เดือนสาม ฤดูใบไม้ผลิอากาศเย็น แม้กลางวันจะมีแสงแดดอบอุ่น แต่เวลาเช้าและเย็นกลับหนาวยะเยือก
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองไท่หยวน สาวใช้นามจิ่นผิงกำลังปลอบเหยาซื่อผู้เป็นนายหญิง
พวกนางเป็นคนจากสกุลเจียงของหย่งชางป๋อ ซึ่งกำลังติดตามฮูหยินผู้เฒ่าไปเมืองหลวง เมื่อสองวันก่อนขณะที่ทุกคนหยุดพักอยู่ คุณหนูเกิดห่วงเล่นไปจับปลาข้างลำธารแล้วเผลอพลัดตกน้ำ แม้จะได้สาวใช้ที่ตามไปด้วยช่วยดึงตัวขึ้นมาทัน แต่ก็ยังได้รับความตื่นตกใจ เสื้อผ้าเปียกโชก ทำให้คืนนั้นมีไข้ขึ้นสูง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงสั่งให้ทุกคนพักอยู่ในโรงเตี๊ยม สองวันนี้คอยเชิญหมอมาตรวจอาการและต้มยาตามใบสั่งยาตลอด ทว่าคุณหนูยังคงสลบไสลมิได้ฟื้นขึ้นมา
เหยาซื่อเหลือบุตรสาวอยู่เพียงคนเดียว ย่อมจะเห็นอีกฝ่ายสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง ยามนี้มองเห็นบุตรสาวนอนไข้ขึ้น ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำอยู่บนเตียง นางก็เริ่มร่ำไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“หลายปีก่อนพี่ชายนางก็ตกน้ำเช่นนี้ ไข้ขึ้นสูงได้ไม่กี่วันก็จากไป บัดนี้หว่านวานจะเดินตามรอยพี่ชายอย่างนั้นหรือ สวรรค์! นี่จะให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร เช่นนั้นข้าเองก็จะตามนางไปด้วย พวกเราสองแม่ลูกลงไปยมโลกด้วยกันจะได้ไม่โดดเดี่ยว”
ยังพูดไม่ทันจบดีก็ได้ยินเสียงอันน่าเกรงขามเสียงหนึ่งดังมาจากนอกประตู “เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอันใด ปากอัปมงคล จะแช่งหว่านเจี่ยกระนั้นรึ!”
เหยาซื่อได้ยินแล้วก็รีบลุกขึ้นจากขอบเตียงมายืนข้างๆ ก้มหน้าเอ่ยว่า “ท่านแม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอายุหกสิบกว่าปีแล้วย่อมรู้สึกหนาวง่าย ยามนี้บนตัวนางจึงสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีม่วงแก่ปักลายดอกไม้ทรงกลม ให้เถาเยี่ยผู้เป็นสาวใช้ประคองเดินเข้าห้องมานั่งลงบนขอบเตียง จากนั้นนางก็เอื้อมมือไปอังหน้าผากของเด็กสาวบนเตียง
ร้อนยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมุ่นหัวคิ้ว หันไปถามเหยาซื่อ “หว่านเจี่ยดื่มยาตามที่หมอสั่งแล้วหรือไม่”
เหยาซื่อรีบตอบ “ให้ดื่มแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย ตอนนี้ตัวกลับร้อนหนักกว่าเดิมเสียอีก”
นางพูดไปน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาอีกครั้งอย่างสุดจะกลั้น ด้วยกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะตำหนิจึงรีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับ
“ตอนกลางคืนย่อมจะตัวร้อนกว่ากลางวันเล็กน้อย” พอมองเห็นเหยาซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ดุนางอย่างไม่ใคร่พอใจ “มิใช่ว่าข้าจะตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าช่างจิตใจบอบบางเสียจริง มีเด็กคนใดไม่ป่วยบ้าง เรียกหมอมาดู ให้กินยาสักสองสามเทียบก็ใช้ได้แล้ว ใช่เรื่องใหญ่อันใดกัน เจ้าร้องไห้แล้วช่วยทำให้หว่านเจี่ยหายป่วยได้หรือ หากเป็นโรคที่หมอบอกว่ารักษาไม่ได้จริงๆ นั่นก็เป็นชะตาของนาง ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
วาจานี้กล่าวได้มีเหตุผล ทว่าออกจะไร้ความรู้สึกไปสักหน่อย เห็นได้ว่าผู้เป็นย่ามิได้รักใคร่ผูกพันกับหลานสาวผู้นี้นัก
เมื่อครู่เหยาซื่อน้ำตาไหลด้วยความปวดใจ แต่ยามนี้น้ำตาไหลเพราะความเสียใจแทน ด้วยนิสัยไม่เถียงคนของนาง รวมกับที่อีกฝ่ายเป็นแม่สามีของนาง นางจึงทำได้เพียงสะกดกลั้นความเสียใจไว้ ก่อนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมคล้อยตาม “ท่านแม่สั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพยักหน้า จากนั้นก็หันหน้าไปมองจิ่นผิง สีหน้าเยียบเย็นลง “เจ้าปรนนิบัติคุณหนูอย่างไร บอกให้พาคุณหนูไปผ่อนคลายอารมณ์ ไฉนจึงปล่อยให้นางตกน้ำได้”