ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด
บทที่เก้า
ตอนบ่ายข้าไปซื้ออาหารจ่ายตลาด ไม่ได้ออกจากบ้านมาหลายวัน พอออกมากลับพบว่าที่ถนนใหญ่ตรอกน้อยต่างถกกันเรื่องวิญญาณร้ายก่อกวนในจวนแม่ทัพใหญ่อย่างออกรส ทั้งยังมีเรื่องที่เมืองหลวงมีปีศาจสาวหลบซ่อนตัวอยู่ด้วย เดินไปสิบก้าวก็ได้นิทานมาเรื่องหนึ่งแล้ว เล่ากันได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านักเล่านิทานในหอน้ำชาเสียอีก ข้ามีเวลาว่างพอฟังอย่างละเอียดอยู่สองสามคน ครั้นเห็นฟ้าเริ่มมืด ข้าคำนวณเวลาแล้วจึงซื้ออาหารกลับบ้าน
โม่ซีกลับถึงบ้านยามพลบค่ำ เขาล้างมือแล้วจึงมากินข้าวเหมือนปกติ ข้าคีบกับข้าวให้เขา จากนั้นถือชามพลางจับจ้องทุกรายละเอียดบนใบหน้าเขา ไม่มีความคับข้อง ไม่มีความวิตก ไม่มีความโกรธ โม่ซีแทบไม่เคยแสดงอารมณ์ด้านลบต่อหน้าข้า หัวใจคล้ายถูกอะไรบางอย่างเย้าแหย่ ทั้งอ่อนทั้งยวบ ข้ารีบก้มหน้าลงพุ้ยข้าว
“โม่ซี” ข้าเอ่ย “ข้ารู้เรื่องจวนแม่ทัพใหญ่แล้ว”
โม่ซีนิ่งงันไปชั่วพริบตาหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้น ทว่ากลับยิ้มน้อยๆ ให้ข้า “ที่ถนนมีคนว่างงานพูดเรื่อยเปื่อยหรือ ซานเซิงไม่ต้องทุกข์ใจไป โม่ซีจะปกป้องเจ้าอย่างดี”
ข้ากะพริบตามองดูเขา “เจ้าเชื่อว่าข้าไม่ได้ทำ?”
“ต้องไม่ใช่ซานเซิงทำอยู่แล้ว”
“หากข้าเป็นคนทำเล่า” ข้าถามเขาเสียงเบา
โม่ซีชะงักน้อยๆ เขาเงยหน้า นัยน์ตาดำกระจ่างสะท้อนเงาร่างของข้าอย่างแจ่มชัด
“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องปกป้องเจ้า”
มีชีวิตอยู่มาเป็นพันปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกขอบตาร้อนผ่าวเพราะคำพูดแผ่วเบาหนึ่งประโยค “โม่ซี” ข้ากล่าว “ข้าไม่ได้ทำ”
“อืม”
“หากเกลียดพวกเขาจริง ข้าคงเผาสวนหลังบ้านเขาไปแล้ว”
โม่ซีเผลอยิ้มออกมา “ใช่แล้ว” เขาพูด “ไม่ว่าชอบหรือเกลียด ซานเซิงล้วนตรงไปตรงมาที่สุด”
ยามดึกคืนนี้ ข้านั่งอยู่ในห้องกว่าครึ่งคืน แต่เมื่อได้ยินเสียงในห้องโม่ซีค่อยๆ เงียบสงบลง หลังลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นยาวสม่ำเสมอ ข้าทำมุทระไปปรากฏตัวที่จวนแม่ทัพใหญ่ในชั่วพริบตา
