ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
บทที่สอง
หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ ในปรโลกเรียบร้อยแล้ว ท่านพญายมก็ประทับตราสามดวงไว้ที่หลังคอข้าด้วยตัวเอง หนึ่งดวงก็คือหนึ่งชาติในโลกมนุษย์ หลังจากตราทั้งสามหายไปแล้วข้าต้องกลับมาเฝ้าแม่น้ำลืมเลือนในปรโลก
ในที่สุดข้าก็สวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาวมายังโลกมนุษย์ภายใต้สายตาอิจฉาของเหล่าวิญญาณ
โลกมนุษย์ที่ปรากฏอยู่แต่ในนิทาน เทียบกับความคิดของข้าแล้วยังครึกครื้นยิ่งกว่า น่าสนใจยิ่งกว่า แล้วยัง…อันตรายยิ่งกว่า
วันที่สามของการมาถึงโลกมนุษย์ ระหว่างกำลังตามหาโม่ซีข้าผ่านวัดแห่งหนึ่ง สายตาเหลือบเห็นว่าในวัดบูชาตี้จั้งผูซ่า* ข้าจึงเข้าไปกราบไหว้อย่างเคารพเลื่อมใส ทว่าหัวยังไม่ทันก้มถึงพื้น พระหัวโล้นอายุมากแต่คล่องแคล่วรูปหนึ่งพลันถือมีดโกนเดินออกมา เขายิ้มให้ข้าอย่างมีอัธยาศัย “อมิตาภพุทธ สีกาสามารถกลับตัวกลับใจถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคต เป็นกุศลเรื่องหนึ่งจริงๆ”
ข้ายังไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไร คิดแค่ว่าก่อนจากมาท่านพญายมอวยพรให้ข้ามีเมตตาอ่อนโยนต่อผู้คน พระรูปนี้แม้หน้าตาไม่น่าดูไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการแสร้งทำสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลของข้า ดังนั้นข้าจึงยิ้มให้เขาเช่นกัน “ตี้จั้งผูซ่าที่เจ้าบูชาคือพระโพธิสัตว์ที่ดีองค์หนึ่ง”
พระหัวโล้นยิ้มอย่างเมตตายิ่งขึ้น “นั่นย่อมแน่นอนๆ” กล่าวจบ เขาไม่เอ่ยอะไรสักคำแล้วก็ถือมีดโกนตรงมาทักทายผมบนหัวข้า
ข้ารีบหลบไปด้านหลังร้องเสียงดัง “อ๊ะ! ทำอะไร!” ข้าคือก้อนหิน คือหินสามชาติ สิ่งที่เติบโตยากที่สุดบนร่างก็คือเส้นผม อุตส่าห์เฝ้ามองมันยาวมาเป็นพันปีจนในที่สุดก็ดูดีขึ้นบ้าง เจ้าลาเฒ่าหัวโล้น* นี่ถึงกับคิดจะเอามีดโกนมาโกนผมข้า!
เห็นข้าหลบการโจมตีแรก ภิกษุเฒ่าก็ขยับมือหมายจะโกนผมข้าอีก! ข้าโมโหขึ้นมาแล้วจึงหมุนตัวถีบเขาออกไป ไม่คาดว่าพระรูปนี้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ฝ่าเท้านี้ของข้าจึงถูกเขาหลบหลีกอย่างง่ายดาย รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าหดกลับทันทีราวกับขึ้งโกรธ
“สีกาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
ข้าแปลกใจ “พระหัวโล้น เจ้าคิดจะทำอะไร”
เขาส่งเสียงหึเย็นชา “ข้ายังนึกว่าปีศาจเช่นเจ้าคิดจะถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคตไถ่ถอนกรรมชั่ว ที่แท้เจ้าก็มาเพื่อยั่วยุ!”
“ปีศาจ?” ข้าโบกมืออธิบาย “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่…”
“เฮอะ ไอหยินบนร่างเจ้าข้าสัมผัสได้ตั้งแต่นอกสามลี้ แล้ว อย่าคิดเล่นลิ้น!”
