“เจ้าแยกออกหรือ” ระหว่างเดินไปสวนซั่งกู่ จู่ๆ หยวนเจาเซิงก็โพล่งคำถามประโยคนี้ออกมา
เขาพูดจากระชับได้ใจความมาแต่ไหนแต่ไร ประหยัดคำได้ก็ประหยัด เหมือนว่าพอเกิดมาก็มอบพรสวรรค์ด้านการพูดให้หยวนซีเซิงน้องชายฝาแฝดทั้งหมด
เสวียนจีพยักหน้าด้วยรู้ว่าเขาถามถึงเรื่องใด “แม้ผู้อารักขาหยวนกับพ่อบ้านหยวนจะเกิดมามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่จะอย่างไรก็มีความแตกต่างอยู่เล็กๆ”
เดินเข้าสวนซั่งกู่มาแล้วก็มองเห็นแต่สีเขียว เงียบสงัด แทบไม่มีร่องรอยผู้คน ผู้ที่ปกติเข้ามาสวนซั่งกู่ได้มีเพียงเหล่าเจ้านายของคฤหาสน์สกุลเนี่ยและพ่อบ้านหยวนกับสาวใช้อีกไม่กี่คน…อันที่จริงขอเพียงปรนนิบัติเนี่ยเฟิงอวิ๋นได้ดี การอยู่ที่สวนซั่งกู่อันเงียบสงบก็ดีกว่าไปทำงานงกๆ ในส่วนอื่นของคฤหาสน์
หยวนเจาเซิงมองเสวียนจีแวบหนึ่งด้วยแววตาเย็นเยียบ “ความสามารถในการสังเกตของเจ้าช่างละเอียดนัก” มีสตรีน้อยคนที่ทำได้เช่นนี้ ถึงเป็นเหล่าสาวใช้ที่ทำงานในคฤหาสน์มานาน แต่พอเห็นเขาก็ยังมีบางครั้งที่แยกไม่ออก ทว่านางกลับแยกแยะได้
“ขอบคุณผู้อารักขาหยวนที่ชม” เสวียนจีกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ห่อนั้นคือของอะไร”
“เป็นของส่วนตัว พ่อบ้านหยวนอนุญาตแล้ว”
“ถามว่าคืออะไร” เขายังยืนกรานถาม
เห็นได้ชัดว่าเขาจงรักภักดีทุ่มเทต่องานถึงขั้นไร้สติ ไม่เคยคิดเลยว่านายน้อยที่โมโหฉุนเฉียวง่ายอย่างเนี่ยเฟิงอวิ๋นก็ทำให้บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งมีใจจงรักภักดีถึงเพียงนี้ได้เช่นกัน
นางถอนหายใจ “กระดาษ เป็นของมีตำหนิที่พ่อบ้านหยวนไม่ต้องการแล้ว ข้าเห็นว่าทิ้งไปก็สิ้นเปลืองจึงเลือกเก็บไว้หลายแผ่น”
เขาไม่พูดอะไรอีก กลับมานิ่งเงียบเช่นปกติ ธรรมดาไม่เห็นเขาจะปริปากพูดสักกี่คำ ถึงตอบคำถามก็เพียงตอบทื่อๆ สั้นกระชับไม่กี่คำ มีเพียงเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่ดึงอารมณ์ความรู้สึกของเขาออกมาได้ ความผูกพันระหว่างนายบ่าวเช่นนี้ทำให้นาง…ประหลาดใจยิ่ง และก็อิจฉายิ่งเช่นกัน นางไม่เคยมีสหายสนิทรู้ใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขายอมทำงานถวายชีวิตเพื่อเนี่ยเฟิงอวิ๋นผู้นั้น
เมื่อเข้าใกล้หอซั่งกู่ก็เห็นว่าหน้าต่างเปิดอยู่ เงาร่างขรึมเคร่งเย็นชาปรากฏตรงหน้าต่าง ในดวงตาคล้ายมีเปลวไฟลุกโชน จับจ้องตรึงอยู่ที่ใบหน้านาง
“ข้าไปกระตุกต่อมโมโหเขาอีกแล้วหรือ” เสวียนจีพึมพำพลางเดินเข้าหอซั่งกู่ ก่อนจะค่อยๆ ยอบตัวคารวะ “นายน้อย”
เขานั่งอยู่บนรถเข็นที่ข้างหน้าต่าง แค่นเสียงเย็นและเบือนหน้าหนี
บรรยากาศอันเยียบเย็นแข็งทื่อทำให้หลินอันที่เฝ้าอยู่ข้างๆ อกสั่นขวัญผวา เหงื่อนางไหลพรากมาตั้งแต่หนึ่งก้านธูปก่อนจนน้ำจะหมดตัวแล้ว “พี่เสวียนจี…พ่อบ้านหยวนพาท่านไปไหนกันแน่” นางกลืนน้ำลายพลางเอ่ยถามแทนเจ้านาย “นายน้อยหาตัวท่านตั้งแต่ออกมาแล้ว…”
