ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด

บทที่สาม

 ข้าข้ามน้ำข้ามเขานับพันกว่าจะหาบ้านหลังเล็กที่ได้พบกับโม่ซีเมื่อคราแรกเจอ ผ่านการกล่อมเกลาในโลกมนุษย์มาเก้าปี ข้ารู้แล้วว่าดอกไม้แดงหอมประหลาดนั้นเรียกว่าดอกเหมย แต่ข้ากลับไม่รู้ว่าเวลาเก้าปีถึงกับสามารถทำให้ป่าเหมยที่แสนงดงามเมื่อตอนนั้นกลายสภาพเป็นแห้งเหี่ยวไปทั้งแถบ

ข้าเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปใกล้บ้านหลังเล็กนั้น ตราทองข้างข้อมือส่องแสงวาบขึ้นมาอีก ยังไม่ทันก้าวข้ามประตูบ้านก็เห็นเด็กเนื้อตัวสกปรกคนหนึ่งถือไม้กวาดที่ยาวกว่าตัวเขามากกวาดบ้านที่รกร้างอยู่ดัง ‘แซ่กๆ’ ฟังดูแล้วช่างอ้างว้าง

เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามา เด็กน้อยก็หันมาโดยพลัน

ข้าเห็นนัยน์ตาใสกระจ่างคู่หนึ่งกับไฝแดงกลางหว่างคิ้ว ในใจพลันบีบรัด มือสั่นไหว ลูกกวาดที่ซื้อมาให้โม่ซีร่วงหล่นลงพื้น

“เจ้าเป็นใคร” เขาเดินมาเบื้องหน้าข้า ในดวงตาใสกระจ่างสะท้อนเงาร่างของข้า

ข้าคุกเข่าลงอยู่ในระดับสายตาเดียวกับเขา “ข้าชื่อซานเซิง มาเพื่อเกี้ยวเจ้า”

เขามองข้า คิ้วย่นเข้าหากันน้อยๆ บนดวงหน้าอ่อนวัยปรากฏความไม่เข้าใจเจ็ดส่วนกับความขลาดกลัวสามส่วน “เกี้ยว?” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของคำนี้ นี่เป็นเรื่องปกติ เด็กมนุษย์วัยเท่านี้ไม่ควรเข้าใจเรื่องพวกนี้ ทว่าความหวาดกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาเขากลับทำให้ข้าทุกข์ใจหลายส่วน

กลัวอะไรเล่า ข้าหลบซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์มาเก้าปี ตามหาเจ้าอย่างยากลำบากถึงเพียงนี้ แล้วจะทำร้ายเจ้าลงได้อย่างไร

ข้าคิดในใจพร้อมกับเกิดความรู้สึกรวดร้าวน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นคิดจะใช้แขนเสื้อเช็ดฝุ่นบนใบหน้าของเขา แต่โม่ซีกลับถอยหลังไปสองก้าวอย่างติดจะตื่นตระหนก ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นจับจ้องมองข้าราวกับกลัวว่าข้าจะทำร้ายเขา

อาการเช่นนี้ทิ่มแทงข้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ข้าวางมือลง มองเขาอย่างน้อยใจ “ข้าไม่ได้คิดจะทำร้ายเจ้า ข้าแค่อยากช่วยเจ้าเช็ดฝุ่นบนใบหน้า”

เขายกมือขึ้นถูใบหน้าตนเอง ครั้นเห็นว่ามีฝุ่นอยู่จริงก็เงยหน้ามองข้าอย่างมึนงง ในดวงตาฉายแววทำอะไรไม่ถูก “ข้า…เอ่อ ขอโทษด้วย…”

ข้าเดินเข่าเข้าไปใกล้สองก้าว จนไปอยู่เบื้องหน้าเขาอีกครั้ง ยกมือขึ้นเช็ดฝุ่นที่ยังเหลือบนใบหน้าเขา ครั้งนี้โม่ซีไม่ได้หลบ ดวงตาโตกะพริบไหวจ้องมองข้า รอจนข้าหยุดมือเขาจึงค่อยลูบใบหน้าตนเองอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง พวงแก้มย้อมด้วยสีแดงระเรื่อทีละน้อย

