ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด – หน้า 8 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด

บทที่แปด

 ยามเย็นขณะที่กินข้าวข้าเอ่ยชมโม่ซีอย่างดีรอบหนึ่ง “คำพูดโม่ซีล้วนสามารถมอบไออุ่นแก่ดวงใจข้าเสมอ แต่หมู่นี้พูดจาเพื่ออบอุ่นดวงใจข้าเป็นพิเศษ” ข้าคีบน่องไก่ข้างหนึ่งใส่ชามเขาเป็นรางวัล “โดยเฉพาะคำที่พูดกับตุ่มหนองหรงในวันนี้ เป็นคำพูดที่ข้าชอบฟังที่สุดในระยะนี้”

โม่ซีฉีกเนื้อบนน่องไก่ให้ข้าไปด้วยเอ่ยไปด้วยว่า “ข้ายังจำได้ว่าสมัยเด็กขอเพียงข้าถูกรังแกมา ซานเซิงเป็นต้องแก้แค้นให้ข้าเสมอ ยามนี้ซานเซิงถูกรังแก ข้าย่อมต้องแก้แค้นแทนเจ้า หากต่อไปยังมีเรื่องพรรค์นี้ข้าก็จะคอยปกป้องเจ้าให้ดีแน่นอน” เขาชะงักไป “เพียงแต่ข้าหวังให้ซานเซิงไม่ต้องถูกรังแกตลอดไป”

ข้าอึ้งงันไปเล็กน้อยกับคำพูดของเขา แล้วพลันยิ้มกล่าว “โม่ซี เดิมข้าคิดพูดว่าสิ่งที่ข้าชอบวันนี้ไม่ใช่เจ้าด่าตุ่มหนองหรง แต่ชอบที่เจ้าเรียกข้าว่า ‘ภรรยาข้า’ ” เขาได้ยินแล้วตกตะลึง ข้ายิ้ม “เดิมข้าก็เป็นภรรยาเจ้า กำหนดไว้ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่กลับไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยออกมาต่อหน้าคนนอกมาก่อน เจ้าเอ่ยขึ้นมาในยามนี้ข้าดีใจเป็นอย่างมาก” ก่อนโม่ซีจะอธิบายข้าก็ชิงพูดต่อ “แต่คำพูดเมื่อครู่ของเจ้ากลับทำให้ข้าดีใจยิ่งกว่าที่เจ้าเรียกข้าว่าภรรยา”

ข้าก้มหน้ากินเนื้อ “เจ้าจะปกป้องข้า ข้าก็จะปกป้องเจ้า”

 

วันรุ่งขึ้นโม่ซีไปร่วมประชุมเช้าตั้งแต่เช้าตรู่เหมือนก่อนหน้านี้

ข้าหมกตัวเผาถ่านอ่านนิทานอยู่ในห้อง หลายวันก่อนข้าบังเอิญพบซย่าเฉินบนถนน เมื่อวานไปหอน้ำชาก็ยังถูกซย่าอีเจอตัว ข้าคิดว่าช่วงนี้คงเป็นวันที่ไม่เหมาะเดินทาง วันนี้จึงตัดสินใจนอนเกียจคร้านอยู่ในบ้านรอโม่ซีกลับมาอย่างว่าง่าย

ข้ากำลังดูภาพอย่างมัวเมา พลันได้ยินเสียงจอแจดังอยู่นอกลานบ้าน ข้ากะพริบตาสองหน ความนึกคิดค่อยๆ ถอยออกมาจากเรื่องในนิทาน พูดได้เพียงว่าเมืองหลวงเป็นสถานที่อัปมงคล ไม่ออกจากบ้านก็มีเรื่องมาหาถึงบ้านได้ ข้าถอนหายใจคราหนึ่งแล้วปิดหนังสือ จัดเสื้อผ้าเตรียมเป็นฝ่ายออกไป ‘หาเรื่อง’ เสียงจอแจพวกนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อฟังอย่างละเอียดแล้วกลับเป็นเสียงฝีเท้าเข้าจังหวะเป็นระเบียบอย่างยิ่ง

ทหาร?

