ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด

บทที่สี่

 เวลาต่อมาข้าช่วยโม่ซีไล่แม่สื่อที่มาหาถึงบ้านไปไม่น้อย นี่ก็เหมือนกับการไล่พวกผีน้อย บางคราวมาสองสามคนไม่มีปัญหา ข้าหยอกเล่นแก้เบื่อเป็นการฆ่าเวลาได้ แต่ครั้นเพิ่มมากขึ้นข้าก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้าง

แต่ยังรำคาญไม่เท่าไร จู่ๆ ก็ไม่มีคนมาแล้ว!

ข้ารู้สึกประหลาดใจ ครั้นเอ่ยถามโม่ซี เขาก็ตอบเลี่ยงหลบไปมา ในใจข้ารู้แล้วว่าต้องเป็นโม่ซีทำเรื่องบางอย่างลงไป แต่ในเมื่อเขาไม่พูดข้าก็คร้านจะซักถาม รู้เพียงว่าโม่ซีในชาตินี้เติบใหญ่แล้ว สามารถแบกรับหน้าที่ปกป้องข้าได้แล้วในที่สุด

ข้าแอบปลื้มในใจ นับวันรอคอยพิธีแต่งงานหลังจากเขาสวมหมวก* ยิ่งรอคอยคืนเข้าหอหลังพิธีแต่งงานยิ่งกว่า หลังจากมีสัมผัสทางกาย นั่นจึงจะถือว่าเกี้ยวเขาสำเร็จดังฝันของข้าอย่างแท้จริง

ข้าคิดคำนวณอยู่ในบ้านทุกวันว่าต้องเตรียมสินเดิมไว้เท่าไร แล้วเขาต้องให้ของหมั้นข้าเท่าไร ครุ่นคิดไปถึงสี่ปีข้างหน้า โม่ซีลากนิทานเต็มรถเทียมวัวคันหนึ่งมาให้ข้า กล่าวว่า ‘ซานเซิง ข้าอ่านหนังสือออกแล้ว สามารถเขียนอักษรได้แล้ว เจ้าชอบอ่านนิทานข้าจึงเขียนมาให้เจ้าอ่าน เขียนให้เจ้าทุกวัน…’

มุมปากข้าลากเป็นเส้นรัศมีงดงาม โม่ซีเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าก็คือนิทานที่ดีที่สุดซึ่งสวรรค์เขียนให้ข้า เปลี่ยนชีวิตข้าให้เป็นเหมือนดั่งตัวละคร…

เสียง ‘ปัง!’ โครมใหญ่ดังสะท้านจนเตียงนอนข้าสั่น ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะเตี้ยร่วงกราวลงบนพื้น เสียงแตกกระจายทำลายฝันอันงดงามของข้า

นิทานที่ปิดหน้าตกอยู่ด้านข้าง ข้าลืมตากะพริบปริบๆ มองไปที่คานห้อง ปลายจมูกพลันสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจสายหนึ่ง

ปีศาจ?

ข้าพลิกตัวขึ้นนั่ง คลุมเสื้อแล้วสาวเท้าออกไปนอกประตู

ในลานบ้านเละเทะไปแถบหนึ่ง บนพื้นถูกกระแทกเป็นหลุมใหญ่ ขณะที่เศษฝุ่นดินลอยคลุ้งข้าได้ยินเสียงไอต่ำเปี่ยมพลังของผู้ชายดังมาจากภายใน

ข้ามองซ้ายมองขวาแล้วหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขว้างไปที่คนผู้นั้น “เจ้าเป็นใคร”

ถูกก้อนหินขว้างใส่ แต่คนผู้นั้นกลับไม่ส่งเสียงฮึดฮัดแม้แต่น้อย เพียงแค่หันกลับมาช้าๆ เมื่อฝุ่นจาง สี่ตาจึงประสาน

“อ๊ะ…” เขาส่งเสียงร้องเรียกตกใจ “เป็นเจ้า!”

ข้าพิศดูเขาทั้งบนล่าง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมใส่ชุดที่ราวกับเศษผ้า แก้มกับแขนเปรอะเปื้อนสีสัน ท่าทางที่หลั่งเลือดไม่หยุดนี้ดูทีว่าจะไม่ใช่บาดแผลจากอาวุธธรรมดา ข้ากุมคางครุ่นคิดอยู่นานค่อยตบฝ่ามือในฉับพลัน “อ้อ!”

