ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
บทที่เจ็ด
ข้าวิ่งจนไปอยู่ในตรอกสุราเล็กๆ มองไปด้านหลังไม่เห็นราชครูซย่าเฉินไล่ตามมาจึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ครั้นหันมองสือต้าจ้วง เห็นได้ชัดว่าเขากลัวยิ่งกว่าข้า ถอนหายใจยาวออกมา
ข้าแปลกใจ “ไม่เจอกันหลายปี ยามนี้เจ้ายังถูกไล่ตามฆ่าอยู่หรือ”
“หรือไม่ใช่” สือต้าจ้วงหน้านิ่วคิ้วขมวด “เดิมนึกว่าภิกษุเฒ่าตายไปข้าก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขแล้ว คิดจะมาดูความคึกคักในเมืองหลวงหน่อย แต่เป็นอิสระได้ไม่กี่วันก็ถูกซย่าเฉินผู้นั้นจ้องเอาได้” เขาพูดไปก็อดครวญไม่ได้ “ที่แท้ข้าก่อกรรมอะไรไว้กันนะ”
“เจ้าถูกซย่าเฉินตามฆ่า แต่เหตุใดน้องสาวเขาจึงชอบเจ้า นางรู้ว่าเจ้าเป็นปีศาจหรือไม่”
“ย่อมต้องรู้แน่นอน” พูดถึงตรงนี้ สือต้าจ้วงราวกับมีลมให้ถอนหายใจได้ไม่มีวันหมด “วันที่ข้ามาเมืองหลวง ระหว่างผ่านชานเมืองเห็นปีศาจตัวเล็กตัวน้อยกำลังรังแกผู้หญิงคนหนึ่งจึงเข้าไปช่วยเหลือ ผู้หญิงคนนั้นก็คือซย่าอี ข้าไม่รู้ว่านางถูกปีศาจพวกนั้นแกล้งจนสมองเสื่อมไปแล้วหรือไรถึงได้มาเกาะติดข้า แม้แต่พี่ชายนางก็พามาพัวพันกับข้าด้วย”
ข้าเบ้ปาก “เมืองหลวงอย่างมากก็เจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองอื่นอยู่หน่อย ข้ารู้สึกว่าที่เจียงโจวก็ไม่เลว กล่าวถึงความรุ่งเรืองก็ไม่ต่างกับเมืองหลวงเท่าใด ยามนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่หนีออกจากเมืองหลวงไปเที่ยวเล่นที่อื่นเหมือนปกติ ถึงอย่างไรซย่าเฉินนั่นก็มีตำแหน่งมัดตัวไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้”
สือต้าจ้วงมองข้าอย่างกลัดกลุ้ม จากนั้นก็ถกแขนเสื้อขึ้นให้ข้าดูตราสีดำบนแขน “เจ้าดู พี่ชายนางฝังมันไว้ให้ข้า”
ข้าเลิกคิ้ว “หนอนรักหรือ”
มุมปากเขากระตุก “เจ้าจริงจังหน่อย!” เขาดึงแขนเสื้อลง “นี่คือเวทคำสาปผูกที่ ครั้งแรกที่ประมือกับพี่ชายนางก็ถูกเขาฝังมันเอาไว้แล้ว ยามนั้นซย่าเฉินอยากจะฆ่าข้า แต่ถูกซย่าอีขัดขวาง ซย่าเฉินร้อนรนได้แต่ฝังเวทคำสาปนี้ให้ข้า ผูกมัดข้าให้อยู่แต่ในบริเวณเมืองหลวงไปไหนไม่ได้ ให้ข้ารอเขามาฆ่า…”
“วิธีการเหี้ยมโหดนัก!” ข้าอุทานใจหาย วิธีนี้ไม่ต้องลงมือก็สามารถทำให้ปีศาจเป็นๆ อุดอู้จนตาย…
สือต้าจ้วงถอนหายใจไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็เงยหน้ามองข้า “จะว่าไปซานเซิง ทำไมเจ้าถึงมาเมืองหลวงล่ะ หากไม่มีเรื่องใดก็รีบหนีไปเถอะ เจ้าดูสภาพข้ายามนี้สิ ข้าไม่อยากทำให้เจ้าเดือดร้อน”
“เจ้าทำให้ข้าเดือดร้อนเรียบร้อยแล้ว” แต่ว่าก่อนหน้านี้ที่สือต้าจ้วงถูกลาเฒ่าหัวโล้นไล่สังหารก็เป็นเพราะถูกข้าทำให้ลำบาก นับว่าหายกันไปแล้วกัน ข้าจึงไม่เอาความกับเขา เพียงเบะปากเอ่ย “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังไม่คิดจากไปชั่วระยะหนึ่ง ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนโม่ซี”
สือต้าจ้วงสีหน้าแข็งทื่อโดยพลันราวกับเหยียดเกร็งไปทั้งร่าง มองซ้ายมองขวา “โม่…โม่ซีก็ตามเจ้ามาเมืองหลวงด้วย?”
“หาใช่เขาตามข้า แต่เป็นข้าตามเขามา ยามนี้เขาเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงได้หลายเดือนแล้ว ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเขา เมื่อกี้เพิ่งเห็นเขาที่ถนน กำลังจะตามไปก็หาโม่ซีไม่เจอแล้ว กลับมาเจอเจ้าแทน”
สือต้าจ้วงกลืนน้ำลาย “เขาอยู่แถวๆ นี้?”