ตอนที่ตามหาโม่ซี ข้าเคยมาหยิบเครื่องประดับบางชิ้นจากห้องซือเชี่ยนเชี่ยนไปขาย จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับที่ทาง เลี้ยวผ่านเรือนเล็กสองสามหลังมุ่งหน้าไปเรือนของซือเชี่ยนเชี่ยน ประตูเรือนของนางปิดแน่น บนประตูใหญ่แปะทวารบาลสององค์ ร่องประตูตรงกลางแปะป้ายยันต์ไม้ต้นท้อเป็นแถว ข้าแกะออกมาดูป้ายหนึ่ง ชาดแดงนี้วาดได้อัปลักษณ์ยิ่งกว่าอักษรของท่านพญายมเสียอีก พลังเวทที่แทบจะไม่มีบนนั้น เกรงว่ากระทั่งผีน้อยก็ไล่ไปไม่ได้
ข้าแปะมันคืนไป ไล้นิ้วมือวาดอักขระไปตามรอยประทับชาด ชาดสีแดงสดเปล่งแสงราวกับพวยพุ่งออกมา แผ่คลุมเรือนหลังน้อยเอาไว้ ทำให้คนในจวนแม่ทัพไม่รู้สึกตัว ทุกคนยังคงอยู่ในความฝัน
หูข้าพลันได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ สองเสียง ข้าคุ้นจนไม่อาจคุ้นไปมากกว่านี้ เป็นวิญญาณซึ่งห่วงเล่นไม่ยอมไปเกิดใหม่ของเด็กที่ตายตั้งแต่ยังเยาว์ รั้งอยู่ในโลกมนุษย์จนกลายสภาพเป็นผีน้อย โดยเฉพาะในบ้านของขุนนางเรืองอำนาจเช่นนี้ยิ่งง่ายต่อการให้กำเนิดผีน้อย ทุกปียมบาลจย่าอี่ล้วนต้องจับผีน้อยหลายร้อยตนกลับลงไปเกิดใหม่ พวกเขากระซิบกระซาบก่อเรื่องบนทางน้ำพุเหลืองตลอดทาง บางครั้งตนที่ซนเป็นพิเศษยังมาฉี่อยู่หน้าร่างจริงของข้า เป็นพวกเด็กดื้อด้านกลุ่มหนึ่งโดยแท้
ดูท่าซือเชี่ยนเชี่ยนกับตุ่มหนองหรงคงถูกเด็กดื้อสองสามตนนี้กลั่นแกล้งเอาจนตกใจ
ข้าทะลุกำแพงเข้าไป พริบตาก็เห็นผีน้อยสองตนรีบร้อนหมุนตัวอยู่ในลาน ข้าร่ายเวทเพิ่มไว้บนยันต์หน้าประตูปิดล้อมเรือนหลังนี้เรียบร้อย พวกเขาออกไปไม่ได้ เดิมก็ลนลานอยู่แล้ว ครานี้เห็นข้าจึงยิ่งตกใจเข้าไปอีก เด็กน้อยทั้งสองที่ผอมราวกับหนังหุ้มกระดูกกอดกันกลม ตัวสั่นงันงก
“เดิมข้าไม่ชอบยุ่งเรื่องพรรค์นี้” ข้าพูด “แต่พวกเจ้าสองคนเล่นพิเรนทร์จนให้ร้ายข้าแล้ว”
ทั้งสองแข้งขาอ่อน ล้มนั่งลงบนพื้นด้วยกัน
ข้าหรี่ตามองดูพวกเขาเหมือนกับมองผีน้อยที่มาฉี่รดร่างจริงของข้า ตอนนั้นข้าขู่พวกเขาว่า ‘พวกเจ้าคิดเอาว่าจะตักน้ำมาล้างให้สะอาดเอง หรือว่าอยากให้ต่อไปไม่อาจฉี่ได้อีก’ ผลที่ได้จากการข่มขู่ตอนนั้นดียิ่ง ดังนั้นข้าจึงใช้ประโยคแบบเดียวกันอีก “พวกเจ้าคิดเอาว่าจะไปเกิดใหม่เอง หรือว่าอยากให้ข้าทำให้พวกเจ้าไม่อาจเกิดใหม่ได้อีก”
ผีน้อยทั้งสองรีบหยัดตัวขึ้นมา อาศัยสัญชาตญาณของผีหาทางเข้าปรโลกกลางอากาศแล้วล้มลุกคลุกคลานเข้าไป
ข้าสะบัดมือเบาๆ ลบข่ายอาคมที่ล้อมเรือนนี้ไว้ ขณะกำลังคิดจะสลักว่า ‘ขจัดปีศาจสำเร็จ’ ไว้บนประตู บานประตูพลันถูกผลักเข้ามาโดยแรง ข้ารีบกระโดดถอยไปข้างหลังห่างไปสามจั้ง เห็นเพียงซย่าเฉินในชุดคลุมยาวของราชครูถือกระบี่ไม้ท้อก้าวข้ามประตูเข้ามา
