ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
บทที่ห้า
ลำแสงธรรมจู่โจมลงมาบนพื้นหิมะ ส่องสว่างจนข้าปวดตา
ไม่เจอกันหลายปีตบะของภิกษุเฒ่ารูปนี้ก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิมเพียงนี้เชียว ข้าตะลึงหันกลับไปมองเขา เห็นเพียงภิกษุเฒ่าลอยลงมาจากฟ้า หลังจากปล่อยการโจมตีครั้งที่หนึ่ง สองมือค้ำหัวเข่าโก่งตัวหอบหายใจแรง เสียงแหบแห้งอ่อนเปลี้ยราวกับพริบตาเดียวก็จะถูกยมบาลพาตัวไปแล้ว
ดียิ่ง ที่แท้ก็เสี่ยงชีวิตมาไล่สังหาร…
พระพุทธองค์บอกว่าวางดาบสังหาร บรรลุธรรมโดยพลัน* นะ! เหตุใดเจ้าลาเฒ่าหัวโล้นนี่จึงคิดไม่ตกมาตลอดชีวิตกัน…
สือต้าจ้วงตะโกนเรียกข้าห่างออกไปสี่ห้าจั้ง “ซานเซิง! เจ้ามัวตะลึงอะไร! รีบหนีเร็ว!”
วันคืนที่ไม่ต้องหนีเอาชีวิตมาหลายปีทำให้ปฏิกิริยาของข้าช้ากว่าสือต้าจ้วงไปอักโข ข้ารีบพยักหน้าหมุนตัวคิดจะวิ่งหนี แต่กลับถูกแรงดึงจากด้านหลังจับไว้ ลาหัวโล้นตะโกนเสียงแหบจากด้านหลัง “พวกเจ้าใครก็ล้วนหนีไม่ได้! นางปีศาจแกล้งตายหลอกข้ามาหลายปี ก่อนพระเช่นข้ากลับสู่ทิศประจิม** จะต้องจับปีศาจร้ายชั่วช้าอย่างพวกเจ้าสองตนไว้ให้ได้!”
ไม่ทันได้บ่นความหัวแข็งและมีอคติของภิกษุเฒ่ารูปนี้ ข้าหันกลับไปเห็นเพียงบาตรทองในมือลาหัวโล้นส่องแสงสีทองแยงตาออกมา ภายใต้แสงส่องสว่างคล้ายว่ามีพละกำลังมหาศาลลากข้าเข้าไปในบาตรทอง ลำแสงธรรมแห่งทิศประจิมเป็นดาวข่มโดยธรรมชาติของเหล่าวิญญาณในปรโลก ยิ่งเข้าใกล้ หลังของข้าก็ยิ่งลวกแสบราวกับถูกแผดเผา เจ็บจนข้าอยากลงไปนอนกลิ้งกับพื้น
ล้อกันเล่นหรือ กว่าข้าจะเกี้ยวโม่ซีสำเร็จในชาตินี้ไม่ใช่ง่ายๆ ทั้งที่หนทางข้างหน้าเปิดกว้างแท้ๆ จะให้กลับไปทางน้ำพุเหลืองในช่วงสำคัญนี้ได้อย่างไร! หากข้าตายยามนี้ โม่ซีที่กำลังกินน้ำส้ม*** อยู่ในบ้านจะไม่คิดว่าข้าหนีตามปีศาจก้อนหินที่ราวกับหมีผู้นั้นไปหรือ! นี่เป็นการใส่ร้ายขนานใหญ่เชียวนะ!
