ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด – หน้า 6 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด

บทที่หก

 สี่ปีต่อมา

ภายใต้การอบรมอย่างใส่ใจของข้า โม่ซีก็เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มอ่อนโยนคนหนึ่งดังคาด

ท่วงท่าหน้าตาของเขาไม่ผิดเพี้ยนไปจากยามที่ข้าพบเขาในปรโลกแม้แต่น้อย บุคลิกของเทพสวรรค์เช่นนี้หาได้ยากในโลกมนุษย์ อีกทั้งโม่ซียังฉลาดเฉลียวเหนือธรรมดา จึงกลายเป็นคนมีชื่อเสียงไปทั้งใกล้และไกลในเมือง

ทว่าคนกลัวชื่อเสียง หมูกลัวอ้วนพี สำนวนนี้เผยแพร่ได้ยาวนานเพียงนี้ย่อมต้องมีเหตุผล

ในเช้าวันที่อากาศอบอุ่นปลอดโปร่งวันหนึ่ง ข้ากำลังเอนตัวอ่านนิทานเล่มใหม่อยู่บนเตียง เป็นบทรักหลังจากผ่านอุปสรรคนานัปการของชายหนุ่มหญิงสาว ข้ากำลังอ่านถึงบททางอารมณ์ โม่ซีก็เดินเข้ามาจากข้างนอก หยิบผ้าคลุมกันลมกับเสื้อบุนวมที่ข้าโยนทิ้งเรี่ยราดไว้บนพื้นขึ้นมาวางให้ดี ทั้งยังรินชาให้ข้าแล้วเอ่ยว่า

“เอาแต่นอนอยู่ในห้องไม่ดี ซานเซิงควรออกไปโดนแสงอาทิตย์บ้าง”

ข้ารับถ้วยชามา แต่ดวงตากลับไม่ออกห่างจากนิทาน กล่าวอย่างขอไปที “สำหรับข้าแล้วแสงอาทิตย์เหมือนยาพิษมากกว่า ไม่มีประโยชน์ใดต่อร่างกายข้าแม้แต่น้อย”

เขากลับไม่เชื่อคำพูดข้า “เช้าวันนี้หิมะตกแล้ว ดอกเหมยนอกบ้านกำลังบานพอดี ไปดูหน่อยเถอะ”

ข้ามองดูเขา เห็นในดวงตาเขาวาบแววคาดหวังจึงวางนิทานที่กำลังอืมอาอย่างเบิกบานลง “เอาเถอะ ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”

เขายิ้มบางๆ อย่างดีใจ

ข้าจูงมือเขาออกจากบ้านหลังน้อย เดินทอดน่องทีละก้าวๆ ในป่าเหมยแดง เขาไม่ได้หลอกข้า วันนี้ดอกเหมยพวกนี้บานสวยจริงๆ กลิ่นหอมรัญจวน ดมแล้วสบายใจยิ่ง ครั้นเดินเข้าไปในทางสายเล็ก พื้นที่ว่างข้างทางมีโต๊ะหินตัวหนึ่ง ข้านึกสนุกเอ่ยกับโม่ซี “พวกเรามาประลองหมากท่ามกลางหิมะเหมือนชายหนุ่มหล่อเหลากับหญิงสาวงดงามในนิทานเป็นอย่างไร”

โม่ซีพยักหน้าตอบรับแล้วกลับบ้านไปหยิบกระดานกับตัวหมากมา ข้าถือหมากดำนั่งลงฝั่งหนึ่ง ส่วนเขาถือหมากขาว ค่อยๆ วางลงบนกระดานทีละเม็ดๆ

ฝีมือเดินหมากของข้าไม่ดี วันนี้ก็แค่นึกสนุกทำท่าทำทางเดินหมากกับโม่ซีเท่านั้น ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้เขาได้ ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ข้าก็ส่ายหน้ากลัดกลุ้มอยู่ข้างโต๊ะ วางเม็ดหมากในมือลงกล่าวอย่างทุกข์ใจ “ไม่ได้ นี่ไม่ใช่การประลองหมากของชายหนุ่มหล่อเหลากับหญิงสาวงดงามแล้ว นี่คือการสังหารหญิงสาวของชายหนุ่มต่างหาก เจ้าดูสิ หญิงสาวพ่ายแพ้จนเสื้อผ้าหน้าผมยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว”

