ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
บทที่สิบแปด
ขี่กระบี่กลับหลิวโป ยามที่ผ่านทะเลสาบหลิงหู ข้าเห็นบนทะเลสาบยังมีคนกำลังจัดการกับฝุ่นของเจดีย์เชียนสั่วที่กลายเป็นแป้งละเอียด ข้าพูดออกมาจากใจจริงอย่างอดไม่ได้ “ตอนข้าพังเจดีย์เชียนสั่วไม่ได้รู้สึกว่ามันใหญ่เท่าไรนะ เหตุใดศิษย์หลิวโปของพวกท่านเก็บกวาดตั้งนานขนาดนี้แล้วยังเก็บไม่สะอาดอีก”
จ้งหวาไม่ตอบคำถามข้า แต่กลับโยนข้าเข้าไปในข่ายอาคมด้านหลังเรือนของเขา แม้แต่นักพรตหญิงชิงหลิงก็แบกเข้ามาในกระท่อมน้อยของข้าในข่ายอาคม ให้ข้าถอนคำสาปให้นาง
เวทคำสาปของข้าเรียนได้ไม่ค่อยดีนัก ยังต้องใช้เวลาวันแล้ววันเล่าค่อยๆ แก้คำสาปให้นักพรตหญิงชิงหลิง และเหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้าแก้คำสาปได้ช้าก็เพราะ ที่นี่ข้ากุมตัวศิษย์น้องของเขาที่นับว่าเป็น ‘ผู้อาวุโส’ ของหลิวโป ทุกวันอย่างไรเขาก็ต้องหาเวลามาดูสักหน่อย หากข้าแก้คำสาปของชิงหลิงเสร็จแล้ว เช่นนั้นต่อไปจ้งหวาจะมาหาข้าหรือ
ระหว่างขั้นตอนแก้คำสาปของนักพรตหญิง ข้าพยายามดิ้นรนเพื่ออิสรภาพตนเองเต็มที่ สบถสาบานว่าตนจะไม่ทำลายต้นไม้ต้นหญ้าของหลิวโปอีกสักต้น แต่จ้งหวาก็ไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
เขาทิ้งนักพรตหญิงชิงหลิงให้อยู่กับข้าที่นี่ ส่วนตนเองง่วนอยู่กับการจัดการเรื่องราวในสำนัก ทุกวันข้ารักษานักพรตหญิงนิดหน่อยแล้วก็เดินเล่นว่างๆ อยู่ในสวน พอจ้งหวามาดูชิงหลิง ข้าค่อยหยอกเขานิดๆ หน่อยๆ ใช้ชีวิตอย่างนับว่าสบายใจได้
วันนี้ตอนที่กำลังแก้คำสาปบางส่วนให้ชิงหลิง ข้าเห็นท้องฟ้าแจ่มใส จู่ๆ ก็นึกสนุกหยิบนิทานขึ้นมา สูดดมกลิ่นเหมยพลางเดินเอื่อยเฉื่อยท่ามกลางเงาดอกไม้
ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่ากลับไปยังชาติก่อนอีกครั้ง ข้าเกียจคร้านอยู่ในห้องทั้งวัน หลังโม่ซีกลับจากสำนักศึกษา ผลักประตูเข้ามาพร้อมแสงอาทิตย์ที่พร่างพราว เอ่ยเรียกข้าเบาๆ ‘ซานเซิง’
ข้าดื่มด่ำกับความทรงจำอันหาได้ยากที่เหลืออยู่นี้ หลับตาลงจินตนาการว่าโม่ซีในชาติก่อนอยู่เคียงข้างข้า ข้าเดินหนึ่งก้าวเขาก็เดินหนึ่งก้าวไม่มากไม่น้อย อยู่ด้านหลังในจุดที่ข้าสามารถเอนพิงได้พอดี
ข้าเดินๆ หยุดๆ ราวกับว่าทุกย่างก้าวล้วนมีโม่ซีตามมาด้วย เมื่อลืมตาขึ้นเบื้องหน้ายังคงเป็นเหมยแดงกลางหิมะ ข้าหันกลับไปมองแต่กลับต้องสะดุ้ง โม่ซีเอามือไขว้หลังยืนอยู่ข้างต้นเหมยจริงๆ จับจ้องมองมาทางข้าไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว
ข้ายิ้มแย้มดีใจ คำว่า ‘โม่ซี’ สองคำนี้มาถึงริมฝีปาก ก่อนจะกลืนกลับลงไป แล้วเปลี่ยนเป็นเอ่ยเรียก “จ้งหวา”
ไม่รู้เขาคิดอะไรอยู่ ยังคงนิ่งงันไม่ได้สติ
ข้ากระโดดโลดเต้นเข้าไปหาอย่างร่าเริง กางสองแขนออกคิดจะกอดเขา ทว่าไม่คาดว่าที่กอดได้จะเป็นร่างเล็กๆ ที่สั่นอย่างรุนแรง ข้าเลื่อนของเล็กๆ ในอ้อมกอดออกมาดูแล้วต้องประหลาดใจมาก “ฉางอันนี่! เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เจ้าสิ่งนี้ก็คือนักพรตน้อยที่นึกว่าข้าจะจับเขามาสูบพลังหยางคนนั้น เขามีหน้าตาคล้ายกับโม่ซีในชาติก่อน ข้าเห็นเขาแล้วมักเอ็นดูอย่างอดไม่ได้
แต่เขากลับเอาแต่สั่น ไม่ตอบคำถามข้า
ข้ามองจ้งหวาที่ยืนอยู่อีกด้าน สีหน้าเขากลับมาเย็นชาเหมือนปกติในยามนี้ เขาเหลือบมองฉางอันคราหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบๆ “ทบทวนตัวเองให้ดีๆ” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวจะเดินจากไป
ฉางอันเห็นเขาจะจากไปก็ดิ้นหนีจากข้าสุดชีวิต วิ่งเข้าไปฟุบกับพื้นกอดต้นขาจ้งหวา น้ำมูกน้ำตาไหลจนดูไม่ได้ “ผู้วิเศษ! ผู้วิเศษ! อย่าทิ้งฉางอันอยู่ที่นี่คนเดียว! ฉางอันไม่อยากตาย! ฉางอันไม่อยากตาย!”
ข้าปาดเหงื่อ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าที่แท้แล้วตนเองไปทำเรื่องให้ฟ้าพิโรธคนโกรธแค้นอะไรไว้ ถึงได้ทำให้เด็กคนนี้กลัวจนเป็นเช่นนี้ คราวก่อนตีนักพรตน้อยทั้งเขาก็เว้นเขาไว้คนหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ เด็กคนนี้เหตุใดไม่รู้จักซาบซึ้งบุญคุณ ยังกลัวข้าถึงปานนี้อีก ข้าจิ้มน่องเล็กๆ ของเขาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่กลับได้มาซึ่งแววตาหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิมของฉางอัน ราวกับว่าข้าจะดึงกางเกงเขาลงแล้วกระทำเรื่องมิดีมิร้าย ณ เดี๋ยวนั้น…
จ้งหวาดึงแขนเสื้อสะบัดฉางอันออก เหล่มองข้าแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ทะเลาะกับเพื่อนร่วมสำนัก กระทั่งทำร้ายผู้อื่นจนบาดเจ็บ ลงโทษเจ้าให้อยู่ลำพังคนเดียวหนึ่งเดือนก็นับว่าเมตตามากแล้ว อย่ามาร่ำไห้คร่ำครวญให้อับอายขายขี้หน้า”
ข้ากะพริบตาปริบๆ นับว่ากระจ่างแจ้งเจตนาของเขาแล้ว
ดูท่าการตกทุกข์ได้ยากร่วมกันสั้นๆ ในช่วงนั้นทำให้เขารู้สึกว่าความจริงข้าเป็นคนดีที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง ดังนั้นจึงวางใจทิ้งลูกศิษย์ที่ทำผิดของตนไว้ที่นี่ คิดอาศัย ‘ชื่อเสียงเลวร้าย’ ของข้าขู่เขา