พอคิดว่าเขาจะมองข้าตาแดงๆ อย่างอดสู ข้าก็ทนไม่ไหวแล้ว “ลาหัวโล้นรังแกผู้อื่นเกินไปแล้วจริงๆ!” ข้าตะคอกเสียงดัง รวบไอหยินกร้าวแกร่งไว้กลางฝ่ามืออย่างรวดเร็วแล้วพลิกมือสะบัดใส่เขา กระไอมืดมิดหนาวเหน็บสกัดกั้นลำแสงธรรมอันโชติช่วงไว้ชั่วขณะ
ข้าคลานไปอีกด้านด้วยท่วงท่าไม่น่าดู ในใจคิดว่าพลังของภิกษุเฒ่าก็ไม่เท่าไร แต่อาวุธในมือเขากลับร้ายกาจอย่างที่สุด อาศัยกำลังของข้าคนเดียวไม่อาจสู้ชนะได้ มีเพียงต้องร่วมมือกับสือต้าจ้วงเดิมพันชีวิต…
ทางข้ายังคิดไม่เสร็จ ลาหัวโล้นนั่นพลันสูดหายใจเสียงเย็นโดยแรง “นางปีศาจ…เฮือก…เฮือก…” เสียงสูดหายใจสามครานี้ของเขาแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ข้าผินหน้าไปมอง เห็นเพียงลาหัวโล้นกุมหน้าอกตนเองร่วงลงไปกับพื้น เสียง “เฮือกๆ” ดังขึ้นอีกสองสามครั้ง จากนั้นสองขาเหยียดตรง สองตาเหลือกขาว เอียงหัวไปอีกด้าน สิ้นลมหายใจแล้ว
ข้าตกตะลึงมองเขา สือต้าจ้วงยิ่งนอนคว่ำอยู่อีกด้านไม่กล้าขยับ
ภาพฉากตรงหน้าเงียบงันไปนาน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” สือต้าจ้วงเอ่ยถามข้า
“น่าจะเป็น…ไล่ฆ่าจนสิ้นชีวิตกระมัง” ข้าพูดออกไปโดยไม่แน่ใจนัก กลัวว่าภิกษุเฒ่าจะแกล้งตายหลอกข้า ถึงอย่างไรในการต่อสู้ด้วยปัญญาและความกล้าเมื่อเก้าปีก่อนก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยใช้อุบายพรรค์นี้…
จู่ๆ พลันมีไอหยินที่ข้าคุ้นเคยดีลอยมาจากกลางอากาศ ข้าเงยหน้าขึ้นมอง เฮยไป๋อู๋ฉางพี่ชายทั้งสองห้อยลิ้นยาวต่องแต่งเดินเข้ามาจากทางน้ำพุเหลือง
ครั้นเห็นพวกเขาก็ราวกับข้าเห็นญาติสนิท ข้าดีใจน้ำตาไหลนองกระโจนเข้าไปเบื้องหน้า กอดลิ้นห้อยยาวของพวกเขาทั้งสองแล้วสะอื้นไห้รุนแรง “ในที่สุดพวกท่านก็มาแล้ว! หลายปีนี้พวกท่านไปที่ไหนกันมา! รู้หรือไม่ว่าซานเซิงรอพวกท่านมานานเท่าไร! ผีบ้าสองตนนี่!”
ยมทูตดำเฮยอู๋ฉางได้ยินแล้วทำท่าราวกับถูกข้ายัดมูลวัวใส่อย่างไรอย่างนั้นพลางม้วนลิ้นตนเองขึ้นไม่ให้ข้ากอด “เจ้าอ่านนิทานอะไรอีกแล้ว อย่าได้ลอกเลียนเอามาใช้มั่วซั่ว…”
ยมทูตขาวไป๋อู๋ฉางดันข้าออกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “หลีกไป ขวางการปฏิบัติหน้าที่”
สือต้าจ้วงที่อยู่ด้านหลังถามข้าอย่างหวาดกลัว “ซานเซิง…เจ้าเห็นอะไรหรือ”
คนกับปีศาจในโลกมนุษย์มองไม่เห็นผีในปรโลก ข้าเช็ดน้ำตาเอ่ยอย่างยินดี “ลาหัวโล้นผู้นี้ในที่สุดก็สิ้นอายุขัยแล้ว” ข้าเพิ่งพูดออกไป วิญญาณของลาหัวโล้นก็ถูกยมทูตเฮยไป๋อู๋ฉางดึงออกมาจากศพ วิญญาณของเขาหันมองข้าแล้วเอ่ยร้องแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตไม่มีผิด “ข้าจะปราบเจ้า! ข้าจะปราบเจ้า!”