เขาสีหน้ายินดี “เจ้ายังจำข้าได้!”

“เจ้าคิดตีสนิทข้า?” ข้าโบกมือ “ไร้ประโยชน์ๆ พูดมาตามจริง! เป็นปีศาจตนใด”

เขาชะงักเท้า ยืนอยู่กับที่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง “เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ” เขาร้อนรน “เจ้าลืมข้าไปแล้วได้อย่างไร!” เกาหัวเกาหูคิดอยู่นาน “ข้าคือสือต้าจ้วงไง! คนที่…เมื่อเจ็ดปีก่อนไง! พวกเราเคยพบกันที่…ที่กันดารห่างไกล… เจ้าช่วยน้องข้าไปปรโลก แถมยังใช้เวทให้นางไปดีหน่อยนั่นไง!”

ข้าใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วพลันนึกขึ้นได้ ที่แท้เป็นเขา พี่ชายโง่งมที่ตีปีศาจก้อนหินน้องสาวตนเองจนตกเขาตาย!

เห็นข้าพยักหน้า สีหน้าร้อนรนบนใบหน้าเขาก็ล่าถอยไป เผยยิ้มออกมา “ยามนั้นข้าคิดจะขอบคุณเจ้า แต่ยังไม่ทันได้ทำข้าก็ถูกภิกษุเฒ่าไล่ตาม ภายหลังข้ากลับไปดูที่นั่น เจ้ายังฝังน้องสาวของข้าอีก เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ”

“ข้าย่อมต้องเป็นคนดีอยู่แล้ว” ข้ากล่าว “แต่ว่าเจ้าพังลานบ้านข้าก็ต้องชดใช้เช่นกัน”

เขาหันกลับไปมอง เห็นลานบ้านเละเทะของข้าแล้วเกาหัวกล่าว “ข้าจะชดใช้ให้เจ้า เพียงแต่ที่จริงวันนี้ข้าไม่มีพลังเวทเหลือแม้แต่ครึ่งส่วน รอไว้พรุ่งนี้ข้าฟื้นกำลังแล้วค่อยช่วยจัดการลานบ้านเจ้าได้หรือไม่”

เขาพูดอย่างน่าสงสาร ข้าแปลกใจจึงเอ่ยถาม “เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

พูดถึงเรื่องนี้สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นอึมครึมทันควัน “พระรูปนั้น…”

ครั้นได้ยินชื่อลาเฒ่าหัวโล้น วันคืนในอดีตตลอดเก้าปีที่ถูกไล่ฆ่าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาข้าไม่หยุด ข้าขมวดคิ้ว “เขายังมีชีวิตอยู่หรือ”

สือต้าจ้วงถอนหายใจ “มีชีวิตอยู่ตลอดไม่เคยตายจากไป” เขาเจ็บปวดอย่างที่สุด “เขาเข้าใจข้าผิดอย่างลึกล้ำ มั่นใจว่าข้าเป็นปีศาจที่ไม่มีเรื่องร้ายใดไม่ทำ ไล่ตามข้ามาตลอดเจ็ดปี!” เขาพูดอย่างเศร้าสร้อย

ข้าฟังแล้วลอบตื้นตันยินดี ดีจริงๆ ในโลกมนุษย์นี้ยังมีผู้ที่ได้รับความลำบากเช่นเดียวกับข้า ทำเอาข้าปลื้มปีติ สบายใจเป็นเท่าตัว

“ไม่กี่วันก่อนร่างกายพระเฒ่าดูเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ไม่รู้ภิกษุเฒ่ารูปนี้เป็นอะไร ลากสังขารทรุดโทรมมาเดิมพันเอาเป็นเอาตายกับข้า ข้าสู้กับเขาสามวันสามคืนเลยเชียว! สุดท้ายเขาหมดกำลัง ข้าจึงฉวยโอกาสหนีมา เร่งเดินทางมาหนึ่งวันหนึ่งคืนจนมาถึงบ้านเจ้านี่ ยามนี้ไม่มีแรงวิ่งอีกแล้วถึงได้ตกลงมาจากด้านบน”