ข้าได้แต่เรียกร้องหาความเป็นธรรมให้ตนเองในใจ
จ้งหวาจัดแจงเสื้อคลุมยาวและยังคงจากไปอย่างสง่างาม ทิ้งฉางอันให้ฟุบอยู่บนพื้นคนเดียว ร้องไห้จนสั่นระริก สีหน้าอ้างว้าง
ข้าจิ้มหัวเขาเบาๆ ฉางอันตาถลนเงยหน้ามองข้า ข้ายิ้มอย่างอ่อนโยน “เรามาคุยกันหน่อยไหม”
เปลืองแรงคุยกับเจ้าหนูนี่ครึ่งวัน ทั้งกล่อมทั้งขู่จนเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เขาถูกลงโทษให้มาที่นี่ในที่สุด
เรื่องนี้ต้องพูดย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่ข้าทำลายเจดีย์เชียนสั่วปล่อยปีศาจหมาป่านั่นออกมา เดิมข้านึกว่าข้าปล่อยปีศาจหมาป่าแล้วเขาจะหนีไปให้ไกลอย่างรู้ตัว ลืมบุญคุณความแค้นที่นี่ ทำตัวเป็นปีศาจที่ดี แต่ไม่คิดว่าปีศาจหมาป่านั่นจะเป็นพวกหัวรั้น เขาไม่เพียงไม่หลบซ่อน ยังรวบรวมปีศาจที่อาฆาตแค้นหลิวโปกลุ่มหนึ่ง คิดจะกลับมาทำลายหลิวโป
ในเมื่อรู้ว่าปีศาจหมาป่ามีการเคลื่อนไหวมุ่งร้ายเช่นนี้ หลิวโปย่อมไม่สามารถนั่งรอความตาย ดังนั้นจึงตัดสินใจเชิญเหล่าเจ้าสำนักเต๋าต่างๆ มาร่วมหารือวางแผนรับมือศัตรู
เรื่องของฉางอันก็เกิดขึ้นภายใต้เรื่องราวเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่นี้
ได้ยินว่าระหว่างที่นักพรตน้อยแห่งหลิวโปกำลังเตรียมงานรับรองของวันพรุ่งนี้ ฉางอู่ที่คราวก่อนถูกข้าตีอย่างหนักต้องพักฟื้นอยู่บนเตียงจนเบื่อหน่าย โวยวายว่าอยากกินขนมสำหรับแขกในงานรับรองพรุ่งนี้ พอดีกับที่เห็นฉางอันยกขนมผ่านมาก็คิดจะขอมาชิมสักชิ้น แต่ฉางอันเป็นเด็กซื่อตรงคนหนึ่งจึงไม่ยอมให้เขา เด็กน้อยทั้งสองต่อปากทะเลาะวิวาทกัน ฉางอันทนไม่ไหวผลักฉางอู่ทีหนึ่ง
ฉางอู่กำลังบาดเจ็บ ไม่ทันระวังก็ถูกฉางอันผลักตกลงมาจากเตียงหน้าแนบพื้น หัวแตกเลือดไหล ฉากนี้ถูกผู้อาวุโสที่ผ่านมาพอดีเห็นเข้า ฉางอู่ร้องไห้เสียงดังไม่หยุด ฉางอันมีร้อยปากก็ยากจะอธิบาย…
ดังนั้นแล้วเขาจึงมาอยู่ที่นี่
หน้าตาของเขาที่คล้ายโม่ซีในชาติก่อนมากหลั่งน้ำมูกน้ำตาจนข้าปวดใจทนไม่ไหว ข้าจึงเอ่ยปลอบเขาอย่างดีๆ สองสามรอบ สาบานว่าจะล้างแค้นให้เขา ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ หยุดร้องไห้ สะอื้นอยู่ครู่ใหญ่แล้วถามข้า
“จะ…เจ้าดีต่อข้าขนาดนี้เพราะคิดจะล้างข้าให้สะอาด จาก…จากนั้นสะ…สูบพลังข้าใช่ไหม”
มุมปากข้ากระตุก อยากรู้จริงๆ ว่าปกติอาจารย์เขาถ่ายทอดความคิดแบบไหนให้
ข้าหนีบแก้มอวบอูมของเขาแล้วหัวเราะชั่วร้าย “สูบ ต้องสูบแน่นอน แต่ว่าข้าอยากสูบแค่ผู้วิเศษของพวกเจ้า สูบเขาจนเกลี้ยง สูบจนหมดเรี่ยวหมดแรงตาย!”