ข้าเช็ดน้ำตาให้แห้งแล้วบอกเขาอย่างจริงจัง “ต่อให้เจ้าสาบานว่าจะปราบข้าให้ได้ ข้าก็ไม่ลดตัวไปเป็นภรรยาน้อยเจ้าหรอก” เห็นสีหน้าที่ถูกข้าทำให้โกรธจนเขียวปั้ดของลาหัวโล้น ความคับแค้นตลอดสิบกว่าปีนี้ก็พ่นออกมาได้ในที่สุด ข้าเอ่ยกับเฮยไป๋อู๋ฉาง “ต้องบอกให้ยายเมิ่งตักน้ำแกงให้เขาดื่มมากหน่อยนะ! ให้ชาติหน้าเขาโง่ทึ่มปัญญาอ่อน มีชีวิตลำเค็ญไปชั่วชีวิต! ซานเซิงกลับไปครั้งหน้าจะตอบแทนยายเมิ่งอย่างดี”
หลังส่งเฮยไป๋อู๋ฉางไปแล้วมองศพของลาหัวโล้นบนพื้น คิดว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นสถานที่อยู่อาศัยของข้ากับโม่ซี บริเวณรอบๆ บางคราวก็มีคนผ่านมา หากถูกผู้อื่นเห็นศพภิกษุเฒ่าทอดกายนิ่งตรงนี้คงไม่เหมาะเท่าไร ดังนั้นจึงให้สือต้าจ้วงขุดหลุมด้านข้างแล้วกลบฝังบุญคุณความแค้นสิบกว่าปีมานี้ลงไป
สือต้าจ้วงก่อเนินขึ้นแล้วปักไม้ไว้ด้านบนกิ่งหนึ่ง นับเป็นป้ายวิญญาณอย่างง่ายๆ เขาหันมามองข้าแล้วพลันตะลึงงัน “ซานเซิง เหตุใดเจ้าหน้าซีดขาวเพียงนั้น”
“หือ?” ข้าลูบใบหน้าตน “เช่นนั้นหรือ…อาจเพราะเมื่อครู่แผ่นหลังถูกแสงธรรมสาดเข้ากระมัง” ข้าพยายามเอี้ยวคอไปดู แต่ยังคงมองไม่เห็นหลังตัวเอง “คงไม่มีอะไรมากกระมัง แม้หัวออกจะมึนอยู่หน่อย แต่ร่างกายข้าไม่รู้สึกเจ็บ” พูดไปข้าก็ยื่นมือลูบแผ่นหลังไปด้วยและสัมผัสได้ถึงความเหนียวเหนอะ “นี่อะไร” ข้าเห็นเลือดเนื้อบนมือข้างหนึ่งของตนก็งุนงงไม่เข้าใจอยู่บ้าง
สือต้าจ้วงอ้อมมาดูหลังของข้า ทว่ากลับมองจนหน้าขาวซีด “เจ้า…เจ้าบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ยังบอกไม่เป็นไรอีก! เจ้าอย่าขยับนะ ข้าจะแบกเจ้าไปหาหมอ!”
ข้าถูกสถานการณ์ที่เลือดสดๆ ในมือหยดย้อยทำเอาตกใจแล้ว อาการวิงเวียนในหัวยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่ครั้นได้ยินสือต้าจ้วงพูดเช่นนี้ข้าก็ยื่นมือขวางเขาไว้ “ไม่หาหมอ”
หมอในโลกมนุษย์ไหนเลยจะรักษาบาดแผลของข้าได้ ข้าค่อยๆ มีสติขึ้นมารำไร เดาว่าลำแสงธรรมของภิกษุเฒ่าเมื่อครู่คงร้ายแรงเกินไปจนเผาผิวเนื้อของข้าบาดเจ็บ ข้าไม่รู้สึกเจ็บอาจเพราะก่อนหน้านี้เจ็บจน…ด้านชาแล้ว และที่เวียนหัวคงเพราะเสียเลือดมากเป็นแน่
“บาดแผลนี้ไม่ได้สาหัสถึงภายใน พาข้ากลับไปทายาห้ามเลือดก็พอ”
หมอในโลกมนุษย์แต่ละคนล้ำค่าหายาก หัวใจก้อนหินที่ไม่เคยเต้นมากว่าพันปีของข้าดวงนี้ หมอเห็นข้าลืมตาหายใจแต่กลับจับไม่เจอชีพจรยังจะไม่ตกใจกลัวจนสลบตายไปอีกหรือ ชาติหน้าข้ายังอยากเกี้ยวโม่ซีต่อนะ จะให้มีบาปฆ่าคนตายติดตัวตั้งแต่ชาติแรกได้อย่างไร
“แบกข้ากลับบ้าน”
อาจเพราะบาดแผลบนหลังข้าน่ากลัวเกินไปหน่อย สือต้าจ้วงเองก็ไม่มีความเห็นอื่น ข้าพูดอย่างไรเขาก็ผงกหัวอย่างนั้น รีบแบกข้าวิ่งกลับบ้านทันควัน
พอสือต้าจ้วงถีบประตูออก ข้าพยายามฝืนถ่างตาไว้ไม่ยอมให้ตนเองหลับไป ครั้นเห็นโม่ซีเดินออกมาจากในห้องแล้วก็ฉีกยิ้มให้เขา แต่อาจเพราะยิ้มได้เสียดแทงเกินไปโม่ซีจึงสั่นเทาไปทั้งร่าง นิ่งตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนตำราในมือทิ้งไปแล้วสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว “เป็นอะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เขาร้อนรนจนสองตาแดงก่ำ ทั้งโกรธเกรี้ยวและเจ็บปวด “เพิ่งออกไปไม่เท่าไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…”
สือต้าจ้วงแบกข้าเข้าไปในห้องพลางกล่าว “ถูกพระรูปหนึ่งทำร้ายเอา!”
