จิ่นผิงโอดครวญในใจ รีบคุกเข่าลงอธิบาย “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านก็ทราบนี่เจ้าคะว่าคุณหนูของพวกเราชอบเล่นสนุก วันนั้นบ่าวพาคุณหนูไปผ่อนคลายอารมณ์ตามคำสั่ง นางก็วิ่งฉิวนำอยู่ข้างหน้า บ่าวไล่ตามไม่ทัน ครั้นบ่าวตามไปทัน คุณหนูก็ยืนอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่งข้างลำธารแล้ว บอกว่าจะจับปลา บ่าวจะไปดึงตัวนางกลับมา แต่ก้อนหินลื่น อีกทั้งคุณหนูก็สวมรองเท้าปักลาย บ่าวยังไม่ทันวิ่งไปถึงตัว คุณหนูก็พลัดตกน้ำแล้ว…”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ตะคอกปรามนางด้วยความโมโห “เจ้ายังกล้าเถียง?!”
เสียงของจิ่นผิงเบาลงทันควัน ฟุบตัวลงแนบหน้าผากกับพื้น “บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นคนแข็งกร้าว ไม่ชอบให้ใครโต้เถียง ไฉนเมื่อครู่นี้นางถึงร้อนใจจนลืมเรื่องนี้ไปเสียได้
ทว่าในใจจิ่นผิงยังคงรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง
นายท่านกับเมิ่งอี๋เหนียง* มีชีวิตสุขสบายในเมืองหลวง มีบ่าวไพร่รับใช้ล้อมหน้าล้อมหลัง ที่ผ่านมาเรียกให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไปอยู่ด้วยหลายต่อหลายครั้ง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกลับบอกว่าอาศัยอยู่กานโจวจนชินแล้ว ไม่ยอมไปเมืองหลวง ซ้ำยังอยากให้นายหญิงกับคุณหนูอยู่เป็นเพื่อนนางที่กานโจวด้วย บอกว่าเป็นการแสดงความกตัญญูแทนนายท่าน หากมิใช่เมื่อสองเดือนก่อนองค์ชายพระองค์หนึ่งในราชวงศ์ก่อนไปพัวพันกับกลุ่มขุนนางทรยศเข้า ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นห่วงว่ากานโจวจะไม่ปลอดภัย อาจเกิดจลาจลขึ้น ก็คงจะไม่พานายหญิงกับคุณหนูเดินทางเข้าเมืองหลวงด้วยกันเช่นนี้
กานโจวย่อมจะสู้เมืองหลวงไม่ได้ สาวใช้ในเรือนมีทั้งหมดเพียงสองคนคือเถาเยี่ยกับนาง เถาเยี่ยปรนนิบัติแค่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แต่นางต้องปรนนิบัติทั้งนายหญิงและคุณหนู มิหนำซ้ำคุณหนูยังมีนิสัยซุกซน ไม่เชื่อฟังคำผู้ใด นางเองก็ลำบากไม่น้อย
ครั้นจิ่นผิงคิดว่าพอถึงเมืองหลวงแล้ว คุณหนูซึ่งมีฐานะเป็นถึงบุตรสาวสายตรงคนเดียวของนายท่านจะต้องมีสาวใช้ข้างกายเพิ่มมาแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะมีคนช่วยปลดเปลื้องภาระงานอันลำบากตรากตรำของนางลงได้ ในใจจิ่นผิงก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง
ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงย่อมกระจ่างแจ้งดีว่าหลานสาวของตนมีความประพฤติเช่นไร นางชอบเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ชอบเด็กที่ซุกซน คิดว่าในใจเจียงชิงหว่านคงรู้ดี ดังนั้นจึงมิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้เป็นย่าสักเท่าไร
กับผู้เป็นมารดาเองก็มิได้ใกล้ชิดสนิทสนมเช่นกัน ด้วยรังเกียจว่ามารดาเอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ ซ้ำยังเอาแต่ตัดพ้อต่อว่าบิดาประหนึ่งเป็นหญิงร้างสามี เจียงชิงหว่านหนังสือไม่อ่าน งานฝีมือก็ไม่เรียน วันๆ เอาแต่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกราวกับเด็กเร่ร่อน ไหนเลยจะเหมือนคุณหนูจากตระกูลใหญ่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ความกังวลเล็กๆ เมื่อครู่ของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็หายไปหมดสิ้นในทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเด็กสาวบนเตียงปราดหนึ่ง เห็นสองตาหลานสาวยังหลับสนิทก็ใช้มือยันขอบเตียงลุกขึ้นยืน เถาเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็รีบมาประคองนาง
“เจ้าเฝ้าหว่านเจี่ยให้ดี หากนางฟื้นแล้วก็ให้คนมาบอกข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงสั่งเหยาซื่อ
เหยาซื่อตอบรับ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาซื่อเดินมาส่งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงออกนอกประตูพร้อมกับจิ่นผิง เห็นอีกฝ่ายเข้าห้องใหญ่ที่อยู่ด้านข้างไปแล้วนางถึงได้หมุนตัวเดินกลับเข้าข้างใน
ชั่วขณะนั้นก็มองเห็นเด็กสาวบนเตียงฟื้นขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร นัยน์ตาสีดำขลับทั้งสองข้างกำลังมองนางอย่างสงบนิ่ง