สีหน้าเย็นชาของเขาจับจ้องข้า “เป็นเจ้านี่เอง เจ้าช่างขวัญกล้านัก หลังสังหารคงเฉินต้าซือ* แล้วยังเข้ามาก่อกรรมทำชั่วในเมืองหลวง”
คำพูดแรกที่ราชครูเอ่ยเมื่อเห็นข้าก็คือประโยคนี้ ข้างงงันไปครู่ใหญ่กว่าจะนึกออกว่าคงเฉินต้าซือที่เขาพูดถึงก็คือพระที่ไล่ตามข้าเก้าปีเต็มๆ รูปนั้น “ผิดแล้ว เป็นเขาที่ตามมาสังหารข้า ตนเองเอาแต่ไล่สังหารจนเหนื่อยตาย ไม่เกี่ยวกับข้าเลยแม้แต่น้อย ข้าไม่ใช่ปีศาจ ยิ่งไม่ได้สังหารผู้ใด”
“เฮอะ! เหลวไหลสิ้นดี!” แขนเสื้อยาวของซย่าเฉินสะบัดคราหนึ่ง อักขระบนกระบี่ไม้ท้อเปล่งแสงน้อยๆ “ไอหยินเข้มข้นบนร่างเจ้าเหมือนกับปราณที่นี่ ยังคิดเล่นลิ้นว่าไม่ใช่คนทำร้ายเจ้าของบ้านนี้อีกหรือ”
ผีน้อยมีพลังเวทน้อยนิด ปราณบนร่างอ่อนจาง จะมีก็แต่ไอหยินเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนทั้งร่างข้าล้วนเป็นไอหยินพอดิบพอดี มิน่าซย่าเฉินถึงเอาปราณของข้ากับผีน้อยไปรวมกัน
ข้าอธิบาย “หากเจ้ามีเวลาลองไปดูที่ทางน้ำพุเหลืองสิ ทุกที่ในนั้นต่างก็มีปราณเช่นนี้”
“บังอาจ!” ซย่าเฉินขมวดคิ้วด่าว่าเสียงเข้มงวด “นางปีศาจกระจ้อยร่อยกล้าพูดจาอวดดี!”
ข้าคิดทบทวนคร่าวๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าประโยคไหนที่เป็นการอวดดี
ซย่าเฉินกลับขมุบขมิบริมฝีปากเริ่มบริกรรมคาถาในตอนนี้
ข้านึกในใจว่านักพรตคนนี้เหมือนกับลาเฒ่าหัวโล้นไม่ผิดเพี้ยน มีความคิดการกระทำไปในทางเดียวกัน ต่างเป็นพวกเผด็จการไม่ฟังคำพูดคนอื่น จิตใจก็ไม่บริสุทธิ์ คำพูดที่ข้าพูดพวกเขาล้วนสามารถตีความสองแง่สองง่ามออกมาได้
หากเมื่อก่อนพบสถานการณ์เช่นนี้ ปกติข้าล้วนจากไป หนีไปเป็นพอ แต่ตอนนี้ข้ากลับหนีไม่ได้ หากหนีไป จะมิใช่บอกว่าข้าร้อนตัวหรอกหรือ
เพิ่งคิดจะอธิบายกับซย่าเฉินดีๆ อีกครั้ง ก็พลันรู้สึกแน่นที่เท้า
ข้าตกใจก้มลงมอง ไม่คาดว่าจะเห็นหัวสือต้าจ้วงโผล่ออกมาจากในดิน ข้าใช้เท้าอีกข้างเหยียบลงไปบนหน้าเขาโดยแรงตามจิตใต้สำนึก “ทำอะไร!”
เขาก็ไม่ร้องโอดครวญ ดึงข้อเท้าของข้าและตะโกนเสียงดัง “ไป!”
“ปีศาจชั่วอย่าคิดหนี!”
“ไม่ๆ!” คำปฏิเสธของข้ายังพูดออกมาไม่จบ สือต้าจ้วงก็ใช้วิชาดำดินลากข้าลงไปใต้พื้น เพียงพริบตาเดียวพอลืมตาอีกครั้ง สิ่งที่เห็นก็กลายเป็นเงาต้นไม้แห้งเหี่ยวแน่นขนัด รอบด้านยังมีหิมะทับถม
สือต้าจ้วงนั่งลงด้านข้าง กุมหน้าอกหอบหายใจ “นับว่าหนีพ้นแล้ว”
ข้าโกรธจนแทบจะเหยียบหน้าเขาฝังหิมะ “เจ้าลากข้าออกมาทำไม!”
