ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
บทที่สิบเจ็ด
ดื่มไปแล้วสามรอบ พระจันทร์บนฟ้าเปลี่ยนเป็นพร่ามัวเล็กน้อยแล้ว ข้ากัดเนื้อพลางฟังสือต้าจ้วงกล่าว “ข้ายังนึกว่าด้วยนิสัยของเจ้าจะต้องทำให้นักพรตนั่นแก้คำสาปแน่ ไม่คิดว่าเจ้าจะยอมจากมาเช่นนี้เลย”
“แก้คำสาปแล้วมีอะไรดี” ข้าสั่นจอกเหล้าในมือเบาๆ มองดูดวงจันทร์ที่ถูกข้าเขย่าในนั้น “ปีศาจจิ้งจอกตายแล้ว แก้คำสาปไปบัณฑิตก็ไม่สามารถกลับไปมีชีวิตเช่นแต่ก่อนกับนางได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจนึกโทษตัวเองและสูญเสียจิตใจไปนับแต่นี้ ส่วนคุณหนูลูกเจ้าเมืองคนนั้นก็มีลูกแล้ว ความผิดของผู้ใหญ่ไม่ควรให้เด็กมาแบกรับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลังแก้คำสาปบัณฑิตจะมองเด็กคนนั้นยังไง และถ้าหากไม่มีบัณฑิต คุณหนูลูกเจ้าเมืองจะคลอดเด็กออกมาได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา หากแก้คำสาปไป พวกเราอาจจะดูเหมือนรักษาความเป็นธรรมเอย ความยุติธรรมเอยอะไรพวกนี้ แต่ว่าไม่มีความหมายเลยสักนิด หนึ่งการกระทำทำร้ายคนสามคน ข้าไม่ทำเรื่องไร้คุณธรรมพรรค์นี้”
สือต้าจ้วงหัวเราะเบาๆ “ซานเซิงคิดได้กระจ่างแจ้ง”
“เจ้าเล่า?” ข้าหันไปถามสือต้าจ้วง “ที่จริงข้าอยากถามมาตลอด ก่อนหน้านี้ระหว่างเจ้ากับซย่าอีผลสุดท้ายเป็นเช่นไรกันแน่”
สือต้าจ้วงจิบสุราคำหนึ่ง “พี่ชายนางหมั้นให้นาง แต่นางหนีการแต่งงาน นางถูกคนไล่ตามตลอดทาง นางยังไล่ตามข้ามาตลอด สุดท้ายแล้วนางกลับตายแทนข้า” เป็นเรื่องที่สั้นมาก ทว่าหลังจากเล่าจบก็พาให้แสงจันทร์ยิ่งเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน
“ดังนั้น…ตอนนี้เจ้า…” ข้าทำไม้ทำมืออยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะบรรยายถึงผู้หญิงสองคนก่อนหน้านี้อย่างไร “วางอดีตลงได้และเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว?”