“ผะ…ผู้วิเศษ…”
ข้ากุมอกเอ่ยอย่างเปี่ยมความรู้สึก “ใช่แล้ว เดิมรูปร่างเจ้าก็ดูไม่เลว เสียแต่เล็กไปสักหน่อย และในใจข้าก็มีผู้วิเศษของเจ้าอยู่ตั้งนานแล้ว ทั้งใจล้วนเป็นเงาร่างของเขา ทั้งสมองล้วนเป็นท่าทางอันโดดเด่นของเขา ที่คิดถึงก่อนนอนคือเสียงของเขา ที่คิดถึงในยามตื่นคือใบหน้าของเขา ยามไม่เจอเขาก็คะนึงหาเจียนคลั่ง แต่เมื่อเจอแล้วใจข้าก็เต้นระรัวราวตีกลอง ขณะที่ข้าไม่ทันสังเกตข้าก็ทุ่มเทใจให้เขาไปแล้ว ทุ่มเทจนจิตวิญญาณกลับหัวกลับหาง ไม่อาจถอนตัว อารมณ์รักรุนแรงไม่อาจควบคุมจนอยากจะมอบตัวเองให้…”
“ผู้วิเศษ” ฉางอันยื่นนิ้วเล็กๆ ของเขาชี้ไปข้างหลังข้า
ข้าหันกลับไปมอง เห็นเพียงเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีน้ำเงินขาววาดผ่านข้างต้นเหมย ไล้ผ่านหิมะขาวบนเหมยแดงกิ่งหนึ่ง เขาเดินเร็วเกินไปจนแม้แต่เงาร่างข้าก็แยกแยะไม่ได้
ถึงกับหนีไปแล้ว…
“เป็นผู้วิเศษของพวกเจ้าจริงหรือ ผู้อาวุโสจ้งหวา?”
ฉางอันพยักหน้าน้อยๆ แล้วคิดอีกครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ตอนที่ผู้วิเศษจากไปใบหน้าขึ้นสีแดง”
ข้าตะลึงครู่หนึ่ง ถอนหายใจเสียงเบาพึมพำกับตนเอง “จ้งหวาหนอจ้งหวา ไม่คิดเลยว่าท่านจะยังมีท่าทางประหม่าใช้ไม่ได้เช่นนี้ ข้าไม่ใช่สารภาพรักกับท่านไปแล้วหรือ…”
กลางคืนในข่ายอาคมแม้จะเย็นแต่ก็หาได้หนาวยะเยือก ข้าใช้ชีวิตอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือนมานานจึงไม่กลัวความเย็นนิดหน่อยนี้ แต่ฉางอันไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นเด็กที่มากพรสวรรค์อย่างไรก็ยังเป็นมนุษย์ ข้าจึงให้เขานอนข้างนักพรตหญิงชิงหลิง ช่วยเขาห่มผ้าห่มให้ดีและจุดฟืนที่ปกติไม่จุด ส่วนตนเองปิดประตูเดินออกไปทางป่าเหมย ตั้งใจว่าจะหาที่เรียบๆ บนพื้นหิมะถูไถนอนสักคืน
เหตุใดต้องออกมานอนในป่าเหมยน่ะหรือ ย่อมต้องเป็นเพราะเด็กคนนั้นเห็นข้าอยู่ข้างกายเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมหลับ!