ตั้งแต่ข้ามีจิตวิญญาณเป็นต้นมาก็เป็นวิญญาณที่รักษากฎระเบียบตนหนึ่ง ข้าเคยถูกผีจับ เคยถูกท่านพญายมด่า เคยถูกพระไล่ตาม เคยถูกนักพรตตามล่า ทว่ายังไม่เคยถูกทหารโอบล้อมโจมตีมาก่อน

นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต ทำให้ข้าตื่นเต้นอยู่บ้าง

ข้าออกจากบ้านไปยืนอยู่ในลาน เฝ้ารอให้พวกเขาพังประตูเบียดเข้ามาแล้วล้อมข้าไว้อยู่ตลอด ให้ข้าได้มีโอกาสเห็นว่าทหารจัดวางรูปแบบการรบอย่างไรกันแน่ ไม่คาดว่ารออยู่นานกลับได้เพียงเสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทเท่านั้น ข้าอดผิดหวังไม่ได้ จึงได้แต่ไปเปิดประตูตามระเบียบ

ทหารน่าจะไปซ่อนตัวแล้ว หน้าประตูมีเพียงแม่นางน้อยที่สวยสดงดงามยืนอยู่คนหนึ่ง ข้ามองนางอยู่นานกว่าจะจำได้ นี่ไม่ใช่ซือเชี่ยนเชี่ยนที่หลายวันก่อนถูกโม่ซีทิ้งไว้บนถนนหรอกหรือ!

นางเห็นข้าเปิดประตูก็พลันมีท่าทางราวกับถูกฟ้าผ่า เอ่ยงึมงำกับตนเอง “มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งจริงๆ ท่านพี่ไม่ได้หลอกข้า…เขาพาผู้หญิงกลับบ้านมาจริงๆ”

นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่ตุ่มหนองหรงมาเซ้าซี้ให้โม่ซีแต่งซือเชี่ยนเชี่ยนขึ้นมาได้ ในใจข้ามีแผนการขึ้นมาเลือนราง นี่นางมาเพราะคิดจะสืบเรื่องโม่ซีด้วยตนเองสินะ

ข้าคิดในใจ ชอบเป็นเรื่องหนึ่ง ให้ผู้อื่นมาเป็นแขกในบ้านเป็นเรื่องหนึ่ง ตนเองตามติดพันถึงบ้านด้วยตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยามนี้ข้าเฝ้ารอให้โม่ซีแต่งข้าอยู่ทุกวัน ในช่วงเวลาจวนเจียนนี้ไม่อาจปล่อยให้แม่นางคนนี้ตามพัวพันจนโม่ซีไม่อาจแต่งข้าได้ ดังนั้นข้าจึงกอดอก เอนพิงขอบประตูแล้วเลิกคิ้วกล่าว “ไม่ผิด ข้าเป็นผู้หญิงของเขาจริงๆ ตั้งแต่เด็กก็หลับนอนร่วมกับเขา เจ้ามีอะไรจะชี้แนะ”

แม่นางน้อยประสบการณ์น้อยไปหน่อย ถูกคำพูดนี้ของข้าถล่มจนตกตะลึงไปทั้งตัว ซวนเซถอยหลังสองก้าวแทบจะล้มลงบนพื้น เห็นใบหน้าซีดขาวของนาง ข้าก็รู้สึกว่าแม่นางคนนี้อ่อนแอเกินไป ไม่ต้องพูดถึงเทียบกับข้า ลำพังเทียบกับซย่าอีก็พ่ายไปหลายขุมแล้ว หญิงวัยกลางคนแต่งงานแล้วคนหนึ่งกระโดดออกมาจากด้านข้างทันเวลา ประคองซือเชี่ยนเชี่ยนไว้แล้วชี้หน้าตะคอกด่าข้า “อย่าได้คิดรังแกคุณหนูของบ้านข้า! อย่าเอาคำพูดหยาบโลนสกปรกพรรค์นี้มาทำร้ายใบหูคุณหนูของพวกเรา!”

ข้าถูกปรักปรำจริงๆ “นางถาม ข้าตอบ เป็นความจริงทุกประโยค มีตรงไหนสกปรกกัน”

สีหน้าซือเชี่ยนเชี่ยนยิ่งขาวซีดลงอีกส่วน หญิงแต่งงานแล้วเอ่ยด่า “นางปีศาจหน้าด้าน! ถึงกับกล้าเสียมารยาทต่อคุณหนู! ทหาร เอาตัวไป!”