สือต้าจ้วงหัวเราะ “เปล่า” เสียงของเขาแหบแห้งอยู่บ้าง “ซานเซิง เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนข้าซื่อบื้อมาก ซย่าอีตายในอ้อมแขนข้า ข้าถึงขนาดอธิบายความรู้สึกตัวเองในตอนนั้นไม่ออก เพียงแค่เกลียดตนเอง ทว่ากระทั่งเหตุใดถึงเกลียดตนเองก็ยังไม่รู้ เมื่อก่อนข้าเคยถามเจ้าว่าสามารถใช้ทั้งชีวิตไปชอบใครสักคนหรือไม่ ซย่าอีสามารถ นางทำได้…นางยังเริ่มทำให้ข้าเกลียดชังตนเอง ข้าได้เห็นความขี้ขลาดและหยาบช้าของตนเองในสมัยก่อน ข้าเริ่มรู้ว่าไม่ใช่ง่ายที่นาง…”
เขาหยุดชะงักราวกับพูดไม่ออกแล้ว
ข้ากรอกเหล้าคำโตอย่างเศร้าใจ “ไม่ใช่ว่าไม่ง่าย ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจนาง ชาตินี้ในที่สุดตนเองก็ได้เข้าใจแล้ว คนที่ตนเองชอบไม่ชอบตน ยังจะหน้าไม่อายไล่ตามเว้าวอน…ทำเรื่องโง่งมพรรค์นี้ต้องการความกล้ามากถึงเพียงนั้น อา…ความกล้าที่ข้ากักตุนเอาไว้เกือบใช้ไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะสามารถยืมได้ที่ไหน”
“หึ แต่ซย่าอีไม่เคยหยิบยืมจากผู้ใด นางก็เหมือนหิ่งห้อยในคืนฤดูร้อน ใช้แสงทั้งหมดของตนแผดเผาจนสิ้นแล้วพุ่งเข้าหาความตายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้ผู้อื่นรับมือไม่ทันโดยสิ้นเชิง…” สือต้าจ้วงเอ่ย “หลังจากฝังซย่าอีข้าต้องการช่วยนางล้างแค้นตัวข้าเอง ข้าคิดวิธีมากมายมาลงโทษตัวเอง แต่ข้ารู้สึกว่าล้วนไม่พอ ต่อมาข้าเริ่มพยายามทำให้ตนเองไปรักใครสักคน ข้าอยากจะแบกรับความทุกข์ที่นางเคยรับมาทั้งหมด…”
“ต้าจ้วง…” ข้าเอ่ยอย่างทนไม่ได้ “ข้าไม่อาจไม่เอ่ยจริงๆ เจ้าในตอนแรกซื่อบื้อ…เกินไปจริงๆ…นี่ใช่เรื่องที่คนควรทำหรือ”
สือต้าจ้วงเองก็ยิ้มเช่นกัน “ดังนั้นจึงไม่ผิดจากที่คาด ตลอดมาจนถึงตอนนี้ไม่ว่าใครข้าก็ไม่รัก ไม่สามารถช่วยนางแก้แค้นตนเอง กลับยิ่งช่ำชองการสานสัมพันธ์กับสตรีมากขึ้น ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่สามารถชอบใครได้”
ข้ากัดเนื้อเคี้ยวพลางถาม “เจ้าคิดถึงซย่าอีหรือไม่”
สือต้าจ้วงมองจอกเหล้าอยู่นาน “คิด”
“เช่นนั้นเจ้าก็ได้รับการลงโทษแล้วละ” ข้ากลืนเนื้อลงท้องไปแล้วชนจอกกับต้าจ้วงที่ตกตะลึง “พูดเรื่องเจ็บปวดเช่นนี้ในเวลานี้ก็ไม่มีประโยชน์ ดื่ม ไม่เมาไม่กลับ!”
