่ยปากกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าสังหารมารดากับน้องสาวท่านตอนไหน” น้ำเสียงนางเย็นเยียบ
บัณฑิตได้ยินแล้วตื่นตะลึง
ปีศาจจิ้งจอกพลันฟาดไอหยินสายหนึ่งใส่มือบัณฑิตก่อนเขาจะทันตั้งตัว ตบจนบาตรทองในมือเขาร่วงหล่น ความเจ็บปวดพาให้บัณฑิตได้สติ เขาจ้องปีศาจจิ้งจอกอยู่นานจากนั้นใบหน้าก็เผยความชิงชัง “เจ้า นางปีศาจ!”
ปีศาจจิ้งจอกสาวเท้าเข้าหาบัณฑิต “ข้าเคยลงมือกับพวกนางที่ไหน!” นางกล่าว “การแต่งงานของข้ากับท่านมีแม่สามีเป็นเจ้าภาพ เหล้ามงคลของข้ากับท่านมีน้องสาวท่านคอยมองดูพวกเราดื่มลงไป! ตอนท่านเข้าเมืองหลวงไปสอบ ข้ากับพวกนางสองคนส่งท่านจนถึงหลักหินนอกเมือง! แล้วพวกนางจะถูกข้าทำร้ายจนตายก่อนข้าแต่งกับท่านได้อย่างไร!”
ปีศาจจิ้งจอกยิ่งพูดยิ่งดุเดือดราวกับว่าทุกคำล้วนหลั่งเลือด
แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไม่เพียงแต่บัณฑิต แม้แต่ข้าก็ตะลึงด้วย
เรื่องนี้ยังมีการพลิกผัน
วิญญาณเบามาก ข้าจึงเลือกท่วงท่าสบายๆ ลอยตัวกลางอากาศ ด้านหลังจู่ๆ มีคนตีข้าเบาๆ สองครั้ง ข้าหันไปดูเห็นยมบาลอี่มารับวิญญาณ ข้าทักทายเขาพลางถาม “เฮยไป๋อู๋ฉางเล่า”
“มีสองแคว้นกำลังสู้ศึก ใต้เท้าทั้งสองจึงยุ่งอยู่ที่นั่น” ยมบาลอี่ตอบแล้วหันมองคนข้างล่าง จากนั้นก็มองข้าอีก “ซานเซิง สถานการณ์นี้ของท่านคือตายหรือไม่ตายกันแน่ล่ะ”
“ข้ายังไม่ตายนะ ที่ตายคือคนที่แย่งร่างข้าไปเล่นละครอยู่ข้างล่างนั่น เจ้ามาดูกับข้าก่อน รอให้นางร้องรำจบแล้วคงเอาร่างมาคืนข้าเอง เจ้าค่อยนำนางไปปรโลก”
ยมบาลอี่ลิ้นจุกปาก “ข้ายังมีเรื่องอีกมานะ ไหนเลยจะมีเวลาชมนางเล่นละคร” เขาวาดมือง่ายๆ ดึงสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกลางอากาศ พลิกไปสองสามหน้าอย่างหมดความอดทนแล้วเอ่ย “เรื่องพื้นๆ พรรค์นี้มีอะไรน่าดู”
ข้าถูกคำพูดนี้ของเขาดึงความสนใจเข้าแล้ว รีบลอยไปข้างกายเขาแล้วยื่นหัวดูบันทึกชะตา “พื้นจริงด้วย” ข้าเอ่ย “ช่วงนี้เทพดาราซือมิ่งเลือดลมติดขัดหรือไร เหตุใดจึงเขียนเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้”
ในบันทึกเขียนว่าเดิมบัณฑิตคนนี้ชอบปีศาจจิ้งจอกจริงๆ แต่ภายหลังคุณหนูลูกเจ้าเมืองถูกใจเขาตอนที่กลับมาเป็นนายอำเภอ จึงคิดยั่วยวนเขามาเป็นสามี แต่บัณฑิตนึกถึงภรรยารักในบ้านจึงไม่ยอมตกลง คุณหนูลูกเจ้าเมืองริษยาจนคลั่ง ถึงกับเกิดความคิดบิดเบือนความทรงจำของบัณฑิต! แถมยังทำสำเร็จจริงๆ ด้วย!
“แต่ได้ยินว่าหมู่นี้เทพดาราซือมิ่งบนสวรรค์กำลังเศร้าใจอีกแล้ว เห็นใครดีไม่ได้ จะเขียนเรื่องพรรค์นี้ออกมาก็นับว่าสมเหตุสมผล”
ข้ายู่ปากอ่านต่อไป ยื่นมือไปหายมบาลอี่แล้วเอ่ย “มีขนมไหม”
ยมบาลอี่ไม่สนใจข้า ก้มหน้าลงอ่านต่อไปด้วยกัน
พอดีกับที่บัณฑิตหลุดจากอาการตะลึงเมื่อครู่ ตะโกนว่า “เหลวไหลทั้งเพ!”