ข้านวดหน้าผากหน่ายใจ เห็นอยู่ว่าหญิงแต่งงานแล้วคนนี้จงใจหาเรื่องชัดๆ ข้ายังคิดเอ่ยเหตุผลกับนาง แต่ทางด้านข้างมีทหารชุดเขียวกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาในพริบตา

ในที่สุดสิ่งที่ข้ารอก็มาแล้ว! ทหารกลุ่มนี้เข้ามาล้อมแล้ว!

ดวงตาข้าเปล่งประกาย ร้อง “โอ้!” อย่างดีใจเสียงหนึ่ง หญิงแต่งงานแล้วคนนั้นกลับตวาดเสียงดัง “นางกำลังใช้อาวุธลับ! คุ้มครองคุณหนู!”

ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงชักกระบี่ออกจากฝักดังเช้งๆ นั้น ขนอ่อนข้าลุกชันขึ้นเล็กน้อย

ข้าอ้าปากแต่ ‘ออมมือด้วย’ สามคำนี้ยังไม่ทันเอ่ย ดาบใหญ่เล่มหนึ่งก็ฟันลงมาที่หัวข้า การผ่านการขัดเกลาในโลกมนุษย์ทำให้ข้าสำรวมอาการได้มากกว่าเมื่อแรกมาถึง แต่หาใช่ปล่อยให้ผู้อื่นรังแกเช่นนี้ ดวงตาข้าสาดประกายกร้าวทันที จ้องทหารที่บุกเข้ามาหาข้าอย่างดุร้าย

คนธรรมดาที่ไม่เคยบำเพ็ญเพียรฝึกวิชาเวท ถูกไอหยินของข้าจ้องให้หยุดชะงักก็พลันเข่าอ่อน คุกเข่าลงดังตึงคารวะข้า

คนข้างหลังกลับไม่รู้จักเรียนรู้ ยกโขยงพุ่งเข้ามาทางข้า

ข้าทำมุทระ แล้วโบกแขนเบาๆ เหล่าทหารที่กลุ้มรุมเข้ามาล้วนถูกตีลอยไป ข้าถอนหายใจเอ่ย “เป็นคนควรรู้จักสังเกต พิจารณา และประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์”

ซือเชี่ยนเชี่ยนกับหญิงแต่งงานแล้วคนนั้นถูกไอหยินกวาดโดนจนล้มนั่งกับพื้น มองข้าอย่างตกตะลึง ข้ายื่นมือก้าวเข้าไป คิดจะดึงตัวหญิงแต่งงานแล้วคนนั้นขึ้นมา นางกลับร้องเสียงดังว่าปีศาจแล้ววิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ข้าจึงได้แต่หมุนตัวหันไปพยุงซือเชี่ยนเชี่ยน นางกลับให้ข้าดึงขึ้นมาอย่างว่าง่าย

ข้าช่วยนางเช็ดฝุ่นผงบนใบหน้าพร้อมเอ่ย “ต่อให้ชอบคนคนหนึ่งก็ควรมีศักดิ์ศรีของตน การมาหาเรื่องถึงบ้านเช่นนี้ทีหลังอย่าทำเลย ไม่ต้องพูดถึงเสียเกียรติ ยังได้ไม่คุ้มเสีย อ้อ แล้วก็สามชาตินี้ของโม่ซีล้วนถูกข้าจับจองเอาไว้แล้ว หากเจ้าคิดเกี้ยวเขาจากใจจริง หลังจากสามชาติค่อยมาใหม่เถอะ”

คำพูดนี้ของข้าเป็นความจริง แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อนางฟังแล้วจะเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง นางพลันตาแดง หันหน้าวิ่งจากไปด้วยท่าทางราวกับใกล้จะร้องไห้

ข้าทำความสะอาดหน้าประตูให้ดีรอบหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปพลิกนิทานของข้าต่ออย่างไม่ยินดียินร้าย ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่อ่านถึงตอนที่หญิงงามบังคับจูบชายหนุ่มในการพบหน้ากันครั้งแรก ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