ข้าดมซ้ายดมขวาไม่รู้สึกว่าไอหยินบนร่างตนเข้มข้นสักเท่าใด จริงๆ ไอหยินของปลาในแม่น้ำลืมเลือนยังเข้มข้นกว่าข้าเป็นร้อยเท่า พระรูปนั้นใช้มีดโกนมาทักทายข้าอีกครั้งโดยไม่ฟังข้าอธิบาย จิตสังหารพุ่งขึ้นในใจ ทว่าข้ากลับนึกคำกำชับเป็นพันเป็นหมื่นครั้งของท่านพญายมที่พูดกับข้าก่อนมายังโลกมนุษย์ได้ ไม่อาจทำร้ายคนได้อย่างเด็ดขาด
ข้าเก็บมือ หันหลังกลับแล้ววิ่งโกยแน่บทันที
พระรูปนั้นไล่ตามข้าข้ามเขาลูกหนึ่ง ข้าวิ่งจนหมดแรง คิดเพียงอยากต่อยเจ้าลาหัวโล้นนั่นสักหมัดให้เขาหลับไม่ตื่นไปเลย
ฉับพลันนั้นกลิ่นหอมประหลาดลอยมาที่ปลายจมูก ข้าไม่เคยได้กลิ่นหอมถึงเพียงนี้มาก่อนในปรโลก จิตใจจึงถูกดึงดูด ยิ่งวิ่งเข้าไปใกล้ ทะเลดอกไม้ที่ราวกับเมฆสีแดงก็ปรากฏอยู่ในสายตา
ฤดูกาลในตอนนี้ถูกมนุษย์เรียกว่าฤดูหนาว ผลึกที่ปกคลุมบนกลีบดอกไม้พวกนั้นถูกเรียกว่าหิมะ แต่ข้ากลับไม่รู้ว่าดอกไม้สีแดงพวกนี้เรียกว่าอะไร ยามเดินผ่านทะเลดอกไม้หอมประหลาดนี้ราวกับข้าจะเมามายอยู่ในนั้น ตัวส่ายโอน บุกเข้าไปในส่วนลึกของทะเลดอกไม้ บ้านเล็กหลังหนึ่งตั้งอยู่ในนั้น
ข้าผลักประตูเข้าไปอย่างแปลกใจ เพิ่งก้าวเข้ามาในบ้าน ตราทองที่โม่ซีทิ้งไว้ที่ข้อมือข้าก็สว่างวาบ ข้าใจเต้นเดินเข้าไปยังห้องหลักภายในบ้าน พลันได้ยินเสียงอ่อนโยนของหญิงคนหนึ่ง “ส่ายไปไหวมา แกว่งไปไกวมา”
ข้าผลักประตูเป็นช่องเล็กเบาๆ ค่อยๆ มองเข้าไปภายใน สาวน้อยที่ออกเรือนแล้วคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงกอดทารกไว้แนบอก พอมองดูอย่างละเอียดข้าก็ยิ้มแล้ว คิ้วตาจมูกปากเช่นนี้ไม่ใช่ลูกชิ้นน้อยโม่ซีหรอกหรือ!
บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง โดยแท้!
แต่ว่ายามนี้โม่ซีเป็นเพียงลูกชิ้นน้อยคนหนึ่ง ลืมเลือนชาติก่อนจนหมดสิ้น และยังไม่สามารถจดจำใครได้ ข้าควรจะเกี้ยวเขาอย่างไรเล่า ข้าคิดอยู่ครู่ใหญ่ค่อยตัดสินใจ ข้าก็อยู่ข้างกายเขาไปตลอดเสียเลย ดูแลให้เขาเติบใหญ่อย่างดี เช่นนี้ข้าทั้งสามารถครอบครองเขาได้หมดจดตั้งแต่เด็กโดยง่าย ทั้งยังสามารถป้องกันหญิงหรือชายอื่นมาแย่งชิงยึดครองเขาไปในขณะที่เขายังไม่เข้าใจเรื่องราว
เป็นความคิดที่ดียิ่ง
ขณะที่ข้ากำลังคิด ด้านหลังพลันมีเสียงตะโกนดังขึ้น “นางปีศาจจะหนีไปที่ใด!”