“คงประมาณนั้น”
“ขุนเขาไม่แปรเปลี่ยน ธาราไหลชั่วกาล* ซานเซิงระวังตัวด้วย ข้าขอลาก่อน!” กล่าวจบ กระทั่งถนนเขาก็ไม่เดิน ใช้วิชาดำดินหนีไป ณ ที่นั้น ควันสายหนึ่งพวยพุ่ง พริบตาเงาร่างก็หายไป
โม่ซี…ที่แท้แล้วปีนั้นเจ้ากลั่นแกล้งสือต้าจ้วงอย่างไรหนอ…เหตุใดจึงทำให้คนซื่อผู้นี้หวาดกลัวจนเป็นเช่นนี้
ข้าคาดเดาไปพลางเดินออกจากในตรอกเล็กที่กลิ่นสุราลอยอวลจนไปถึงถนนใหญ่อีกสาย ยามผ่านหอสุราเล็กข้างนอก ข้าเงยหน้ามองตรงระเบียงชั้นสองอย่างไม่ตั้งใจ ก็บังเอิญเห็นโม่ซีของข้าที่กำลังนั่งอยู่พอดี
คุณชายเจ้าสำราญดุจดั่งหยกงาม
ข้ายืนนิ่งข้างต้นหลิวที่ชั้นล่างของหอสุรา มองดูเขาเงียบๆ ดูความน่ายำเกรงเล็กน้อยที่แฝงอยู่ในท่วงท่าของเขา
เดิมข้าอยากเข้าไปหาเขาข้างบน แต่ข้ากลับไม่สามารถเข้าใกล้หอสุราในยามนี้ได้แม้แต่น้อย เพราะหอสุราเล็กๆ แห่งนี้ วันนี้กลายเป็นหอสุราที่ไม่ค่อยธรรมดาเท่าไร มันแผ่กำจายปราณอันยิ่งใหญ่แบบเดียวกับในวังหลวง บนชั้นสองยังมีชายในชุดเขียวทั้งตัวคนหนึ่งนั่งร่วมโต๊ะกับโม่ซี เขากำลังเอนตัวพิงรั้วระเบียงจิบสุราน้อยๆ ท่าทางที่นั่งเทียบกับโม่ซีเห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายกว่ามาก
ฮ่องเต้
ฮ่องเต้แดนมนุษย์ผู้นี้ปรีชาสามารถเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ใต้หล้าสงบสุข บ้านเมืองสันติ ปวงประชาเปี่ยมสุข เป็นยุคสมัยที่ไม่เลวยุคหนึ่ง เสียดายก็แต่แม่ทัพใหญ่กุมอำนาจส่วนใหญ่ไว้ในมือ ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยามนี้คงกำลังคิดว่าทำอย่างไรจึงจะยึดอำนาจทางทหารของแม่ทัพใหญ่ได้กระมัง
โม่ซีเพิ่งมาเมืองหลวงไม่นานก็สามารถพบกับฮ่องเต้เป็นการส่วนตัวได้ ต้องเป็นเพราะเขาคิดวิธียอดเยี่ยมที่สามารถช่วยฮ่องเต้กำจัดหนามยอกอกชิ้นโตนี้ได้เป็นแน่ ข้ากำลังชื่นชมความชาญฉลาดของโม่ซี ตรอกเล็กข้างหอสุราที่ข้าเพิ่งผ่านเมื่อครู่พลันปรากฏคนในชุดนักพรตผู้หนึ่ง
อัครราชครูซย่าเฉิน
ถึงกับ…ไล่ตามมาแล้ว…
เห็นสีหน้านี้ของเขา เป็นสีหน้าที่คิดจะจัดการกับข้านี่นา…ข้าอดทอดถอนใจให้ชีวิตอาภัพในชาตินี้ไม่ได้ ข้าคิดในใจว่าต้องรีบหาทางหนีก่อนค่อยว่ากัน เลี่ยงไม่ให้รบกวนโม่ซีกับฮ่องเต้ยามประมือกับเขา ถึงยามนั้นโม่ซีต้องมาช่วยข้าแน่ หากฮ่องเต้เห็นจะไม่เป็นผลดีต่อหน้าที่การงานของเขา
ไม่คาดว่าข้ายังไม่ทันขยับ ซย่าเฉินผู้นั้นก็มองข้าอย่างเยียบเย็นแล้วหมุนตัวจากไป ขณะที่ข้ากำลังงุนงงพลันมีเสียงเรียกลอยมาจากชั้นสองของหอสุรา “ซานเซิง!”
เป็นโม่ซีเห็นข้าแล้ว เมื่อหลบไม่พ้นข้าจึงเงยหน้าโบกมือให้เขา ยิ้มพลางเอ่ยเสียงดัง “โม่ซี! ข้าเฝ้าหวังอยากเห็นหน้าเจ้าอยู่ในบ้าน ทนความเงียบเหงาของราตรีอันยาวนานไม่ไหวจึงมาหาเจ้าแล้ว พวกเรามาจัดการเรื่องแต่งงานให้เสร็จเร็วหน่อยดีกว่า”
พอคำพูดนี้ออกไปถนนใหญ่พลันเงียบลงไปมาก โม่ซีหน้าแดงภายใต้ความเงียบยาวนานนี้
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะเปิดเผยของฮ่องเต้ดังขึ้นจากด้านข้างเขา “เป็นหญิงงามที่กล้าดีจริงๆ โม่ซี วาสนาทางความรักของเจ้าไม่เบาเลย! เอาล่ะ เรื่องวันนี้ก็คุยได้พอดูแล้ว ข้าจะกลับแล้ว” ฮ่องเต้ชี้มาทางข้า “แล้วพาภรรยาเจ้ากลับไปเร็วหน่อย ยืนอยู่บนถนนให้ผู้อื่นมองดูเช่นนี้เจ้าจะขาดทุนเยอะอยู่” กล่าวจบก็ลุกขึ้นจากไปโดยมีโม่ซีเดินตามหลัง
ชั้นล่าง ฮ่องเต้โบกมือให้ข้าน้อยๆ เป็นการเอ่ยลา
ข้าจ้องมองโม่ซีที่อยู่ด้านหลังเขาไม่วางตา ยิ้มตาหยีมองโม่ซีสาวเท้าเข้ามาเร็วรี่ เห็นเขาพินิจมองข้าจนทั่วรอบหนึ่งค่อยกดข่มความดีใจบนใบหน้า เลิกคิ้วถามข้า “เหตุใดเร็วเพียงนี้ก็ตามมาแล้ว ข้านึกว่าอย่างไรซานเซิงคงรอสักครึ่งปีถึงจะถูก เจ้ามาตามลำพังหรือ ระหว่างทางลำบากมากหรือไม่ เจอเรื่องยุ่งยากใดหรือเปล่า ยามนี้หิวหรือยัง อยากพักผ่อนหรือไม่”