“เฮอะ! หากคำพูดวันนี้ของข้าเหลวไหล! ขอให้ฟ้าผ่าวิญญาณสลายจิตแตกซ่าน!” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวอย่างรุนแรง “เมื่อแรกพบข้าใช้มารยาล่อลวงท่านจริง แต่โลกนี้มีใครไม่เคยใช้มารยาล่อลวงคนรักบ้าง ภายหลังตอนที่แต่งงานกัน ท่านพบว่าข้าเป็นปีศาจ แต่กลับยืนยันจะแต่งข้าเหมือนเดิม…”
อาจเพราะเรื่องเมื่อแรกทำให้นางสุขใจ น้ำเสียงของนางจึงเนิบช้าลงเล็กน้อย “ข้าซาบซึ้งที่ท่านรักใคร่ลึกซึ้ง ยินยอมมอบชีวิตนี้ให้ท่าน ตอนท่านไปสอบ ท่านแม่กับน้องสามีพากันติดโรคระบาดจากโลกนี้ไป เหลือเพียงข้าอยู่ลำพังในบ้านว่างเปล่า ท่านได้รับชื่อเสียงกลับมา แต่กลับแต่งผู้อื่นไปแล้ว…” เสียงของนางสั่นเล็กน้อยราวกับกำลังควบคุมอารมณ์ “บุพเพสันนิวาสในชาตินี้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าก็ไม่เคยโทษท่าน แต่เหตุใดท่านถึงอำมหิตทำร้ายข้าถึงเพียงนี้! ท่านทำกับข้าถึงเพียงนี้ได้ลงคอ!”
ปีศาจจิ้งจอกเคียดแค้นไม่อาจสงบ ความโกรธรอบกายแปรเปลี่ยนเป็นจิตสังหาร นางยกมือขึ้นคว้าคอบัณฑิตอย่างรุนแรง ออกแรงกดจนบัณฑิตร่วงลงพื้น แต่นางกลับเพียงสั่นมือ กดเขาไว้แต่หาได้ออกแรงบีบทำลายคอของเขาจริงๆ
บัณฑิตกลับไม่คำนึงถึงมือบนคอ แววตาเขาเลื่อนลอย เอ่ยพูดกับตนเองเสียงเบา “เป็นไปไม่ได้ เจ้าทำร้ายคนในครอบครัวข้า เจ้าใช้แผนการบีบให้ข้าแต่งเจ้า ข้าสังหารเจ้าเป็นเรื่องถูกต้อง! หนี้ชีวิตก็ต้องคิดกับเจ้า!”
ปีศาจจิ้งจอกโกรธจนเดือดดาล สูญเสียสติสัมปชัญญะสิ้น นางไม่พูดอีก บีบง่ามนิ้วเข้าหากัน
ครั้นเห็นบัณฑิตหน้าขึ้นสีเขียวม่วง ยมบาลอี่ที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องขึ้นมา “เอ๋ ไม่ดีแล้ว นางใช้ร่างท่านฆ่าคน หนี้ชีวิตย่อมตกบนหัวท่าน”
ข้าตกใจ “นี่จะได้อย่างไร! ผิดศีลแล้ว! ชาติหน้าข้าจะไปเกี้ยวโม่ซีได้อย่างไร!”
ข้าตระหนกในใจ รีบกระโจนลงไปข้างล่าง ใช้พลังทั้งหมดกระแทกเข้าไปในร่างของข้า แต่กลับทำได้แค่ควบคุมร่างกายตนเองเพียงชั่วพริบตา ปล่อยมือที่บีบคอบัณฑิตอยู่ ต่อมาข้าก็ถูกผลักออกมาอีก ข้าร้อนใจร้องตะโกน “เจ้ายังไม่รู้สึกว่าเรื่องมันมีเลศนัยอีกหรือ!”
จ้งหวากับสือต้าจ้วงในยามนี้ล้วนไม่ได้ยินข้า พวกเขาคิดจะเข้ามาขัดขวางปีศาจจิ้งจอก แต่กลับถูกไอหยินที่นางปล่อยออกมารอบกายผลักออกไป
ข้าเอ่ย “ความทรงจำของเขากับของเจ้าไม่สอดคล้องกันสักนิด! หากไม่ใช่เจ้าสองคนมีคนหนึ่งบ้าไปแล้ว ก็ต้องมีคนเล่นสกปรก! เจ้ารีบไตร่ตรองดูเถิด!”