ข้าแหงนหน้ากรอกเหล้าลงไปอีกจอก ไม่รู้ดื่มไปนานเท่าไร พระจันทร์บนฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสองสามดวง ลมเย็นในคืนฤดูร้อนพัดใส่หน้าผากข้า ข้ารู้สึกว่าชีวิตคนช่างสุขสบายอย่างยิ่งแล้ว
สือต้าจ้วงกอดไหเหล้าหลับ กรนครอกๆ อยู่ข้างกายข้าไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าลมพัดเบาๆ กำลังดี จึงคิดจะเดินเล่นในป่าสักหน่อย ไม่แน่ว่า…ไม่แน่ว่าข้าอาจจะบังเอิญพบโม่ซีน้อยอีกครั้ง กำลังใช้ไม้กวาดกวาดพื้นอย่างน่าสงสาร จากนั้นข้าก็สามารถเอาลูกกวาดไปเกี้ยวเขาอีก นั่นช่างง่ายดายยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าส่ายเอนอยู่นานเท่าไร ข้าพลันเห็นที่ต้นเหมยด้านหน้ามีเงาคนเงาหนึ่งในชุดขาวลายฟ้า เป็นเครื่องแต่งกายของหลิวโป ข้าขยี้ตาเบาๆ แล้วเดินเข้าไป ยังไม่ทันมองหน้าเขาชัดๆ ก็ได้ยินเขาเอ่ยว่า “คิดจะอ้างว่าเมาหนีไปหรือ เจ้าคงยังจำได้ว่าตัวเจ้าประทับตราใส่ตนเองไว้ใช่ไหม”
ข้าพยายามมองเขาชัดๆ แต่เขากลับเอาแต่ส่ายไปส่ายมาตลอด ข้าร้อนใจอยากคว้าจับเขาไว้แต่ไม่คาดว่าเขาจะหนีหลบไป
“อย่าขยับ!” ข้าตะโกน “ให้ข้ามองท่านดีๆ”
ข้าก้าวเข้าไปอีกก้าว แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัว ต่อมาก็รู้สึกว่าฟ้าหมุนดินพลิก แหงนหน้าล้มลงไปที่พื้น แต่ที่น่าแปลกคือหลังหัวข้ากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ข้ายื่นมือลูบมั่วซั่วแต่กลับลูบเจอมือของใครอีกคนอย่างน่าประหลาด ข้าลูบจากหลังมือของเขาไปจนถึงปลายนิ้ว ข้อต่อกระดูกชัดเจน ขนาดกำลังพอดี เอาไปย่างได้แล้ว “กีบอันนี้โตได้ที่ดีเลย”
คนผู้นั้นคล้ายว่าถูกหยอกจนโกรธแล้วจึงชักมือคืนไปโดยแรง ข้ากลับคว้ามือเขาไว้ไวยิ่งกว่า
ตอนนี้ข้านอนอยู่บนพื้น แม้หัวจะยังมึนอยู่นิดหน่อยแต่อย่างน้อยตัวเขาก็ไม่ส่ายแล้ว ในที่สุดข้าจึงค่อยๆ มองเห็นเครื่องหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน ในดวงตาเขาแฝงแสงจันทร์อันพร่างพราวเย็นใส มองจนดวงใจข้าสั่นไหวอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ทำไมจึงแสบจมูก เบ้าตาร้อนแดง น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมามากมาย
“โม่ซี…” ข้าเอ่ยเรียก “โม่ซี ข้าคิดถึงเจ้า”
มือข้างหนึ่งของข้าจับมือเขาแน่น อีกมือคิดจะโอบคอเขา แต่กลับถูกมือข้างที่ว่างของเขาปัดออกอย่างไร้เยื่อใย
การปฏิเสธของเขาทำให้ข้าน้อยใจจนรับไม่ไหว “เหตุใดไม่ให้ข้าแตะเจ้า!”
หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น “เจ้าดื่มมากไปแล้ว”
“เจ้าบอกว่าจะดีต่อข้าตลอดไป! เจ้าเคยพูดว่าเจ้าจะอ่านนิทานให้ข้าฟัง เจ้าบอกว่าจะให้ข้ารังแกไปชั่วชีวิต เจ้าบอกว่าเจ้าชนะข้าไม่ได้ชั่วนิรันดร์ เจ้าบอกตั้งมากมายเพียงนั้นแต่กลับไม่มีสักประโยคเป็นความจริง เจ้าเป็นคนหลอกลวง พูดไม่เป็นคำพูด”
“ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าต้องการหา”
“เจ้าใช่!”
“ไม่ใช่”
“เช่นนั้นเจ้ายืนยันได้หรือว่าเจ้าไม่ใช่!”