“เหตุใดพระต้องทำร้ายซานเซิง!” โม่ซีกระวนกระวายจนแม้แต่โทนเสียงก็เปลี่ยนไป เดินตามเข้ามาในห้องด้วย พอสือต้าจ้วงวางข้าลง โม่ซีก็คุกเข่าลงมองหน้าข้าทันที เมื่อเห็นว่าข้ายังลืมตาอยู่เขาถึงได้กล้าเลื่อนสายตาไปมองแผ่นหลังของข้า การมองในครั้งนี้ทำให้สีเลือดบนใบหน้าถอยวาบหายไปโดยพลัน
“ซานเซิง ซานเซิง…” โม่ซีถามข้าเสียงสั่น “เจ้าเจ็บหรือไม่ เจ็บหรือไม่”
ข้ายกมือลูบใบหน้าเขาเบาๆ “ข้าไม่เจ็บ” พลันกดนิ้วลงที่ไฝแดงกลางหว่างคิ้วของเขา อยากจะคลายหัวคิ้วที่ขมวดแน่นนั้น “เจ้าอย่าทำสีหน้าเช่นนี้…”
การสัมผัสนี้ทิ้งรอยเลือดไว้บนใบหน้าเขา ข้ายกแขนเสื้อขึ้นมาช่วยเช็ดให้ แต่กลับยิ่งทำใบหน้าเขาเปื้อนเลือดเต็มไปหมด มองโม่ซีในสภาพนี้ จู่ๆ ก็พลันนึกถึงในปรโลกที่ข้าโขกหัวหลั่งเลือดให้ท่านเทพโม่ซี อืม…พอลองสลับมุมมองกันข้าถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองในยามนั้นที่แท้น่าสังเวชชวนตกใจถึงเพียงนี้
มิน่าโม่ซีในยามนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก…
“ข้าหายาสมานแผลให้เจ้าก่อน” โม่ซีพยายามระงับอารมณ์ทุกอย่าง ค้นข้าวของในตู้เสียงดังโครมคราม รอจนเขาหายาเจอแล้วสือต้าจ้วงก็ยกอ่างน้ำเข้ามาพอดีแล้วเอ่ยปากเสียงดัง “บาดแผลต้องล้างก่อน ไม่เช่นนั้นประเดี๋ยวคงเปื่อยยุ่ยไปด้วยกันกับเสื้อผ้า เจ้าพูดอะไรกับนางหน่อยเถอะ บาดแผลสาหัสเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือไม่ อย่าให้อีกครู่แม้แต่คำพูดสั่งลาพวกเจ้าก็ไม่ได้เอ่ยสำทับสักเท่าไร…”
ข้าแค้นจนกัดฟันกรอด ปากปีศาจก้อนหินนี่เหม็นเกินไปแล้ว…
โม่ซีถลึงตาจ้องเขา “เจ้าหุบปาก!” เขาแทบจะตีสือต้าจ้วงออกไปข้างนอก “ข้าดูแลนางเอง เจ้าไสหัวไป!”