ข้าสะดุ้งตกใจ กระโจนตัวไปเบื้องหน้าชนเข้ากับประตูดัง ‘ปัง’ ล้มเข้าไปภายในห้อง มีดโกนวาววับวาดผ่านหน้าผากข้าไป เห็นเพียงเส้นไหมสีดำกระจุกหนึ่งร่วงลงมาอย่างเนิบช้า ไม่ให้โอกาสข้าได้รั้งไว้เลยแม้แต่ครึ่งส่วน
ข้าร่วงทรุดลงกับพื้นอย่างห่อเหี่ยว สายตาว่างเปล่ามองไปยังกลุ่มผมดำที่นอนเป็นศพอยู่บนพื้นกระจุกนั้นอย่างเซื่องซึม
“กรี๊ด!” เสียงร้องตกใจของหญิงสาวในหูข้าฟังดูคล้ายมาจากที่ไกลแสนไกล ส่วนคำกำชับของท่านพญายมยิ่งเหมือนดั่งเมฆหมอกรางเลือน ก็เป็นเช่นเดียวกับเส้นผมที่มีดโกนนี้ตัดขาด เส้นเชือกที่เรียกว่าสติในใจข้าขาดดัง ‘ผึง’
ข้ากระโดดลุกยืน กลางฝ่ามือรวบรวมพลังวิญญาณแฝงด้วยไอหยินพันปีจากแม่น้ำลืมเลือนตบเข้าใส่ภิกษุเฒ่า เห็นอยู่ว่าฝ่ามือนี้ใกล้จะตบให้เขาสมองไหลแตกกระจาย จู่ๆ เสียงร้องไห้ของทารกก็ดังขึ้นเรียกสติข้า
ฝ่ามือเบี่ยงออกด้านข้างปะทะคานประตู บ้านไม้สั่นสะเทือนไปทั้งหลัง ข้าพลิกตัวกระโดดออกมานอกห้อง ลาหัวโล้นคล้ายถูกฝ่ามือข้าทำเอาตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงค่อยคืนสติ เขามองมาทางข้าแล้วค่อยมองไปทางลูกชิ้นน้อยโม่ซี จู่ๆ ก็เอ่ยปากกับหญิงสาวหน้าตาตื่นตกใจผู้นั้น “ไฝแดงกลางหว่างคิ้ว ลูกคนนี้ของเจ้าหาใช่คนมีมงคล เพียงกำเนิดก็เรียกปีศาจร้ายพรรค์นี้ ต่อไปต้องเรียกเคราะห์มาให้คนใกล้ตัวแน่!”
พอคำพูดนี้หลุดออกไป ฮูหยินคนนั้นก็ตกใจหน้าไร้สีเลือด อุ้มลูกอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ข้าโกรธเคือง “ลาหัวโล้นอย่าพูดเหลวไหล!” คนในโลกมนุษย์ล้วนเชื่อถือคำทำนายของพวกพระนักบวช เขาพูดเช่นนี้ก็เท่ากับทำลายชีวิตในชาตินี้ของโม่ซีแล้ว
“เฮอะ! ปีศาจชั่ว เมื่อกี้เจ้าฉวยจังหวะที่ข้าไม่ทันป้องกันลอบโจมตีใส่ข้า คราวนี้ข้าจะจับเจ้าให้จงได้!”