พลบค่ำโม่ซีรีบร้อนกลับมาบ้าน ข้ากำลังนอนเอนพิงตั่ง เมื่อเหลือบสายตามองเขาคราหนึ่งค่อยหันไปอ่านนิทานของข้าต่อ

เขายืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง สายตาคล้ายว่าพิศมองร่างข้ากลับไปกลับมาอยู่นาน เขาเดินเข้ามาในบ้านเงียบๆ แล้วนั่งลงบนตั่ง นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าวันนี้มีทหารของทางการมา”

“อืม”

“บาดเจ็บหรือไม่”

“เปล่า”

ตอบเสร็จสองประโยค โม่ซีก็นิ่งเงียบไปอีก ข้าโยนนิทานไปอีกด้าน ลุกขึ้นนั่งดีๆ แล้วจ้องมองเขาตรงๆ “เจ้าอยากถามอะไร”

เขาอ้าปากเล็กน้อย แต่ยังคงไม่พูดอะไร ข้าจึงกล่าวขึ้น “ทหารเป็นข้าไล่ตีหนีไป ซือเชี่ยนเชี่ยนก็เป็นข้าไล่ไป”

เขามองข้าครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้มจนปัญญาออกมา

ข้าเลิกคิ้วพูด “ทำไม หรือที่จริงเจ้าอยากแต่งบุตรสาวแม่ทัพคนนั้น อ้อ เป็นข้าไม่ดีเอง ทำลายบุพเพสันนิวาสนี้ของเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าท่าทางทำใจไม่ได้ถึงเพียงนี้ ข้าไปพาแม่นางคนนั้นกลับมาก็สิ้นเรื่อง ดูแล้วความรู้สึกที่นางมีต่อเจ้าก็ลึกซึ้งอยู่” ข้าพูดพลางมุ่งหน้าออกไปด้านนอก

เขาดึงข้าไว้ แก้มแดงซ่าน “ซานเซิง เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้าหาได้หมายความเช่นนี้ เจ้า…เจ้ากินน้ำส้มเพราะข้าได้ อันที่จริงข้าดีใจมาก เพียงแต่…”

“เพียงแต่?”

“ทหารพวกนั้นพูดว่าเจ้าเป็นปีศาจ…”

ข้าส่ายหัว “ข้าไม่ใช่ปีศาจ”

โม่ซีจ้องมองข้า ส่วนลึกในดวงตาซ่อนความจนใจบางๆ

เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ข้าก็พลันกระจ่างแจ้ง “โม่ซี เจ้าก็รู้สึกว่าข้าเป็นปีศาจหรือ” เสียงพูดหยุดชะงักไปเล็กน้อย “หรือว่าเจ้ามองข้าเป็นปีศาจมาโดยตลอด”

โม่ซีขมวดคิ้ว

ข้าพยักหน้าพูดงึมงำกับตนเองอย่างลืมตัว “ไม่ผิด ข้าใช้ชีวิตร่วมกับเจ้ามาหลายปี แต่หน้าตาไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ตอนที่อยากจุดไฟก็สามารถจุดได้ ตอนที่อยากเรียกลมก็สามารถเรียกได้ เจ้าคิดว่าข้าเป็นปีศาจก็สมเหตุสมผลแล้ว” ลำคอจุกแน่น ในหัวใจรู้สึกอดสูและผิดหวังอยู่บ้าง ข้าจ้องมองนัยน์ตาของเขาแล้วเอ่ยถาม “ตอนนี้เจ้ากลัวข้า? รังเกียจข้า?”

พอคำพูดหลุดออกมา สีหน้าของโม่ซีก็เปลี่ยนแปลงไป ดวงหน้าที่อ่อนโยนกับข้าเสมอเผยความโกรธออกมาอย่างหาได้ยาก “ทำไมข้าต้องกลัวเจ้าด้วย! ทำไมต้องรังเกียจเจ้า! เจ้าเป็นปีศาจแล้วอย่างไร ข้ารู้เพียงว่าซานเซิงของข้าไม่เคยทำร้ายข้า โม่ซีหาใช่คนไร้หัวใจ ในโลกนี้ใครปฏิบัติต่อข้าอย่างไรข้าล้วนรู้ดี! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซานเซิงหาใช่ปีศาจชั่วร้าย ต่อให้เจ้าเป็นปีศาจ ชาตินี้ของข้าก็ยังชอบปีศาจเช่นเจ้า!”