ไอหยินรอบกายปีศาจจิ้งจอกลดลงไปมาก ชะงักการกระทำโดยพลัน
บัณฑิตไอไม่หยุด ปีศาจจิ้งจอกพึมพำเหม่อลอย “ความทรงจำไม่ถูกต้อง…เหตุใดจึงไม่ถูก” นางดึงแขนเสื้อบัณฑิตเปิดออก เห็นรอยแผลเป็นถูกกัดรอยหนึ่งบนแขนเขา “นี่คือรอยกัดตอนที่ข้าทะเลาะกับท่านหลังแต่งงาน ตอนนั้นท่านยังหัวเราะด่าข้าว่าใช้เป็นแต่ปาก ข้าโมโหไม่ใส่ยาให้ท่าน เป็นน้องสาวท่านที่ช่วยใส่ยาให้ ข้าจำได้ชัดเจนเพียงนั้น จะกลายเป็นข้าจำผิดได้อย่างไร”
บัณฑิตฟังนางพูดหนึ่งประโยคสีหน้าก็ซีดลงหนึ่งส่วน จนกระทั่งสุดท้ายทั้งหน้าก็เผือดขาวไร้สีเลือด “เป็นไปไม่ได้…ไม่ใช่…” เขาคล้ายหัวสมองสับสนขึ้นมา “นี่ไม่ใช่ความจริง!”
สภาพการณ์เงียบงันลงครู่หนึ่ง สือต้าจ้วงพลันลูบคางกล่าว “ไม่กี่วันก่อนข้าเคยได้ยินคนพูดว่ามีผู้บำเพ็ญฌานนอกรีตรู้วิชาเวทคำสาปสามารถแก้ไขความทรงจำของคนได้ ไม่ใช่ว่าเขาถูกเวทคำสาปนี้เข้าหรอกนะ”
“แก้ไขความทรงจำ? ฮ่า!” ปีศาจจิ้งจอกพลันหัวเราะอย่างเปล่าเปลี่ยว “แก้ไขความทรงจำ…”
“เจ้าไม่ได้บังคับข้า? ไม่…ไม่ถูก…เป็นเจ้าทำร้ายคนในครอบครัวข้า…” ความจำของบัณฑิตคล้ายว่าสับสนไปหมดแล้ว
เสียงของปีศาจจิ้งจอกยิ่งวังเวงขึ้นเรื่อยๆ “ท่านถึงกับถูกแก้ไขความทรงจำ…”
บัณฑิตไม่ได้ยินเสียงของผู้ใดแล้ว เขาทรมานยิ่ง ทุบตีหัวตนเองไม่หยุด “ไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ใช่เช่นนี้! ข้าต้องการให้เจ้าแต่งให้ข้า ข้ากับเจ้าทะเลาะกัน ใจข้าเป็นของเจ้า…ข้ารักเจ้า…”
ปีศาจจิ้งจอกได้ยินคำพูดพึมพำติดๆ ขัดๆ แฝงความเจ็บปวดนี้ พลันหลั่งน้ำตาสองสาย “ใจท่านเป็นของข้า? ท่านรักข้า?”
“ข้ารักเจ้า…”
ปีศาจจิ้งจอกยิ้มเบิกบานทั้งน้ำตา “ที่แท้เพียงแค่ชะตากลั่นแกล้ง ท่านไม่ได้รังแกข้า ท่านไม่ได้รังแกข้า…”
ความอาฆาตแค้นทั้งร่างค่อยๆ สลายหายไปภายใต้คำว่า ‘ไม่ได้รังแก’ นี้ นางไม่สืบเสาะหาว่าผู้ใดทำร้ายนาง และไม่คิดว่าจะแก้แค้นอย่างไร ยิ่งไม่รู้สึกว่าตอนนี้ตนเองน่าสังเวชเพียงใด ราวกับว่าคำว่า ‘รัก’ คำเดียวก็สลายความไม่ยินยอมและความเกลียดชังทั้งหมดของนางได้
ราวกับได้รู้ว่าเขาไม่ได้ทรยศหัวใจของนาง ชาตินี้ก็ไม่มีความเสียใจอีกแล้ว
ที่แท้ปีศาจจิ้งจอกตนนี้เป็นผู้โง่งมคนหนึ่ง…
แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นรูปแบบเดิมๆ แต่ที่กำลังแสดงสดต่อหน้านี้ก็ยังอดทำให้สะท้อนใจไม่ได้ ข้าถอนหายใจในใจ แต่เสียงถอนใจนี้ พอเห็นการกระทำต่อมาของนางก็เปลี่ยนเป็นขึ้นเสียงทันที “หยุดปาก! อย่าใช้ปากที่จูบโม่ซีของข้าไปจูบบัณฑิตขี้ขลาดนะ!”