จากคำพูดนี้ของอีกฝ่าย ดูท่าลาเฒ่าหัวโล้นคงใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยปณิธานกำจัดปีศาจร้ายของเขา ไหนเลยจะปล่อยให้หินก้อนนี้หนีมาได้ การเดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ พระรูปนั้นไม่ได้ตามมาคงเพราะไล่ตามไม่ไหวแล้ว

สือต้าจ้วงศีรษะตกห้อย ท่าทางจนตรอก จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง ดูท่าหลายปีนี้คงอยู่อย่างรันทดจริงๆ วันนี้ข้าได้พบเขาก็เหมือนพบตนเองในอดีต ทำให้ข้าเกิดความเห็นใจขึ้นมาบ้าง อีกอย่างหากพูดไปแล้วสือต้าจ้วงผู้นี้ก็พบภัยพิบัติเพราะข้า คิดถึงตรงนี้จึงกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามา ข้าจะเอายาให้เจ้า จากนั้นหาเสื้อผ้ามาให้เจ้าเปลี่ยน”

เขาตะลึงน้ำตาคลอโดยพลัน “ผู้มีคุณ! เจ้าเป็นผู้มีคุณอันใหญ่หลวงของข้าจริงๆ!”

ข้าพยุงเขาอย่างสงบนิ่ง “ข้าคนนี้ใจดีง่ายไปหน่อย”

ภายในบ้าน

สือต้าจ้วงถอดเสื้อนั่งบนเก้าอี้ แขนเปลือยเปล่าหยิบยาขี้ผึ้งใส่ให้ตนเองโดยมีข้านั่งมองอยู่ด้านข้าง เขาหนีมาตลอดเจ็ดปี กลับเป็นการฝึกกล้ามเนื้อให้ยิ่งแข็งแกร่ง จัดเรียงตัวชัดเจนกำยำมีพลัง หากสามารถรั้งให้เขาอยู่ที่นี่ก็ไม่ขาดผู้ช่วยวิ่งไปซื้ออาหารในเมืองแล้ว…

“คือว่า…” ข้ากำลังดีดลูกคิดในใจ สือต้าจ้วงพลันหน้าแดงยื่นยาขี้ผึ้งมาให้ข้า “บนหลังมีจุดหนึ่งข้าเอื้อมไม่ถึง”

กล้ามเนื้อแขนของเขามีมากเกินไปจนเอื้อมไม่ถึงด้านหลัง ข้าเลิกคิ้ว “อยากให้ข้าช่วยหรือ”

เขาพยักหน้า “เดิมไม่กล้ารบกวนผู้มีคุณ แต่ปากแผลนั่นคันยิ่งนัก…”

ข้าเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็ได้ ข้าช่วยเจ้า” ข้าควักยาขี้ผึ้งมาส่วนหนึ่งทาลงบนหลังเขา ไตร่ตรองคำพูดแล้วกล่าว “ต้าจ้วง เมื่อหลายปีก่อนข้าช่วยน้องสาวเจ้า ยามนี้ก็ช่วยเจ้าอีก เจ้าว่าเจ้าควรเอาอะไรมาตอบแทนข้าหน่อยหรือไม่”

ต้าจ้วงชะงัก “ข้า…ไม่มีของอะไรสามารถให้เจ้าได้”

ข้าเกลี่ยยาแล้วตบหลังหนาของเขา “มีสิ เจ้าขายร่างกายให้ข้าเถอะ”

ต้าจ้วงตื่นตระหนกหันมามองข้า จากนั้นใบหน้าเขาก็ขึ้นสีแดงน่าสงสัยอย่างช้าๆ “เจ้าหมายถึง…เจ้าหมายถึงใช้ร่างกายแทนคุณหรือ”

ข้าย่อมไม่รู้ว่าเขาหน้าแดงทำไม พยักหน้ากล่าว “น่าจะความหมายประมาณนั้นกระมัง”

ต้าจ้วงยิ้มเกาหัว เขาเหลือบมองข้าอย่างเขินอายคราหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปจับหัวยิ้มโง่งมต่อ “ก็…ก็ได้…”

บุรุษตัวโตคนหนึ่งยิ้มหน้าบานราวกับแม่นางน้อย ในใจข้าหนาวจนสั่นแล้ว ขณะเรียกสติคิดจะหากระดาษมาให้เขาลงหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร พลันได้ยินเสียงผลักประตู ข้าหันไปดูเห็นโม่ซียืนย้อนแสงอยู่หน้าประตูจนเงาร่างดูแบบบางไปบ้าง ควันขาวจากลมหายใจลอยวนเวียนวุ่นวายอยู่กลางอากาศ