ข้าเพียงยิ้มมองเขา
เขาเห็นข้าเป็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ สงบจิตใจลงและเผยยิ้มกล่าว “เป็นข้ากังวลเกินไปแล้ว แต่ไรมาซานเซิงล้วนไม่ปล่อยให้ตนเองเสียเปรียบ เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร”
“เมื่อครู่ขณะเดินอยู่บนถนนบังเอิญพบกลุ่มคนกำลังชมความครึกครื้น ข้าแปลกใจจึงตามเข้าไปด้วย จากนั้นก็เห็นเจ้า”
รอยยิ้มของโม่ซีแข็งค้างไปเล็กน้อย รีบร้อนอธิบาย “ซานเซิงนั่นเป็น…”
“อืม แม่นางที่ชอบเจ้า”
เขามองสีหน้าข้าอย่างระมัดระวัง ข้าเอ่ยต่อ “รูปร่างไม่เลว แต่ก็เตี้ยไปหน่อย นิสัยก็ขี้ขลาดตาขาวเกินไปนิด เหมาะกับเจ้าไม่เท่าข้า”
“นี่ย่อมแน่นอน” โม่ซีได้ยินคำพูดนี้ของข้าก็ยิ้มกว้างออกมาอีก “นอกจากซานเซิง ใครก็ไม่คู่ควรกับข้า”
ข้าตบบ่าเขาน้อยๆ อย่างปลื้มใจ “เข้าใจก็ดี”
“เจ้ามาเมืองหลวงนานเท่าไรแล้ว ได้หาที่พักหรือยัง”
“ก็ไม่กี่วัน ข้าไม่รู้ข่าวคราวของเจ้าเลย ยามกลางวันจึงลอยชายไปมาที่ถนนใหญ่ คิดไม่ถึงว่าทำเช่นนี้แล้วจะหาเจ้าเจอจริงๆ” ข้าจับจูงมือโม่ซี “ดังนั้นเจ้ากับข้าจึงเป็นบุพเพที่ตีมาจากเหล็ก ดึงอย่างไรก็ไม่ขาด”
โม่ซียิ้มบาง กุมมือข้าแน่นขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะพาเจ้ากลับไปพัก”
“อืม”
ที่แท้โม่ซีไม่ได้พักในวังหลวง ทั้งไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านของขุนนางใหญ่คนไหน แต่เป็นบ้านหลังเล็กสวยสงบเงียบที่ตนเองซื้อมา ผังของบ้านหลังนี้คล้ายกับบ้านเหมยที่ข้ากับเขาอยู่ด้วยกัน
หลังจากกินข้าวเย็น ข้าลากโม่ซีออกไปเดินเล่นที่ลานเล็ก
“เมืองหลวงแตกต่างกับเมืองเล็กที่พวกเราอาศัยมาก ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่คนเดียวรู้สึกไม่คุ้นเคยบ้างหรือไม่”
“ไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคยอะไร เพียงแต่ตอนเช้าไม่เห็นเจ้าวางชามตะเกียบให้ เย็นกลับมาไม่เห็นเจ้าจุดตะเกียงไว้เพื่อข้า คิดถึงว่าเจ้าอยู่บ้านคนเดียวไม่รู้ว่าจะดูแลตนเองอย่างไรก็กลัดกลุ้มอยู่บ้าง”
ข้าลอบยิ้มยินดีอยู่ในใจ จูงมือเขามองแสงดาวเหนือหัว เดินเล่นเชื่องช้าทีละก้าวๆ “โม่ซี”
“อืม”
“โม่ซี”
“หืม”
“โม่ซี”
“อะไรหรือ”
“แค่อยากเรียกเจ้าเท่านั้น” ข้าเอ่ย “ทุกครั้งที่เรียกชื่อเจ้าแล้วสามารถได้ยินคำตอบของเจ้า ข้าพลันรู้สึกว่านี่เป็นความสุขที่หาได้ยากเรื่องหนึ่ง”
โม่ซีเองก็ยิ้มน้อยๆ ข้ากล่าวต่อ “มาเป็นขุนนางในเมืองหลวงลำบากหรือไม่”
โม่ซีเงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยว่า “สามารถใช้อำนาจของตนช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถพึ่งพาสองมือของตนสนองจิตใจที่เวทนาของข้า มีคนเปลี่ยนเป็นมีความสุขเพราะการกระทำของข้า ในราชสำนักแม้ขัดแข้งขัดขามากแผนการ ต้องว้าวุ่นใจไม่น้อย แต่อำนาจที่ข้าได้รับมาพวกนี้หากสามารถใช้เพื่อปวงประชาได้…ซานเซิง เจ้าเข้าใจความพึงพอใจนี้หรือไม่”
ใจข้าอดสั่นเทาไม่ได้ เงยหน้ามองเขา ในดวงตาเขาแวววาวอย่างที่หลายปีมานี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน
ชั่วขณะนั้นราวกับข้าได้เห็นเทพสงครามแห่งสวรรค์ชั้นเก้าที่ก้าวเข้ามาในปรโลกพร้อมกับแสงสว่างผู้นั้น
โม่ซีที่เป็นเช่นนี้จึงจะเป็นโม่ซีที่แท้จริง เป็นเขาอย่างสมบูรณ์ ข้านึกถึงประโยคที่เจ้าอี่พูดกับข้าเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้ทันที ‘ท่านเทพโม่ซีคือผู้ที่ดำรงตำแหน่งเทพสงครามแห่งสวรรค์ชั้นเก้า จากเบื้องฟ้าถึงใต้พิภพไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่เขาเพียงผูกใจไว้กับใต้หล้า กลางอกมีปวงประชา ไหนเลยจะใส่ความรักฉันชายหญิงลงไปได้!’
