เหยาซื่อสวมเสื้อผ่าหน้าสีม่วงอมน้ำเงินปักลายดอกสุ่ยเซียน ตรงคอเสื้อ บนศีรษะปักปิ่นเงินที่ดูเรียบง่ายยิ่งไว้เพียงอันเดียว ลักษณะท่าทางดูเรียบร้อยอ่อนโยนอย่างมาก
มารดาในชาติก่อนของเจียงชิงหว่านก็เป็นคนที่เรียบร้อยอ่อนโยนเช่นนี้ นางยังคงจำความอุ่นของฝ่ามือมารดาและท่าทางอ่อนโยนยามเรียกนางว่า ‘หว่านวาน’ ได้ แต่เมื่อมารดาสิ้นใจไปเพียงไม่นาน บิดาก็แต่งงานใหม่ นอกจากนางแล้วก็ดูเหมือนจะไม่มีใครจดจำมารดาได้อีก
เหยาซื่อเห็นเจียงชิงหว่านไม่พูดอะไร เอาแต่มองมาอย่างเหม่อลอย ในดวงตาก็มีประกายน้ำอยู่รางๆ ในใจนางพลันนึกเป็นห่วง จึงลูบแก้มของเจียงชิงหว่านอย่างอดไม่ได้ “ไฉนเด็กคนนี้จึงไม่พูดอันใดเล่า ใช่ไข้ขึ้นจนเลอะเลือนไปแล้วหรือไม่”
ฝ่ามือของเหยาซื่อก็อุ่นมากเช่นกัน เจียงชิงหว่านอ้าปากคิดจะเรียกอีกฝ่าย ทว่าสุดท้ายยังคงมิได้เรียกออกมา
ร่างกายนางในตอนนี้คือบุตรสาวของเหยาซื่อ ตามหลักเหตุผลนางควรเรียกเหยาซื่อว่า ‘ท่านแม่’ แต่ด้านจิตใจนางยังคงเรียกคำนั้นไม่ออก
จิ่นผิงเห็นเหยาซื่อมีสีหน้าเป็นกังวลก็รีบปลอบใจ “นายหญิง คุณหนูสบายดียิ่ง จะไข้ขึ้นจนเลอะเลือนได้อย่างไรเจ้าคะ ตอนบ่ายที่บ่าวยกยาเข้ามา คุณหนูดื่มโดยไม่ต้องให้บ่าวป้อนสักนิด ถึงกับหยิบชามยาไปดื่มเองจนเกลี้ยง ดูท่าจะหายดีแล้ว คุณหนูเพียงไม่ค่อยพูดเท่านั้น”
“เฮ้อ” เหยาซื่อถอนหายใจก่อนกล่าวเสียงเบา “เมื่อก่อนหว่านวานเป็นเด็กที่แข็งแรงร่าเริงยิ่ง นี่ล้มป่วยได้ไม่กี่วันคางก็ดูแหลมขึ้นแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็เหลือเกิน ข้าเพิ่งจะไปที่ห้องเพื่อขอร้องนางให้พักอยู่ที่นี่อีกสักสองวัน รอหว่านวานหายดีแล้วค่อยเดินทางต่อ นางกลับจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ให้ได้ นี่นางจะรีบไปเมืองหลวงเพื่อดูหลานชายหรือ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เห็นหว่านวานมาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อก่อนไม่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าจะเคยมองหลานชายผู้นั้นของนางสักแวบเดียว ตอนนี้กลับมีค่าเพียงนี้เชียว?” นางเศร้าใจขึ้นมาอีก “ถ้าหากผิงเกอยังมีชีวิตอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่ามีหรือจะเป็นเยี่ยงนี้”
บุตรชายคนโตของเหยาซื่อมีนามว่า ‘เจียงฉางผิง’ เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ต่อมาภายหลังเขาตกน้ำ แม้ช่วยขึ้นมาได้ก็ยังไข้ขึ้นจนล้มป่วยสิ้นใจไป นี่เป็นความเจ็บปวดในใจเหยาซื่อตลอดมา ด้วยเหตุนี้เองนางจึงไม่ชอบเมิ่งอี๋เหนียง และในใจก็โกรธแค้นเจียงเทียนโย่วด้วยเช่นกัน
จิ่นผิงเอ่ยเตือนเหยาซื่อเสียงเบา “นายหญิง ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ห้องติดกัน ระวังกำแพงมีหูนะเจ้าคะ”
เหยาซื่อรีบหยุดพูด เพียงยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาบนหน้า แต่ครั้นเงยหน้ามาเห็นเจียงชิงหว่านยังมองมา นางก็รีบพูดยิ้มๆ “ดูแม่สิ พูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าเจ้าอีกแล้ว แม่รู้ว่าเจ้าไม่ชอบฟังแม่บ่นเรื่องพวกนี้ ต่อไปแม่จะไม่บ่นต่อหน้าเจ้าอีก”