“ใครหาตัวนางกัน ที่นี่ให้เจ้าพูดจาเหลวไหลได้หรือ” เขาพลันเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำเปี่ยมความดุร้าย ก่อนจะหันหน้ามาจนเห็นชัดว่าหว่างคิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มแน่น สายตาเลื่อนไปมาระหว่างหยวนเจาเซิงกับนาง “เจ้าคงคิดว่าจะหลุดพ้นจากข้าแล้วกระมัง”
“เสวียนจีมิกล้า”
“มิกล้าอีกแล้ว? เกิดมาปากเจ้าก็พูดเป็นแต่คำนี้หรือไร ข้ากลับเห็นว่าเมื่อครู่เจ้ายังคุยสนุกสนานกับเจาเซิงอยู่เลย เหตุใดพอเห็นข้าก็ทำตัวเหมือนสาวใช้ที่ทนทรมานสารพัดขึ้นมาแล้ว”
ถูกต้อง ท่านพูดไม่ผิดสักนิด! นางเกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้ว อยู่ดีๆ โทสะอันอธิบายไม่ได้ของเขาก็ทุ่มลงมาใส่ตัวนางเช่นนี้ นางไปกระตุกต่อมโมโหตรงไหนของเขากันแน่ หรือว่านางไปขัดอะไรเขา?
ถึงเขาจะเคยเป็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่นางชื่นชมเลื่อมใส นางก็มีวันที่สุดทนเช่นกัน ที่ในอดีตนางอยู่ที่บ้านยังสามารถอดทนได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เคยมีเวลาที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา เป็นเพราะว่าคนในครอบครัวไร้หัวใจต่อนาง นางเห็นคนเหล่านั้นเป็นอากาศธาตุ ส่วนตอนนี้เพราะว่าในอกยังหลงเหลือความชื่นชมเลื่อมใสต่อเขาอยู่ นางถึงได้กัดฟันกำหมัดที่ข้างตัวแน่น
ดวงตาเขาหรี่ลง “เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือ”
“เสวียนจี…เสวียนจีเดิมก็เป็นบ่าวของนายน้อย ไม่กล้าขัดขืนนายน้อยคือสิ่งที่ข้าควรทำ ท่านจะด่าจะตี หรือต่อให้จะฆ่าแกงกัน เสวียนจีก็ไม่กล้าพูดอะไร”
“ดูที่เจ้าพูดเถอะ ฟังดูเหมือนยอมจำนนไม่ขัดขืน แต่ข้ากลับเห็นเจ้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แสดงชัดว่าต่อต้านข้า”
หน้านางค่อยๆ มีเลือดฝาดจากความโมโห นางไม่เคยแสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไรออกทางสีหน้าตลอดมา จะมีก็แค่ความเฉยเมย พริบตาเดียวก็หายไป ความโมโหที่เกิดเพราะหนังสือเองก็เป็นเพียงครู่สั้นๆ…เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือ
“เจ้าอยู่ก่อน คนอื่นออกไป”
หยวนเจาเซิงถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ หลินอันเองก็โล่งอก รีบร้อนจากไปประหนึ่งว่าขอแค่ภัยมาไม่ถึงตน จะเกิดอะไรก็ช่าง
ในหอซั่งกู่เหลือเพียงคนทั้งสอง เขาจ้องจับสังเกตนาง นางเองก็มองเขาเขม็งกลับไป ฉับพลันนั้นอาหารบนโต๊ะกลมก็ดึงดูดความสนใจของนาง
“นายน้อยยังมิได้กินข้าว?” สังหรณ์ก่อนหน้านี้เป็นความจริง
นี่มันยามอะไรแล้ว เขายังไม่กินข้าวอีก?