มีดโกนในมือเขาเปล่งแสงวาบ เปลี่ยนเป็นไม้เท้าด้ามหนึ่งพุ่งสังหารตรงมาทางข้า ตบะของพระรูปนี้ไม่สูง แต่เป็นลำแสงธรรมบนไม้เท้าที่บีบให้ข้าไม่กล้าจ้องมองตรงๆ ในปรโลกอันมืดทึบ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือลำแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธองค์แห่งทิศประจิม* ข้ารับมือไม่อยู่ต้องถอยหลังติดๆ กัน
ข้ากลัวว่าการประลองกับลาหัวโล้นจะทำร้ายโม่ซีเข้า จึงล่อให้เขาออกห่างจากที่นั่น
เดิมข้าคิดว่าการต่อสู้กับพระรูปนี้คงไม่นานเท่าไร ข้าคือก้อนหิน มีความแน่วนิ่งอดทนเป็นที่สุด รอจนพระรูปนี้สู้พัวพันกับข้าจนเหนื่อยแล้วก็คงถอยไปเอง ถึงตอนนั้นข้าค่อยกลับไปอยู่กับโม่ซีจนโตก็ได้ ไม่คาดว่าสมองไม้อวี๋** อันแวววาวของพระในโลกมนุษย์นี้ยังดื้อด้านกว่าข้าถึงสามส่วน! เขามองว่าการกำจัดมารปีศาจเป็นหน้าที่ชั่วชีวิต บางทีข้าอาจจะเป็น ‘ปีศาจชั่ว’ ที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เขาได้พบมาในชีวิตนี้ ดังนั้นจึงมองข้าเป็นภารกิจสูงสุดในชีวิตของการปราบปีศาจผดุงความเป็นธรรม!
การต่อสู้นี้ของข้ากับเขากินเวลาเก้าปีเต็มๆ ในโลกมนุษย์
เก้าปี!
สุดท้ายไม่ใช่เขาล้มเลิกการสังหารข้า แต่เป็นข้ายอมแพ้แล้ว ไม่ต่อสู้กับเขาอีก หาศพปีศาจก้อนหินร่างหนึ่งพบในที่สุด…
ยามนั้นข้าหลบอยู่ในเขาลึก ซ่อนตัวอย่างจนตรอก ปีศาจก้อนหินสาวที่กินไก่แล้วกระดูกติดคอตนหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ลงมาจากเนินเขา ชนเข้ากับตอไม้เบื้องหน้าข้าจนหัวแตกเลือดออกตายในที่นั้น
ข้าเห็นยมทูตเฮยไป๋อู๋ฉางสหายเก่ามารับวิญญาณของนางไป วิญญาณปีศาจก้อนหินที่กลายเป็นกลุ่มก้อนสีขาวร้องไห้อย่างน่าเวทนาหาใดเปรียบ ชี้ขึ้นไปบนเนินด่าว่าอย่างเจ็บปวด “กว่าข้าจะกลายร่างได้ไม่ใช่ง่ายๆ นะ! เจ้าแฝดพี่ก้อนหินโง่สมควรตายนั่น! ตบฝ่ามือเดียวทำข้าร่วงลงมาจากเนินแล้ว! เจ้านั่นช่วยให้ข้าหายใจคล่องตรงไหน! นี่มันเอาชีวิตข้าชัดๆ! ข้าตายอย่างไม่เป็นธรรม! ไม่เป็นธรรมนัก!”
แต่ไม่ว่านางจะร่ำไห้อย่างไรร่างกายนั้นก็มีชีวิตขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว เฮยไป๋อู๋ฉางเอ่ยทักทายข้าและพาวิญญาณนางไปตามหน้าที่
หลังจากข้ามองส่งพวกเขาจากไปก็กอดศพนั่นไว้แล้วหลั่งน้ำตาอย่างยินดียิ่ง!
นี่ไม่ใช่เบื้องบนประทานพรให้ข้าหรือ! ก้อนหินบำเพ็ญจนกลายร่างเดิมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ร้อยพันปียากจะได้พบสักตน นอกจากปีศาจสาวที่ตายอย่างอนาถตนนี้แล้ว ข้ายังจะไปหาศพที่สมบูรณ์ขนาดนี้ได้จากที่ไหนอีก!