ข้าไม่เคยเห็นโม่ซีโกรธใครเพียงนี้มาก่อน ต่อให้บางครั้งมีข้อโต้แย้งกับคนในสำนักศึกษาบ้างก็ยังคงมีท่วงท่างดงามดังเช่นสุภาพชน ท่าทางเช่นวันนี้…คงเพราะจิตใจว้าวุ่นไปหมดแล้วกระมัง
โม่ซีเหวี่ยงประตูปิดแล้วกลับมาข้างเตียง เขาบิดผ้าขนหนูเช็ดบาดแผลบนหลังข้าแผ่วเบา ข้าไม่รู้สึกเจ็บ แต่เขาดูเหมือนเจ็บจะแย่แล้ว มือสั่นไหว การเคลื่อนไหวอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึง
“โม่ซี” เขาค่อยๆ แกะเสื้อผ้าที่ติดกับแผลบนหลังข้าออกทีละน้อย ทำความสะอาดแล้วโรยผงยาลงบนปากแผล ข้าเพียงรู้สึกง่วงงุนเพิ่มขึ้นทุกขณะ ปิดเปลือกตาเอ่ยเสียงเบา “โม่ซี ซานเซิงไม่เป็นไรหรอก” ข้ารู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของเขา “เจ้าอย่ากลัวและอย่าได้ลนลาน เชื่อข้านะ ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป…” ข้าดึงชายเสื้อเขา ให้เขารู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของข้า “ซานเซิงจะอยู่กับเจ้าตลอดไป…”
ก่อนที่ความมืดมิดจะมาเยือน ข้ารู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำอบอุ่นหยดหนึ่งร่วงลงข้างแก้มข้า นำพาความขมขื่น ปวดใจ และอาลัยอาวรณ์มาด้วย หลั่งรดจนดวงใจหินที่มั่นคงของข้าค่อยๆ กลายเป็นอ่อนยวบทีละน้อย
ยามนี้ข้าตระหนักแล้วว่าผู้เฒ่าหนวดขาวที่เดินผ่านปรโลกคนนั้นไม่ได้หลอกข้าจริงๆ นี่ก็คือ…
เคราะห์รัก
ยามที่ข้าตื่นขึ้นมา โม่ซีกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ข้างเตียง หน้าต่างปิดสนิทในฤดูหนาว แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างกระดาษเข้ามาจากด้านนอกเปลี่ยนเป็นสลัวรางเล็กน้อย แต่หาได้เป็นอุปสรรคต่อข้าในการชื่นชมใบหน้าด้านข้างที่เริ่มเด่นชัดของโม่ซี เขาดูเปี่ยมอำนาจมีพลังขึ้นทุกวัน แต่ว่าคิดไปแล้วก็สมควร ท่านเทพโม่ซีเป็นถึงเทพสงคราม จุติลงมาเพื่อผ่านคราวเคราะห์ จะให้มีชีวิตอย่างเงียบเชียบไร้ชื่อเสียงได้อย่างไร เพียงแต่ไม่รู้ว่าด่านเคราะห์ในชาตินี้ของเขาเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าข้าสามารถช่วยปัดป้องให้เขาผ่านไปได้หรือไม่…
ข้าคิดจนลืมตัว โม่ซีเองก็อ่านตำราจนลืมตัวเช่นกัน ยามที่เขาพลิกหน้าใหม่ ดวงตาบังเอิญสานสบเข้ากับสายตาของข้า เราทั้งคู่ต่างรับมือไม่ทัน ความเย็นเยียบเป็นพิเศษในชั่วพริบตาเดียวภายในดวงตาของเขาทำให้ข้าชะงักนิ่ง รอจนนัยน์ตาดำของเขาประทับเงาร่างของข้าลงไปแล้ว โม่ซีจึงค่อยวางตำราลง โน้มตัวลงมาดูข้า “ซานเซิงฟื้นแล้วหรือ รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือไม่”