‘ชอบ’ คำนี้ทำให้มุมปากของข้ายกขึ้นอย่างอดไม่อยู่ ความอดสูพวกนั้นกลายสภาพเป็นควันลอยหายไปในบัดดล ข้ามองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง รู้ว่าโม่ซีเป็นคนจิตใจดีมาโดยตลอด กับข้ายิ่งอ่อนโยนจนไม่รู้จะพูดอย่างไร ยากจะเห็นเขาฉุนเฉียวถึงเพียงนี้ ข้ารู้สึกว่าหาได้ยากยิ่งนัก “เช่นนั้นเจ้ากลัวอะไร”

สีหน้าเขาชะงักค้าง ถูกคำพูดกระแทกใจของข้าทำให้อึดอัดอยู่บ้าง เขาเงียบไปพักหนึ่งค่อยถอนหายใจเสียงเบาแล้วกล่าว “ซานเซิง ข้ากลัวเจ้าถูกรังแก”

ข้าฟังแล้วรู้สึกว่าน่าขัน “เจ้ายังจำลานหลังบ้านของเจ้าอ้วนหวังได้หรือไม่”

เขาเหล่มองข้า “หญ้าสักต้นก็ไม่เหลือ”

ข้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ถูกรังแกไม่เห็นเป็นไร ขอเพียงรังแกกลับไปก็พอแล้ว ภรรยาของเจ้าอย่างข้ากินได้ทุกอย่าง มีก็แต่เรื่องขาดทุนที่กินไม่ลง เจ้ากลับเป็นห่วงเรื่องนี้แทนข้าเสียได้”

โม่ซีถูกข้าหยอกจนยิ้มแล้ว ไม่พูดอะไรอีก

ตอนที่บ้วนปากล้างหน้าข้าเห็นบนแขนเสื้อเขามีรูไม่เล็กไม่ใหญ่รูหนึ่งจึงกล่าวอย่างแปลกใจ “นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ”

โม่ซีซ่อนแขนเสื้อ “ไม่มีอะไร แค่วันนี้มีปากเสียงกับทหารสองสามคนแล้วไปเกี่ยวโดนเสื้อเกราะของพวกเขาเท่านั้น”

ข้ายื่นมือออกไป “ถอดเสื้อให้ข้า ข้าช่วยเย็บให้เจ้า”

ข้าจุดเทียนแล้วเย็บปิดรูนั้นทีละเข็มๆ โม่ซีนั่งลงด้านข้าง ผินหน้ามองข้าช่วยเย็บเสื้อให้เขา แววยิ้มบนมุมปากไม่จางหายไป ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนพึงพอใจยิ่ง

“เสร็จแล้ว” ข้าส่งเสื้อคลุมยาวให้เขา ครั้นเห็นใบหน้าเขาแผ่ซ่านไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นก็พลันเอ่ยถาม “ฮ่องเต้คนปัจจุบันเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือไม่”

โม่ซีรับเสื้อคลุมยาวไปแล้วตอบ “เป็นฮ่องเต้ที่ยอดเยี่ยม”

ข้าพยักหน้า “แล้วแม่ทัพใหญ่ที่กุมอำนาจทางทหารอยู่ในมือผู้นั้นเป็นแม่ทัพที่ดีหรือไม่”

โม่ซีขมวดคิ้ว “หากพูดถึงยามนำทัพสู้รบย่อมเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง แต่เมื่อใต้หล้ามั่นคง บ้านเมืองที่สุขสงบกลับไม่จำเป็นต้องมีความกระหายเลือดของเขา”

ข้าพยักหน้าอีกครั้ง “กำจัดเขา ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็จะยิ่งดีขึ้น?”