“…”
“เจ้านั่นแหละ” ข้าแนบใบหน้ากับฝ่ามือเขาพลางถูเบาๆ “เจ้าคือโม่ซี โม่ซีที่ข้าชอบที่สุด”
โม่ซีไม่ดิ้นรนเถียงข้างๆ คูๆ อีก ปล่อยให้ข้าดึงมือเขาไปคลอเคลียและจูบเบาๆ ที่ฝ่ามือเขา “แต่ว่าไม่เป็นไร” ข้าเอ่ยเสียงเบากลางฝ่ามือเขา “เป็นข้าที่ตั้งมั่นเกี้ยวเจ้า พวกนี้…ล้วนไม่เป็นไร”
โลกเงียบสงัด ข้างหูข้านอกจากเสียงแมลงแล้วเสียงอื่นๆ ล้วนถอยห่างไปช้าๆ…
วันรุ่งขึ้น
ข้าตื่นด้วยเสียงเคาะประตู ‘ก๊อกๆๆ’ ด้วยจังหวะเร่งร้อน ภายนอกหน้าต่างแสงอาทิตย์กำลังดี ข้าหาวคราหนึ่ง กำลังคิดจะเปิดประตูออกไปนอกลานบ้าน แต่หลังจากหาวเสร็จปิดตาลง กลับรู้สึกว่าในปากมีกลิ่นคาวเลือดประหลาดๆ ดวงตาก็ตึงแน่น ข้าลูบปากลูบตาเบาๆ ตีหัวอย่างมึนๆ เหตุใดจึงมีความรู้สึกไม่ถูกต้องในบางที่
ข้าใส่รองเท้าสวมเสื้อคลุม เคลื่อนตัวลงจากเตียงช้าๆ แล้วดึงประตูห้องเปิดออกเป็นช่อง ภายในช่องประตูเห็นจ้งหวาเดินไปเปิดประตูแล้ว แต่ที่หน้าประตูคล้ายว่าเป็นปีศาจก้อนหินน้อยตนหนึ่ง เมื่อเห็นจ้งหวา ปีศาจน้อยตะลึงงันไปชั่วขณะค่อยเอ่ยถามอย่างขลาดกลัว “ใต้เท้าเหยียนซิ่วไม่อยู่หรือ”
“ไม่รู้” ข้าไม่เห็นสีหน้าจ้งหวา แต่พอฟังออกถึงความไม่พอใจจากน้ำเสียง พบเรื่องไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ความโมโหร้ายของเขาคงหนักกว่าเดิมอย่างไม่อาจเลี่ยง
ปีศาจก้อนหินน้อยตื่นกลัวอยู่บ้าง “เช่นนั้น…เช่นนั้นอีกครู่ข้าค่อยมาดีกว่า” เขาหมุนกายสาวเท้าไปสองก้าว ก่อนที่จ้งหวาจะปิดประตูก็ถอยหลังกลับมาใหม่ ใช้มือดึงประตูไว้ ดวงตาฉ่ำน้ำจ้องมองจ้งหวาตรงๆ ความหวาดกลัวกับความมุ่งมั่นพากันฉายวาบผ่านในแววตา “คือว่า…” เสียงของเขาเบามาก จ้งหวากลับไม่ได้ปฏิบัติต่อปีศาจอย่างไม่เกรงใจแม้สักน้อยเหมือนปกติ แต่อดทนรอฟังคำพูดต่อมาของปีศาจน้อยอย่างผิดคาด
“ใต้เท้าเหยียนซิ่วบอกว่าลูกกลอนปราณของพี่สาวจิ้งจอกน้อยอยู่กับ…กับท่านใช่หรือไม่”
“อื้ม”
เขาราวกับปลุกความกล้าทั้งหมดเอ่ยว่า “สามารถมอบให้จิ้งจอกน้อยได้หรือไม่…”
จ้งหวาไม่ตอบ ปีศาจก้อนหินน้อยคล้ายกลัวว่าจะถูกโดนไล่ตีให้จากไป รีบยื่นมือจับเสื้อคลุมจ้งหวาอย่างน่าสงสาร “ขอร้องท่าน…”
ข้าถูกท่าทางของปีศาจน้อยล่อลวงเข้าแล้ว ขณะกำลังคิดจะพุ่งไปค้นเสื้อจ้งหวาแย่งลูกกลอนปราณมาให้ปีศาจก้อนหินน้อย กลับได้ยินจ้งหวากล่าวว่า