“ไม่ได้”

คำพูดนี้ของเขาพูดออกมาอย่างกะทันหันทั้งยังเยียบเย็นเป็นที่สุด

“หืม?” ข้าแปลกใจ เดินไปรับเขา “เจ้ากลับมาได้อย่างไร วันนี้สำนักศึกษาเลิกเร็วเพียงนี้เชียว”

เขานิ่งเงียบอยู่นานค่อยอธิบายเสียงเบา “ข้าเห็นของบางอย่างตกใส่บ้านพวกเราเสียงค่อนข้างดังจึงกลับมาดู”

ผมเขายุ่งหมดแล้ว คงเพราะวิ่งกลับมาตลอดทาง ข้าลูบหัวเขาอย่างรู้ว่าเขาเป็นห่วงข้า “ซานเซิงไม่เป็นไร มา ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่คือ” ข้าชี้ปีศาจก้อนหินที่นั่งนิ่งงัน “เขาชื่อสือต้าจ้วง ต่อไปก็เป็น…อืม…” คนงานระยะยาว? บ่าวรับใช้? ยามเฝ้าบ้าน? ข้ากำลังง่วนคิดว่าจะเรียกเขาอย่างไร โม่ซีกลับคว้ามือข้าไว้อย่างรวดเร็ว

“ไม่เอา!” เขาเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ไม่เอาเขา”

ข้าเหล่มองสือต้าจ้วง เขาเห็นตนเองถูกโม่ซีปฏิเสธกลับไม่โกรธ เพียงเกาหัวอย่างเห็นได้ชัดว่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ข้าดึงโม่ซีออกมาข้างนอก เอ่ยกำชับสือต้าจ้วงก่อนปิดประตู “แผลบนหลังเจ้าล้วนทายาเรียบร้อยแล้ว เจ้าทาที่อื่นเอาเอง”

เมื่อลากโม่ซีมาถึงลานบ้าน ข้ายังไม่ทันเอ่ยปากเขาก็ขมวดคิ้วกล่าว “ซานเซิง เจ้าไม่ควรทายาให้เขา ไม่ควรอยู่ในบ้านด้วยกันกับเขา ไม่ควร…มองเขาที่ไม่ใส่เสื้อผ้า…”

การแสดงออกนี้ของโม่ซีจากที่ในนิทานชาวบ้านพูดน่าจะเป็นหึงหวง ข้าคิดครู่หนึ่งก่อนจะยื่นปากชนกับแก้มเขาเสียงดังแปะ โม่ซีที่เดิมโมโหยังคิดจะพูดต่อพลันนิ่งชะงัก

เขากุมใบหน้ามองข้าอย่างตกตะลึง

“โม่ซี เจ้ายังหึงหรือไม่”

เขาหน้าแดงราวกับถูกต้ม

ข้าเขินอายเช่นเดียวกัน แต่อาการเขินอายของโม่ซีในสายตาข้างดงามน่ากินยิ่งกว่า ทว่าขณะที่กำลังอายนี้เขาก็ยังดึงมือข้าไม่ปล่อย “อย่าให้เขาอยู่”

“โม่ซี” ข้าตัดสินใจพูดข้อดีของการรั้งคนงานระยะยาวคนนี้กับเขาก่อน “เจ้าดูสิ ข้าให้เขาอยู่ มีคนช่วยวิ่งไปซื้ออาหาร ยกสิ่งของ ซ่อมบ้าน ปูกระเบื้อง ทำงานจับกังเพิ่มหนึ่งคน เช่นนี้ไม่คุ้มค่าหรือ”

“เรื่องพวกนี้ข้าก็ทำได้”

“ยามนี้เจ้าโตแล้ว ทั้งกำลังเรียนที่สำนักศึกษา คนพวกนั้นล้วนเชื่อในหลักวิญญูชนพึงหลีกไกลจากครัว แม้ข้าจะรู้สึกว่ากฎเกณฑ์นี้ไร้เหตุผลอย่างน่าประหลาด แต่ถ้าอยากให้เจ้าเข้าไปร่วมอยู่ในนั้น ทุกวันให้เจ้าหิ้วอาหารกลับมา…”

“ข้าไม่เป็นไร!” โม่ซีออกความเห็นอย่างว่องไว

“แต่ซานเซิงกลัวว่าเจ้าจะได้รับความอดสู” ข้ากล่าว “อีกอย่างเจ้าดู เขาตัวโตเพียงนั้น กล้ามเนื้อพละกำลังทั้งร่างไม่ใช้ก็ขาดทุนแย่!”