“หากไม่มีการควบคุมของแม่ทัพใหญ่ ฝ่าบาทสามารถปฏิรูปการปกครองได้เต็มที่ ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรย่อมต้องดียิ่งขึ้น” โม่ซีมองข้าอย่างประหลาดใจ “ซานเซิงสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

ข้าถามต่อ ไม่ได้ตอบเขา “หากตัวเจ้าได้ช่วยประชาราษฎร์กำจัดแม่ทัพใหญ่ เจ้าจะเบิกบานใจหรือไม่”

ดวงตาของโม่ซีเปล่งประกายวาบ ทว่าก็หลุบตาลงบดบังประกายแสงนั้นทันที “ย่อมต้องเบิกบานใจ”

ข้ายังคงพยักหน้า “ดึกแล้ว พรุ่งนี้เจ้ายังต้องยุ่งอีก รีบไปนอนเถอะ”

หลังจากแสงเทียนในห้องโม่ซีดับลงแล้ว ข้ายังคงนั่งอยู่บนเตียงดังเดิม ลืมตามองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง

โม่ซีจะมีปากเสียงกับผู้อื่นโดยไม่มีสาเหตุได้อย่างไร ข้าครุ่นคิดเรื่องในวันนี้แล้วก็เข้าใจ จะต้องเป็นเขาได้ยินคนพูดว่าข้าเป็นปีศาจ จึงทะเลาะกับผู้อื่นอย่างทนไม่ไหวเป็นแน่ โม่ซีเป็นคนอดทนอดกลั้นมาแต่ไหนแต่ไร ปัจจุบันเขาก็เพิ่งเป็นขุนนางได้ไม่นาน แม้จะเป็นที่โปรดปรานไว้วางใจของฮ่องเต้ แต่กระทั่งบ้านสักหลังฮ่องเต้ก็ไม่ประทานให้เขา เห็นได้ว่าฐานะในราชสำนักยามนี้ของเขาเป็นตำแหน่งที่ลำบากอย่างยิ่ง

อีกทั้งเช้าวันนี้ข้าลงไม้ลงมือกับคนของจวนแม่ทัพพวกนั้น ยิ่งเป็นการผลักโม่ซีเข้าไปกลางพายุปลายยอดคลื่น

ข้าเองก็ไม่เหมือนกับคนรอบข้างจริงๆ ราชครูซย่าเฉินพบว่าข้าอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ด้วยนิสัยที่สามารถคบหาเป็นสหายกับลาเฒ่าหัวโล้นได้โดยไม่ถืออายุของเขา เขาต้องไม่ปล่อยข้าไปโดยไม่สนใจแน่ รอเขาได้ยินเรื่องที่ข้าลงมือกับคนของจวนแม่ทัพ ไม่แน่ว่าจะสรรหาวิธีการใดมาเคี่ยวกรำข้า ยิ่งไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำร้ายโม่ซีด้วยการทูลอะไรบางอย่างต่อหน้าฮ่องเต้ ฐานเดิมของโม่ซีก็ไม่มั่นคงอยู่แล้ว หากถูกราชครูกล่าวตำหนิอีก ไม่รู้ว่าพวกโง่เขลาในราชสำนักเหล่านั้นจะขัดแข้งขัดขาเขาอย่างไร

ครั้นนึกถึงดวงตาเปล่งประกายยามที่โม่ซีเอ่ยถึงความคิดของตนเองเมื่อครู่ ข้าผนึกมุทระร่ายเวทพรางตนก่อนจะเข้าไปในห้องของโม่ซี บรรจงลูบแก้มของเขาซึ่งกำลังหลับลึกเหมือนดั่งที่เคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน ข้ามองคิ้วที่ขมวดเข้าหากันโดยจิตใต้สำนึกของเขา ไม่รู้ว่าเขากำลังฝันถึงเรื่องยากลำบากอันใด ข้ารู้สึกปวดใจอยู่บ้าง โน้มกายลงจูบหว่างคิ้วของเขาแผ่วเบาอย่างทนไม่ได้ “โม่ซี” ข้าแนบแก้มเขาเบาๆ

“ซานเซิงจะไม่ทำตัวเป็นภาระของเจ้า”

 