“ขอบ…ขอบคุณ” เขาพูดเสียงแผ่วเบา “เจ้าอ่อนโยนมาก…”

เห็นท่าทางนุ่มนิ่มเช่นนี้ของเขา ทั้งได้ยินคำพูดเสียงอ่อนเช่นนี้ ความน้อยใจของข้าราวกับระเหยหายไปกลายเป็นความอบอุ่นล้นปรี่ท่วมมาถึงมุมปากอย่างไรอย่างนั้น แต่ยังไม่ทันให้ข้าได้ผลิยิ้มบาน สายตาก็เหลือบเห็นรอยเขียวช้ำบนคอโม่ซีโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าลำคอตีบตัน เพิ่งมองสำรวจเขาอย่างละเอียดในเวลานี้ เห็นเสื้อผ้าเก่าปอนบนร่างเขา ที่คอมีรอยช้ำเป็นจ้ำ ข้าเลิกแขนเสื้อเขาขึ้นก็เห็นว่าบนลำแขนก็มีรอยเขียวกับแดงอย่างละหนึ่งรอย มุมปากข้าขยับไหว

“เหตุใด…จึงเป็นเช่นนี้”

โม่ซีกระวนกระวายคิดจะดึงแขนเสื้อลงมา เขาไม่เอ่ยคำใด

ข้านึกถึงมารดาของเขาเมื่อเก้าปีก่อนขึ้นมาได้ นางดูแล้วไม่เหมือนคนยากจนสิ้นหวังอะไร เหตุใดจึงเลี้ยงโม่ซีให้กลายเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงให้โม่ซีบาดเจ็บมากมายเพียงนี้!

“มารดาเจ้าเล่า” ข้าถาม

“ตายแล้ว”

คำตอบทื่อๆ ราบเรียบของเขาทำเอาข้านิ่งอึ้ง หลังจากตกตะลึงแล้วก็นึกได้ทันทีว่าโม่ซีที่ไร้มารดาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง บาดแผลพวกนี้คงเป็นเพราะถูกเด็กคนอื่นรังแกเอาแน่ ดังนั้นเมื่อครู่ถึงได้หวาดกลัว ถึงได้หลบข้าเช่นนั้น เป็นเพราะเขาถูก…กลั่นแกล้งจนขลาดกลัวไปแล้ว

ยามนี้ในใจข้าแสบร้อนไม่เหลือชิ้นดี

ข้ากุมมือน้อยๆ ทั้งสองข้างของเขาไว้ในฝ่ามือ “เมื่อครู่เจ้าถามข้าว่าเกี้ยวหมายความว่าอะไร ผู้อื่นให้นิยามอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ถ้าให้ข้าตีความ เกี้ยวก็หมายถึงการทำดีด้วย ข้ามาเกี้ยวเจ้าก็หมายความว่าข้ามาทำดีต่อเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“ทำดีต่อข้า?”

ข้าเก็บห่อลูกกวาดที่ร่วงลงพื้นนั้นขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วส่งให้เขา “นี่คือการทำดีต่อเจ้าครั้งแรก ต่อไปซานเซิงยังจะทำดีต่อเจ้าอีกหลายครั้ง เจ้ายินยอมให้ข้าเกี้ยวเจ้าหรือไม่”

โม่ซีนิ่งงันมองลูกกวาดในมือข้า จากนั้นก็เงยหน้ามองข้า “ไม่ใช่” เขากล่าว “นี่ไม่ใช่ครั้งแรก” เขาลูบใบหน้าตนเองพร้อมเอ่ยบอกข้าอย่างเขินอายอยู่หน่อยๆ “เมื่อครู่จึงจะเป็นครั้งแรก”