“ได้”
ปีศาจก้อนหินน้อยสะท้านไปทั้งตัว เงยหน้ามองจ้งหวาอย่างไม่อยากเชื่อ
จ้งหวาล้วงของสีทองวาววับชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก เป็นลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอกตนนั้น ข้ากะพริบตาอย่างตกตะลึง แต่ไม่ใช่เพราะประหลาดใจที่เขามอบลูกกลอนปราณให้ปีศาจก้อนหินน้อย เมื่อวานข้าเห็นสายตาของเขาก็เดาได้แล้วว่าเขาจะต้องนำลูกกลอนปราณออกมา ดังนั้นข้าจึงหาได้รู้สึกเหนือคาดในการกระทำนี้ของเขา ที่ทำให้ข้าตกตะลึงก็คือบนมือจ้งหวาพันผ้าพันแผลสีขาว ยังมีรอยเลือดซึมออกมาจากในผ้าพันแผลด้วย ดูแล้วคงเลือดไหลไม่น้อย
นี่เขาได้รับบาดเจ็บตอนไหน
“นี่คือลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอกตนนั้น” ระหว่างที่ข้ากำลังคิดถึงบาดแผลของเขา จ้งหวาก็เอ่ยเรียบๆ กับปีศาจก้อนหินน้อย “ต่อไปหากมีคนถามว่าได้ของสิ่งนี้มาอย่างไร เจ้าก็บอกไปว่าเก็บได้ที่พื้น ไม่อนุญาตให้เอ่ยถึงข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทำลายมันซะเดี๋ยวนี้”
ปีศาจก้อนหินน้อยถูกขู่จนตัวสั่น แต่เห็นจ้งหวาไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นจึงค่อยรับลูกกลอนปราณมาอย่างกริ่งเกรงแล้วมองสังเกตอย่างถี่ถ้วน “เป็นลูกกลอนปราณของพี่สาวเซียนจิ้งจอกจริงๆ ด้วย!” เขากะพริบตาปริบๆ มองจ้งหวาตาโต “ท่านไม่กำจัดข้า ยังยอมมอบลูกกลอนปราณให้จิ้งจอกน้อย นักพรตเช่นท่านไม่เลวร้ายมากมายเหมือนอย่างที่พวกเขาพูดกัน…”
จ้งหวาหันหลังให้ข้า ข้ามองไม่เห็นสีหน้าของเขา เพียงได้ยินเขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “กลับไปเถอะ” พอเขาหมุนตัวจึงเห็นข้าที่เปิดช่องประตูอยู่ สี่ตาประสานกัน เขาเห็นว่าถูกข้าล่วงรู้เรื่องนี้แล้วสีหน้าจึงกระอักกระอ่วนขึ้นมาชั่วขณะ
“ท่านจริงใจต่อพวกเรา ข้าเองก็ต้องเป็นก้อนหินดีที่จริงใจต่อท่าน” ปีศาจก้อนหินน้อยตรงหน้าประตูยังไม่จากไป กอดลูกกลอนปราณพูดอย่างหนักแน่น “ข้าบอกท่านแล้วกัน แม่นางที่มาด้วยกันกับท่านคนนั้นไม่ใช่แม่นางที่ดี”
ข้าเบิกตาโต นี่ๆ! ใส่ร้ายกันอย่างชั่วช้าสามานย์! ข้าทำเรื่องที่หญิงสาวดีงามไม่ควรทำตอนไหน!