เมื่อแรกข้าหาได้ใส่ใจคำพูดนั้นแต่อย่างไร ทว่ายามนี้ได้มองดูในแววตาของโม่ซี ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เจ้าอี่เป็นนักทำนายที่ช่างสังเกตผู้คนผู้หนึ่ง
โม่ซีมีปวงประชาในหัวใจจริงๆ ไม่ว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นอะไร…
“ที่จริงข้าไม่ใคร่เข้าใจความพอใจของเจ้านัก แต่ว่าเรื่องที่เจ้าอยากทำข้าล้วนสนับสนุน” ข้าลูบหัวเขาเบาๆ “ความปรารถนาของโม่ซีคือสร้างความสุขให้ผู้คน ความปรารถนาของซานเซิงคือสร้างความสุขให้โม่ซี”
โม่ซีก้มหัวลง ความอ่อนโยนในดวงตาราวกับจะล้นออกมาอย่างไรอย่างนั้น “โม่ซีก็ปรารถนาสร้างความสุขให้ซานเซิงเช่นกัน”
คำพูดนี้ของเขาหวานเชื่อมอ่อนโยนเกินไปจนข้าไม่อาจไม่หวั่นไหว “โม่ซี” ข้าดึงเสื้อของเขา กล่าวอย่างจริงจัง “คืนนี้พวกเราร่วมหอกันเลยเถอะ”
โม่ซีตะลึงงันไปทั้งร่าง สีหน้าแข็งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นสีแดงก็ลามขึ้นมาจากคอจนถึงหน้าผาก
ข้ากล่าวต่อไป “ล้วนพูดกันว่าแยกจากเหนือกว่าเพิ่งแต่งงาน ยามนี้พวกเราแม้ยังไม่แต่งงาน แต่ต่อไปช้าเร็วก็ต้องแต่ง เจ้าไม่รู้ว่าซานเซิงคิดถึงเจ้ามากเพียงไหน อย่างไรเรื่องนี้ต่อไปล้วนต้องทำ รีบทำไว้ก่อนดีกว่า พวกเราร่วมหอกันเลยเถอะ”
“ซาน…ซานเซิง เจ้า…เช่นนี้ไม่ถูกต้องตามประเพณี” โม่ซีหน้าแดงจัด ยกมือขึ้นบังใบหน้าน้อยๆ กระแอมเสียงหนึ่งพร้อมหันหน้าออกไป ทำอะไรไม่ถูกเป็นอย่างยิ่งแล้ว “เจ้าไปอ่านนิทานอะไรมาอีกแล้ว…”
“เช่นนี้ไม่ดีหรือ” ข้าเอ่ย “ในนิทานมากมายล้วนบอกว่าหลังจากร่วมหอจึงจะมีรักแท้”
โม่ซีถอนหายใจคราหนึ่ง “นี่…ต้องหลังจากแต่งงานจึงจะได้” เขาเอ่ยเสียงเบา “ซานเซิง เจ้ารอก่อน ไม่นานเท่าไรหรอก รอหลังจากข้าสามารถมอบชีวิตที่ดียิ่งกว่าให้เจ้า…”
ข้ารู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้าง “เช่นนั้นก่อนหน้านี้ ซานเซิงล้วนไม่ใช่รักแท้ของเจ้า…”
บนใบหน้าเขายังคงมีรอยแดงจางๆ ดวงตาที่ใสกระจ่างกลับสะท้อนเงาร่างของข้าชัดเจน เขาพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ซานเซิง เจ้าคือคู่ทุกข์คู่ยากของโม่ซี” เขาพูดอย่างหนักแน่นเพียงนั้นราวกับเป็นคำสาบาน พาให้ข้ารู้สึกว่าต่อให้เป็นรักแท้ที่ทั้งหนาทั้งหนักอย่างไรล้วนหนักสู้สี่คำนี้ของโม่ซีไม่ได้
คู่ทุกข์คู่ยาก
ข้าเพิ่งพบว่าที่แท้มีคนผู้หนึ่งสามารถทำให้ข้ายอมประนีประนอมให้ได้โดยง่ายถึงเพียงนี้
วันรุ่งขึ้นโม่ซีเข้าไปในวังแล้ว ข้าอยู่ในห้องอ่านนิทานครู่ใหญ่ รู้สึกว่างจนเบื่อจึงยัดนิทานไว้ในแขนเสื้อแล้วเดินเอ้อระเหยไปฟังละครที่หอน้ำชา
นักละครกำลังร้องอีๆ อาๆ อยู่บนแท่นยกพื้น ข้านั่งกินขนมแกล้มชาไปพลางร้องคลอไปพลางอยู่บนชั้นสอง จู่ๆ พลันมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งตบลงบนโต๊ะ สะเทือนจนถ้วยน้ำชาข้าสั่น ข้าเคี้ยวถั่วลิสงพลางเงยหน้ามอง ซย่าอีนั่งลงตรงข้ามข้าด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ข้ามองซ้ายมองขวารอบหนึ่งทว่าได้ยินซย่าอีเอ่ย “ไม่ต้องมองแล้ว พี่ข้าไม่ได้มา”
ข้าวางใจลงแล้วจึงไม่สนใจนาง
ซย่าอีรินชาให้ตัวเองแล้วเอ่ยพึมพำ “เจอกับสือต้าจ้วงแล้วข้าก็เป็นคนมีคุณธรรมคนหนึ่ง กลัวแต่ว่าพี่ข้าจะจับเขาไป” นางเอ่ยจบก็ดื่มชาแล้วเหล่มองข้า “เจ้าเป็นปีศาจที่ไหนอีก”
ข้ากำลังครวญเพลงจึงฉวยจังหวะตอบนางไปประโยคหนึ่ง “ข้าไม่ใช่ปีศาจ”
“เหลวไหล! หากเจ้าไม่ใช่ปีศาจเหตุใดเมื่อวานพี่ข้าต้องไล่ตามเจ้าด้วย”
