บทที่ 1 ชาติก่อนและชาตินี้
เจียงชิงหว่านคิดไม่ถึงว่าตนจะสามารถมีชีวิตได้อีกหนหนึ่ง…
นางเป็นบุตรสาวของพ่อค้าผู้มั่งคั่งแห่งอวิ๋นโจว เติบโตมาท่ามกลางความสุขสบายตั้งแต่เล็ก ครั้นถึงวัยปักปิ่น นางเกิดไปพึงใจชุยจี้หลิงบัณฑิตยากจนที่เข้าสอบเคอจวี่ เข้า และแต่งงานกับเขาโดยไม่สนใจคำคัดค้านของบิดา
หลังแต่งงานทั้งสองคนก็รักกันดี แต่น่าเสียดายที่สามีภรรยายากจนมีร้อยแปดเรื่องให้ทุกข์ใจ ทั้งยังมีมารดาและน้องสาวของสามีที่เข้ากันได้ยากอยู่ด้วย คนทั้งสองจึงค่อยๆ เริ่มมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน
ต่อมาชุยจี้หลิงสอบจิ้นซื่อ ไม่ผ่านเสียที จึงพาครอบครัวย้ายไปกานโจวเพื่อรับใช้หนิงอ๋องตามคำแนะนำจากสหายสนิท ด้านหนิงอ๋องเองก็ให้ความสำคัญกับเขา กระทั่งเขาค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาจนได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาประจำวังอ๋อง
เดิมทีแม่สามีก็รู้สึกว่าเจียงชิงหว่านเป็นเพียงบุตรสาวจากครอบครัวพ่อค้าที่ตะกายมาเกาะบุตรชายตน บัดนี้ชุยจี้หลิงเป็นถึงขุนนางขั้นห้า แม่สามีจึงยิ่งดูถูกนาง ไม่เคยมีสีหน้าที่ดีให้เห็น น้องสาวสามีเองก็คอยยุแยง ทำให้เจียงชิงหว่านอยู่ในบ้านสกุลชุยอย่างยากลำบากมาตลอด
หากมีเพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด นางพึงใจในตัวชุยจี้หลิงจากใจจริง เพื่อเขาแล้วนางสามารถทนเรื่องเหล่านี้ได้ แต่คิดไม่ถึงสักนิดว่าเขาจะมีใจให้สหายสนิทที่สุดของนาง และทั้งสองยังแอบมีบุตรด้วยกัน อีกทั้งยังมอบนางให้ฮ่องเต้ชราผู้หมกมุ่นในโลกีย์ราวกับนางเป็นสิ่งของเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่มากขึ้น
วันที่เข้าวังฮ่องเต้ชราเห็นนางมีรูปโฉมงดงามก็จะให้ถวายตัวทันที นางไม่ยินยอม ระหว่างที่ขัดขืนเผลอไปข่วนหลังมือของฮ่องเต้ชราเข้า ฮ่องเต้ชราพิโรธหนัก จึงให้คนโบยนางยี่สิบไม้ จากนั้นก็ไล่ไปอยู่โรงซักล้าง
ชีวิตในโรงซักล้างย่อมยากลำบาก ฤดูหนาวแม้น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง นางก็ยังต้องซักเสื้อผ้าอาภรณ์ของบรรดาเจ้านาย มือทั้งสองเย็นเฉียบจนเป็นสีแดงเถือก ซ้ำยังเกิดเป็นแผลเปื่อย เวลาอาการกำเริบครั้งหนึ่งก็จะคันยิบๆ จนยากจะทานทน ทำเอานอนหลับไม่ลงทั้งคืน
สองปีหลังจากนั้นนางบังเอิญได้ยินคนพูดว่าหนิงอ๋องก่อกบฏ ในมือเขามีที่ปรึกษาเก่งฉกาจอยู่ผู้หนึ่ง ไม่เพียงแค่นำทัพและวางแผนการรบเท่านั้น ยังสามารถบุกตะลุยโจมตีข้าศึกได้โดยไม่เคยพ่ายแพ้ แม้แต่หนิงอ๋องยังออกปากชมว่าเขาเก่งทั้งบุ๋นบู๊ เป็นบุคคลอัศจรรย์แห่งยุค
คนผู้นั้นมีนามว่า…ชุยจี้หลิง
เจียงชิงหว่านแค่นหัวเราะเสียงเย็น
ชุยจี้หลิงเป็น ‘บุคคลอัศจรรย์แห่งยุค’ หรือไม่นั้นนางไม่รู้ แต่นางรู้ว่าเขาโหดเหี้ยมมากพอแน่นอน เพื่ออำนาจแล้ว แม้แต่ภรรยาร่วมผูกผม ยังมอบให้ผู้อื่นได้ เรื่องเช่นนี้จะมีสักกี่คนในโลกที่ทำได้กัน
ผ่านไปอีกหนึ่งปีทุกคนล้วนกำลังพูดกันว่าหนิงอ๋องเดินหน้าตีชิงเมืองได้แทบไม่เคยพลาด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าไม่นานก็จะบุกมาถึงเมืองหลวงแล้ว
จิตใจของคนในวังเริ่มระส่ำระสายขึ้นมา
ครั้นถึงวันที่ยี่สิบเก้า เดือนสิบสอง ทัพกบฏบุกเข้าวัง ท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียดเจียงชิงหว่านวิ่งออกมานอกโรงซักล้างโดยไม่ตั้งใจ
พอออกประตูมาก็มองเห็นทัพกบฏจำนวนมากกำลังเข่นฆ่าผู้คนในวัง ดวงตาของทหารแต่ละนายล้วนแดงก่ำ บนดาบที่ถืออยู่ในมือมีแต่คราบเลือดสีแดงฉาน ราวกับผีร้ายที่คลานออกมาจากนรก เห็นคนก็ลงมือสังหารทันที
ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน เจียงชิงหว่านไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่ร้องตะโกนขึ้นมา นางถึงได้รู้ว่าผู้นำทัพกบฏบุกเข้าวังคือชุยจี้หลิง
นางอึ้งงันอยู่กับที่ จากนั้นในใจพลันเกิดโทสะขึ้นมา
ในยามนั้นนางมองเห็นทหารนายหนึ่งเงื้อดาบกำลังจะฟัน ในใจนางไร้ซึ่งความหวาดกลัว นางเริ่มซอยเท้าออกวิ่งอีกครั้ง ครั้นมองไปยังทะเลสาบเบื้องหน้าก็กระโดดลงไป
วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวจัด ซ้ำยังมีเกล็ดหิมะโปรยปราย น้ำในทะเลสาบเย็นเสียดแทงกระดูก ทำเอาทั้งร่างนางใกล้จะแข็งเต็มที
แต่นางก็มิได้ดิ้นรน เพียงปล่อยให้ร่างจมลงสู่ก้นทะเลสาบอย่างสงบนิ่ง
เจียงชิงหว่านคิดว่าการที่ตนเองยอมฆ่าตัวตายย่อมดีกว่ายอมให้ชุยจี้หลิงนำทัพกบฏเหล่านั้นมาสังหารนาง
คล้ายว่าทำเช่นนี้นางจะสามารถตัดสัมพันธ์กับคนผู้นั้นได้อีกครั้ง