ข้าถอดเสื้อผ้านางออกแล้วเปลี่ยนกับของข้าทันที จากนั้นก็ส่งมอบไอหยินเข้าไปในร่างนางทางจมูกกับปาก
เห็นอยู่ว่า ‘ศพของซานเซิง’ กำลังจะถูกข้าทำออกมาแล้ว ด้านหลังพลันมีเสียงฝีเท้ารีบร้อนราวกับล้มลุกคลุกคลานถลาตัวลงมาอย่างไรอย่างนั้น ข้าไม่แม้แต่จะหันไปมอง คิดในใจว่าไม่ใช่เจ้าลาหัวโล้นนั่น ไม่ว่าอย่างไรก็จัดการได้
“น้องพี่!”
เสียงเรียกต่ำลึกและเจ็บปวดดังมาจากด้านหลังข้า “น้องพี่!” ชายหนุ่มกำยำคนหนึ่งโผตัวเข้ามาจากด้านข้างด้วยท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว!” เขาร้อนรนจะกอดศพปีศาจสาวขึ้นมา
ข้าถลึงตาตวาดใส่เขาเสียงดัง “ทำอะไร!” การส่งไอหยินช่วงสำคัญสุดท้ายจะปล่อยให้คนอื่นมาก่อกวนไม่ได้
ชายหนุ่มห้าวหาญถูกข้าตะคอกจนนิ่งอึ้ง มองข้าน้ำมูกน้ำตานองหน้า “ข้า…อยากเขย่าตัวน้องสาว…”
“เขย่าอะไร นางสิ้นลมไปหมดแล้ว!”
“ตะ…ตายแล้ว?” ชายหนุ่มดวงหน้าเลื่อนลอย เรือนกายสูงใหญ่ทรุดนั่งลงกับพื้น ดูเหมือนสะเทือนจนเขาลูกนี้สั่นไหวไปสองสามครั้งอย่างไรอย่างนั้น “กะ…ก็แค่กินไก่ตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ…เป็นไปไม่ได้”
ข้าไร้แรงบอกเขาจริงๆ ว่าน้องสาวเขาตายด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ถูกเขาตบร่วงลงมาจากเขาชนกับตอไม้จนตาย จึงทำเพียงแค่ดึงมือของปีศาจสาวแล้วส่งไอหยินเข้าไปไม่หยุด
ชายหนุ่มเศร้าโศกเพียงลำพังอยู่ครู่หนึ่ง แต่อย่างไรก้อนหินก็เป็นสิ่งที่เกิดมามีอารมณ์เฉยชา นิสัยเมินเฉยอยู่แล้ว สถานการณ์เช่นที่ข้าพบโม่ซีอันที่จริงเกิดขึ้นได้น้อยมาก ดังนั้นหลังจากเขาเศร้าใจไปชั่วครู่ก็เงยหน้ามองข้า “เจ้าเป็นใครอีก กำลังทำอะไร”
ข้าดูออกว่าชายผู้นี้เป็นคนซื่อ ดังนั้นจึงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยเอ่ยอย่างโอบอ้อม “ข้าคือยมบาล มารับน้องสาวเจ้าไปเกิดใหม่ ยามนี้กำลังทำพิธี เป็นช่วงเวลาสำคัญจะรบกวนไม่ได้”
เขาฟังแล้วตกตะลึงกุมปากตนเองทันที ดวงตาทั้งคู่มองสลับไปมาระหว่างข้ากับน้องสาวของเขาไม่หยุด
ไอหยินทั้งหมดในร่างถูกมอบให้กับศพของปีศาจสาวแล้ว ข้าเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้วนวดคลึงใบหน้าของนาง ใช้วิชาเวทปั้นใบหน้านางให้เหมือนกับข้า ชายหนุ่มมองข้าอย่างมึนงง “นี่กำลังทำอะไรอีก”
ข้าตอบอย่างเมตตาดังเดิม “ข้ากับคนในปรโลกคุ้นเคยกันดี นวดหน้าน้องเจ้าให้เหมือนใบหน้าข้า ให้นางเดินทางสบายหน่อย”
“เจ้า…” น้ำตาลูกผู้ชายคลอเบ้า “เจ้าช่างเป็นยมบาลที่ดีจริงๆ ทุ่มเทกับหน้าที่และมีเมตตาปรานีเหลือเกิน!”