โม่ซีเงียบไปนาน “ที่ซานเซิง…ต้องใจ คือกล้ามเนื้อของเขา?”

“แน่นอนสิ!”

“นี่…” เขางึมงำอย่างหดหู่ยิ่ง “ข้าไม่มีจริงๆ…”

ข้าลูบหัวเขาเป็นการปลอบใจ

 

ดังนั้นภายใต้การอะลุ่มอล่วยของโม่ซี เรื่องที่สือต้าจ้วงรั้งอยู่ที่นี่พลันถูกกำหนดทั้งแบบนี้แล้ว

ตั้งแต่วันนั้นพฤติกรรมการใช้ชีวิตของโม่ซีก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ

เมื่อก่อนเขาตื่นตั้งแต่ยามเหม่า ล้างหน้าบ้วนปากกินข้าวเช้ากับข้าเสร็จแล้วถึงค่อยไปสำนักศึกษา เทียบกับนักเรียนคนอื่นนับว่าเขาไปสาย ทว่าโม่ซีฉลาดเฉลียว นำหน้าผู้อื่นทุกอย่าง ดังนั้นอาจารย์จึงไม่ก้าวก่ายกับเขามากนัก

แต่ว่าหลายวันนี้โม่ซีตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น รอยามเหม่าข้าทำข้าวเช้าเสร็จเขาก็วิ่งกลับมาจากข้างนอกได้รอบใหญ่ ข้าถามเขาว่าทำอะไร เขาบอกเพียงว่าไปวิ่งข้างนอกรอบหนึ่ง แล้วเวลาเข้าเรียนจะมีสมาธิขึ้นมาหน่อย

ข้าฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผล วันต่อมาจึงผลักสือต้าจ้วงให้ตื่นตั้งแต่เช้า ให้เขาไปวิ่งกับโม่ซี สือต้าจ้วงหน้าตาไม่ยินยอมด้วยยังนอนไม่พอ โม่ซีเองก็หน้าตาอึมครึม กล่าวเสียงเย็น “ข้าไม่ไปกับเขา”

ข้าเอ่ยเสียงเบากับโม่ซี “เขาไปวิ่งเรียกสมาธิ กลับมาจะได้หาบน้ำทำกับข้าวได้ดี” ข้าตบไหล่สือต้าจ้วง “ไปเถอะ ไปกับโม่ซี”

โม่ซีท่าทางราวกับมีอะไรจุกคอ มองสือต้าจ้วงคราหนึ่ง กัดฟันแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

วันนี้โม่ซีวิ่งกลับมาแล้วไม่ไปสำนักศึกษาเป็นประวัติการณ์ เขาบอกว่าอากาศเย็นไม่อยากขยับ หลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินโม่ซีหาข้ออ้างไม่ไปเข้าเรียน นับว่าหายากยิ่ง ไม่ไปก็ไม่ไปเถอะ อย่างไรก็เป็นชีวิตเขา นอกจากเรื่องเจ้าสาวแล้วเรื่องอื่นๆ ให้เขาตัดสินใจเองจึงจะดี

ข้าหมกตัวอยู่ในห้องอ่านนิทานเป็นปกติ สือต้าจ้วงซ่อมลานบ้านเสร็จแล้ว ยามที่เขาเข้ามาบอกข้ายังพูดเสียงเบาอีกหนึ่งประโยค “น้องเจ้าดูเหมือนไม่ชอบข้า”

ยามนี้คุณชายและคุณหนูในนิทานของข้ากำลังอยู่ในช่วงตื่นเต้นจากการเข้าใจผิดทับถม ข้าจึงไม่สนใจคำพูดของสือต้าจ้วง เพียงส่งเสียง “อืมๆ” กลับไปเท่านั้น