“พี่เจ้าชอบความงามของข้า ชื่นชมนิสัยของข้า เลื่อมใสท่วงท่างดงามยามขยับตัวของข้า เขาอยากจะตามข้ามาข้าก็ทำอะไรไม่ได้” ข้าพูดเรื่อยเปื่อย “คราวหน้าหากเจ้าเห็นเขาไล่ตามข้าอีกต้องพยายามขวางเขาไว้หน่อย ไมตรีจิตที่ไม่อาจตอบสนองเขาได้ ข้าละอายใจมากจริงๆ”
ซย่าอีฟังจนปากอ้าค้าง สุดท้ายก็ดื่มชาอีกคำ กดความประหลาดใจลงไป หายใจเข้าแล้วเอ่ย “ฝีปากช่างคมกล้านัก”
ข้าไม่สนใจนางอีก ปล่อยให้นางนั่งอยู่ด้านข้างต่อไป นางครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดก็กระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ยถามใหม่อีกครั้ง “สือต้าจ้วง…เจ้ารู้จักกับสือต้าจ้วงตั้งแต่เมื่อไร”
“สิบสองสิบสามสิบสี่ปีก่อน”
ซย่าอีตะลึง จากนั้นก้มหน้าลงพึมพำกับตนเอง “ถึงกับ…รู้จักกันมานานเพียงนี้…” นางเอ่ยสรุปให้ตนเอง “เขาถึงกับชอบเจ้ามาหลายปีเพียงนี้ ถึงกับซุกซ่อนคนผู้หนึ่งไว้ในใจนานเพียงนี้…” เสียงของนางยิ่งพูดยิ่งเบาลงราวกับเจ็บปวดใจยิ่งนัก
ข้าปรายตามองนางคราหนึ่ง เห็นแม่นางน้อยเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางท้อแท้หมดหวังก็ใจอ่อนเอ่ยปลอบ “เจ้าวางใจ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ชอบเขา ในใจข้ามีคนผู้หนึ่งมาตลอด ไม่ว่าใครล้วนแทนที่ไม่ได้”
“เจ้าเป็นเช่นนี้…เขากลับยังวางเจ้าไว้ในใจเช่นนั้น”
คำปลอบของข้าทำให้นางยิ่งหดหู่ เห็นท่าทางเจ็บปวดเช่นนี้ของนาง ในใจข้าก็อดสงสัยไม่ได้ แม่นางน้อยผู้นี้หน้าตางดงาม นิสัยก็ร่าเริงมีชีวิตชีวา ต้องการหาชายหนุ่มคนอื่นอย่างไรทำไมจะไม่มี ที่แท้นางไปต้องตาเจ้าคนซื่อสือต้าจ้วงได้อย่างไรกันแน่ ข้าใจลอยไปชั่วขณะ ไม่ทันระวังพึมพำเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ซย่าอีได้ยินเข้าก็กำกระบี่บนโต๊ะแน่นขึ้นอีกหน่อย
นางเงียบไปนานแล้วค่อยเอ่ยเบาๆ “เขาช่วยชีวิตข้า” นางกล่าว “ข้าจำไม่ได้ว่าวันนั้นเขาไล่ปีศาจพวกนั้นไปอย่างไร แต่ข้าจำได้แม่นยำว่าเขาดึงข้าลุกขึ้น ช่วยเก็บกระบี่ที่ร่วงอยู่ไกลๆ กลับมาให้ข้า จากนั้นก็ปลอบข้าอย่างเก้กังให้ข้าไม่ร้องไห้ เขาเหมือนวีรบุรุษ…” สุดท้ายนางเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว “แม้ว่าเขาจะโง่ไปหน่อย แต่ข้ารู้ว่าถ้าเขาต้องการทำดีต่อใครคนหนึ่ง เขาก็จะดีต่อนางตลอดไป เพราะเขาโง่ จะไม่มากรักหลายใจ ไม่เด็ดบุปผายั่วเย้าดอกหญ้า ดีต่อข้าเพียงคนเดียว”
ข้าเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าแม่นางคนนี้จะเป็นหญิงสาวที่มองการณ์ไกล ข้าเอ่ยชม “ไม่ผิด หากในโลกนี้หาคนธรรมดาที่รักเดียวใจเดียวต่อตนเองดีต่อตนเองไม่ได้ เช่นนั้นก็หาเจ้าโง่ที่รักเดียวใจเดียวดีต่อตนดีกว่า เช่นนี้ที่จริงก็เป็นวิธีที่ไม่เลว”
ซย่าอีตะลึง “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ชอบเขาเพราะเหตุผลนี้…”
ข้าพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ “ข้าเข้าใจๆ”
“ข้าบอกว่าไม่ใช่!”
“ข้ารู้ๆ”
“เจ้า!” ซย่าอีถีบม้านั่งแล้วลุกยืน กระบี่ในมือออกมาจากฝักครึ่งหนึ่ง แต่ไม่รอให้นางชักกระบี่ออกมาจนสุด มือคู่หนึ่งพลันยื่นออกมาจากทางหางตาแล้วจับแขนของนางไว้ “เจ้าทำร้ายซานเซิงไม่ได้!”
สือต้าจ้วงไม่รู้ว่าวิ่งเข้ามาตอนไหน เขาพูดกับซย่าอีอย่างเดือดดาล “รู้อยู่แล้วว่าไม่ควรข้องเกี่ยวกับเจ้า! เจ้าวุ่นวายกับข้าก็ช่างเถอะ ยามนี้กลับยังคิดรังแกซานเซิงอีก! เจ้าจะทำอะไรกับข้าก็ช่าง แต่นางเป็นผู้มีคุณของข้า ข้าไม่สามารถปล่อยให้เจ้าทำร้ายนางได้!”