โม่ซีหัวเราะเบาๆ “จะทำให้ซานเซิงเสื้อผ้าหน้าผมยุ่งเหยิงได้อย่างไรเล่า” เขายื่นมือมาที่ขอบกระดานอีกด้าน ดึงข้อมือข้าให้วางหมากดำลงในมุมหนึ่งทางขวา สถานการณ์บนกระดานพลิกกลับอย่างน่าประหลาด

“ข้ามาสอนซานเซิงว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่อีกครั้งอย่างไร”

ข้าตะลึงกะพริบตาปริบๆ “โม่ซี ฝีมือเดินหมากของเจ้าเยี่ยมจริงๆ ชนะซานเซิงได้ตั้งเท่าไรแล้ว” ไม่รอให้โม่ซีตอบข้าก็เอ่ยอย่างได้ใจ “แต่ว่าไม่เป็นไร โม่ซีเดินหมากชนะ แต่ว่าจิตใจนั้นพ่ายแพ้ ดูสิ ตัวเจ้าเองยังไม่ช่วยตัวเองเดินหมาก เห็นได้ว่าในใจเจ้าเป็นซานเซิงชนะแล้ว”

ดวงตาของโม่ซีโค้งขึ้น ยิ้มน้อยๆ มองข้า “นี่ย่อมแน่นอน ในใจโม่ซีไม่ว่าอย่างไรก็ชนะซานเซิงไม่ได้” เขาเอ่ย “แต่ว่าข้ายอมรับชะตาเช่นนี้ โม่ซียินยอมพร้อมใจพ่ายแพ้แก่ซานเซิง”

ข้ายิ้มจนตาหยี “นั่งเดินหมากกันมาพักหนึ่งจนหนาวไปหมดแล้ว พวกเราเดินต่อกันเถอะ”

โม่ซีตอบรับ ไม่สนใจกระดานหมากที่ยังเดินไม่จบ เดินมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของป่าเหมยต่อ

“โม่ซี เจ้ารู้ดีว่าข้าชอบเหมยแดงกลางหิมะขาวโพลนเช่นนี้ที่สุด แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”

เขาคิดครู่หนึ่ง “คงเพราะนิสัยของซานเซิงคล้ายกับดอกเหมยพวกนี้กระมัง” ข้าหยุดฝีเท้า จ้องมองนัยน์ตาของเขาแล้วส่ายหน้า แต่ไม่พูดอะไร

แม้เขาไม่เข้าใจก็ยังคงปล่อยให้ข้ามอง คิ้วและตาค่อยๆ โค้งขึ้นมาบ้าง “ซานเซิงชอบมองข้าหรือ”

“ชอบ” ข้ายกมือเทียบระยะห่างระหว่างหัวเขากับตนเอง เขาสูงกว่าข้าหนึ่งช่วงหัวเต็มๆ แล้ว ข้าเอียงคอครุ่นคิด “โม่ซี เรียกน้องหญิงให้ฟังหน่อยสิ”

หูเขาแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ข้าเอ่ย “เจ้าใกล้สวมหมวกแล้ว ข้าคิดว่าข้าเป็นสะใภ้ลูกต้อยมานานปีขนาดนี้ สมควรเป็นภรรยาได้แล้ว เจ้าถือโอกาสนี้แต่งข้าไปเลยเถอะ”

สีแดงตรงใบหูเขากระจายมายังแก้ม ลูกกระเดือกขยับเคลื่อน ผ่านไปครู่ใหญ่ในดวงตาก็ปรากฏแววขัดเคืองน้อยๆ “ซานเซิง เจ้า เจ้ามักจะ….”