ข้ารีบดันตัวเองเข้าไปในร่าง ครั้งนี้กลับกระแทกปีศาจจิ้งจอกออกไปจากร่างข้าได้โดยง่าย
พอได้อำนาจควบคุมร่างกายตนเองใหม่อีกครั้งข้าก็ตบใบหน้าบัณฑิตออกไปทันที ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นจากร่างเขากลับรู้สึกว่าถูกคนดึงคอเสื้อด้านหลัง คนผู้นั้นดึงข้าขึ้นอย่างรุนแรง หิ้วข้าแยกจากร่างบัณฑิตราวกับหิ้วแมวแล้ววางไว้ด้านข้าง พอเท้าถึงพื้นข้าจึงหันไปมองดู กลับพบว่าเป็นจ้งหวาที่จับข้า
ข้าเห็นท่าทางตะลึงงันของตนเองในดวงตาลึกล้ำของเขา สี่ตาสบกันเงียบๆ ครู่หนึ่งจ้งหวาถึงค่อยปล่อยข้า “เมื่อครู่เจ้า…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ข้าก็พุ่งร่างเข้าไปกอดเอวเขาแน่น “โม่ซี ข้าเกือบถูกคนทำลายความบริสุทธิ์แล้ว!”
ร่างจ้งหวาแข็งทื่อไปชั่วขณะ จากนั้นถึงเพิ่งนึกออกว่าต้องดึงข้าออก “ชายหญิงแตกต่าง! อย่าคิดมายุ่มย่ามกับข้า! อีกอย่าง…” เขาขมวดคิ้ว “ข้าไม่รู้จักโม่ซีอะไรนั่น ยิ่งไม่ใช่เขา”
“นี่ย่อมแน่นอน” ข้ากะพริบตามองเขา “หากท่านรู้จักนั่นต่างหากที่ประหลาด เมื่อครู่ข้าพูดผิดไป เรื่องเล็กน้อยก็ไม่ต้องใส่ใจหรอก”
จ้งหวาคล้ายคิดไม่ถึงว่าข้าจะตอบอย่างไม่สะทกสะท้านเพียงนี้ อ้าปากราวกับถูกอะไรบางอย่างอุดคอไว้
“ท่านพี่!” จังหวะนั้นด้านนอกสวนมีเสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้น
ข้าเงยหน้ามองกลับเห็นภรรยาท้องของบัณฑิตมา ด้านหลังยังมีนักพรตในชุดคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งตามมาด้วย นักพรตคนนั้นท่าทางลับๆ ล่อๆ เพียงดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของดีอะไร
แต่ครั้นเห็นลาดเลาทางฝั่งนี้นักพรตคนนั้นก็คิดหนีไปราวกับเท้าทาน้ำมัน สือต้าจ้วงดีดตัวออกไป กางนิ้วเป็นกรงเล็บคว้าหัวไหล่นักพรตเอาไว้ นักพรตหันกลับมาตอบโต้ แต่เพียงไม่กี่กระบวนท่าสือต้าจ้วงก็จับเขาได้แล้ว บังคับให้เขาคุกเข่าลง
นักพรตเห็นว่าสู้ไม่ได้ก็รีบกอดหัว ร้องเสียงดัง “ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย! ทุกเรื่องเป็นฮูหยินให้ผู้น้อยทำ!”