สือต้าจ้วงเป็นปีศาจนิสัยดีที่มีคุณต้องทดแทนจริงๆ เพียงแต่เสียงเขาดังเกินไป ตะคอกจนคนในหอน้ำชาตลอดจนนักละครที่กำลังแสดงบนยกพื้นล้วนหยุดการกระทำทั้งหมดแล้วหันมองมาทางพวกเรา ข้ารู้สึกว่าการเล่นละครให้ผู้อื่นชมช่างน่าขายหน้าอย่างยิ่งโดยแท้ จึงดึงแขนเสื้อสือต้าจ้วงเบาๆ “อย่าหุนหันพลันแล่น ที่นี่คนเยอะ พวกเราออกไปพูดกันข้างนอกเถอะ”
ประโยคนี้ของข้ายังพูดไม่ทันจบ ซย่าอีพลันน้ำตาร่วงเผาะๆ
ข้ามองอย่างตกตะลึง สือต้าจ้วงก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
ความโกรธของเขาคล้ายถูกดับลงทันใด มือไม้เก้งก้างขึ้นมาเล็กน้อย “ข้า…เอ้อ…ข้ายังไม่ได้ตีเจ้า เจ้าอย่าร้องไห้เลย”
ซย่าอีร้องไห้ราวกับเด็กน้อย “ท่านห่วงใยนางเพียงนั้น…ห่วงใยนางเพียงนั้น…” นางสะอื้น “ท่านควรรู้ว่าในใจนางเดิมก็ไม่มีท่านอยู่ เหตุใดท่านถึงชอบนางเพียงนั้น ฮือๆ”
ข้ากระจ่างแจ้งแล้ว ที่แท้นางอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ ยังคงปวดใจเพื่อสือต้าจ้วง ปวดใจเพราะเขา ‘ชอบคนที่ไม่ชอบเขา’
แม่นางคนนี้จิตใจดีเพียงนี้ ข้าทอดถอนใจ ดวงใจก้อนหินก็หลั่งน้ำตาไปด้วยกันกับนางแล้ว ปวดร้าวเหมือนดั่งเห็นคนงามในนิทานถูกชายหนุ่มทรยศหักหลังอย่างไรอย่างนั้น
“เหตุใดข้าจึงชอบท่านมากถึงเพียงนั้นนะ เหตุใดข้าต้องชอบท่านเพียงนั้นด้วย…” นางกุมหัวร่ำไห้ทุกข์ทนแล้วหมุนตัวจากไป
สือต้าจ้วงยืนทื่อตะลึงงันราวกับไก่ไม้อยู่ตรงหน้าข้า ข้าแหย่เขาไปเล็กน้อย “ดวงใจนี้ของเจ้าเจ็บปวดขึ้นมาบ้างแล้วสินะ! ไยไม่ไปคว้าตัวคนงามมากอดไว้แนบอก กดตัวไว้ให้ดีๆ เช้าพรุ่งนี้เปิดม่านมุ้งมาพวกเจ้าก็เป็นคู่ที่ดียิ่งแล้ว”
“ซานเซิง เจ้ากำลังพูดอะไรน่ะ…” สือต้าจ้วงเกาหัวยิกๆ “ข้าเพียงแค่ตกใจท่าทางน้ำตานองหน้าของนางเท่านั้น เป็นครั้งแรกที่เห็นคนมาร้องไห้ต่อหน้าจนกลายเป็นเช่นนั้น…”
ข้ามุมปากกระตุก จู่ๆ รู้สึกว่าคนผู้นี้หัวทึบไร้ทางช่วยแล้วจริงๆ
“ข้าส่งเจ้ากลับบ้าน กันไม่ให้นางกลับมาหาเรื่องเจ้าอีก”
“วันนี้แม่นางคนนั้นไม่ได้หาเรื่องอะไรให้ข้า” ดูละครต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าม้วนนิทานเดินออกไปพลางเอ่ยขึ้น “ว่าแต่เจ้าเถอะ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”
สือต้าจ้วงถอนหายใจ “ยังไม่ใช่เพราะหลบนางอีกหรือ”
“หลบนาง?”
“ใช่แล้ว เพราะข้าออกจากเมืองหลวงไม่ได้ ทุกวันซย่าอีล้วนตามหาข้าทั่วเมือง ข้าซ่อนที่ไหนล้วนรู้สึกเหมือนว่าไม่ทันไรก็ถูกนางเจอตัวทุกที ดังนั้นเทียบกับการต้องหลบซ่อนอย่างอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ไม่สู้คอยตามซย่าอีดีกว่า เช่นนี้ข้าก็สามารถรู้ได้ตลอดว่านางไปที่ใด ทั้งสามารถไม่ให้นางหาข้าเจอได้ตลอด”
ที่จริงข้าไม่ชอบวิธีนี้ของเขา แต่ก็รู้สึกว่าคนที่หัวทึบคนหนึ่งสามารถคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้นับว่าไม่เลวจริงๆ ดังนั้นจึงเอ่ยชม “วิธีนี้เรียบง่ายตรงไปตรงมาเหมือนตัวเจ้าเลย”
สือต้าจ้วงเกาหัวยิ้มเขินอาย
พูดคุยกันมาตลอดทางจนกลับถึงบ้านแล้ว เมื่อมาถึงประตูหน้าเป็นยามเย็นพอดี ไม่รอให้ข้าพูด สือต้าจ้วงก็เป็นฝ่ายเอ่ยลาจะจากไป ท่าทางรีบร้อนราวกับกลัวข้าจะรั้งเขาไว้
ข้าก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ ขณะที่กำลังจะโบกมือลาจากพลันได้ยินเสียงตะโกนดังออกมาจากภายใน
“ขุนนางบุ๋นหน้าใหม่อย่างเจ้าอย่าได้ใจให้มันมากนัก!”
น้ำเสียงนี้วางอำนาจเผด็จการถึงที่สุด ทั้งประโยคที่พูดฟังแล้วยังเป็นการด่าโม่ซี ข้าพลันหน้าเคร่งผลักประตูเข้าไป
ในลานบ้านมีคนสี่คนยืนอยู่ ฝั่งหนึ่งคือโม่ซี ส่วนอีกฝั่งเป็นเจ้านายกับองครักษ์สองคน องครักษ์ทั้งสองดูแล้วองอาจน่าเกรงขาม เพียงแต่เจ้านายคนนี้หงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง ข้าปรายตามองเขานิ่งๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เลือกเมินพวกเขาไป เพียงเอ่ยกับโม่ซี “อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงสุนัขเห่า เป็นเดรัจฉานบ้านไหนไม่ล่ามโซ่ไว้ให้ดีอีก”
อันที่จริงข้าจำเจ้าตัวนี้ได้ หลายครั้งที่ไปเอาเครื่องประดับในจวนแม่ทัพบังเอิญเห็นคนผู้นี้เข้า เขาก็คือบุตรชายตุ่มหนอง คนที่สามของแม่ทัพใหญ่ เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของซือเชี่ยนเชี่ยน ซือหรงอาศัยความสัมพันธ์ของบิดาปะปนเข้าไปในราชสำนักครองตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ว่างงาน เป็นตุ่มหนองอย่างแท้จริง
แม้ข้าไม่รู้ว่าเขามาหาโม่ซีทำไม แต่โม่ซีของข้าหาใช่มาเพื่อให้คนรังแก แม้เป็นเพียงทางคำพูดก็ไม่ได้