เขายังพูดไม่จบข้าพลันได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวนอกป่าเหมย

ตั้งแต่โม่ซีเริ่มมีชื่อเสียงก็มักมีคนมาหาเขาบ่อยๆ ปกติข้าจะไม่พูดอะไร แต่วันนี้พวกเขามาขัดเรื่องแต่งงานที่ข้ารอคอยมานาน ข้าหน้างอง้ำไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

เสียงพูดของผู้มายิ่งดังขึ้น โม่ซีจึงพอได้ยินบ้าง “ซานเซิง ดูเหมือนมีคนมาหา พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ”

ข้าส่งเสียงอืมตอบแล้วพากันเดินกลับบ้าน ข้าหมุนตัวกลับห้องของตนอ่านนิทานต่อ ส่วนโม่ซีเดินไปที่โถงเพื่อรับแขก

ใกล้เที่ยงโม่ซีจึงส่งแขกจากไปในที่สุด จากนั้นก็เข้ามาในห้องข้า เขานั่งลงไม่เอ่ยคำ ข้าก็เอนนอนไม่พูดอะไรเช่นกัน ความอดทนของข้าไม่เลวมาแต่ไหนแต่ไร สุดท้ายแล้วเขาก็เอาชนะข้าไม่ได้

“ซานเซิง”

“อืม”

“ผู้ที่มาวันนี้คือใต้เท้าผู้ตรวจการ”

“อืม”

“เขา…เขาบอกให้ข้าไปเป็นขุนนางที่เมืองหลวง”

“อืม”

อาจเพราะความนิ่งเฉยของข้า ทำให้โม่ซีไม่รู้จะทำอย่างไร เขาพิศดูสีหน้าข้าอย่างระมัดระวังราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไปแล้ว “ข้าอยากไป”

ข้าปิดหน้าสุดท้ายของนิทานลงแล้วถึงค่อยหันมองโม่ซี เห็นเพียงดวงตาเป็นประกายของเขาจับจ้องมองข้าตรงๆ ข้าถอนหายใจกล่าว “บุรุษมีปณิธานยิ่งใหญ่ เจ้าอยากไปเป็นขุนนางไม่ใช่อยากไปโจรเป็นปล้นชิงเสียหน่อย…อืม แม้คุณลักษณะของทั้งสองจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไร แต่ราชสำนักก็เป็นสถานที่แสดงออกถึงความมุ่งมาดได้ ข้าหวังให้เจ้าสามารถเป็นชายชาตรีผู้ยิ่งใหญ่มาตลอด ยามนี้เจ้ามีความสามารถและโอกาสนี้แล้วก็ทำอย่างห้าวหาญเด็ดเดี่ยวไปเลย จะมามองข้าทำไม”

โม่ซีส่ายหน้า “ข้าเป็นขุนนางหาใช่เพราะปณิธานอะไร…” ใบหน้าเขาซับสีแดงเรื่อ “แต่เป็นเช่นที่เจ้าพูดว่าข้าใกล้สวมหมวกแล้ว ขะ…ข้าเองก็ครุ่นคิดถึงวันที่จะเอ่ยเรื่องแต่งงานกับเจ้ามาตลอด…”

มือที่ประคองถ้วยชาของข้านิ่งชะงัก

เขายิ้มอย่างจนปัญญา “แต่ว่าซานเซิง เจ้ากลับเร็วกว่าข้าก้าวหนึ่งอยู่เสมอ” เขาเอ่ย “ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า แต่ว่าบุรุษเช่นข้าไม่สามารถให้เจ้าเลี้ยงดูเช่นนี้ไปชั่วชีวิตได้เด็ดขาด ข้าอยากอาศัยกำลังของตนทำให้เจ้ามีความสุขไปทั้งชาติ อีกทั้งข้าจำได้เสมอว่ายามเป็นเด็ก เจ้าเคยพูดกับข้าว่าอยากให้ข้าเป็นคนมีความรับผิดชอบ อยากให้ข้าใช้ชีวิตในชาตินี้อย่างมีเกียรติ” เขาหัวเราะเบาๆ “ข้าย่อมไม่สามารถทำให้เจ้าผิดหวังได้”

“ซานเซิง เจ้ารอข้าสองปีได้หรือไม่ รอวันที่ข้าประสบความสำเร็จแล้วจะกลับมาแต่งเจ้า”