นักพรตถูกจับ หญิงสาวกัดฟันเบาๆ สีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย แต่กลับยังข่มความกลัวเดินมาข้างกายบัณฑิต กอดบัณฑิตที่สติไม่แจ่มชัดลุกขึ้น เอ่ยเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีก “ท่านพี่”
ข้าเงยหน้าขึ้นมองอย่างทนไม่ไหว แต่เห็นยมบาลอี่คล้องโซ่บนมือปีศาจจิ้งจอกกลางท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว กำลังร้องเพลงเรียกวิญญาณ จูงนางเดินเข้าไปในทางเข้าสู่ปรโลกช้าๆ
ข้านึกว่าปีศาจจิ้งจอกน่าจะตัดใจไม่ลงบ้างไม่มากก็น้อย แต่คิดไม่ถึงว่านางเพียงแค่เดินตามยมบาลจากไปทีละก้าวช้าๆ ไม่หันกลับมาและไม่มีความอาวรณ์
เดิมทีชาตินี้สำหรับนางจบสิ้นแล้ว ความคิดดึงดันทุกอย่างล้วนวางลงแล้ว เรื่องที่ผ่านไปไม่สำคัญ ผลลัพธ์ยิ่งไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
ในใจข้าอดผิดหวังน้อยๆ ไม่ได้ หันกลับมาเห็นคุณหนูลูกเจ้าเมืองกอดบัณฑิตแน่น นางยื่นท้องโตฟังบัณฑิตพร่ำพูดชื่อปีศาจจิ้งจอกอย่างเลอะเลือนไม่หยุด คุณหนูลูกเจ้าเมืองกัดริมฝีปากแน่น ในดวงตาอึมครึมซ่อนแววไม่พึงใจ
“เจ้าแก้คำสาปให้เขาเถอะ” ข้ากล่าว “เป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงได้บ้าแน่”
หญิงสาวเงยหน้าจ้องข้าอย่างเกลียดชัง ความขุ่นแค้นในสีหน้าพาให้ข้าผงะ นางยิ่งกอดบัณฑิตแน่นขึ้น “ไม่แก้” นางว่า “แก้แล้วเขาก็ไปจากข้า ข้าไม่แก้ให้เขา”
ข้ามองนางพลางลูบคางครุ่นคิด นึกในใจว่าคุณหนูอย่างนางย่อมไม่เป็นวิชาชั่วร้ายในยุทธภพพวกนี้ ดังนั้นจึงหันมองนักพรตที่ถูกสือต้าจ้วงจับไว้
นักพรตรู้ตัวรีบกล่าว “ข้าเป็นคนร่ายคำสาปเอง เป็นข้าเอง ข้าแก้ๆ” เขาล้มลุกคลุกคลานเข้าหาบัณฑิต
ข้าสะกิดแขนจ้งหวา “ท่านยังจะกล้าดูถูกปีศาจอีกไหมนะ ดูคนร่วมอาชีพท่านสิ”
จ้งหวาส่งสายตาเยียบเย็นให้ข้าคราหนึ่งแล้วนิ่งเงียบต่อไป
ข้าเอ่ยเสียงสูง “ก่อนหน้านี้เจ้ายังร่ายคำสาปใส่นักพรตหญิงคนหนึ่งใช่หรือไม่”
นักพรตชะงัก กะพริบตาย้อนคิดรอบหนึ่งจึงเอ่ย “ใช่ มีนักพรตหญิงคนหนึ่ง อ่า อันที่จริงผู้น้อยร่ำเรียนไม่แตกฉาน บิดเบือนความทรงจำนิดหน่อยยังพอได้ แต่ให้แก้ความทรงจำส่วนมากอย่างใต้เท้านายอำเภอนี้กลับไม่ค่อยช่ำชองนัก ดังนั้นทุกวันจึงต้องร่ายเวทคำสาปกับใต้เท้านายอำเภอให้แน่นขึ้น วันนั้นตอนกำลังทำเรื่องนี้ถูกนักพรตหญิงล่วงรู้เข้า นักพรตหญิงกล่าวว่านางมาเพื่อกำจัดปีศาจ แต่ให้ข้าอย่าได้ทำร้ายคนเช่นนี้อีก เดิมข้าคิดหยุดมือ!” นักพรตรีบแสดงความบริสุทธิ์ “แต่ล้วนเป็นนาง!” เขาชี้คุณหนูลูกเจ้าเมืองพลางว่า “ล้วนเป็นนางบังคับข้านะ! นางให้ข้าฉวยจังหวะที่นักพรตหญิงเผลอ ร่ายเวทคำสาปเปลี่ยนความทรงจำให้นางไปกำจัดปีศาจ…”
จ้งหวาขมวดคิ้วถาม “เวทคำสาปเพียงแค่แก้ความทรงจำ? มีภัยต่อชีวิตหรือไม่”
“ไม่มีๆ!” นักพรตรีบพูด “ข้าไหนเลยจะกล้าทำอันตรายนักพรตหญิง เพียงแต่ผู้น้อย…ฝีมือไม่ถึงขั้นจริงๆ เวทคำสาปนั่นหากปล่อยนานไปไม่แก้ เกรงว่าสมองจะ…ไม่ค่อยดี…”
ข้าพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าเฉือนเนื้อตัวเองออกมาส่วนหนึ่ง พวกเราจะเอาไปช่วยคน”
นักพรตกลัวจนหน้าขาวแล้ว “ไม่ต้องๆ ในเมื่อแม่นางเป็นเวทคำสาป ผู้น้อยให้เส้นผมกับท่านก็สามารถแก้คำสาปของนักพรตหญิงได้แล้ว”
ข้าพยักหน้าตกลง สือต้าจ้วงถอนผมเขาออกมากระจุกหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ นักพรตเจ็บจนต้องคลึงหัว แต่กลับไม่กล้าด่าว่าออกมาแม้ครึ่งคำ
สือต้าจ้วงเตะเขาทีหนึ่ง “คำสาปของบัณฑิตคนนี้ยังไม่รีบแก้อีก!”