ใจข้าพลันอ่อนยวบทันใด ทอดถอนใจเล็กน้อย โม่ซีเอ๋ยโม่ซี เหตุใดเจ้าเกิดมาตัวเล็กเพียงนี้ก็ล่อลวงผู้คนเป็นแล้ว

ข้ากุมมือเขา วางลูกกวาดลงกลางฝ่ามือของเขา “ได้ เมื่อครู่เป็นครั้งแรก นี่คือครั้งที่สอง โม่ซียังอยากได้ครั้งที่สามที่สี่หรือไม่”

เขาหน้าแดงผงกหัวน้อยๆ

ข้ายิ้มตาหยี คิดไปแล้วรู้สึกว่าเช่นนี้ยังไม่เหมาะสมดีพอ ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นอีก “ในเมื่อมารดาเจ้าจากไปแล้ว ดังนั้นเรื่องของเจ้าก็ให้เจ้าตัดสินใจเอาเอง แค่เจ้าต้องจำไว้ว่าตั้งแต่นี้ไปข้าก็นับว่าเกี้ยวเจ้าสำเร็จแล้ว”

เขาผงกหัวอย่างว่าง่ายอีกครั้ง

ข้ายิ้มเบิกบาน โม่ซีน้อยคนนี้ครอบครองง่ายกว่าโม่ซีใหญ่เป็นไหนๆ ลูบครั้งหนึ่งแล้วให้ลูกกวาดก็เดินตามข้ามาอย่างเชื่อฟังแล้ว ทำให้ข้ารู้สึกว่าความสุขมาถึงอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว ข้ากล่าวสืบไป “เช่นนั้น ตั้งแต่นี้ไปข้าก็เป็นภรรยาเจ้าแล้ว ตามธรรมเนียมของพวกเจ้า ข้านับเป็นสะใภ้ลูกต้อย* ของเจ้า ต่อไปเจ้าก็เป็นคนของข้าแล้ว ไม่อนุญาตให้หนีไปกับผู้อื่นนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ดีต่อเจ้าแล้ว”

ได้ยินคำพูดข่มขู่นี้โม่ซีก็ลนลานขึ้นมาบ้าง รีบดึงมือข้าพูดราวกับสาบาน “ไม่หนี ข้าไม่หนี”

ในใจข้าแย้มยิ้มดีใจ ใบหน้ากลับเคร่งขรึม “อันที่จริงฐานะพวกนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญคือต่อไปมีข้าอยู่ จะไม่มีใครสามารถรังแกเจ้าได้ เจ้าจำไว้ ซานเซิงจะไม่ให้ผู้อื่นมารังแกเจ้า”

นัยน์ตาเขาเปล่งประกายน้อยๆ ข้าลูบหัวเขาเบาๆ “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าเรียกน้องหญิงให้ข้าฟังหน่อย”

เงียบไปครู่หนึ่ง “ซานเซิง” เขาโพล่งออกมาเช่นนี้

“เป็นน้องหญิง”

“ซานเซิง”

“น้องหญิง!”

“ซานเซิง”

“…ก็ได้” ข้ายอมแพ้ “เช่นนั้นก็เรียกซานเซิงเถอะ”

“ซานเซิง”

“อืม”

ข้าจำได้เสมอมาว่าวันนั้นเขาเรียกชื่อข้านับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งต้องให้ข้าเอ่ยตอบถึงจะยอมเลิกรา ภายหลังข้าจึงได้รู้ว่าเหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ เพราะเคยมีวันหนึ่งที่เขาเรียกชื่อมารดาของเขานับครั้งไม่ถ้วนเช่นนี้ แต่กลับไม่ได้รับคำขานใดๆ กลับมาอีกเลย

ตั้งแต่วันนั้นข้าจึงเลี้ยงดูโม่ซีน้อย ครอบครองเขาเอาไว้ วันคืนผ่านไปอย่างราบเรียบเป็นสุขและสมบูรณ์ แต่เลี้ยงดูไปไม่กี่วันข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่เข้าที