 

ข้าพูดว่าไม่ได้ไม่ออก

ในยามนั้นข้ายินยอมเป็นหญิงธรรมดาคนหนึ่ง ยินยอมอยู่ในบ้านเพียงลำพังรอเขากลับมา เฝ้าคอยเขามาอยู่หน้าประตูเอ่ยเรียกข้าเสียงเบาว่า ‘ซานเซิง’ จริงๆ

ข้าให้โม่ซีไปแล้ว ให้เขาไปไล่ตามอนาคตและเกียรติยศของเขา ข้านึกว่าตนเองคิดตก นึกว่าตนเองมีความอดทนดีเยี่ยม ถึงอย่างไรข้าก็เฝ้าแม่น้ำลืมเลือนที่เปี่ยมไปด้วยไอแห่งความตายเข้มข้นมาเพียงลำพังเป็นพันปี…แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าที่แท้การรอคอยก็ทรมานผู้คนได้ถึงเพียงนี้ ทุกวันทั้งกลางวันและกลางคืนหลังจากที่โม่ซีจากไป เวลาไหลผ่านเชื่องช้าถึงเพียงนั้น ประหนึ่งหยุดเดินไปแล้ว

อีกทั้งความเชื่องช้าเช่นนี้ยังต้องผ่านไปอีกสองปี…

ก้อนหินที่ความอดทนยอดเยี่ยมเช่นข้า ครานี้ไม่ว่าอย่างไรก็รอไม่ไหวแล้ว

คืนหนึ่งที่นอนพลิกตัวกลับไปกลับมา ข้าถลันตัวลุกนั่งกะทันหัน “โม่ซี” ใจข้ารู้ดีว่าเขาไม่อยู่ ทว่ายังคงอยากเรียกชื่อเขาราวกับเรียกเช่นนี้แล้วเขาจะมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้า

“โม่ซี”

ข้าเรียกเขาเช่นนี้สามครั้ง แต่นอกจากเสียงลมซ่าๆ นอกห้องแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใด ข้าไม่อาจนอนต่อไปได้ จึงพลิกตัวลงจากเตียง สวมชุดตัวในสีขาวออกจากบ้านไปโดยไม่จัดของอะไรทั้งสิ้น มุ่งตรงไปหาสามีของข้าที่เมืองหลวง

เมืองหลวงหาใช่ถิ่นแปลกหน้าสำหรับข้า เพราะข้าเคยถูกภิกษุเฒ่าไล่ตามรอบเมืองอยู่สามเดือนกว่า สถานที่ที่ควรไปแทบจะเคยไปจนหมดแล้ว จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจ

ข้าร้อนรนอยากหาโม่ซี แต่ก็ไม่อยากให้เขารู้ว่าข้าทำใจจากเขาไม่ได้ จึงไม่กล้าออกตามหาอย่างเปิดเผย

เขาเพิ่งถูกเสนอให้มาเป็นขุนนาง แรกเริ่มต้องลำบากมาก ทั้งยังไม่มีชื่อเสียงเท่าไร ต่อให้ข้าเอ่ยถามตามท้องถนนก็คงไม่มีใครรู้จัก ข้าใคร่ครวญอยู่หลายครั้งว่าจะไปหาในวังหลวง แต่รอบๆ พระราชวังเนืองแน่นไปด้วยปราณมังกรอันยิ่งใหญ่ที่กดทับจนข้าหายใจไม่ออก จึงได้แต่ล้มเลิกไป

มองซ้ายมองขวาครุ่นคิดอยู่รอบหนึ่ง ข้าตัดสินใจว่ากลางวันจะเสี่ยงดวงอยู่ตามถนน พอกลางคืนค่อยออกหาร่องรอยของโม่ซีตามราชสำนักและบ้านขุนนางใหญ่ ถือโอกาสทำเรื่องดีปล้นคนรวยช่วยคนจนไปด้วย

เดิมข้านึกว่าขยันออกตามหาด้วยตัวเองมีโอกาสพบโม่ซีมากกว่าหวังพึ่งดวง แต่คาดไม่ถึงว่าดวงข้าจะดีเยี่ยมถึงเพียงนี้