“แก้เดี๋ยวนี้ๆ!” นักพรตยื่นมือคว้ามือบัณฑิต คุณหนูคนนั้นกลับปัดมือเขาออกอย่างรุนแรงราวกับเสียสติไปแล้ว “ไม่อนุญาตให้แตะเขา!” นางร้องตะโกน “เขาเป็นของข้า! ของข้าเท่านั้น! ความทรงจำของเขาไม่ผิด! สิ่งที่ข้าให้เขารู้ก็คือชีวิตของเขา! ข้ามีลูกของเขาแล้ว! พวกเจ้าพาเขาไปจากข้าไม่ได้!”
ข้าขมวดคิ้ว
นักพรตเห็นสีหน้าเช่นนี้ของข้าก็พลันตระหนก ตะคอกด้วยเสียงที่ดังยิ่งกว่าหญิงสาว “นางหญิงบ้า! เวลาใดแล้วยังคิดจะอยากได้ผู้ชายอีก! เขาแทบถูกเจ้าทำร้ายจนเป็นบ้าแล้ว! เมื่อก่อนข้าหลงผิดจริงๆ ถึงได้ช่วยเจ้า ถ้าเจ้าไม่ถอยอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” นักพรตหันมายิ้มให้ข้า “แหะๆ แม่นาง ท่านว่าใช่หรือไม่”
ข้าไม่พูดอันใด
หญิงสาวราวกับบ้าไปแล้ว กอดบัณฑิตแน่นไม่ปล่อย ตาแดงก่ำเอ่ยว่า “ไม่ได้! เอาเขาไปไม่ได้! ไม่ใช่ง่ายกว่าข้าจะทำให้เขาอยู่กับข้า! ไม่ใช่ง่ายกว่าจะมีชีวิตเช่นตอนนี้…” นางจ้องข้าอย่างแค้นเคือง “ทำไมพวกเจ้าต้องมา! พวกเจ้าอาศัยอะไรมาทำลายชีวิตข้า!”
ข้าจ้องดวงตานางตรงๆ “แม่นาง เจ้าเองก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าก็ทำลายชีวิตของแม่นางจิ้งจอกแบบนี้เช่นกัน”
นางอึ้ง กัดฟันเอ่ย “เดิมนางเป็นปีศาจ คนกับปีศาจต่างเส้นทาง…”
ข้านิ่งเงียบ มองจ้งหวาที่ด้านข้าง เขาสัมผัสถึงสายตาข้าจึงหันมองมา สี่ตาประสาน ข้ามองเห็นเงาร่างของตนในดวงตาใสกระจ่างของเขาได้อย่างชัดเจน ข้าเบะปากกล่าว “ใช่สิ ปีศาจคือความชั่วช้า” นัยน์ตาของจ้งหวาเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อยแต่กลับไม่พูดอะไร ข้าหันกลับไปกล่าวต่อ “แต่เจ้าไม่ใช่เกลียดปีศาจ และไม่ใช่ชิงชังความชั่วช้าเหมือนดั่งอริศัตรู เจ้าไม่มีจิตใจงามกับความเป็นธรรมอย่างที่เจ้าคิด เจ้าเพียงแค่ริษยา”
เดิมข้าคาดว่าประโยคนี้สามารถเรียกสติของหญิงสาวหลังจากตื่นตระหนกได้ แต่กลับไม่คิดว่าแววตาจ้งหวาที่อยู่ในครรลองสายตาข้าจะตื่นตะลึงยิ่งกว่านาง เขาตะลึงจนข้าไม่อาจไม่หันกลับไปถาม “คำพูดของข้ากระทบตรงไหนของท่านหรือ”
จ้งหวาค่อยๆ เก็บสีหน้าตื่นตะลึงช้าๆ หลังจากนั้นกลับเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่งกว่าเก่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“เช่นนั้นท่านตกใจทำไม” ข้าเบ้ปาก เลียนอย่างท่าทางเหล่มองของเขาจากนั้นค่อยพูดกับหญิงสาวต่อ “ตอนมีชีวิตทำเรื่องชั่วช้ามากเกินไป หลังตายแล้วจะต้องตกนรก ที่นั่นทัศนียภาพไม่งดงาม เจ้าคิดดีแล้วหรือ”