เขามองข้าอย่างงุนงง “ซานเซิง นั่นคือซย่าเฉินนะ! คืออัครราชครู! เมื่อกี้เขาเอาจริงแล้ว ข้าจะไม่ช่วยเจ้าได้อย่างไร!”
“เขาเอาจริงก็ไม่ใช่ว่าข้าจะสู้เขาไม่ได้ เจ้าไม่ควรช่วยข้า ข้ายังต้องไปอธิบายเหตุผลกับเขา”
สือต้าจ้วงรีบขวางข้าไว้ “ไม่ได้ๆ เจ้ากลับไปตอนนี้ คนในจวนแม่ทัพต้องตื่นหมดแล้วแน่ พวกเขาจะต้องล้อมเจ้าไว้ ต่อให้เจ้าอยากอธิบายเหตุผลกับพวกเขาก็ยิ่งทำไม่ได้แล้ว”
คำพูดนี้ของสือต้าจ้วงกลับเรียกสติข้า ตอนที่ซย่าเฉินมา ข้าลบข่ายอาคมที่กางไว้ไปแล้ว การมาก่อเรื่องของสือต้าจ้วงต้องทำให้คนในจวนแม่ทัพสะดุ้งตื่นแน่ ถ้ากลับไปอีกพวกเขาคงเตรียมตัวพร้อมรบเรียบร้อยแล้ว หากข้าปรากฏตัวกลางอากาศ ยิ่งเป็นการยืนยันว่าชื่อ ‘ปีศาจสาว’ เป็นความจริง
ข้านั่งลงอย่างรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง อดถอนหายใจเบาๆ ออกมาไม่ได้ พอข้าถอนหายใจ สือต้าจ้วงก็ถอนหายใจอยู่ข้างๆ ด้วย
ข้าหันมองเขา “เจ้ากลุ้มอะไรอีก”
“ซย่าเฉินเห็นแล้วว่าเป็นข้าช่วยเจ้า ในใจคงลงบัญชีแค้นไว้อีกกระทงเป็นแน่ ต่อไปไม่รู้จะทรมานข้าอย่างไรอีก”
ได้ยินคำพูดนี้ข้าก็คิดถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้ “เจ้าไปอยู่ในเรือนซือเชี่ยนเชี่ยนได้อย่างไร”
“วันนี้ข้ายังคอยตามซย่าอีเหมือนที่ผ่านมา ข้าเห็นนางเข้าไปในเรือนเจ้า เดิมคิดว่านางไปหาเรื่องเจ้าอีกแล้ว แต่ตอนอยู่นอกเรือนกลับได้ยินคำพูดพวกนั้นที่นางพูดกับเจ้า” สือต้าจ้วงหน้าขึงขังขึ้นเล็กน้อย ดูเคร่งขรึมต่างไปจากปกติอยู่บ้าง “ต่อมาตอนที่นางออกมาเห็นข้าเข้า ก็พูดว่ารู้อยู่ตลอดว่าข้าคอยตามนาง แต่นางรู้ดีว่าถ้าหากบอกเรื่องที่นางสัมผัสปราณของข้าได้ ข้าจะต้องหนีหายไปอีก ดังนั้นนางจึงแสร้งทำไม่รู้มาตลอด ให้ข้าคอยตามนาง”
สือต้าจ้วงพูดอย่างไร้อารมณ์ แต่ข้าสามารถจินตนาการถึงภาพที่ซย่าอีเดินอยู่ข้างหน้า สือต้าจ้วงเดินตามหลังทุกวันได้ คนหนึ่งกระหยิ่มใจว่าตนเองหลอกคนข้างหน้าได้ อีกคนกลับยินยอมให้เขาหลบหลีกเพียงเพื่อย่นระยะห่างเข้ามาอีกนิดเท่านั้น
ข้าถอนหายใจให้กับแม่นางที่ลุ่มหลงในรัก และการกระทำที่แสนเจ็บปวดถึงเพียงนี้
“นางบอกว่าท่าทางของเจ้าเหมือนคิดจะทำอะไรบางอย่าง ให้ข้าคอยดูเจ้าให้ดี แล้วยังถือโอกาสจัดการรอยตราที่ซย่าเฉินประทับไว้บนแขนข้า ให้ข้าพาเจ้าหนีหากเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง ดังนั้นตั้งแต่บ่ายถึงตอนนี้ข้าจึงคอยตามดูเจ้าตลอด