เดิมข้านึกว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนเป็นเลวร้ายขึ้นมา จึงทำเรื่องที่ควรเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว แต่ไม่คาดว่าหลังจากวันนั้นทุกคนและทุกเรื่องดูราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะโดยพลัน ซือเชี่ยนเชี่ยนกับซือหรงไม่ได้มาอีก สองพี่น้องซย่าอีซย่าเฉินก็ไม่ได้ปรากฏกายในครรลองสายตาข้า กระทั่งสือต้าจ้วงเองก็ไม่เห็น

โม่ซีไปราชสำนักตอนเช้าและกลับบ้านตอนเย็นทุกวัน ทุกอย่างคล้ายกลับไปเหมือนเมื่อครั้งข้ากับเขาอาศัยอยู่นอกเมืองเล็ก สงบเงียบและเป็นสุข

แต่ข้ารู้ดีว่านี่อาจเป็นเหมือนที่กล่าวขานกัน ความเงียบสงบก่อนพายุมา

วันนี้ฟ้าที่มีหิมะตกมาตลอดหลายวันปลอดโปร่งแล้วในที่สุด แม้จิตวิญญาณในปรโลกเช่นข้าจะไม่เหมาะกับดวงอาทิตย์นัก แต่ก็ยังย้ายเก้าอี้โยกไปในลานบ้าน ตั้งใจจะอาบแดดให้ทั่วร่างสันหลังยาวนี้ ทว่าอาบแสงอาทิตย์ได้ไม่เท่าไรก็พลันมีคนพลิกกายข้ามกำแพงเข้ามา

ข้าเหลือบตามองอย่างเกียจคร้านคราหนึ่ง เป็นซย่าอีที่ไม่ได้พบกันมาหลายวัน

นางมาหาถึงนี่ได้อย่างไร

“ข้าไม่เจอสือต้าจ้วงหลายวันแล้ว เขาไม่อยู่ที่นี่” ข้าโบกมือไปมา ไล่ให้นางจากไป

ซย่าอีกลับมองข้าไม่ยอมขยับ ผ่านไปนานถึงเอ่ยปาก “แม่ทัพใหญ่ส่งเทียบเชิญถึงพี่ใหญ่ข้าแล้ว เชิญเขาไปพูดคุยที่จวนแม่ทัพวันพรุ่งนี้ การพูดคุยครั้งนี้หากพบเจอเงื่อนงำเพียงน้อยนิด ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็หนีไม่รอด”

จู่ๆ นางก็พูดขึ้นมาเช่นนี้ ข้าฟังแล้วมึนงงไปหมด หันหน้าไปมองนาง “พี่ชายเจ้า หรือว่า…” ข้าคาดเดา “เกิดความรู้สึกอะไรที่ไม่สมควรมีกับแม่ทัพใหญ่?”

ได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่เดิมเคร่งเครียดของซย่าอีก็พลันบิดเบี้ยว “เจ้าจริงจังหน่อย!”

ข้าย่อมจริงจังไม่ต่างกัน “นั่นเป็นเรื่องของพี่ชายเจ้ากับแม่ทัพใหญ่ เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่ชอบแม่ทัพใหญ่และไม่ชอบพี่ชายเจ้า ไม่มีความจำเป็นต้องหนี”

ซย่าอีขมวดคิ้ว “เจ้ายังไม่คิดยอมรับ?”

ข้าสับสนขึ้นมาแล้ว “ยอมรับอะไร”

“ระยะนี้จวนแม่ทัพมีวิญญาณร้ายก่อกวน คุณชายสามกับคุณหนูคนเล็กของจวนแม่ทัพล้วนป่วยด้วยอัปมงคล ว่ากันว่าไปเห็นสิ่งสกปรกเข้า” ซย่าอีมองข้าแน่วนิ่ง “ช่วงที่ผ่านมานี้พวกเขาต่างได้พบเจ้า อีกทั้งพวกองครักษ์ก็เป็นพยานว่าเจ้าใช้เวทปีศาจจริง ไม่ใช่เจ้าหรือยังจะมีใครที่ไหนทำอีก”

ข้าเข้าใจในทันที ที่แท้เป็นตุ่มหนองหรงกับซือเชี่ยนเชี่ยนป่วยนี่เอง ข้าเอ่ยปากอธิบาย “หลายวันมานี้ข้าอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปรังแกพวกเขา เจ้าลองไปดูที่อื่นก่อนเถอะ”