ข้ารับคำชมนั้นไว้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี พลันสัมผัสได้ว่ากลางอากาศมีปราณที่คุ้นเคย หัวใจข้าบีบรัด ลุกขึ้นยืนมองไปรอบด้าน ห่างไปสิบจั้ง* กว่ามีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ ใต้ก้อนหินมีร่องใหญ่อยู่หนึ่งร่อง ข้ากะประมาณดูว่าตนน่าจะพอเบียดเข้าไปได้ จึงรีบวิ่งเข้าไปยัดร่างตนเองลงในร่อง หลบซ่อนอย่างดีไม่ขยับเขยื้อน
ชายหนุ่มมองข้าอย่างประหลาดใจ “เจ้ากำลังทำอะไรอีก”
“มีนักบวชร้ายกาจกำลังมาแล้ว หากเจ้าไม่อยากถูกจับไปก็รีบเอาอย่างข้า หาที่ซ่อนตัวเร็ว!”
เขาตกใจ เห็นชัดว่ากลัวนักบวชร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง เขาหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่เห็นว่าพอจะซ่อนที่ไหนได้ สุดท้ายคล้ายรู้สึกได้ถึงปราณที่ยิ่งมายิ่งใกล้จึงร้อนรนแล้ว เขากอดหัวหดตัวคืนร่างเดิม ม้วนขดกลายเป็นหินก้อนหนึ่งกลิ้งขลุกขลักมาทางข้า ให้บังเอิญบังร่องที่ข้าซ่อนตัวอยู่พอดี
เขายังไม่ได้เก็บปราณปีศาจบนร่าง ลาหัวโล้นไม่รู้ก็แปลกแล้ว! ข้ายื่นมือคิดผลักเขาออกไป แต่ด้านนอกสายลมโชยพัด เพียงพริบตาเจ้าลาหัวโล้นศัตรูเก่าที่ไล่สังหารข้ามานานปีก็มาถึงข้างศพปีศาจก้อนหินสาวแล้ว
ข้ากลั้นหายใจไม่ส่งเสียงใดๆ ทันที
จากในซอกที่ก้อนหินหนุ่มเหลือไว้ ข้าเห็นภิกษุเฒ่ารูปนั้นยืนอยู่ข้างศพปีศาจสาวครู่หนึ่งแล้วยิ้มหยัน “สวรรค์มีตา ในที่สุดก็สังหารปีศาจร้ายที่ก่อเภทภัยในโลกมนุษย์เช่นเจ้าแล้ว!”
ฟ้าดินเป็นพยาน! ข้ามาอยู่โลกมนุษย์เป็นเวลาเก้าปี ในเก้าปีนี้ล้วนถูกลาเฒ่าหัวโล้นเช่นเจ้าก่อเภทภัยมาโดยตลอด ข้าไปก่อเภทภัยให้โลกมนุษย์ที่ไหนกัน!
ช่วยไม่ได้ที่สถานการณ์บังคับคน เพื่อให้ภายหน้าไม่ต้องถูกเขาก่อเภทภัยให้อีกต่อไป ความอยุติธรรมนี้ข้าได้แต่ทนรับไว้แล้ว
ลาหัวโล้นพูดจบแล้วก็ไม่ได้รีบจากไป ยังคงยืนอยู่ข้างศพปีศาจสาว จู่ๆ ก็หยิบไม้เท้าของเขาออกมา ลำแสงธรรมบนไม้เท้าแทงนัยน์ตา หยีตาดูเห็นเขาจะฟาดไม้ให้ศพกลายเป็นควัน! ก้อนหินหนุ่มเบื้องหน้าข้าพลันเดือดดาลกลายร่างเป็นคน พุ่งสังหารไปทางภิกษุเฒ่าอย่างดุดันพลางตะคอก “อย่าได้คิดทำร้ายศพของนาง!”