ข้าครุ่นคิดว่าเดิมโม่ซีเป็นเทพสงครามบนสวรรค์ ยามนี้แม้เขาลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อผ่านคราวเคราะห์ แต่ก็ควรเป็นมนุษย์ที่ท่วงท่ากิริยาสง่างามเปี่ยมความรู้ จะเอาแต่เล่นสนุกทั้งวันเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อไปเติบใหญ่แต่ไม่รู้หนังสือสักตัว ไม่ใช่สร้างความแปดเปื้อนให้ฐานะเทพสงครามหรือ ดังนั้นข้าจึงคิดจะส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษา

ห่างจากที่ที่พวกเราอยู่ไม่ไกลมีเมืองเล็กๆ ในเมืองมีสำนักศึกษาเพียงหนึ่งแห่ง เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษารู้ว่าสมัยเด็กโม่ซีเคยถูกพระรูปหนึ่งทำนายไว้ว่าเขาจะนำเภทภัยมาให้คนใกล้ตัว ดังนั้นจึงล้วนไม่ยินยอมรับเขาไว้

ข้าให้โม่ซีกอดแท่งทอง* เดินวนรอบสำนักศึกษา สุดท้ายพวกนั้นก็ยอมรับเขาเข้าเรียน

วันที่ส่งเขาเข้าสำนักศึกษาข้าช่วยมวยผมให้เขา โม่ซีมองข้าผ่านกระจกสำริด ในแววตามีแววกังวล ข้าเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์หลายสิบปี เวลาเท่านี้อันที่จริงไม่นับว่ายาวนาน ข้าสามารถปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยได้ชั่วชีวิต แต่ข้าหวังให้เจ้าเป็นคนมีความรับผิดชอบและใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตาในหลายสิบปีนี้ การเรียนเป็นสิ่งจำเป็น เข้าสำนักศึกษาแล้วต้องฟังคำพูดของอาจารย์ แม้พวกเขาจะนับว่าเป็นปราชญ์ไม่ได้ แต่ดีชั่วอย่างไรก็จะแสดงท่าทีหยิ่งผยองเบื้องหน้าลูกศิษย์ในสำนักศึกษา ต้องเรียนรู้ให้ดี”

โม่ซีพยักหน้า

ทว่าเย็นวันนั้นข้าทำกับข้าวเสร็จ รออยู่นานแล้วก็ยังไม่เห็นโม่ซีกลับมา ในใจเป็นกังวลจนเดินไปหาตามเส้นทางที่เขาไปเข้าเรียน และเจอโม่ซีในมุมที่อีกแค่กำแพงเดียวก็ถึงสำนักศึกษา

เขานั่งกอดเข่า ใบหน้ามีรอยแผลแดงหนึ่งเขียวหนึ่ง ข้าเอ่ยถาม “ถูกรังแกหรือ”

เขาพยักหน้า

“รังแกคืนกลับไปหรือยัง”

เขาส่ายหน้า

ข้าช่วยจัดการบาดแผลให้เขาแล้วคุกเข่าหันหลังให้ “ขึ้นมาเถอะ พวกเรากลับบ้านกันก่อน”

โม่ซีไม่ขยับอยู่ครู่ใหญ่ ข้าหันกลับไปดู เขาพลันมีท่าทางเหมือนเพิ่งได้สติ ปีนขึ้นมาบนหลังข้าอย่างระมัดระวัง คล้องแขนรอบคอข้าแน่น หน้าอกแนบชิดกับหลังข้าแล้วนิ่งเงียบไม่พูดจา ข้าเดินกลับบ้านไปตามทางสายเล็ก อาทิตย์ตกดินส่องเงาร่างของข้ากับเขาให้เหยียดยาว ดูจากเงาแล้วราวกับว่าข้าคือยายแก่หลังค่อมคนหนึ่ง

“ซานเซิง”

“อืม”

“ขอบ…ขอบคุณที่มารับข้ากลับบ้าน”

“โม่ซี ซานเซิงดีต่อเจ้า ไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณ”