ข้าส่ายหน้าเบาๆ ยังไม่รอให้ข้าพูดเขาก็รินน้ำยื่นมาข้างกายข้าแล้ว “ดื่มน้ำก่อนไหม”
“เจ้าอย่ากังวล” ข้ากล่าว “ซานเซิงหนังเหนียว แข็งแรงกว่าที่เจ้าคิดไว้เยอะ”
ไหนเลยจะคิดว่าพอข้าพูดคำปลอบนี้ออกมา ดวงตาของโม่ซีก็แดงขึ้นมาอีก เขานิ่งเงียบ หมุนตัววางถ้วยน้ำลง ค่อยเอ่ยขึ้นหลังข่มกลั้นอยู่นาน “บนหลังเจ้าไม่เหลือดีสักส่วนเดียว…” เขากล่าวต่อ “นี่เรียกว่าหนังเหนียวอะไร คิดว่าตนเองทำมาจากเหล็กหรือ ก็แค่รักษาตัวพักฟื้นไปเช่นนี้หรือ” เขานิ่งชะงักครู่หนึ่ง กล่าวสะอื้นในคอ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากลัวเพียงใด…”
“โม่ซีอย่ากลัว” ข้ารีบลูบหลังมือปลอบใจเขา “นี่เป็นแค่บาดแผลภายนอกเท่านั้นจริงๆ ใช้เวลาเพียงสี่ห้าวันข้าก็ดีขึ้นแล้ว” เห็นเขายังจะพูดต่อ ข้าจึงรีบเขวี้ยงห่อสัมภาระ แสร้งกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ล้วนต้องโทษเจ้าลาเฒ่าหัวโล้นที่หัวดื้อเกินไป ลงมือทำร้ายข้าหนักหน่วง เจ้าดูสิ ยามนั้นข้ากอดหัวกระโดดหลบแล้ว แต่กลับยังถูกเขาทำร้ายจนเป็นเช่นนี้!”
โม่ซีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง น้ำเสียงพลันเยียบเย็นในฉับพลัน “พวกพระกับนักพรตที่อวดอ้างตนว่าเป็นผู้หลุดพ้นทางโลกพวกนี้ล้วนเป็นพวกพูดจาเหลวไหลทำร้ายชีวิตผู้อื่นทั้งนั้น”
ตั้งแต่โม่ซียังเด็กก็ถูกลาเฒ่าหัวโล้นกำหนดชะตาว่าเป็น ‘ผู้นำเภทภัยให้คนใกล้ตัว’ ดังนั้นจึงผ่านความทุกข์ยากมาไม่น้อย แม้ปกติเขาจะไม่เคยพูดว่ารังเกียจพวกพระนักพรต แต่ยามนี้กลับเปิดเผยโดยไม่ปิดบังต่อหน้าข้า
ข้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าทุกเรื่องควรต้องมีขีดจำกัด โดยเฉพาะยามนี้โม่ซีกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการเติบโต บางเรื่องหากดึงดันเกินไปเกรงว่าภายหน้าจะเป็นการทำลายทั้งชีวิตของเขา ดังนั้นแม้จะไม่เต็มใจข้าก็ยังคงเอ่ยเสียงเบา “ลาหัวโล้นผู้นี้น่าชิงชังถึงที่สุด ทว่าหาใช่ลาหัวโล้นทุกคนจะน่าชิงชังเช่นนี้กันหมด ผู้สำเร็จเพียรที่แท้จริงจะต้องคู่ควรให้ผู้คนนับถือแน่นอน”
ก็ไม่รู้ว่าโม่ซีฟังคำพูดนี้ของข้าเข้าหูหรือไม่ เขาเพียงเอ่ยถาม “ยามนี้ภิกษุเฒ่ารูปนี้อยู่ที่ไหน”
“ตายแล้ว”
เขาไม่ส่งเสียงตอบกลับ ในดวงตาใสกระจ่างเสมอมามีอารมณ์ที่ข้าไม่เข้าใจเจือปนอยู่
ข้าไม่ชอบที่เขาเคร่งขรึมเกินไป ดังนั้นจึงกวักมือให้โม่ซีก้มตัวลงอยู่ในระดับสายตาเดียวกับข้า ยื่นมือลูบดวงตาของเขาทำให้เขาตกตะลึงอยู่บ้าง “โม่ซี ในดวงตาเจ้าแฝงความหนาวเหน็บมาแต่กำเนิด”
เขาอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ข้าจึงพูดเช่นนี้