ข้าเลือกที่ดีๆ กอดแขนนอนลง นึกในใจว่าตนเองช่างเป็นจิตวิญญาณที่เมตตาโดยแท้
เช้าวันรุ่งขึ้น ยามที่ข้าตื่นกลับเห็นฉางอันถือผ้าห่มผืนหนึ่งห่มให้ข้าอย่างเบามือ ครั้นเห็นข้าลืมตาเขาก็สะดุ้งโหยง ตัวสั่นถอยไปข้างหลังติดๆ แต่ฝีเท้าเกิดซวนเซล้มลงพื้นอย่างแรง ข้าลุกขึ้นคิดจะพยุงเขา เขากลับทั้งกลิ้งทั้งปีนวิ่งจากไป
ข้ายื่นมือค้าง เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากนูนเด่น พยายามอดทนแต่กลับทนไม่ไหว อ้าปากกำลังจะด่าคน เจ้าเด็กผีนั่นกลับหลบอยู่หลังต้นเหมย ยื่นหัวออกมากล่าว “คือ…คือว่า คืนนี้เจ้าเข้ามานอนในกระท่อมเถอะ ข้างนอก…หนาว”
ข้าจ้องเขาเงียบๆ พักหนึ่ง ถอนหายใจเอ่ย “ข้าชื่อซานเซิง”
เขากะพริบตา ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยเรียกข้าอย่างขลาดกลัวเสียงหนึ่ง “ซาน…ซานเซิง”
ข้าพยักหน้าอย่างชื่นใจ หานิทานที่จ้งหวานำมาให้เมื่อหลายวันก่อนจากในห้องแล้วนั่งพิงใต้ต้นเหมยอ่านอย่างสบายใจ นี่เป็นเรื่องราวการกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง พบพานกันอีกหนหลังแยกจากมานานของชายหนุ่มเก่งกาจกับหญิงสาวงดงาม เข้ากับสภาพจิตใจในยามนี้ของข้ายิ่ง ดังนั้นจึงจดจ่ออ่านอย่างมาก
เป็นวันอากาศดีอีกวัน คำสาปของนักพรตหญิงชิงหลิงต่อให้ข้าจะแก้ช้าแต่ก็แก้เสร็จแล้ว ทว่าข้ากลับไม่คิดให้นางฟื้นขึ้นมา ข้ากับจ้งหวาไม่มีการพัฒนาเป็นจริงเป็นจังแม้แต่น้อย ปล่อยเหยื่อไปแล้วข้าจะเอาอะไรตกปลาเล่า
ดังนั้นวันนี้หลังแก้คำสาปเสร็จข้าจึงสกัดจุดหลับของนาง ให้นางนอนหลับต่อไป
ยามเที่ยงจ้งหวาคล้ายหาเวลาว่างจากงานยุ่งมาได้ มาถึงกระท่อมน้อยของข้าก็เอ่ยปากถาม “คำสาปของชิงหลิงยังแก้ไม่ได้หรือ”
ดวงตาข้ากลอกวนรอบหนึ่ง “ข้อเรียกร้องที่ข้าเอ่ยกับท่านตอนที่แก้พิษให้นางตอนนั้นท่านยังจำได้หรือไม่”
จ้งหวามุ่นหัวคิ้ว
“ตอนนั้นข้าให้ท่านเป็นคนของข้าท่านไม่ยอม ให้ท่านจูบข้าท่านก็ไม่ทำ ข้าใจกว้าง ไม่เถียงเรื่องพวกนี้กับท่านแล้ว แต่ดีชั่วอย่างไรท่านก็ควรตอบรับข้าสักเรื่องสิ ไม่เช่นนั้นข้ามิใช่ช่วยงานท่านตั้งมากมายโดยเสียเปล่าหรือ การค้าขายเช่นนี้ไม่คุ้มทุน”
“เจ้าต้องการสิ่งใด”
ข้ายิ้ม “ข้าต้องการให้ท่านยิ้มเพื่อแม่นางเช่นข้า”
เส้นเลือดบนหน้าผากจ้งหวาเต้นตุบๆ ยังไม่ทันพูดพลันได้ยินเสียงขลุกขลักจากด้านข้าง
เราสองคนหันไปมอง เห็นฉางอันตัวน้อยตะลึงงันมองข้ากับผู้วิเศษของเขา ที่กอดอยู่ในมือเขาคือนิทานก่อนหน้านี้ที่ข้าอ่านจบแล้ววางทิ้งมั่วซั่วในป่า เด็กคนนี้เป็นคนซื่อ มักชอบช่วยข้าเก็บสิ่งของต่างๆ พอตกใจคราวนี้หนังสือในมือจึงร่วงลงพื้น “เจ้า…” ใบหน้าเล็กๆ ของเขาขึ้นสีแดง “นี่เจ้ากำลังทำเหมือนผู้ชายที่เที่ยวหอนางโลมอย่างที่ท่านอาจารย์พูดถึงพวกนั้น…เย้าหยอกผู้วิเศษ!”
ข้าดวงตาเปล่งประกาย “ฉางอัน อาจารย์เจ้าเยี่ยมยอดจริงๆ!”
ดูคำอธิบายนี้สิ เหมาะสมยิ่งนัก!
จ้งหวากลับกระดากอายจนกลายเป็นโกรธ ตะคอกข้าเสียงดุดัน “พูดจาเหลวไหล!” เขาตีฝีปากสู้ข้าไม่ได้จึงหันไปหาเรื่องฉางอัน “อย่าคิดว่าถูกขังอยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องบำเพ็ญเพียร ยังไม่รีบกลับไปอ่านตำราฝึกจิตใจอีก!”