พลังรุนแรงนี้ทำเอาข้าสะดุ้ง กลัวอย่างยิ่งว่าภิกษุเฒ่าจะเห็นข้าที่ซ่อนอยู่ภายในร่อง
ลาหัวโล้นต้านทานการจู่โจมของก้อนหินหนุ่ม ตะโกนร้อง “เฮอะ! ข้าก็ว่าอยู่ว่าปราณปีศาจกดดันผู้คนมาจากที่ไหน! ที่แท้ก็เป็นชายโฉดของนางปีศาจ!”
ชายหนุ่มกราดเกรี้ยว “อย่ามาดูถูกผู้อื่น!”
ข้าก็โกรธเช่นกัน ลาหัวโล้นผู้นี้ถึงกับดูแคลนรสนิยมของข้า! พันกว่าปีมานี้ข้าอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือน มีคนเช่นไรบ้างที่ไม่เคยพบ ทว่ามีก็แต่โม่ซีคนเดียวที่ต้องใจข้า ส่วนชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้ห่างชั้นกับโม่ซีสิบหมื่นแปดพันลี้ได้! ข้าจะให้เขาเป็นชายโฉดของตนได้อย่างไร!
เจ้าลาเฒ่าหัวโล้นผู้นี้ดูถูกผู้อื่นเกินไปแล้ว!
ข้าตั้งมั่นในใจ ยามกลับไปปรโลกแล้วต่อให้ต้องจ่ายเงินเท่าไรข้าก็จะฝากฝังคนรู้จักให้นำเจ้าลาหัวโล้นผู้นี้ไปเกิดใหม่ในเดรัจฉานภูมิ* ให้ได้!
แต่แม้ยามนี้ข้าจะโกรธแสนโกรธก็ยังกระจ่างแจ้งถึงสถานการณ์ดี ไม่ง่ายกว่าจะทำให้ลาเฒ่าหัวโล้นผู้นี้คิดว่าข้าตายไปแล้ว ต่อไปไม่ต้องรับการรังควานของเขาอีก ย่อมไม่สามารถทำลายแผนการใหญ่เพราะโทสะนี้ได้
ดังนั้นข้าจึงอดทนอีกครั้ง
ทว่าปีศาจก้อนหินทนไม่ไหวแล้ว เขาต่อสู้พัวพันกับภิกษุเฒ่าด้วยกำลังหนักหน่วงสุดชีวิต ไม่ปล่อยให้ภิกษุเฒ่าเอาชัยไปได้โดยง่าย
ทั้งสองสู้ๆ ถอยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ จนเงาร่างค่อยๆ ลับหายไป
ข้าซ่อนตัวอยู่ในร่องหินดูสถานการณ์อีกพัก ครั้นแน่ใจว่าไม่เห็นปราณของทั้งคู่แล้วจึงค่อยหอบฮักๆ ปีนออกมาจากร่องหิน วิ่งไปข้างศพปีศาจสาว เอาไอหยินของตนคืนมาแล้วขุดหลุมบนพื้นด้านข้างฝังศพนางลงไป ข้าผ่าไม้ออกมาซีกหนึ่งปักเป็นป้าย ด้านบนเขียนไว้ว่า ‘หลุมศพปีศาจก้อนหิน’ จากนั้นก็จัดการหน้าตาเนื้อตัวที่ไม่ได้ดูแลมาตลอดเก้าปีของตนเองให้ดี
ข้าจะไปหาโม่ซี จากกันเก้าปีไม่รู้ว่าทารกในปีนั้นยามนี้เติบโตมีหน้าตาเช่นไร ไม่รู้ว่าเขาถูกผู้อื่นครอบครองไปแล้วหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขายินยอมถูกข้าเกี้ยวพาหรือไม่…