ซย่าอีนิ่งเงียบมองข้าครู่หนึ่ง “ไม่ว่าใช่หรือไม่ใช่เจ้า ตอนนี้พวกเขาล้วนเจาะจงว่าเป็นเจ้าแล้ว ขอเพียงเจ้ายังใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาก็ไม่อาจสบายใจได้ นิสัยของพี่ชายข้า เจ้าคงได้ยินมาบ้าง ขอเพียงเป็นมารปีศาจ เขาไม่มีทางยั้งมือไว้ไมตรี เจ้ามีแค่วันนี้ที่สามารถหนีได้” ซย่าอีเงียบไปชั่วขณะ “ข้าช่วยเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง”

แม้ในใจข้าจะรังเกียจการถูกคนไล่ตามฆ่า แต่กลับไม่ได้เกรงกลัวซย่าเฉินจริงๆ หากเอาจริงขึ้นมา มนุษย์ธรรมดาที่มีพลังเวทเพียงสิบกว่าปีไหนเลยจะเอาชนะไอหยินที่สะสมมาเป็นพันปีจากแม่น้ำลืมเลือนได้ แม้ท่าทางของซย่าอีจะเอาจริงเอาจัง น้ำเสียงหรือก็หนักหน่วง ทว่าข้าหาได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตสักเท่าใด

อย่างไรเสียก็แค่ถูกไล่สังหารอีกคราเท่านั้น

ข้ากลับสนใจข้อเรียกร้องของนางมากกว่า จึงส่งสัญญาณให้นางพูดต่อ

ซย่าอีหลุบตากล่าว “ข้าต้องการให้เจ้ากับสือต้าจ้วงไปด้วยกัน ต้องการให้อยู่ด้วยกันกับเขาดีๆ…”

คำพูดนี้กลับทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งกว่า “เจ้าไม่ได้ชอบเขาหรือ”

“ข้าชอบเขา” ซย่าอียอมรับตรงไปตรงมา แต่ประกายตากลับมืดมนลงเล็กน้อย “แต่เขาชอบเจ้าถึงเพียงนั้น…ถูกข้ารังควานทำให้เขาไม่พอใจมาโดยตลอด ข้าอยากให้เขาเบิกบานใจ ถือว่าข้า…ทำเรื่องดีๆ แก่เขาเป็นครั้งสุดท้าย”

แม่นาง นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย หากข้าเอ่ยกับสือต้าจ้วงว่าต้องการหนีตามกันไป ไม่รู้ว่าเขาจะตกใจจนเป็นอย่างไร

ข้าโบกมือ “เจ้าไปเถอะ ข้าไม่ต้องให้เจ้าช่วย เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”

ซย่าอีหน้านิ่ว “เจ้าไม่กลัวพี่ชายข้าจะจับเจ้าหรือ”

ข้าส่ายหน้าไม่เอ่ยคำ ซย่าอีกล่าวอย่างข่มอารมณ์ไม่อยู่ “ได้ ต่อให้เจ้าไม่สนใจตนเอง เช่นนั้นเจ้าทำใจปล่อยให้คนที่เจ้าชอบถูกกีดกันและได้รับความอยุติธรรมอยู่ในราชสำนักเพราะเจ้าได้หรือ”

นิ้วของข้าอดชะงักแข็งไม่ได้

“ข้ารู้ ขุนนางบุ๋นคนใหม่โม่ซี ทุกวันนี้ในราชสำนักเขาต้องถูกคนประณามว่าให้ที่พักพิงแก่ปีศาจสาว นำหายนะมาสู่เมืองหลวง หากไม่ใช่ฝ่าบาทพยายามปกป้องเขาเต็มที่ ไหนเลยเขาจะมีที่ยืนแม้แต่น้อยในราชสำนัก แม่นางซานเซิง เจ้าไม่ปวดใจให้เขาหรือ”

ปวดใจสิ

ข้ายื่นมือลูบตราทองที่โม่ซีประทับไว้ให้ที่ข้อมือ

แม่นางซย่าอี เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าปวดใจเพียงไหน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com