โม่ซีได้ยินคำพูดข้า ใบหน้าปรากฏความจนใจอยู่บ้าง เขาเดินมาทางข้าสองก้าว จับมือข้าไว้แล้วพูดเสียงเบา “ซานเซิงเข้าไปในบ้านก่อน ที่นี่ให้ข้าจัดการเองก็พอ”
แต่เขายังพูดไม่จบ ตุ่มหนองหรงนั่นกลับส่งเสียงหัวเราะน่ารังเกียจออกมา “ข้านึกว่ามีเหตุผลอะไรที่ไม่ยอมรับเรื่องแต่งงานกับจวนแม่ทัพเรา ที่แท้ก็ซ่อนหญิงงามเอาไว้แล้วนี่เอง”
เสียงของเขาเหมือนเป็ดถูกบีบคอ ฟังแล้วระคายหูยิ่งนัก ข้านึกอยากใช้เวททำให้เขาพูดไม่ได้สักสามวันสามคืน
“เฮอะ แต่ว่าสตรีผู้นี้ของเจ้าหน้าตาพอดูได้ นิสัยกลับเหม็นโฉ่ยิ่ง ไหนเลยจะเทียบความอ่อนโยนเพียบพร้อมของน้องสาวข้าได้ อีกอย่างเจ้าหย่าหญิงร้ายกาจคนนี้แล้วรับเรื่องแต่งงานของจวนแม่ทัพข้า วันหน้ารับรองว่าเจ้าจะรุ่งเรืองมั่งคั่งไม่สิ้นสุด ส่วนภรรยาที่ถูกหย่าของเจ้าคนนี้ ข้าจะฝืนช่วยเจ้าทำให้ว่านอนสอนง่ายเอง”
มายังโลกมนุษย์สิบกว่าปี แม้ข้าจะพบเรื่องประหลาด ได้ฟังคำพูดแปลกๆ มาไม่น้อย แต่คนประหลาดเช่นนี้นับว่าได้พบเห็นเป็นครั้งแรก น้ำคำกำเริบเสิบสานนี้ปลุกปั่นให้ข้าพ้นขอบเขต ‘เดือดดาล’ แล้ว ข้าตัดสินใจมองตัวประหลาดนี้ให้ดี อย่าให้วันหน้านึกอยากเจอคนพรรค์นี้แล้วทำไม่ได้ ได้แต่ต้องถอนหายใจเสียดาย
ระหว่างที่ข้ากำลังชื่นชมสิ่งประหลาด โม่ซีพลันเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ทัพ ต่อให้ท่านบอกว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ดีอย่างไร ในสายตาข้าน้อยก็เทียบภรรยาข้าไม่ได้ คุณหนูนิสัยสุภาพเรียบร้อย ข้าน้อยกลับชมชอบนิสัยดุร้าย คุณหนูสามารถมอบความรุ่งเรืองมั่งคั่งให้ข้า ข้าน้อยกลับรักชอบการกินอยู่เรียบง่ายร่วมกับภรรยาข้า ในสายตาข้าน้อย ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของภรรยาข้า ไม่ว่าทำอะไรล้วนน่าประทับใจยิ่งกว่าคุณหนู หวังว่าท่านแม่ทัพจะเลิกมาเอ่ยเรื่องแต่งงานนี้กับข้าอีก เลี่ยงไม่ให้ข้าน้อยเอ่ยคำพูดไม่คู่ควรกับฐานะของคุณหนูยิ่งกว่านี้”
คำพูดนี้ของเขาทำเอาตุ่มหนองหรงปากอ้าตาค้าง และทำให้ในใจข้าราวกับบุปผาเบ่งบาน ดูคำเรียก ‘ภรรยาข้า’ นี้ของเขาสิ เป็นธรรมชาติขนาดไหน!
เสียงโม่ซียังไม่หยุด กล่าวต่อว่า “ส่วนความคิดเลยเถิดที่ท่านแม่ทัพมีต่อภรรยาข้า ข้าน้อยพูดได้เพียงว่าน่าเสียดาย ทั้งในและนอกราชสำนักใครไม่รู้บ้างว่าท่านแม่ทัพเป็นตุ่มหนองไร้ประโยชน์ ตำแหน่งนี้ก็เป็นแม่ทัพใหญ่คิดสารพัดวิธีผลักดันท่านขึ้นมา ท่านดำรงตำแหน่ง แต่กลับไม่คิดถึงหน้าที่ ยังคงทำตัวเป็นตุ่มหนองดังเก่า แม้เบื้องหน้ามีแม่ทัพใหญ่คอยปูทางให้ เบื้องหลังมีขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งคอยคุ้มครอง แต่ท่านกลับไม่เลื่อนขั้นตลอดสามปี ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ เห็นแจ้งปรุโปร่ง รู้จักใช้คน ขอเพียงเป็นคนที่มีผลงานแม้เพียงเล็กน้อยล้วนแล้วแต่ถูกใช้สอย เห็นได้ว่าท่านแม่ทัพไม่มีความสามารถอะไรที่ทำให้ฝ่าบาทเลื่อนขั้นให้ ภรรยาข้าเฉลียวฉลาดหลักแหลม ข้าน้อยเชื่อว่าในใจนางย่อมต้องมีคำตัดสินของตัวเอง”
ซือหรงราวกับถูกคำวิจารณ์รุนแรงแหลมคมของโม่ซีแทงจนเป็นรูพรุน ยืนตะลึงค้างอยู่กับที่ลืมตอบโต้ไปจนสิ้น องครักษ์สองคนข้างหลังเขาต่างหันหน้าไปอีกทาง เหลือบเห็นท่าทางคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะ ดูท่าปกติพวกเขาคงเคยด่าเจ้าตุ่มหนองหรงอยู่ในใจไม่น้อย
“เจ้า…เจ้า…เจ้ากล้าตีฝีปากกับข้า!”
“ข้าน้อยเพียงแต่ตักเตือนท่านแม่ทัพอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น ยาดีย่อมขมปาก หากท่านแม่ทัพฟังแล้วไม่สบายใจ ข้าน้อยก็ทำอะไรไม่ได้ หรือว่าท่านแม่ทัพรู้สึกว่าข้าน้อยพูดไม่ถูกต้อง สามารถไปกล่าวโทษข้าน้อยเบื้องหน้าพระพักตร์ ถึงยามนั้นข้าน้อยจะเล่าคำตักเตือนที่มีต่อท่านในวันนี้ให้ฝ่าบาทรวมทั้งขุนนางใหญ่ทุกคนเอง จะได้ให้เหล่าขุนนางและฝ่าบาทร่วมกันตัดสินว่าที่แท้คำพูดนี้ของข้าน้อยพูดได้มีเหตุผลหรือไม่”
“เจ้า…เจ้า…”
ตุ่มหนองหรงโมโหจนเอ่ยคำพูดไม่ออก
ข้ายิ้มตาหยีกวักมือเรียกสือต้าจ้วงที่ตะลึงมองละครฉากนี้อยู่ข้างประตู ต้าจ้วงเดินเข้ามาแล้ว กล้ามเนื้อกำยำล่ำสันทั้งร่างมองดูแล้วพาให้องครักษ์ข้างหลังซือหรงดูอ่อนแอไปเล็กน้อย
ข้าเอ่ย “ข้าว่าพูดคุยกันได้พอสมควรแล้ว ต้าจ้วงช่วยพวกเราส่งแขกเถอะ”
สือต้าจ้วงพยักหน้า กล่าวเจตนาข้าออกไปตรงๆ อย่างรู้ใจเป็นอย่างยิ่ง “เอ้า ไล่พวกเจ้าแล้ว”
ตุ่มหนองหรงได้ยินก็โมโห ใบหน้ายาวราวกับช้อนรองเท้าบวมพองจนจะกลายเป็นไตหมูเน่าในพริบตา เขาตะคอก “บังอาจ! กำเริบ! ข้ารับใช้ไม่รู้ชื่อแซ่คนหนึ่งถึงกับกล้าพูดเช่นนี้กับแม่ทัพอย่างข้า!”