เขาออกจากห้องไปอย่างหม่นหมอง

รอจนเมื่อท้องส่งเสียงโครกคราก อีกทั้งนิทานของข้าก็อ่านจบไปแล้ว คุณชายคุณหนูกอดอีกฝ่ายแน่นร่ำไห้ไปด้วยกัน พร้อมพรั่งไปด้วยรักและแค้น ข้าถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์ ลุกขึ้นคิดจะไปทำอะไรมาเติมท้องตนเอง ประตูเพิ่งเปิดออก สายลมหนาวจากด้านนอกพร้อมคำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของสือต้าจ้วงพัดเข้าหูข้า

“ข้าชอบพี่สาวเจ้ามาก”

มือที่เปิดประตูอยู่ของข้าหยุดชะงัก มองเห็นสถานการณ์ภายนอกจากช่องประตู สือต้าจ้วงกำลังตักน้ำในบ่อ หันหลังพูดกับโม่ซีราวกับเป็นการพูดคุยเรื่อยเปื่อย โม่ซีวางตำราไว้ที่โต๊ะหินด้านข้าง มองแผ่นหลังสือต้าจ้วงด้วยสีหน้าเยียบเย็นรางๆ

อู้ว ทั่วทุกที่ของชีวิตล้วนแต่เป็นบทละคร คำพูดในนิทานเป็นความจริง หาได้หลอกลวงข้า

“นางเปิดเผยและเมตตาต่อผู้คน ก่อนหน้านี้นางให้ข้าใช้ร่างกายแทนคุณ ทำให้ข้าดีใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว” สือต้าจ้วงหิ้วถังน้ำหันมายิ้มซื่อๆ กับโม่ซี “เจ้าก็อย่าเอาแต่ไม่ยอมพูดกับข้าเลย ช้าเร็วย่อมต้องเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าก็ลองเอ่ยปากเรียกข้าว่าพี่เขยสักคำเถอะ”

สีหน้าของโม่ซีบิดเบี้ยวอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน มือที่วางบนตำรากำแน่นอย่างยิ่ง เขาดูคล้ายพยายามอดกลั้นอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็กลั้นไม่ไหวตบโต๊ะลุกยืนขึ้น

ข้าคิดในใจว่าโม่ซีในยามนี้ไม่อาจสู้ปีศาจก้อนหินได้ ประมือกันแล้วย่อมต้องเสียเปรียบแน่ จึงรีบผลักประตูเดินออกไป “โอ๊ะ อากาศดีจริง!”

กระแสลมแรงหอบหนึ่งพัดปกคลุมใบหน้าทำผมดำเงางามของข้ายุ่งไปหมด เมฆทะมึนหนาหนัก เป็นสภาพอากาศที่หิมะใกล้จะตกแล้ว

ข้าหัวเราะแห้งๆ สองเสียง พยายามคว้าจับผมตนเองวุ่นวายไปหมด ทว่ายิ่งจับก็ยิ่งพันเป็นก้อน ทั้งยังพันมือข้าไปด้วย ข้ารักเส้นผมที่ไม่ได้งอกออกมาง่ายๆ นี้เป็นอย่างยิ่งจึงไม่กล้าออกแรงดึง ขณะกำลังร้อนใจ แสงตรงหน้าก็มืดทึบลง เป็นโม่ซียืนอยู่เบื้องหน้าข้า

ยามนี้เขาสูงกว่าข้าแล้ว ข้าค่อยๆ เงยหน้ามองเขา เขากลับไม่ได้มองข้า สายตาจดจ่ออยู่กับการแก้ปมเส้นผมของข้าอย่างอ่อนโยน บรรยากาศที่ส่งผ่านมาจากตัวเขาดูอึมครึมนิดหน่อย ข้ากำลังจะเอ่ยปาก เขากลับพูดเสียงติดจะเยียบเย็นเล็กน้อย “ข้าเข้าไปอ่านตำราในห้อง”

หลีกหนีไปโดยไร้เสียง ดื้อดึงอย่างเงียบงัน เป็นครั้งแรกที่โม่ซีใช้น้ำเสียงกึ่งเยียบเย็นไม่อบอุ่นเช่นนี้พูดกับข้า เห็นได้ชัดว่าไม่คิดอยู่กับข้าและสือต้าจ้วงด้วยกันตรงนี้อีก อาการนี้ของเขาคือ…