 

วันนั้นแสงอาทิตย์ในเมืองหลวงเป็นประกาย ข้ากำลังใช้ต้นหอมตีนิทานอืออาพร้อมกับเดินเล่นรอบถนน จู่ๆ มีเหตุวุ่นวายอยู่เบื้องหน้า ผู้คนกลุ่มหนึ่งทยอยล้อมกันเข้าไป ข้ารู้สึกแปลกใจชั่วขณะจึงโยนต้นหอมทิ้ง เก็บนิทานแล้วเข้าไปร่วมชมความครึกครื้นด้วย

ครั้นมองดูกลับน่าดูชม ที่แท้ก็เป็นฉากละครใจจืดใจดำที่บุปผามีใจ สายน้ำไร้ใจ* นี่เอง

สายน้ำไร้ใจนี้บังเอิญเป็นโม่ซีสามีข้าด้วย ส่วนบุปผามีใจนั้น หากข้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นลูกสาวคนเล็กที่แม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์โปรดปรานเป็นที่สุด ซือเชี่ยนเชี่ยน

เหตุใดข้าจึงรู้น่ะหรือ อืม ส่วนใหญ่เป็นเพราะเครื่องประดับในห้องหอของนางไม่เลวเลย สองสามวันมานี้ข้าขายเครื่องประดับไปมากมายเพียงนั้น นับดูแล้วขายของนางได้เงินมามากที่สุด

ซือเชี่ยนเชี่ยนกำลังทดท้ออยู่กับที่คล้ายว่าเท้าจะพลิกแล้ว ดวงตารีมนราวกลีบดอกท้อฉ่ำน้ำคู่นั้นมองโม่ซีอย่างเศร้าสร้อย โม่ซีกวาดตามองนางคราหนึ่งโดยไม่แยแส หมุนตัวจะจากไป

ซือเชี่ยนเชี่ยนพุ่งไปข้างหน้าคิดจะคว้าแขนเสื้อโม่ซีไว้ ไม่คาดว่าโม่ซีจะหลบได้ว่องไว ปล่อยให้นางโผเข้าหาฝุ่นผงเต็มใบหน้า

ฝูงชนโดยรอบสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ซือเชี่ยนเชี่ยนนอนคว่ำอย่างอเนจอนาถ ทว่ากลับฝืนกัดริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำดูบอบบางเป็นอย่างยิ่ง ช่างงดงามจับใจจริงๆ

แต่โม่ซีกลับสีหน้าเย็นชา สาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามองสักครา

หืม ข้าลูบคางครุ่นคิด ตั้งแต่ข้ารับเลี้ยงโม่ซีมา ในความทรงจำของข้าแทบไม่เคยเห็นเขาชักสีหน้าเช่นนี้ใส่ข้ามาก่อน ข้ารู้ว่ายามเขาอยู่ข้างนอก ไม่ว่าพบใครล้วนอ่อนโยนอยู่เสมอ แม้บางคราวจะโมโหเมื่อถึงขีดสุด ทว่าไม่คิดว่าเขาจะถึงกับมีโทสะเพียงนี้ใส่แม่นางงดงามผู้หนึ่ง

ข้ายิ้มโง่งม รู้สึกว่าอารมณ์โกรธนี้ของเขากลับเป็นอารมณ์ที่ดีสำหรับข้า

แม่นางน้อยอดสูอย่างยิ่ง โม่ซีจากไปแล้ว ด้านข้างมีคนเข้าไปช่วยพยุงแต่นางไม่ยอม ยังคงลุกยืนขึ้นด้วยตัวเอง ข้าคิดว่าหญิงสาวที่ต้องตาโม่ซีต้องเป็นคนที่จิตใจดีงาม ฉลาดรู้จักแยกแยะคนเป็นแน่ ดังนั้นจึงใช้เวทเล็กน้อยรักษาเท้าที่บาดเจ็บของนาง แล้วค่อยหมุนตัวตามโม่ซีของข้าไปโดยไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของนาง

โม่ซีเดินเร็วเกินไปและรอบด้านยังมีผู้คนมากเกินไป ข้าจึงตามไม่ทันอยู่บ้าง เลี้ยวไปสองสามครั้งก็ไม่เห็นเงาร่างของโม่ซีแล้ว ยามมองหาเขาในฝูงชน ดวงตาที่อ่านนิทานจนแหลมคมทั้งคู่ของข้าก็จับฉากละครบุปผากับสายน้ำได้โดยไม่ตั้งใจอีกครา

พอดียิ่ง พระเอกที่กำลังแสดงละครฉากนี้บังเอิญเป็นคนรู้จักของข้า ส่วนนางเอกคราวนี้น่ะหรือ ข้าส่ายหน้าตกใจ “ด้ายแดงนี้ที่แท้พันกันยุ่งขนาดไหนถึงได้สามารถรวบสองคนนี้มาไว้ด้วยกันได้เนี่ย เฒ่าจันทรา** เป็นเจ้าแก่เลอะเลือนไม่น่านับถือจริงๆ”

“เจ้าอย่าตามข้าอีกเลย ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ชอบสตรีอย่างเจ้า”

ข้าลูบคางครุ่นคิดอีกครา จากกันหลายปี เสียงของสือต้าจ้วงฟังดูน่าเกรงขามขึ้นมาก แต่ความตรงไปตรงมาภายใต้น้ำเสียงนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

“ถนนใหญ่เป็นท่านสร้างขึ้นมาหรือ! ข้าบอกหรือว่าข้ากำลังตามท่าน ถนนเส้นนี้ยอมให้ท่านเดินแต่ไม่ยอมให้ข้าเดินหรือไร ข้าจะเดินข้างหลังท่านแล้วจะทำไม! อีกอย่างท่านไม่ชอบข้าแล้วเกี่ยวอันใดกับข้า ข้าขอให้ท่านชอบข้าหรือ ข้าชอบท่านก็พอแล้ว”

บุปผาที่คมกริบยิ่งกว่าซือเชี่ยนเชี่ยนดอกนี้ก็คือน้องสาวของอัครราชครูผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้น…ซย่าอี

หากจะบอกว่าข้ารู้จักนางได้อย่างไร ก็ไม่อาจไม่พูดถึงพี่ชายของซย่าอี…ซย่าเฉิน

ในปีที่ซย่าเฉินสวมหมวกก็ได้เป็นราชครูแห่งแคว้นแล้ว นับเป็นผู้มีพรสวรรค์บำเพ็ญฌานคนหนึ่ง หากมีโอกาสได้รับการชี้แนะจากเหล่าเซียน ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจบำเพ็ญเพียรสำเร็จก็เป็นได้ ปีนั้นยามข้าถูกภิกษุเฒ่าไล่ตามมาถึงเมืองหลวง เจ้าลาเฒ่าหัวโล้นกับราชครูซย่าเฉินร่วมมือกันเคี่ยวกรำข้าอยู่ไม่น้อย

ยามนั้นซย่าอีน้องสาวของราชครูมีอายุประมาณหกเจ็ดขวบ ระหว่างที่ประมือกับภิกษุเฒ่าและพี่ชายนาง ข้าก็เคยได้เห็นนางอยู่สองสามครั้ง เป็นแม่นางน้อยนิสัยเปิดเผยซึ่งกินน้ำมูกที่ไหลย้อยเข้ามาในปากคนหนึ่ง

ไม่เจอกันนานหลายปี ความเปิดเผยของแม่นางคนนี้หาได้ลดน้อยลงกว่าปีนั้นเลยสักนิด!

คำพูดของนางเรียกสีหน้ารับไม่ได้ของสือต้าจ้วง เขาอ้าปากพะงาบๆ อยู่นาน ได้แต่โต้อย่างอับจน “เจ้า…เหตุใดจึงมีคนอย่างเจ้า ไม่รู้จักอาย!”

“ข้าเดินอยู่บนถนนเหตุใดจึงกลายเป็นไม่รู้จักอายเล่า ท่านครองถนนไม่ยอมให้ข้าเดินต่างหากที่ไม่รู้จักอาย!”