“มีชีวิตเหตุใดต้องครุ่นคิดถึงเรื่องหลังตายไปแล้ว”
มนุษย์มักขาดการมองการณ์ไกลเช่นนี้ แต่ว่านี่ก็เป็นธรรมชาติของพวกเขา ข้ากวักมือ “สือต้าจ้วง พวกเราไปเถอะ”
ต้าจ้วงแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่พูดอะไร เพียงขู่สำทับนักพรตอย่างดุดัน “หากคราวหน้าให้ข้าได้ยินอีกว่าเจ้าใช้วิธีนี้ทำเรื่องชั่วช้า ข้าจะมาเด็ดหัวเจ้ากับมือ”
นักพรตพยักหน้าหงึกหงักไม่หยุด
ข้าหมุนตัวจากไป เดินไปได้สองสามก้าวกลับเห็นจ้งหวาไม่ขยับ จึงหันกลับไปเรียกเขา “จ้งหวาไปเถอะ ท่านยังต้องกลับไปหากระบี่อีกไม่ใช่หรือ”
เขาจ้องมองข้านิ่งภายใต้ระยะห่างไม่กี่ก้าวอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยกเท้าตามมา
ยังไม่ทันเดินออกจากสวนก็ได้ยินเสียงหญิงสาวนางนั้นสั่ง “เพิ่มเวทคำสาปของเขาให้มากขึ้น…”
“เอ๋…แต่…”
“ช่วยข้าเป็นครั้งสุดท้ายเถอะท่านนักพรต ถือเสียว่าทำเรื่องดี เห็นแก่ลูกข้า…”
คำพูดข้างหลังฟังไม่ได้ยินแล้ว สือต้าจ้วงใช้วิชาดำดิน ไม่ถึงชั่วพริบตาพวกเราก็มาอยู่ในลานบ้านป่าเหมยแล้ว
“นับว่าสำเร็จไปเรื่องหนึ่งแล้ว” ข้าบิดเอว “ต้าจ้วง ปีศาจน้อยที่เจ้าให้ไปหากระบี่เจอร่องรอยบ้างหรือยัง”
“พวกเจ้าพักก่อน” สือต้าจ้วงเอ่ย “รอข้าไปถาม”
จ้งหวากล่าวว่า “ข้าจะตามเจ้าไป หากพวกเขายังหาไม่พบข้าจะหาด้วยตนเอง”
ข้าทุบหลังเขาแรงๆ ทีหนึ่ง จ้งหวาพลันไอออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาจ้องข้าอย่างโมโห แต่กลับไอจนแม้แต่คำตำหนิสักคำยังพูดไม่ออก ข้าเอ่ย “ไม่กี่วันก่อนท่านเพิ่งได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดีเลย วันนี้ก็ถูกทำให้ลมปราณปั่นป่วน เวลาแค่ชั่วครู่เดียวไหนเลยจะดีขึ้นได้ ท่านก็อย่าอวดดีเลย หลังจากหากระบี่เจอยังต้องขี่ลมกลับหลิวโป ก็เก็บแรงเอาไว้หน่อย พักก่อนเถอะ”
สือต้าจ้วงหลุดขำออกมาแล้วออกจากลานบ้านไป
ข้าไม่สนใจจ้งหวาอีก เดินกลับห้องที่ตนพักอยู่
สือต้าจ้วงกลับมาในยามฟ้าทอแสงแดง วิหคกลับรัง
ข้ากำลังพลิกอ่านนิทานชาวบ้านที่ค่อนข้างเก่าสองสามเล่มอยู่ในห้องเดิมของตน ขณะหวนคิดถึงอย่างได้ที่ พลันได้ยินเสียงเง้างอดของผู้หญิงดังมาจากนอกเรือน ฟังเสียงแล้วไม่ใช่หญิงที่ติดพันสือต้าจ้วงในคราวก่อน ข้าปิดนิทาน ถอนใจเฮือกใหญ่ที่ยามนี้จิตใจคนไม่สัตย์ซื่อเหมือนเก่า จากนั้นเปิดประตูห้อง แนบตัวกับประตูใหญ่ฟังเสียงครึกครื้นอีกด้าน
ผู้หญิงด้านนอกคล้ายว่าสะอึกสะอื้นพูดอะไรบางอย่าง สือต้าจ้วงเพียงพูดว่า “เจ้ากลับไปเถอะ” ช่างไร้น้ำใจถึงที่สุดโดยแท้!