ฉางอันกลัวจ้งหวามาก พอถูกเขาตะคอกใส่ก็รีบเก็บหนังสือบนพื้นแล้ววิ่งจากไปอย่างร้อนรน
ข้าเหล่มองเขา “โมโหใส่เด็กหาใช่ผู้กล้าโดยแท้จริง”
จ้งหวานวดหว่างคิ้วอย่างอดกลั้น “เมื่อไหร่ชิงหลิงจะฟื้น อีกไม่นานหลิวโปจะเรียกประชุมใหญ่ นางเป็นหนึ่งในผู้อาวุโส จำเป็นต้องอยู่ด้วย”
“ท่านยอมรับข้าเรียกร้องของข้า ข้าก็จะทำให้นางฟื้น”
ข้าพูดอย่างตรงไปตรงมา เดิมนึกว่าจ้งหวาจะโกรธยิ่งกว่าเดิม แต่เขาคล้ายคุ้นชินกับการกลั่นแกล้งของข้าอย่างไรอย่างนั้น เพียงถอนหายใจอย่างหน่ายใจแล้วเอ่ย “ขอเพียงไม่ผิดต่อคุณธรรม ไม่ฝ่าฝืนมารยาทประเพณี…”
ไม่อยากฟังคำพูดเลื่อนลอยของเขาอีก ข้าโบกแขนเสื้อ โต๊ะหินหนึ่งตัวกับเก้าอี้หินสองตัวก็ปรากฏกลางอากาศ บนโต๊ะวางกระดานหมากไว้ ข้าเอ่ย “ท่านมาเดินหมากกับข้าเถอะ”
เขาอึ้งงัน
ข้าเลือกนั่งลงฝั่งหนึ่ง “พวกเราทำเหมือนเมื่อก่อน ข้าถือหมากดำ ท่านถือหมากขาวดีหรือไม่” ข้าดันหมากขาวไปทางเขา จ้งหวากลับยังยืนนิ่งไม่ไหวติง
“ข้าเคยเดินหมากกับเจ้าเมื่อไร”
ข้ายิ้มกล่าวต่อ “เมื่อก่อนเวลาข้าเดินหมากกับผู้อื่นล้วนเป็นเช่นนี้” ข้าเงยมองเขา “คงไม่ใช่ว่ากระทั่งเดินหมากกับข้า ท่านก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องผิดต่อคุณธรรม ฝ่าฝืนมารยาทประเพณีหรอกนะ”
ในที่สุดเขาก็นั่งลงตรงข้ามข้า
ข้าส่งเม็ดหมากให้เขา “ท่านคิดซะว่าเป็นการฆ่าเวลาก็ได้”
จ้งหวารับเม็ดหมากไป
ทว่าหนึ่งกระดานใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป ผลแพ้ชนะบนกระดานก็ตัดสินแล้ว จ้งหวาเคาะกระดานพลางยกมุมปากอย่างอารมณ์ดีเบื้องหน้าข้าอย่างหาได้ยาก “ฆ่าเวลา?” คำพูดนี้แฝงแววเหน็บแนมไว้ด้วย
ข้าก็ไม่โกรธ “ข้ารู้ว่าข้าชนะท่านไม่ได้” ข้าส่งเม็ดหมากดำในมือให้เขา “ดังนั้นท่านมาสอนข้าเถอะ ทำอย่างไรจึงจะชนะท่าน”
เขามองข้า นิ่งเงียบจ้องเม็ดหมากในมือข้าเนิ่นนาน ในดวงตาแน่วนิ่งมีอารมณ์บางส่วนที่ข้ามองไม่ออก สุดท้ายเขายังคงไม่ขยับ เพียงเอ่ยเรียบๆ “ช่วยเจ้าชนะ มีเหตุผลพรรค์นี้ด้วยหรือ”
“ท่านกับข้าเดินหมากก็เพื่อเหตุผลนี้”
“เจ้าแพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ข้าจะไม่ช่วยเจ้าเอาชนะข้าเด็ดขาด”
ท่าทีและน้ำเสียงนี้ของเขาแตกต่างจากในความทรงจำของข้ามากเกินไป พาให้ข้าไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับชั่วขณะ
ข้าวางหมากดำในมือลงในที่สุด คิดเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ก็ได้ กระดานนี้นับว่าข้าแพ้แล้ว” ข้าโยนหมากออกไปง่ายๆ กล่าวว่า “แต่ว่าช้าเร็วข้าต้องเอาชนะได้ นักพรตหญิงชิงหลิงก็ควรฟื้นแล้ว ไปดูนางกันเถอะ”