ข้าฟังอย่างอึ้งตะลึง
คิดไม่ถึงว่าซย่าอีจะทำใจให้สือต้าจ้วงจากไปได้จริงๆ
ข้าหันไปมองเขา “ต้าจ้วง ดังคำกล่าวว่าเมื่อตกทุกข์ได้ยากจึงรู้ใจตน เจ้าดูสิ ซย่าอียอมเสียสละตนถึงเพียงนี้แล้ว แม่นางที่ดีขนาดนี้ อย่างไรเจ้าก็ไม่ชอบนางหรือ”
ต้าจ้วงเอ่ยเบาๆ “ข้าถูกพี่ชายนางตามฆ่านะ…”
ข้าเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตบบ่าเขา “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจ” ข้าลุกยืน ปัดก้นเบาๆ “นี่คือชานเมืองของเมืองหลวงสินะ ตอนนี้พวกเรากลับกันเถอะ อีกไม่นานโม่ซีก็น่าจะไปประชุมเช้าแล้ว ข้าต้องรีบกลับไป”
ข้าหมุนตัวเตรียมกลับไป สือต้าจ้วงกลับนั่งบนพื้นหิมะไม่ลุกขึ้น
ข้าหันไปดู เห็นเขาจ้องมองพื้นหิมะด้วยสีหน้าสับสนยิ่ง “ซานเซิง เจ้าว่าเจ้าสามารถใช้ทั้งชีวิตไปชอบใครสักคนหรือไม่”
เขาถามถึงตัวเขากับซย่าอี แต่ข้ากลับไม่อาจไม่คิดถึงตัวเองกับโม่ซี ข้าพยักหน้าตอบ “ย่อมสามารถ”
เพราะชีวิตของข้ามีบางจุดที่ต่างกับพวกเขา ก็เหมือนเป็นการหลอกลวงนั่นละ
กลับถึงบ้านหลังน้อยของตน ข้าค่อยๆ ผลักประตูห้องตัวเอง พลันได้ยินเสียงเรียกเบาๆ จากในห้องโม่ซี “ซานเซิง?” เขาผลักประตูเปิด คลุมเสื้อตัวในชั้นหนึ่งแล้วเดินออกมา เขามองข้าอย่างละเอียดรอบหนึ่ง “เจ้าออกไปข้างนอกมา?”
ข้ากลอกตารอบหนึ่ง กำลังคิดเรียบเรียงเหตุผลอยู่ในใจ หิมะในลานสะท้อนจนดวงตาของเขาโปร่งแสง โม่ซีรู้ทุกอากัปกิริยาของข้าเป็นอย่างดี หากวันนี้ข้าโกหกเขา เขาคงรู้ดีแต่จะไม่พูดอะไร แต่พอคิดถึงจุดนี้ข้าก็ไม่อาจโกหกเขาได้อีก
ข้าเอ่ย “ข้าไปจับผีที่จวนแม่ทัพใหญ่” เขาตกตะลึง ข้ากล่าวต่อ “ผีถูกจับแล้ว แต่ต่อมาได้เจอกับอัครราชครู”
โม่ซีรีบเดินขึ้นหน้ามาบีบไหล่ข้าแล้วมองสำรวจทั้งบนล่าง น้ำเสียงร้อนรนเล็กน้อย “เขาทำร้ายเจ้ารึเปล่า เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“ไม่เป็นไร เพียงแต่ภายหลังสือต้าจ้วงพาข้าหนีออกมา ข้าไม่อาจล้างมลทินได้ เกรงว่าจะทำให้พวกเขายิ่งเข้าใจผิดมากขึ้น” ข้าถอนหายใจ “โม่ซี ดูท่าคืนนี้ข้าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนแล้ว”
โม่ซีมองข้าเงียบๆ อยู่นาน กล่าวเสียงต่ำลึก “สำหรับโม่ซี มีเพียงซานเซิงเกิดเรื่องจึงจะเป็นความเดือดร้อนจริงๆ”