เพียงสองประโยคสือต้าจ้วงก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ เขาหมุนตัวคิดจะจากไป ทว่าหันมาพบข้าพอดี เขานิ่งตะลึง ข้ายิ้มเอ่ยทักทายเขา “สือต้าจ้วง ไม่เจอกันนานปี หมู่นี้สบายดีหรือไม่”

เขาคืนสติ มองซ้ายขวารอบด้านคล้ายกลัวว่าข้างกายข้ามีใครอย่างไรอย่างนั้น หลังจากยืนยันเรียบร้อยแล้วก็สาวเท้าก้าวใหญ่มาหาข้า อ้าแขนกำยำมีพลังรวบข้าเข้าไปกอด “ซานเซิง! ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าอีก!”

เขากอดอย่างกะทันหันข้าจึงไม่ได้หลบ รอจนเขาเอ่ยประโยคนี้จบข้าก็ยกเท้าเหยียบนิ้วเท้าเขา เอ่ยเสียงเย็น “ถ้าเจ้าไม่ปล่อยมือข้าจะบดนิ้วเท้าเจ้าให้แหลก”

เขาเจ็บแต่กลับไม่ร้อง แม้ปล่อยข้าออกจากอกเขา ทว่ามือข้างหนึ่งยังคงโอบอยู่บนบ่าข้า จากนั้นก็เอ่ยเสียงกระด้างกับซย่าอีที่กำลังตกตะลึงอยู่ตรงนั้น “นี่จึงจะเป็นแม่นางที่ข้าเลื่อมใสชอบพอมาตลอด เจ้ารีบไปให้ห่างข้าหน่อย”

ซย่าอีหรี่ตาพิจารณาข้ารอบหนึ่งแล้วค่อยกล่าว “ท่านพูดเหลวไหล! แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินว่าท่านมีแม่นางที่ชอบพอมาก่อน”

สือต้าจ้วงเป็นคนซื่อ เขามองข้าอย่างหมดหนทางทั้งยังร้อนรน เกาหัวไม่รู้จะแต่งเรื่องต่อไปอย่างไร

ข้ามองดูซย่าอี คิดในใจว่าพบเรื่องพรรค์นี้ของผู้อื่น ว่ากันตามเหตุผลข้าควรยืนเป็นคนกลางบอกความจริงออกมา ไม่ควรผสมโรงด้วย แต่สือต้าจ้วงก็นับว่าช่วยชีวิตข้าจากมือลาเฒ่าหัวโล้นสองครั้ง คนหนึ่งนับเป็นผู้มีคุณครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกคนกลับเป็นน้องสาวของศัตรูครึ่งหนึ่ง แต่ไรมาข้าแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน ปัดมือสือต้าจ้วงออกกล่าวด้วยสีหน้าเป็นปกติกับซย่าอี “ความจริงเขาเคยชอบข้า แต่ถูกข้าปฏิเสธอย่างไม่ไยดีแล้ว” ข้าหันมองสือต้าจ้วง “ไม่คิดว่าจากกันปีนั้นบาดแผลเจ้าจะลึกล้ำเพียงนี้ แม้แต่ชื่อข้ายังเลี่ยงไม่เอ่ยถึง เป็นความผิดของข้าเอง แต่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่เคยชอบเจ้า”

สือต้าจ้วงนิ่งอึ้งกะพริบตาปริบๆ แต่ว่าหลายปีมานี้เขายังพอมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง ไม่ได้โง่ทึ่มจนถึงที่สุด จึงเออออกับข้าโดยพลัน “เอาะอ้อ! ใช่ เจ้า…เจ้าไม่ชอบข้า นั่นก็ทำอะไรไม่ได้…” เขาเว้นช่วงไปค่อยกล่าวต่อ “เรื่องความชอบพรรค์นี้ไม่สามารถฝืนบังคับกันได้ ผู้อื่นไม่ยินยอมก็ได้แต่วางมือ ไม่ควรสร้างความยุ่งยากใจให้ผู้อื่น!”