พูดจบข้าก็ลุกขึ้นเดินออกมา
เมื่อเข้าไปในกระท่อม ข้าโบกมือคราหนึ่งแก้คำสาปที่ร่ายให้นางหลับก่อนหน้านี้ ไม่ทันไรก็เห็นนักพรตหญิงขมวดคิ้วครางเสียงแผ่ว จากนั้นลืมตาขึ้นช้าๆ
จ้งหวาที่ก้าวเข้ามาในกระท่อมแล้วเดินมาข้างกายชิงหลิง พอนักพรตหญิงลืมตาเห็นเขาก็กล่าวอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่?” นางยกมือคลึงขมับ “นี่ข้า…เป็นอะไรไป”
จ้งหวาเอ่ย “ก่อนหน้านี้เจ้าไปกำจัดปีศาจที่เขาหลิงอวี้ทางตะวันตกและได้รับบาดเจ็บกลับมา”
“งั้นหรือ…” นางปิดตาส่ายหัว “ข้ารู้ว่าข้าไปกำจัดปีศาจที่หลิงอวี้ แต่ได้รับบาดเจ็บอย่างไรข้ากลับจำไม่ได้แม้แต่น้อย”
จ้งหวาหันกลับมามองข้า ข้าเบ้ปากผายมือ สามารถแก้คำสาปได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ยังหวังให้ข้าแก้ได้ดีกว่านี้อีกหรือ
จ้งหวาเองก็ไม่ได้โทษข้า “จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ ร่างกายยังมีปัญหาใดอีกหรือไม่”
“เพียงแค่ล้ามากเท่านั้น คงไม่มีปัญหาใด” นักพรตหญิงเงียบไปชั่วขณะ เอ่ยเสียงเบา “ครั้งนี้ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือ”
จ้งหวากำลังจะเอ่ยปาก ข้าก็ชิงพูดขึ้นก่อน “ต้องขอบคุณศิษย์พี่เจ้าให้ดีจริงๆ อาการบาดเจ็บของเขายังไม่ทันหายดีก็รีบหาวิธีรักษาเจ้าแล้ว”
จ้งหวาได้ยินสีหน้าก็ประหลาดไปเล็กน้อย
นักพรตหญิงชิงหลิงเคลื่อนสายตามามองข้าในยามนี้ “เป็นเจ้า?”
ข้าพยักหน้า “เป็นข้า หลังจากเจ้ากำชับให้นักพรตน้อยกลุ่มนั้นพาข้ากลับหลิวโป ตอนนี้ข้าถูกขังอยู่ในป่าเหมยแดงด้านหลังเรือนนอนของศิษย์พี่เจ้าน่ะ”
ชิงหลิงยังคิดจะพูดอะไร แต่จ้งหวาเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ไว้คุยทีหลังก็ยังไม่สาย ข้าจะให้คนมาพาเจ้าไปพักฟื้นก่อน” เขาออกไปจากกระท่อม ข้าไม่อยากยืนจ้องตาอยู่กับนักพรตหญิงชิงหลิงสองคน ดังนั้นจึงตามหลังเขาออกมาด้วย
จ้งหวาเดินไปเงียบๆ ตลอดทาง ขณะใกล้จะออกจากข่ายอาคมเขาพลันเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่เหตุใดเจ้าไม่บอกว่าตนเองช่วยนาง”
“ข้าไม่ชอบนาง และไม่ต้องการดึงนางเป็นพวก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้นางจดจำว่าข้าช่วยนาง แต่ท่านเป็นเจ้าสำนักหลิวโป ท่านจำเป็น การช่วยโม่…ช่วยท่านดึงดูดจิตใจผู้คนเป็นเรื่องที่ข้าควรทำ”