“ไม่ว่ากับใครเจ้าล้วนยิ้มแย้มอบอุ่น ทว่าในดวงตากลับเหินห่าง” ข้าเอ่ย “แต่ว่าเจ้าดีกับข้าจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว หากว่าวันหนึ่งเจ้าทำกับข้าเหมือนผู้อื่น ข้ากลัวว่าตนเองจะรับไม่ไหว”
โม่ซีนิ่งงันไปชั่วครู่ ทว่ากลับยิ้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คว้ามือข้าวางไว้ที่ริมฝีปากเขา เอ่ยสัญญาเหมือนเด็กที่กำลังออดอ้อน ทั้งคล้ายผู้ใหญ่ที่เอาจริงเอาจัง “ไม่หรอก ข้าจะดีต่อซานเซิงชั่วชีวิต”
ลมหายใจร้อนในปากเขารินรดมือข้า มอบความอบอุ่นให้ดวงใจข้า ขณะกำลังจะกล่าวตอบแทนเขาด้วยคำพูดเอาใจสักสองประโยคพลันได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น สือต้าจ้วงเอ่ยอย่างขลาดกลัวจากภายนอก “ข้ากวาดลานบ้านเสร็จแล้ว ฟืนก็ผ่าหมดแล้ว…”
โม่ซีวางมือข้าลงเอ่ยเสียงเบา “ซานเซิงนอนพักสักครู่ก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะเอานิทานมาให้เจ้าอ่าน”
กล่าวจบเขาก็เดินออกไป ข้าได้ยินโม่ซีพูดบางอย่างกับสือต้าจ้วงจากนอกห้องอย่างเลือนราง ทว่าฟังไม่ชัดเจนสักประโยคจึงคร้านจะใส่ใจ
ไม่นานโม่ซีก็นำนิทานของข้าเข้ามา ข้าโบกตำราที่เขาวางไว้ข้างเตียงเมื่อครู่ไปมาแล้วเอ่ย “โม่ซีสนใจตำราพิชัยยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไร”
เขายิ้มน้อยๆ หยิบตำราพิชัยยุทธ์ไปแล้วยื่นนิทานให้ข้า “ที่แล้วมาอ่านเพียงผ่านๆ ไม่นานนี้จึงคิดศึกษาอย่างละเอียดสักหน่อย”
ข้าพลิกหน้านิทานพลางถามเรื่อยเปื่อย “เพราะเหตุใด อยากไปออกศึกหรือ”
“ไม่” เสียงเขาเบามาก “เพียงแค่ศึกษาวิธีเอาชนะศัตรูเท่านั้น”
ความสนใจของข้ามุ่งไปที่นิทานแล้ว พยักหน้าลงเป็นการตอบรับเขา จากนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
วันต่อมาสือต้าจ้วงกลับบุกเข้ามาในห้องข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำมูกน้ำตานองหน้า “ซานเซิง! ข้าไม่ขายตัวให้เจ้าแล้ว! ข้าจะไป เจ้าปล่อยข้าไปได้หรือไม่!”
ข้าตะลึง หันหน้าไปมองโม่ซีที่ด้านข้างซึ่งทำราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
“เพราะเหตุใด”
สือต้าจ้วงพูดพลางสะอื้นไห้ “ข้าไม่กล้าชอบเจ้าแล้ว ชอบเจ้าแล้วต้องทุ่มเทมากเหลือเกิน! ข้าไม่อยากกระโดดทะเลสาบไปจับปลาต้มน้ำแกงให้เจ้าดื่ม! และไม่อยากกวาดลานบ้านผ่าฟืนทั้งวันเสร็จแล้วต้องมาเย็บผ้าห่มให้เจ้าอีก ข้าเย็บผ้าห่มไม่ไหว! นิ้วทั้งสิบถูกเข็มทิ่มเป็นรูไปหมดแล้ว! และข้าก็ไม่สามารถอ่านนิทานให้เจ้าเบิกบานใจ ข้าไม่รู้หนังสือนะ! ข้าไม่กล้าชอบเจ้าแล้ว! เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ! เจ้ารักจะทำอย่างไรกับโม่ซีก็ทำอย่างนั้นเถอะ ขอร้องล่ะปล่อยข้าไป!”