ดูท่าทางเมื่อก่อนเหยาซื่อคงจะพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าบุตรสาวไม่น้อย วันหน้าเกรงว่าจะยังต้องพูดอีกเป็นแน่แท้
ถึงอย่างนั้นเจียงชิงหว่านก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเหยาซื่อขึ้นมา เพราะนางก็เคยเป็นสะใภ้มาก่อน รู้ว่าถ้าแม่สามีไม่ชอบขึ้นมา ไม่ว่าทำสิ่งใดก็จะผิดในสายตาอีกฝ่ายเสมอ โดยเฉพาะเรื่องทายาทสืบสกุล
เมื่อก่อนนายหญิงชุยก็ตำหนินางเป็นประจำว่าแต่งงานกับชุยจี้หลิงได้สามปีแล้วก็ยังไม่มีบุตร คอยจัดแจงจะหาอนุให้ชุยจี้หลิงอยู่ตลอด แต่ก็ล้วนถูกเขาปฏิเสธ ยามนั้นนางยังคิดอย่างไร้เดียงสาว่าชุยจี้หลิงจริงใจต่อนาง รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่เขาไม่รับอนุ ย่อมคิดไม่ถึงว่าเขาจะไปมีสัมพันธ์ชู้สาวกับสหายสนิทของนาง ซ้ำยังมีบุตรอย่างลับๆ อีกด้วย
ตามเวลาที่คำนวณ ตอนนี้บุตรของพวกเขาสองคนน่าจะอายุได้เกือบเก้าขวบแล้วกระมัง อันที่จริงเวลานั้นนางก็ตั้งครรภ์เช่นกัน เพียงแต่รู้ตัวช้าเกินไป อีกทั้งภายหลังยังเกิดเรื่องเช่นนั้นอีก จึงรักษาลูกไว้ไม่ได้…
คิดถึงเรื่องเหล่านี้เจียงชิงหว่านก็รู้สึกทรมานใจยิ่ง และยิ่งเข้าใจความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชายของเหยาซื่อมากขึ้นกว่าเดิม นางจึงยื่นมือไปจับมือเหยาซื่อ เพียงแต่กุมไว้เบาๆ โดยไม่พูดอะไร
เหยาซื่อกลับรู้สึกตกใจยิ่ง
บุตรสาวผู้นี้มักจะรังเกียจนาง น้อยนักที่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับนางเช่นนี้ ทว่ายามนี้ถึงกับเป็นฝ่ายมาจับมือนางไว้เอง
เหยาซื่ออดไม่ได้ที่จะสะอื้นไห้ขึ้นมาด้วยอารามดีใจเป็นล้นพ้น ในดวงตาปรากฏประกายน้ำ “หว่านวาน นี่เจ้า…นี่เจ้ากำลังปลอบแม่หรือ”
เจียงชิงหว่านถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง
เหยาซื่อผู้นี้มีนิสัยปวกเปียก ทั้งยังเจ้าน้ำตายิ่ง ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “วันพรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทาง ท่านกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด”
เมื่อครู่เจียงชิงหว่านได้ยินเสียงตีกลองบอกเวลายามสาม ดังมาจากบนหอกำแพงเมืองที่ด้านนอก อีกทั้งหลายวันมานี้เหยาซื่อก็ทุ่มเทใจดูแลนางโดยตลอด แม้ตอนบ่ายจะพักผ่อนไปครู่หนึ่ง แต่ตอนนี้ดวงตาก็ยังดูเรื่อแดง
เหยาซื่อพยักหน้า น้ำตากลับยิ่งไหลหนักกว่าเดิม จึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “แม่รู้แล้ว จะกลับไปพักเดี๋ยวนี้เลย เจ้าเองก็รีบนอนเร็วหน่อย หลังจากนี้ยังต้องเดินทางอีกไกล เจ้าต้องรีบหายดี”
จากนั้นก็กำชับให้จิ่นผิงดูแลคุณหนูให้ดี แล้วหันหลังเดินออกประตูไป
เจียงชิงหว่านมองเหยาซื่อเดินออกนอกประตูแล้วก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าด้านใน คิดเรื่องในใจไปเงียบๆ ทว่าคนที่เพิ่งป่วยหนักมักรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลียง่ายอยู่แล้ว เพียงครุ่นคิดได้ไม่นานนางก็เคลิ้มหลับไปอีกครั้ง