ข้ายังจำได้ ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นโม่ซีในชาติก่อน เขาไร้คนช่วยเหลือถึงเพียงนั้น ขุนนางบุ๋นบู๊เบื้องบน พ่อค้าคนงานเบื้องล่าง ไม่มีใครยอมเอ่ยเพื่อเขาสักประโยค ดังนั้นชาตินี้ข้าหวังให้ไม่ว่าเวลาใดล้วนมีคนสามารถช่วยโม่ซีของข้า อย่างน้อยอย่าให้เขาต้องโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
จ้งหวาผินหน้ามา ดวงตาจับนิ่งอยู่บนใบหน้าข้า ข้ามองสีหน้าในแววตาเขาไม่ออก เพียงรู้สึกว่านัยน์ตาลึกล้ำนั้นราวกับจะดึงข้าเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น หลังจากนิ่งเงียบเนิ่นนานเขาก็หันกลับไป น้ำเสียงเยียบเย็นเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่โม่ซีที่เจ้าต้องการหาคนนั้น เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า” เขาเดินออกนอกข่ายอาคม เสียงเบาจนเลือนรางอยู่บ้าง “เจ้าไม่ควรนำสิ่งดีๆ ที่มอบให้คนผู้หนึ่งมาให้ข้าราวกับสมเหตุสมผล”
“เหตุใดจึงไม่ควร” ข้าเอ่ยเสียงสูง “ข้าไม่เพียงนำสิ่งดีๆ ที่มอบให้เขามามอบให้ท่าน ข้ายังอยากมอบตัวเองให้ท่านด้วย”
จ้งหวาที่เบื้องหน้าชะงักเท้า ก่อนจะกำหมัดเดินจากไป
ฝีเท้าในครั้งนี้ย่ำอย่างโมโหยิ่งกว่าเมื่อครู่ซะอีก ข้าถอนหายใจ ไม่ว่ากลับชาติมาเกิดอย่างไร โม่ซีล้วนคล้ายชอบโมโหโดยไม่รู้สาเหตุตลอด
ข้าหมุนตัวเดินกลับไป ขณะผ่านจุดที่เดินหมากกับจ้งหวาเมื่อครู่เห็นฉางอันฟุบกับโต๊ะมองดูกระดานหมากพอดี ข้ายิ้ม เดินเข้าไปตีก้นที่กระดกขึ้นของเขาเบาๆ “เจ้าหนูเข้าใจหมากล้อมด้วยหรือ”
ฉางอันกุมก้นมองข้าอย่างตกใจทันที แต่เห็นข้าไม่ทำอะไรอื่นถึงค่อยยู่ปากเอ่ย “อาจารย์ชมว่าข้าฉลาดบ่อยๆ เคยสอนฉางอันเดินหมาก”
ข้ายิ้ม “หืม เช่นนั้นเจ้าว่ากระดานนี้ใครชนะล่ะ”
ฉางอันนับเม็ดหมาก “หมากดำชนะแล้ว”
ข้าหัวเราะเยาะเขา “ยังอวดว่าตนเองฉลาดอีก เห็นชัดๆ ว่า…” ข้าหันมองกระดานหมากแล้วต้องตกตะลึง “หมากดำชนะจริงๆ ด้วย…”
เป็นจ้งหวา เขา…ช่วยข้าวางหมากหลังจากข้าเดินไปแล้ว…
ข้ามองเรือนนอนนอกป่าเหมยของจ้งหวา พูดอย่างเหม่อลอย “ฉางอันเอ๋ย” ข้ายื่นฝ่ามือประกบใบหน้าเขาแล้วถูแรงๆ “เจ็บไหม”
ใบหน้าของเขาในฝ่ามือข้าดิ้นรนเอาเป็นเอาตาย ข้าพยักหน้า “ดูท่าคงเจ็บ”
ฉางอันสลัดหลุดจากข้าแล้ววิ่งไปหลบอีกด้านของโต๊ะทันที “ย่อมเจ็บสิ! ไม่ใช่ฝันเสียหน่อย!”
ใช่แล้ว ไม่ใช่ฝันเสียหน่อย
ข้าปิดหน้า กลิ้งตัวบนพื้นภายใต้สายตาตื่นตระหนกของฉางอัน กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานก็ยังไม่อาจสงบจิตใจที่เต้นระห่ำลงได้
แต่งให้จ้งหวา…เรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจไม่ใช่แค่ฝัน
ติดตามต่อได้ในเล่ม