ข้าชำเลืองมองโม่ซีอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่หน่อยๆ
เขากลับหันไปอ่านตำราปฏิเสธการสบสายตากับข้า
ข้าบุ้ยปาก “ก็ได้ เจ้าไปเถอะ ข้าเป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว”
สือต้าจ้วงเงยมองข้าแล้วโขกหัวกับพื้นเสียงดังทันที “เจ้าเป็นคนดีจริงๆ! ครั้งหน้าข้าจะต้องหาโอกาสตอบแทนบุญคุณเจ้า! แต่อย่าให้ข้าใช้ร่างกายแทนคุณอีกเป็นพอ!” กล่าวจบเขาก็แทบจะวิ่งไปคลานไปแล้ว
ทั้งห้องเงียบกริบ
ข้ามัดม้วนนิทาน เอ่ยถามโม่ซีด้วยน้ำเสียงที่ยกสูงเล็กน้อย “วิธีเอาชนะศัตรู?”
โม่ซีกระแอม “ข้ายอมรับว่ายามนี้ใช้แผนที่ออกจะแย่ไปสักหน่อย แต่ข้าเพียงทำเพื่อพิสูจน์…” เขาหันมามองข้าด้วยสีหน้าปกติ “ซานเซิง หลายครั้งที่สมองมีประโยชน์กว่าร่างกาย”
ข้ากวักมือให้โม่ซี พอเขาโน้มลงมาอย่างว่าง่ายข้าก็จูบลงบนใบหน้าเขา โม่ซีนิ่งงัน แก้มแดงราวกับถูกเผา ข้าสอนเขาสีหน้าจริงจัง “แต่ว่าโม่ซี ในเวลาเช่นนี้ร่างกายล้วนมีประโยชน์กว่าเสมอ”
เขากุมหน้ากัดฟันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พรุ่งนี้…ข้ายังคงออกไปวิ่งดีกว่า”
ข้ายิ้มตาหยี “ดีสิ เพียงแต่วันนี้เจ้าต้องอ่านนิทานให้ข้าเบิกบานใจ ข้าทำใจให้เจ้าไปกระโดดทะเลสาบจับปลาให้ข้าไม่ได้ ให้เจ้าเย็บผ้าห่มจนเข็มทิ่มมือเป็นรูไปหมดข้าก็ทำใจไม่ลง ดังนั้นเจ้าก็มาอ่านนิทานให้ข้าฟังเถอะ สือต้าจ้วงไม่รู้หนังสือ แต่เจ้ารู้ไม่น้อยเลย”
ข้ายื่นนิทานให้โม่ซี “อืม เจ้าดูสิ ข้ากำลังอ่านถึงตรงนี้พอดี…นางพูดกับเขา ‘หมั่นไส้นัก อย่าเอาแต่รังแกผู้อื่นสิ!’ เขายิ้มชั่วร้ายเปี่ยมเสน่ห์โอบนางเข้ามาในอ้อมกอด ‘แม่ปีศาจน้อยอย่างเจ้านี่ข้าจะรังแกไปชั่วชีวิต’ ‘อ๊ะ อา…อืม ฮ่าๆๆ’”
ข้าส่งนิทานให้โม่ซีตรงๆ โม่ซีหน้าแดงไม่ยอมรับไป ข้ามองท่าทางเหนียมอายของเขาอย่างสำราญเบิกบานใจแล้วยิ้มเลียนอย่างในนิทาน
“โม่ซี เหตุใดเจ้ายังไม่ชินที่ข้ารังแกเจ้าอีกล่ะ ข้าจะรังแกเจ้าไปเช่นนี้ชั่วชีวิตนะ”
เขาหน้าแดงราวกับจะมีเลือดหยด แต่ในขณะที่กำลังเขินอายถึงที่สุดนี้โม่ซีก็เอ่ยเสียงเบา “หากว่าซานเซิงยินยอม โม่ซีก็จะให้เจ้ารังแก”
เสียงเบาเพียงนั้น จริงจังเพียงนั้น
ข้ายิ้มหวานยิ่งกว่ากินน้ำผึ้ง
โม่ซีหนอโม่ซี เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอยากจะเดินไปเช่นนี้กับเจ้าตลอดไปจริงๆ ไม่เพียงแค่สามชาตินี้ที่เจ้ามอบให้ข้า ยังมีสามชาติที่มากยิ่งกว่า ร่วมทางไปกับเจ้าเช่นนี้ตลอดไป