ข้าฟังอย่างตั้งใจ แต่ไม่คาดว่าประตูใหญ่จะถูกผลักเข้ามา บานประตูตีเข้าหน้าข้า ข้ารีบถอยเท้าติดๆ กัน ขณะที่เกือบยืนไม่มั่นกลับถอยเข้าไปในอ้อมอกหนึ่ง
ไม่ใช่จ้งหวาแล้วจะเป็นใคร
เขาขมวดคิ้วเหมือนที่ผ่านมา ข้ายิ้มกล่าว “ท่านนี่แย่จริง มาแอบฟังผู้อื่นเช่นเดียวกับข้าด้วย”
เส้นเลือดบนหน้าผากจ้งหวาปูดโปน ปล่อยข้าแล้วเดินไปหน้าประตู สังเกตสือต้าจ้วงที่เดินเข้ามา จากนั้นเอ่ยเสียงขรึม “ยังหากระบี่ชิงซวีไม่เจอหรือ”
หญิงนอกประตูจากไปแล้ว สือต้าจ้วงปิดประตูเบาๆ แล้วเอ่ย “คืนนี้ข้าให้พวกเขาเร่งหาแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้น่าจะหาเจอ เพียงแต่นอกจากเรื่องนี้ข้ายังมีอีกเรื่องอยากปรึกษาพวกเจ้า” สือต้าจ้วงว่า “วันนี้ตอนที่ไปสอบถามเรื่องกระบี่ชิงซวีกับพวกปีศาจก้อนหิน มีปีศาจก้อนหินน้อยตนหนึ่งพูดว่าปีศาจจิ้งจอกตนนั้นดูเหมือนจะมีน้องสาว แต่ว่าความสามารถของน้องสาวนางไม่เหมือนปีศาจตนอื่น พวกนางสองพี่น้องบำเพ็ญตบะด้วยกัน พี่สาวสามารถกลายร่างเป็นคนได้นานแล้ว น้องสาวกลับไม่เปลี่ยน ได้แต่คงรูปร่างจิ้งจอก พวกปีศาจก้อนหินปรึกษากับข้าว่าสามารถนำลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอกที่ได้กลับมาวันนี้มอบให้น้องสาวนางได้หรือไม่ หากสามารถช่วยให้น้องสาวนางกลายร่างเป็นคนได้ก็นับเป็นน้ำใจ ทั้งไม่เสียตบะที่ปีศาจจิ้งจอกบำเพ็ญมาหลายปี”
นับเป็นวิธีที่ดี ข้าหันมองจ้งหวา เขาหลุบตาลงคิดครู่หนึ่ง “ตามข้อปฏิบัติของหลิวโป ข้าต้องนำลูกกลอนปราณของปีศาจกลับไปผนึกที่หลิวโป”
สือต้าจ้วงตะลึง “นี่…”
ข้าสุ่มเก็บหินขึ้นมาก้อนหนึ่งและเปลี่ยนมันบนมือ ก้อนหินก็เปลี่ยนสภาพเหมือนลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอก ข้ากล่าว “นี่ถึงจะเป็นลูกกลอนปราณปีศาจจิ้งจอก ท่านเอากลับไปผนึกเถอะ ในเอี๊ยมท่านนั่นเป็นของปลอม”
จ้งหวาหางตากระตุก ส่งเสียงเฮอะเย็นชาแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
ข้าเบะปากทิ้งก้อนหินในมือ สือต้าจ้วงยิ้มถาม “เจ้ายั่วโมโหเขาแบบนี้ยิ่งไม่ได้ลูกกลอนปราณมาง่ายๆ”
ข้าถอนหายใจเสียงเบา “ที่แท้โตมาอย่างไรแน่ ถึงได้ไม่มีความรู้สึกของมนุษย์เพียงนี้” พ่อแม่ของเขาในชาตินี้คงเลี้ยงดูได้ไม่ดีเท่าข้า
“ไม่ให้ก็ช่าง อย่างไรก็แค่น้ำใจเท่านั้น” สือต้าจ้วงโบกกระดาษน้ำมันห่อหนึ่งในมือ “เจ้าก็อย่าโกรธเลย คืนนี้มากินเนื้อย่างก่อนแล้วนอนให้เต็มที่”
ข้าดีใจ “ดีๆ! ไม่ต้องเรียกจ้งหวา! ให้เขาอดไป!”
สือต้าจ้วงยกยิ้ม “เจ้าพูดดังขนาดนี้ใครๆ ล้วนได้ยินหมด…แต่ว่าเนื้อย่างมีน้อย พวกเราสองคนแบ่งกันกำลังดี”
ข้ารับกระดาษน้ำมันพลางถามไปด้วย “เหล้าที่ข้าฝังไว้ใต้ต้นเหมยในลานบ้านเจ้าขุดออกมาดื่มหรือยัง”
“เจ้าฝังเหล้าไว้ที่ไหน”
ข้ากับสือต้าจ้วงสบตากัน จากนั้นก็ขุดเหล้าที่หมักไว้ร้อยปีสองไหใหญ่ออกมาอย่างเบิกบาน
กระดกเหล้า ถือเนื้อ ร่วมดื่มกินใต้แสงจันทร์ในส่วนลึกของป่าเหมย