ปีศาจก้อนหินน้อยหลุบตาไม่มองข้า พร้อมอีกทั้งยังพูดเองเออเองต่อ “ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านประมือกับพี่สาวเซียนจิ้งจอกจนสลบไป แม่นางคนนั้นพูดยืนยันกับทุกคนกับปาก นางบอกว่านางถูกท่านบีบบังคับ บีบจนไม่มีทางเลือกถึงต้องมาช่วยท่านกำจัดปีศาจที่นี่”
หลังคอข้าพลันแข็งทื่อ เมื่อนึกคำพูดมั่วซั่วคราวนั้นออก คราวนี้กลับถูกคนเปิดโปงออกมาต่อหน้า ได้แต่กัดปากลูบจมูกแล้ว
จ้งหวากลับหรี่ตาลงพินิจมองข้าอย่างลุ่มลึก
“นางยังพูดว่าที่ท่านสลบเป็นเพราะระหว่างที่ท่านสู้กับพี่สาวเซียนจิ้งจอก นางลอบทำร้ายท่านจากด้านหลัง จากนั้นยังคิดจะเอาท่านไปฝังด้วย”
เจ้าปีศาจก้อนหินน้อยหัวสมองมีปัญหาตนนี้จำคำพูดข้าได้อย่างชัดเจน! แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่จ้งหวามองข้ายิ่งลุ่มลึกมากขึ้น จากอายจึงกลายเป็นโกรธ ม้วนแขนเสื้อตะโกนเสียงดัง “หน็อย! เจ้าตัวเล็กขี้ฟ้องหน้าไม่อาย! ดูสิว่าวันนี้ข้าจะไม่จับเจ้าหวด!”
ปีศาจก้อนหินน้อยสะดุ้ง มองข้าอย่างหวาดกลัวคราหนึ่งแล้ววิ่งโกยแน่บจากไป แต่ยังไม่ลืมร้องตะโกน “ท่านเป็นนักพรตที่ดีข้าถึงช่วยท่านหรอกนะ! ต่อไปอย่าสังหารปีศาจมั่วๆ ล่ะ!”
ข้าก็ไม่ได้ไล่ตามเขาไปจริงๆ เพียงมองดูสีหน้าจ้งหวา เขากลับไม่โมโห บนใบหน้าไม่เห็นความรังเกียจและเยาะหยันเหมือนที่ผ่านมา ปกติเสียจนพาให้ข้าไม่รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
ข้าปล่อยแขนเสื้อลงอย่างสุภาพ “ท่านฟังข้าอธิบายก่อน เรื่องไม่ใช่แบบที่ท่านคิด…” จ้งหวาสาวเท้าจะกลับห้อง ข้ารีบผลักประตูออกพุ่งไปขวางหน้าเขา “ท่านฟังข้าอธิบายนะ” เขาไม่สนใจข้า ดังนั้นพอเขาไปทางซ้ายข้าก็ไปทางซ้าย พอเขาไปทางขวาข้าก็ไปขวา ขวางอยู่ข้างหน้าเขาตั้งแต่ต้นจนจบ “ความจริงตอนนั้นเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ ข้าถึงไม่อาจไม่พูดออกไปเช่นนั้นได้ ท่านคิดดูก็รู้ ข้าไหนเลยจะทำร้ายท่านได้…”
“ข้าไม่ได้พูดว่าเจ้าทำร้ายข้า” คล้ายถูกข้ารังควานจนหมดความอดทนแล้ว ในที่สุดเขาก็หันหน้าพูดเสียงเบา “เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย”
ข้าอึ้งไป
อาจเพราะข้าจ้องเขานานเกินไป เขาถึงมีท่าทางคล้ายเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย กระแอมเสียงหนึ่งอ้อมตัวข้าแล้วสาวเท้ากลับห้องอย่างรวดเร็ว
นี่หมายความว่าอย่างไร
เขาเชื่อว่าข้าจะไม่ทำร้ายเขา? หรือว่าเบื่อจนไม่คิดพูดกับข้าแล้ว? ดูจากท่าทางเมื่อครู่ของเขา ข้อแรกกลับดูเป็นไปได้มากกว่า
ข้ากะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาเชื่อว่าข้าจะไม่ทำร้ายเขา ไม่ได้ใช้ท่าทางที่ราวกับว่า ‘ปีศาจคือความชั่วช้า ไม่มีทางทำเรื่องดีเด็ดขาด’ เขามองข้าอีก การ ‘ปราบปีศาจ’ ครั้งนี้จ้งหวาได้ยกระดับจิตใจขึ้น! นี่คือความก้าวหน้าในชีวิตโดยแท้!