ดวงตาของซย่าอีเย็นเยียบลง กวาดตามองข้าทั้งตัวแล้วก็มองไปทางสือต้าจ้วง “ข้าสร้างความยุ่งยากใจให้ท่านหรือ” คำถามนี้ของนางซ่อนแฝงไว้ด้วยเสียงที่สั่นพร่าเล็กน้อย ราวกับว่าหากสือต้าจ้วงตอบว่าใช่ นางก็จะร้องไห้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น

ข้าออกจะทำใจไม่ได้นิดหน่อย ขณะกำลังจะอ้าปากเอ่ยสักสองประโยค สือต้าจ้วงกลับตบฝ่ามือฉาดใหญ่ ร้องเสียงดัง “โอ๊ะ! หรือเจ้าไม่รู้สึกมาตลอดเลยว่าสร้างความยุ่งยากใจให้ข้ามากเพียงไหน! วันนี้เจ้านับว่าได้รู้แล้ว น่ายินดีอย่างยิ่ง!”

ซย่าอีหน้าซีดขาว

ข้ามองสือต้าจ้วงด้วยสายตาพินิจมองของประหลาด รู้สึกว่าไม่เสียทีที่เขาเป็นหนึ่งในวงศ์วานก้อนหินของข้า ใจแข็งจนพาให้คนรู้สึกสนใจ…

ซย่าอียังคงยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่ร้องไห้ออกมา “ท่านไม่ชอบข้าดังนั้นจึงยุ่งยากใจ รอจนท่านชอบข้าก็จะไม่ยุ่งยากใจแล้ว ปัญหาอยู่ที่ท่าน ท่านก็ต้องแก้!”

นางเอ่ยความคิดนี้ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ ข้าฟังแล้วถึงกับรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่ามีเหตุผล จึงหันไปมองสือต้าจ้วงด้วย

สือต้าจ้วงเองก็ตะลึงค้างอยู่นานเช่นกันถึงค่อยมีปฏิกิริยาโต้ตอบ “แก้ไม่ได้แล้ว ข้าชอบนาง ไม่ชอบใครที่ไหน”

ซย่าอีกัดฟัน “นางดีกว่าข้าตรงไหน!” นางพูดไปก็ถลึงตาจ้องข้าคราหนึ่ง ข้าอ้าปากคิดจะแก้ต่างแทนตัวเองว่าข้ารู้สึกว่าตนเองดีกว่านางทุกอย่าง แต่คำพูดยังไม่ทันออกมา จมูกพลันสัมผัสได้ถึงปราณคุ้นเคยสายหนึ่ง ข้าสีหน้าหวาดผวา ดึงมือสือต้าจ้วงวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังชมความครึกครื้นทันที

ซย่าอีร้องตะโกนเสียงดังอยู่เบื้องหลัง “เจ้าจะพาเขาไปไหน! หยุดนะ!”

ข้าไม่สนใจ ทะลวงเข้าไปในฝูงชนโดยไม่หันกลับมา หูได้ยินเสียงซย่าอีที่ไล่ตามมาไม่กี่ก้าวหยุดฝีเท้าลง มีเสียงแหบพร่าเล็กน้อยของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยเรียกชื่อนาง “ซย่าอี มานี่”

“พี่ใหญ่…”

คำพูดหลังจากนั้นข้าฟังไม่ชัดแล้ว ได้แต่หันมองกลับไปหลังจากวิ่งฝ่าฝูงชนออกมาได้ระยะหนึ่ง พื้นที่บริเวณนั้นค่อนข้างสูงจึงมองเห็นศีรษะของซย่าอีกับซย่าเฉินพี่ชายนางได้พอดี คล้ายว่ารู้สึกได้ถึงปราณบางอย่าง ดวงตาสีดำสนิทเย็นชาของซย่าเฉินกลอกมองมาทางข้า สี่ตาประสาน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ข้าดึงสือต้าจ้วงวิ่งเลี้ยวผ่านตรอกเล็กแห่งหนึ่ง รีบออกห่างจากสายตาเขาให้เร็วที่สุด

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com