เขาอิงอยู่เงียบๆ บนหลังข้า ไม่พูดอะไรอีก

กินข้าวเย็นเสร็จข้าก็หยิบยามาทาแผลให้เขา จากนั้นจึงเอ่ยถาม “คนที่รังแกเจ้าอยู่ที่ไหน”

เจ้าอ้วนหวังเป็นบุตรชายเจ้าของที่ดินคนหนึ่งในเมือง บ้านเขาร่ำรวย ลานหลังบ้านก็กว้าง ข้ามองอย่างชอบใจยิ่ง หลังจากจุดลูกไฟวิญญาณไว้ที่ห้องเก็บฟืนบ้านเขา ให้บังเอิญมีลมพัดมาพอดี โหมจนเพลิงนี้ลุกโชนยิ่งขึ้น ครึ่งท้องฟ้าของเมืองเล็กแห่งนี้กลายเป็นสีแดงฉานไปแล้ว

ข้ารู้สึกตระการตานัก นำโม่ซีไปยังสถานที่ชมทิวทัศน์ดีๆ แห่งหนึ่ง ชี้แสงไฟจากบ้านเจ้าอ้วนหวังที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า “น่าหัวเราะยิ่ง”

โม่ซีเงียบไปพักหนึ่งค่อยมองข้า “ซานเซิง อาจารย์บอกว่าต้องสนองแค้นด้วยคุณธรรม”

“โม่ซี เจ้าต้องรู้จักแยกแยะ คำพูดนี้ของอาจารย์เห็นชัดๆ ว่าผายลมหลอกลวงเจ้า แค่ฟังก็พอไม่ต้องคิดเป็นจริง”

โม่ซีได้ยินคำพูดข้าแล้วพลันส่งเสียง “ฮ่าๆๆ” ออกมา

 

เวลาในโลกมนุษย์ผ่านไปเร็วมาก พริบตาก็ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว โม่ซีอายุเต็มสิบหก ตัวยืดยาวสูงกว่าข้า ดวงหน้าก็ค่อยๆ มีลักษณะเหมือนเมื่อครั้งที่ข้าพบเขาในปรโลกแล้ว

เขาเติบใหญ่แล้ว ข้าทั้งยินดีทั้งกลัดกลุ้ม

ที่ยินดีก็คือวันเวลาที่โม่ซีจะแต่งข้าเข้าบ้านอย่างเป็นทางการใกล้เข้ามาอีกหน่อยแล้ว เรือนร่างของเขายิ่งสมบูรณ์ขึ้น ส่วนที่กลัดกลุ้มก็คือไม่ได้มีเพียงข้าคนเดียวที่จับจ้องโม่ซีผู้ ‘สมบูรณ์พร้อมขึ้นทุกวัน’

ยามกลางวันฟ้าใสหลังหิมะตก

มีคนเคาะประตูบ้าน ข้าเปิดออกไปดูเป็นแม่สื่อซุนในเมือง พอนางเห็นข้าก็ยิ้มหน้าบานราวกับดอกไม้ “แม่นางซานเซิงสบายดีหรือ อุ๊ยตาย เจ้านี่นับวันยิ่งเด็กลงทุกวัน ไม่ต่างจากที่ได้พบครั้งก่อนแม้แต่น้อย”

ข้าไม่ชอบไปมาหาสู่กับคนในเมืองเพราะกลัวพวกเขาจะมองรูปโฉมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปของข้าออก แล้วจะบอกว่าข้าเป็นปีศาจทำให้โม่ซีต้องลำบาก เหมือนดังแม่สื่อซุนที่วันนี้ยิ้มราวกับดอกโบตั๋น ข้าเองก็เหวี่ยงประตูคิดจะปิดมันโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี

นางคล้ายรู้ว่าข้าจะทำเช่นนี้จึงยื่นมือมาขวางไว้ โพล่งเรื่องสำคัญตรงๆ ไม่เอ่ยทักทายปราศรัยแล้ว “ภาพเหมือนของสตรีสองสามภาพที่ข้าให้เจ้าไว้ครั้งก่อน เจ้าได้เอาให้คุณชายโม่ซีดูหรือยัง”