ข้าหวนคิดอีกครั้ง ในตอนที่ปีศาจก้อนหินน้อยกล่าวอย่างมั่นใจขนาดนั้น จ้งหวายังเลือกเชื่อข้า เห็นได้ว่าหลายวันนี้ภาพลักษณ์ข้าในใจของเขาค่อยๆ ดีขึ้นทีละน้อยๆ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขา…
“เฮ้อ ข้ายังลงแรงไม่เท่าไรท่านก็ถูกข้าเกี้ยวติดซะแล้ว ดูท่าข้าคงหน้าตาน่าลุ่มหลงเหมือนกัน”
“ฮ่า!”
ด้านหลังพลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ ข้าหันไปดูแต่เห็นสือต้าจ้วงก้าวเข้ามายิ้มกล่าว “นี่ข้ารบกวนแม่นางกำลังกล่าวชื่นชมตนเองอยู่หรือ”
“ข้าให้อภัยเจ้า” ข้าโบกมืออย่างใจกว้างแล้วถามต่อ “เช้าขนาดนี้เจ้าไปไหนมา”
“ย่อมต้องไปเก็บกวาดที่พวกเราดื่มกันเมื่อวานอยู่แล้ว” สือต้าจ้วงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้ากลับก่อกวนสบายใจ เดินเรียกหาโม่ซีไปทั่วทั้งคืน ทำเอาบริเวณลานเละเทะไปแถบหนึ่ง สุดท้ายยังจับเอาผู้อาวุโสจ้งหวามากัดเต็มแรงอีกคำ เนื้อบนมือเขาเกือบถูกเจ้ากัดขาดแล้ว เจ้าเกลียดเขามากขนาดไหนเนี่ย…”
ข้าอ้าปากนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “เจ้าบอกว่าเมื่อคืนข้าทำอะไรนะ”
“ล้มต้นไม้สองสามต้น กัดคนหนึ่งคน จากนั้นกอดม้านั่งหินร้องไห้อยู่หลายชั่วยาม…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว…” ข้ายกมือหยุดเขา
สือต้าจ้วงหัวเราะ “เป็นอะไร ครานี้เสียใจไม่น่าทำแบบนั้นแล้วหรือ”
ข้ากำหมัดอย่างแอบตื่นเต้น “เปล่า ข้าแค่รู้สึกว่า…” ข้าเงยหน้ามองประตูห้องที่ปิดสนิทของจ้งหวา ในดวงตาราวกับมีแสงส่องออกมาเผากระดาษบนบานประตูให้ทะลุ “ข้าก่อกวนเช่นนี้ เช้าวันนี้จ้งหวายังไม่โมโหข้า หากไม่ใช่เขาทุ่มเทความรักให้ข้าแล้ว ข้าก็หาเหตุผลอื่นมาอธิบายไม่ออก”
สือต้าจ้วงเงียบไปชั่วขณะ “ยังดีที่เมื่อก่อนโม่ซีทำให้ข้ากลับตัวกลับใจ” พูดแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง “เมื่อครู่ตอนที่ข้ากลับมาเจอปีศาจก้อนหินน้อย เขาบอกว่าหากระบี่ชิงซวีพบแล้ว อีกครู่เจ้าลองถามจ้งหวาดูว่าคิดจะพักสักครู่ค่อยไปเอาหรือว่า…”
‘แอ๊ด’ ประตูเปิดออก จ้งหวาปรากฏกายราวกับลม “นำทาง ไปตอนนี้เลย”