สือต้าจ้วงมองข้าอย่างจนปัญญา “พวกเขาไม่ไป”
ข้าโบกมือ “หิ้วออกไป”
ดังนั้นสามคนนี้จึงถูกหิ้วออกไปอย่างไร้ทางต่อต้าน…
ข้าหันมาตบบ่าโม่ซี กำลังคิดจะชมเขาสักสองประโยคกลับเห็นโม่ซียังคงขมวดคิ้วจ้องมองประตูใหญ่ ข้ามองตามสายตาเขาไป สือต้าจ้วงหิ้วสามคนนั้นไปแล้วก็กลับมา กำลังปิดประตูอยู่
พอเขาหมุนตัวสายตาก็สบเข้ากับโม่ซี สือต้าจ้วงถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที ‘พลั่ก’ และชนเข้ากับประตูใหญ่ที่เพิ่งปิดเมื่อครู่
คิ้วของโม่ซีคลายออก แต่ดวงตากลับไม่ย้ายออกจากร่างสือต้าจ้วง บรรยากาศขัดแย้งคุกรุ่นเมื่อครู่ลุกลามแผ่ขยายอยู่ภายในลานบ้านทีละน้อย “พี่สือจากกันหลายปีไม่เจ็บไข้ได้ป่วยใช่หรือไม่” ท้ายประโยคน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย แม้แต่ข้ายังฟังความนัยอันตรายที่แฝงอยู่ออก
สือต้าจ้วงกลืนน้ำลาย แม้จะอยู่ห่างกันมาก ข้าก็ยังเห็นลูกกระเดือกที่ขยับเคลื่อนได้อย่างชัดเจน
เขาไม่กล่าววาจา
โม่ซีก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าวจะเอ่ยคำ ข้าจึงดึงเขาไว้ ข้ารู้ว่ายามนี้สือต้าจ้วงจำว่าข้าเป็น ‘ผู้มีคุณ’ อย่างสุดใจ และดีต่อข้าจริงๆ คนสัตย์ซื่อเช่นนี้ข้าไม่อาจปล่อยให้โม่ซีรังแกเขาอยู่เสมอได้ จึงเอ่ยกับโม่ซี “วันนี้ข้าบังเอิญเจอเรื่องยุ่งยากกลางทาง เขาช่วยข้าไว้จึงกลับมาด้วยกันกับข้า”
โม่ซีหันไปมองเขา สือต้าจ้วงรีบเร่งพยักหน้า “เป็นความบังเอิญๆ! ข้าไม่คิดอะไรกับซานเซิงจริงๆ!”
โม่ซีไม่สนใจเขา หันมามองข้า “ใครหาเรื่องยุ่งยากให้ซานเซิง”
ข้าอ้าปากกำลังจะตอบตามจริง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หากตอบความจริงไปนั่นไม่เท่ากับว่าเมื่อครู่ข้าโกหกหรือ ข้ากลอกตารอบหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร เพียงแค่มีปากเสียงกับผู้อื่นนิดหน่อยยามดูละคร” ข้าชิงจับมือโม่ซีขึ้นมาก่อนเขาจะเอ่ยถามอีกประโยค ยิ้มตาหยีมองเขา “โม่ซีหึงหรือ”
โม่ซีนิ่งงันเบี่ยงหัวออกกระแอมเสียงหนึ่ง
“ข้าจะไม่หนีไปกับใคร” ข้ากล่าว “ข้าชอบเพียงโม่ซี”
หนึ่งพันปีกว่า ข้าเพียงได้พบโม่ซี เพียงหวั่นไหวให้โม่ซี
ไม่ว่าคำพูดนี้ของข้าจะพูดมาแล้วกี่ครั้ง ใบหน้าโม่ซีก็ยังคงเป็นสีแดง สีหน้าเขาอ่อนโยนลง ความเป็นปรปักษ์และไอสังหารกลางหน้าผากเลือนหายไป
ท้องฟ้ามืดแล้ว ท้องร้องแล้ว ข้าจูงโม่ซีพลางว่า “พวกเรากินข้าวกันเถอะ” แล้วหันไปมองสือต้าจ้วง “อยากมาด้วยกันหรือไม่”
สือต้าจ้วงจมูกขยับ ดวงตาที่จับจ้องข้าแทบจะเปล่งประกายแล้ว แต่จังหวะสุดท้ายที่กำลังจะตกลงใจ เขากลับมองโม่ซีคราหนึ่ง จากนั้นก็หดหัวปฏิเสธอย่างร้อนรน “ไม่ๆๆๆๆ! ไม่เด็ดขาด!” เขาดึงประตูเปิดออกอย่างหางจุกตูดแล้ววิ่งเงื่องหงอยจากไป
ข้าหันกลับมามองโม่ซี “โม่ซี เจ้าไล่คนที่กำลังหิวจากไปเช่นนี้ช่างใจร้ายนัก”
โม่ซีเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่หากรั้งให้เขาอยู่ก็เท่ากับโม่ซีใจร้ายต่อตัวเอง ซานเซิงอยากให้โม่ซีใจร้ายกับใคร”
ข้าจูงมือโม่ซีอย่างแน่วแน่ “ปล่อยเขาร้องไห้อีกพักแล้วกัน”