หึงจนโกรธแล้ว

ข้าลอบใคร่ครวญครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคราวนี้เกรงว่าจะปลอบเขาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ดังนั้นหลังจากโม่ซีเข้าห้องไปแล้วจึงหันสายตามองไปทางสือต้าจ้วงที่ยืนนิ่งงงงันเล็กน้อย สือต้าจ้วงได้สติ “เหตุใดเขา…เหตุใดพวกเจ้า…รู้สึกราวกับ…”

ข้าชี้เขาแล้วตัดบทคำพูด “เจ้าตามข้ามา”

ข้านำสือต้าจ้วงเดินออกจากบ้าน จนกระทั่งออกห่างจากตัวบ้านได้พอประมาณแล้วจึงหยุด ข้าเอ่ยพูดตามตรงไม่อ้อมค้อม “ข้าชอบโม่ซี ข้าเป็นสะใภ้ลูกต้อยของเขา ข้าไม่ชอบเจ้า พวกเราไม่ได้ล้อเล่น เจ้าก็ตัดใจเถอะ”

ข้าพูดประโยคหนึ่งแล้วหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ทุกครั้งที่ข้าหยุดเขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าว รอจนข้าพูดจบสือต้าจ้วงก็มองมาทางข้าด้วยใบหน้าราวกับถูกจู่โจมอย่างหนักหน่วง

“เจ้า…เจ้า…แต่ว่าเจ้าเป็นยมบาลในปรโลกนะ!”

ที่แท้เมื่อเจ็ดปีก่อนข้าโกหกเขาไว้เช่นนี้นี่เอง…

ข้าผงกหัว ไม่อธิบายเรื่องอื่น “เช่นนั้นแล้วเป็นอย่างไร”

“พวกเจ้าหนึ่งคนหนึ่งผีต่างเส้นทาง!”

ข้าไม่เข้าใจ “แต่ยามนี้ข้าสามารถอยู่ข้างกายเขาได้นี่ ต่างเส้นทางเป้าหมายเดียว แล้ว”

“สำนวนนี้ไม่ได้ใช้เช่นนี้!” ปีศาจก้อนหินคล้ายว่ารับไม่ได้อยู่บ้าง “ข้า…ข้าคิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงเด็กมนุษย์ที่เจ้าเมตตานำมาเลี้ยงดู เขา…เขาอายุน้อยกว่าเจ้าตั้งขนาดนั้น! เจ้าทำได้อย่างไร!”

ข้ายิ่งไม่เข้าใจใหญ่ “นี่เขาไม่ใช่กำลังโตหรือ!” คิดไปแล้วข้าก็กล่าวเสริม “ข้าก็ไม่แก่ด้วย!” ข้าชะงักไปครู่แล้วเสริมอีกประโยค “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้า” ยิ่งพูดยิ่งโมโห ข้าสุ่มชี้ไปอีกทาง “คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว เจ้าไปเถอะ!”

ข้าเพิ่งพูดจบ เมฆดำบนฟ้าพลันขยับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว เสียงลมระหว่างป่าเหมยยิ่งรุนแรง ข้าขมวดคิ้ว ปราณในสายลมนี่…

“ปีศาจชั่วจะหนีไปที่ใด!”

แต่เมื่อได้ยินเสียงแก่หง่อมอันคุ้นเคยนี้ข้าก็สูดหายใจเอาลมเย็นเข้าไปดังเฮือก ปีศาจก้อนหินด้านข้างก็สะอึกขึ้นมาเช่นกัน เบื้องหลังเมฆดำหนาหนักทางทิศที่ข้าชี้มีลำแสงธรรมฉีกฟ้าลงมา

เป็นสภาพการณ์ที่ข้าไม่อาจคุ้นเคยได้มากกว่านี้แล้ว

“ลาหัวโล้น เจ้าอายุยืนจริง!” ข้าด่าคำโต กุมหัวกระโดดไปด้านข้าง

เขาไล่ตามข้ามาเก้าปี ไล่ตามสือต้าจ้วงมาเจ็ดปี! จนโม่ซีอายุสิบหกแล้วภิกษุเฒ่ารูปนี้ยังเฉียบคมถึงเพียงนี้! ไม่สมควรเลยจริงๆ!

ท่านพญายมสารเลว ท่านแอบอู้งานใช่หรือไม่!

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com