ข้าเงยหน้ามองเขา เขาลูบหัวข้าเลียนแบบตอนที่ข้าปลอบโยนเขาสมัยยังเด็ก จากนั้นกอดข้าเข้าไปในอ้อมอกเบาๆ “ข้ารู้ว่าซานเซิงล้วนเป็นเช่นนี้เสมอ เพื่อข้าแล้วยินยอมเหยียบย่างเข้าไปในอันตราย ยอมแปดเปื้อนบึงโคลน ความจริงซานเซิงไม่รู้ว่าขอแค่มีเหมยแดงหิมะขาว รวมทั้งมีซานเซิง ชาตินี้โม่ซีก็ไม่เสียใจแล้ว”
ข้าอยากบอกเขา ผู้ที่ไม่มีความเสียใจในชาตินี้คือข้า แต่ข้ากลับพูดประโยคนี้ไม่ออก
ตลอดเวลาที่ได้อยู่กับโม่ซี ข้าล้วนเป็นฝ่ายรุกเข้าหาเสมอ การที่เขาเปลี่ยนเป็นคนรุกเช่นในวันนี้หายากอย่างมาก หน้าอกของเขาเปลี่ยนเป็นกว้างใหญ่พอ ไหล่ก็เปี่ยมพลังพอ ฝ่ามือก็อบอุ่นพอ เขาเติบใหญ่เพียงพอแล้ว พอสำหรับแต่งข้า พอสำหรับปกป้องข้า
แต่ว่า…
ข้ากอดเขาเบาๆ “โม่ซี หากเจ้าสามารถกอดข้าไปตลอดได้คงดียิ่ง”
“ถ้าหากซานเซิงยินยอม ต่อไปโม่ซีก็จะกอดเจ้าบ่อยๆ ดีหรือไม่”
“อื้ม”
ก่อนโม่ซีไปประชุมเช้า มีขันทีคนหนึ่งมาถ่ายทอดราชโองการด่วนเรียกตัวโม่ซีเข้าวัง ก่อนตามขันทีจากไป เขาประทับจูบลงบนหน้าผากข้าเบาๆ “ซานเซิง วันนี้อย่าออกไปข้างนอก อ่านนิทานอยู่ในบ้านก็พอ ข้าวางเล่มใหม่ๆ ไว้บนหัวเตียงเจ้า ตอนเย็นกินอะไรง่ายๆ ก็พอแล้ว ไม่ต้องเปลืองสมองทำอาหารมากมายถึงเพียงนั้นทุกวัน”
ข้ายิ้มตาหยี “เช่นนั้น วันนี้ข้าก็ต้มเพียงโจ๊กเปล่าให้เจ้าแล้วกัน”
“ซานเซิงต้มอะไรข้าล้วนกินทั้งนั้น”
ข้าโบกมือส่งเขาจากไป มองเขาเดินห่างออกไปทีละก้าวๆ ตามโคมไฟที่ขันทีถือ ในใจข้าถึงกับรู้สึกทำใจไม่ได้
แต่ว่า…
โม่ซี ข้าเคยเห็นประกายแวววาวในดวงตาเจ้ายามเอ่ยถึงประชาราษฎร์บ้านเมือง ข้ารู้ว่าปณิธานในใจเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด ข้าชอบเจ้า ที่อยากมาเกี้ยวเจ้าก็เพราะข้าชอบโม่ซีที่เป็นเช่นนั้น
ข้าไม่ควรกลายเป็นภาระของเจ้า
โม่ซีเดินไปไกลแล้ว แต่ไม่รู้เหตุใดเขาจึงหมุนตัวกลับมาโดยพลัน เห็นข้ายังยืนอยู่หน้าประตูบ้านใต้โคมไฟก็โบกมือกลับมาเป็นสัญญาณให้ข้าเข้าไปในบ้าน
ข้ายิ้มโบกมือให้เขาเหมือนเมื่อสมัยเด็กยามส่งเขาไปสำนักศึกษา จากนั้นจึงปิดประตูเข้าไปในบ้าน
ข้าหันหลังพิงประตู ถอนหายใจเสียงเบา มองไอสีขาวที่ออกมาจากปากลอยวนเป็นวงกลางอากาศหนาวเหน็บ
พูดถึงที่สุดแล้ว สามชาตินี้ก็เป็นเจ้ามอบให้ข้า ใช้ชาติหนึ่งมาปัดป้องเคราะห์ร้ายแทนเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งกว่านั้นชาตินี้ข้ายังเป็นภรรยาเจ้าด้วย สามีอยากทำอะไร ข้าย่อมสนับสนุนเต็มกำลังจึงจะถูก