ดูท่าเขาคงหวงกระบี่ยโสนั่นมาก ไม่เช่นนั้นจะรีบร้อนจนเผยเรื่องแอบฟังพรรค์นี้ออกมาได้อย่างไร…
กระบี่ชิงซวียังปักอยู่ในที่ที่ข้าทิ้งมัน มันกำลังครวญครางอย่างมีใจแต่ไร้แรง ข้ากวาดตามองโดยรอบ “ใช่แล้วๆ เป็นที่นี่แหละ”
จ้งหวาถือกระบี่พลางใช้แขนเสื้อเช็ดมันอย่างปวดใจ ท่าทางเช่นนี้คล้ายกับโม่ซีในชาติก่อน เหมือนสีหน้ายามกลัวว่าข้าจะถูกผู้อื่นรังแก ทำให้ข้าอดหึงหวงกระบี่เล่มนี้ไม่ได้อยู่บ้าง
เก็บกระบี่เข้าฝักแล้วจ้งหวาก็กำหมัดคารวะตามธรรมเนียมให้สือต้าจ้วง “ขอบคุณมาก ข้าขอลาแล้ว”
ข้าตะลึง “จะไปแล้วหรือ”
“ยังจะรั้งอยู่ทำไม”
ที่จริงข้ายังคิดอยากกำจัด ‘ปีศาจ’ เป็นเพื่อนจ้งหวาอีกสองสามตน เป็นคู่รักแนบแน่นที่ผดุงความเป็นธรรม แต่ก็ไม่เป็นไร เป็นคู่รักแนบแน่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เปลี่ยนเป็นคู่รักคู่แค้นที่ต้องคุมขังทรมานก็ได้ ข้าที่อ่านนิทานมาแล้วทั่วหล้า แนวทางที่ชมชอบก็นับว่ากว้างมากอยู่
ข้าพยักหน้า “เช่นนี้ก็ไปเถอะ” ข้าบอกลาสือต้าจ้วง “ความจริงเจ้าไม่ต้องเอาจิตใจไปไว้ที่หญิงอื่นก็ได้ เจ้าน่าจะไปหาซย่าอี ไม่แน่ว่าบุพเพของพวกเจ้ายังไม่สิ้นสุด พอหันไปก็ได้พบแล้ว คราวนี้ขอเพียงเจ้าไม่รนหาที่ก็คงจะไม่มีใครต้องตายแล้ว”
สือต้าจ้วงเผยยิ้มออกมา “ได้”
จ้งหวาใช้วิชาขี่กระบี่ กระบี่ชิงซวีอยู่ใต้เท้าเขา รองรับเขากับข้าบินขึ้นมา ข้าก้มดูข้างล่างเมื่อถึงครึ่งท้องฟ้า เห็นเพียงปีศาจน้อยที่มาก่อนหน้านี้กำลังคุกเข่าเบื้องหน้าจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งข้างลำธาร ป้อนลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอกให้จิ้งจอกน้อย
จิ้งจอกน้อยกลืนลูกกลอนปราณลงไป บนร่างเปล่งแสงทองออกมารางๆ รูปร่างเริ่มพร่าเลือนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างคนช้าๆ เครื่องหน้านั้น…
กระบี่ชิงซวีบินสูงขึ้นอีก รอบด้านพลันกลายเป็นชั้นเมฆ
“อ๊ะ…” ข้าร้องเบาๆ
จ้งหวาเบี่ยงหน้ามาเล็กน้อย “มีอะไร”
“เปล่า…” ข้ามองลงไปข้างล่าง แต่มองไม่เห็นเงาของเขาหลิงอวี้แล้ว ข้าพูดได้แม่นยำจริงๆ บุพเพยังไม่สิ้น ที่เหลือต้องดูว่าเจ้าสองคนจะรนหาที่ตายเองหรือไม่แล้ว…