ภาพเหมือนที่นางให้มาครั้งก่อนข้าไม่ได้รับไว้ นางจึงโยนเข้ามาจากนอกกำแพงข้างบ้าน ข้าค่อยๆ เปิดออกดูแล้วจุดไฟเผาภาพพวกนั้น ย่อมไม่มีโอกาสให้โม่ซีได้ดู

ข้าอ้าปากเอ่ย “แม่นางสกุลหวังเรือนกายสูงไป โม่ซีเห็นแล้วไม่ชอบ เด็กสาวสกุลหลี่นิสัยโมโหร้ายเกินไป โม่ซีรู้สึกไม่ชอบ คุณหนูสกุลจางมากเล่ห์เกินไป โม่ซีไม่ชอบ เจ้ากลับไปเถอะ”

แม่สื่อซุนซึ่งมีไฝงอกขนอยู่บนใบหน้าถูกคำพูดตัดรอนของข้าทำเอาบื้อใบ้ เพิ่งได้สติกลับมายามเห็นข้าจะปิดประตูอีกครั้ง นางรีบแทรกร่างครึ่งหนึ่งมาสกัดไว้แล้วยิ้มสู้ “แม่นางซานเซิง! แม่นางสกุลหวังนั่นเรียกเพรียวบางจึงเห็นว่าสูง เด็กสาวสกุลหลี่นั่นคือร่าเริงมีชีวิตชีวาไม่นับว่ามุทะลุโมโหร้าย คุณหนูสกุลจางนั่นคือรอบรู้ทั้งเพลงพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดนะ! จะเรียกว่ามากเล่ห์เกินไปได้อย่างไร! เจ้าดูสิว่าโม่ซีบ้านเจ้าโตจนป่านนี้แล้ว แม้กล่าวว่าบุรุษไม่เหมือนสตรี แต่พูดคุยเรื่องแต่งงานเลือกหาแม่นางที่ดีคนหนึ่งเร็วหน่อยก็เป็นเรื่องดี ภายหน้ารอจนผู้อื่นเอาสตรีดีๆ ไปหมดแล้ว คุณชายโม่ซีก็ต้องไร้คู่สิ!”

โม่ซีไม่ใช่คนไร้คู่มานานแล้ว… คำพูดนี้ข้ายังไม่ได้พูดออกมา โม่ซีก็เดินออกมาจากในห้องแล้วคำนับแม่สื่อซุนอย่างมีมารยาท

แม่สื่อซุนยิ้มจนตาหยีไปหมดแล้ว “วันนี้คุณชายโม่ซีไม่ได้ไปสำนักศึกษาหรือ พอดีเลยๆ เจ้าดูสิว่าท่านพี่ซานเซิงของเจ้าทำใจจากเจ้าไม่ได้ ไม่ยอมให้เจ้าเลือกคู่ เจ้าว่ามาให้อาฟัง เจ้าชอบแม่นางหน้าตาเช่นไร อาจะไปหามาให้เจ้า”

โม่ซีชะงัก ยิ้มกล่าวเกรงใจ “น้ำใจของท่านอา โม่ซีขอรับไว้ด้วยใจ เพียงแต่ยามนี้โม่ซีมีใจเพียงอ่านตำราหาความรู้ ไม่สนใจเรื่องอื่น ไม่รบกวนให้ท่านอาต้องเหนื่อยหน่าย”

แม่สื่อซุนยังพูดต่อ โม่ซีก็ลากเอาเหตุผลมากมายออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ สุดท้ายเห็นเพียงแม่สื่อซุนหน้าม่อยจากไป

ข้าเองก็มองเขาหน้าม่อยเช่นกัน

โม่ซีปิดประตูแล้วหันมามองข้า เขาพลันชะงักไป “ซานเซิงเป็นอะไร”

ข้ากล่าวเศร้าระทม “ยามนี้เจ้ามีใจเพียงอ่านตำราหาความรู้หรือ”

เขาตะลึงเล็กน้อย ใบหน้าที่ยังคงมีเค้าความเยาว์วัยย้อมด้วยสีเลือดฝาดสองดวงโดยพลัน “นั่น…นั่นเป็นแค่ข้ออ้าง ซานเซิงอย่าคิดเป็นจริง ในใจข้าย่อม…”

มุมปากเขาขยับอยู่นาน ชะงักไม่พูดคำที่ข้าอยากได้ยินออกมา ดวงตาข้าวาววับรีบต่อประโยคให้ “ย่อมต้องมีข้าใช่หรือไม่”

ใบหน้าโม่ซียิ่งแดงเรื่ออย่างเห็นได้ชัด เขาเบี่ยงหน้าไปแล้วกระแอมสองเสียงอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

หลายปีมานี้ยิ่งเรียนวิชาความรู้กับอาจารย์ในเมือง คำพูดคำจาของโม่ซีก็ยิ่งคลุมเครือมีความนัยขึ้นทุกที ไม่ค่อยมีคำพูดที่พาให้ข้าจิตใจเบิกบานเหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัย แต่ว่าท่าทางกระดากอายของเขาในยามนี้กลับยิ่งดูงดงาม ทำให้ข้าเบิกบานใจได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงคร้านจะไปเอาเรื่องอาจารย์ของเขาแล้ว

“ในเมื่อใจเจ้ามีข้า เช่นนั้นคราวหน้าหากมีคนมาถามเจ้าว่าชอบสตรีแบบใดอีก เจ้าห้ามใช้เหตุผลพวกนี้ตอบถูไถไป”

โม่ซีมองข้าอย่างงุนงง ข้ายกมือขึ้นประคองใบหน้าเขา ให้ในดวงตากระจ่างใสของเขาเต็มไปด้วยเงาร่างของข้า “ครั้งหน้าจำไว้ว่าต้องตอบเช่นนี้” ข้ากระแอมให้คอโล่ง สอนเขาอย่างจริงจัง “ข้าชอบสตรีแบบซานเซิง”

เขามองข้าพร้อมกับพวงแก้มที่ขึ้นสีแดงช้าๆ ทำท่าจะหันหน้าหนีแต่ถูกข้าจับหัวไว้ไม่อาจหลบได้ ได้แต่เลี่ยงสายตามองไปทางโต๊ะหินอีกด้านแทน

ข้าเหลือบมองโต๊ะหินด้านข้างเช่นกัน รู้สึกว่าโต๊ะนั้นหาได้งดงามน่ามองเหมือนข้าไม่ ดังนั้นจึงเอียงหัวไปอยู่ในแนวสายตาของเขา โม่ซีไร้ทางหลบ สุดท้ายสายตาจึงตกลงบนใบหน้าข้าอีกครั้ง

“คำพูดของข้าเมื่อครู่เจ้ารีบท่องมาหนึ่งรอบ หากน้ำเสียงทำนองไม่ถูกต้อง ยามนี้ข้าจะได้ช่วยเจ้าปรับแก้”

โม่ซีหน้าแดงจะแย่แล้ว ได้ยินคำพูดของข้า ทว่าไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไปแล้ว เขามองสบตาข้าแล้วเอ่ยออกมาทีละคำช้าๆ “ข้าชอบสตรีแบบซานเซิง”

คำพูดเช่นเดียวกันซึ่งออกมาจากปากโม่ซีแฝงไว้ด้วยพลังที่ทำให้ตัวข้าเองต้องประหลาดใจ มอบความอบอุ่นในหัวใจข้า ข้ารู้สึกสุขสบายใจยิ่งแล้ว ได้แต่แย้มยิ้มตาหยีออกมาเท่านั้น

โม่ซีเห็นข้าเป็นเช่นนี้ เบื้องหลังใบหน้าแดงเขินอายนั้นก็ค่อยๆ ผลิบานด้วยรอยยิ้มขึ้นหลายส่วน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com