นางบังคับตนเองให้ยืนขึ้นด้วยความสุขุม ถอยหลังไปสองสามก้าว มองเห็นอาหารบนโต๊ะกลมก็พูดงึมงำกับตนเอง
“อาหารเย็นแล้ว เสวียนจีจะนำไปอุ่นให้เจ้าค่ะ” หัวใจเหมือนจะพุ่งออกมานอกอก แต่สติสัมปชัญญะของนางก็ฝ่าทะลวงอารมณ์สับสนงงงวย เตือนเรื่องที่เขายังไม่กินข้าวขึ้นมา…
ช่างน่าขันนัก ความชื่นชมเลื่อมใสต่อเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ของนางถึงกับรุนแรงปานนี้ แม้แต่เรื่องที่เขายังไม่กินข้าวยังจำได้ขึ้นใจ เรื่องนี้ทำให้นางรับมือไม่ทันอยู่บ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่นางใส่ใจ ‘คน’ ขนาดนี้
“มิใช่บอกไปแล้วหรือว่าข้าโมโหจนอิ่มแล้ว ไหนเลยจะยังกินลง” เสียงเขาฟังดูไม่มีโทสะ แต่กลับมีความรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่หลายส่วน “พ่อบ้านหยวนใช้เจ้าไปไหนมา ถึงได้ใช้เวลานานเพียงนั้น”
มิใช่เป็นห่วง เพียงแต่เพื่อให้รู้การเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวของนาง นางคิด นี่เหมือนเป็นการแสดงปาหี่ที่เขาเล่นซ้ำไปซ้ำมาจริงๆ หากแต่นางยังคงตอบตามจริง “พ่อบ้านหยวนให้ข้ากลับไปช่วยติดกระดาษบนผนังที่ห้องนอนรวมเจ้าค่ะ”
“อ้อ?” เขากวาดตามองเรือนร่างที่ดูอ่อนแอจนต้านลมไม่อยู่ของนาง ก่อนเหลือบมองห่อกระดาษที่วางอยู่อีกข้าง “นั่นคืออะไร”
“กระดาษที่ร้านหนังสือไม่ต้องการแล้วเจ้าค่ะ ล้วนเป็นของมีตำหนิ”
พูดถึงร้านหนังสือก็นึกถึงจุดประสงค์ที่เนี่ยมี่หยางมาหาเขาตอนเช้าขึ้นได้ เขาพึมพำลังเลอยู่ชั่วครู่ “วันพรุ่งเจ้าต้องติดตามอยู่ข้างกายข้า อย่าให้มีเรื่องเช่นวันนี้เกิดขึ้นอีก…ไม่สิ นับตั้งแต่วันนี้ไปถ้าไม่มีคำสั่งของข้าก็ไม่อนุญาตให้ออกจากสวนซั่งกู่ พ่อบ้านหยวนต้องการให้เจ้าไปไหนก็ต้องผ่านการเห็นชอบจากข้าก่อน”
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางยอบตัวคารวะ แววประชดประชันเล็กๆ แทบฟังไม่ออกระคนอยู่ในน้ำเสียง
เขาเผยอริมฝีปาก “พรุ่งนี้อย่าลืมมาตั้งแต่เช้า” เขาชะงักไปเล็กน้อย… “เหตุใดข้าถึงเห็นตัวเจ้าผอมจนจะปลิวอยู่ตลอด พ่อบ้านหยวนไม่ให้ข้าวเจ้ากินหรือไร”
น้ำเสียงไม่เหมือนตำหนิ กลับเหมือนว่าอารมณ์เขากำลังไม่เลวอย่างยิ่ง เสวียนจีช้อนตามองเขาเงียบๆ แล้วก็ต้องตกใจ
เขากำลังยิ้ม?! สวรรค์ เขากำลังยิ้มอยู่จริงๆ นี่คือเนี่ยเฟิงอวิ๋นแน่หรือ
ริมฝีปากที่ปกติเอาแต่พูดเหน็บแนมยกขึ้นน้อยๆ แม้จะเป็นรอยยิ้มบางๆ แต่ก็เพียงพอจะทำให้นางตกใจเหลือประมาณแล้ว
ก่อนหน้านี้เขามิใช่ยังโมโหโกรธาอยู่หรือไร ใจบุรุษช่างยากแท้หยั่งถึง หากแต่ไม่อาจพูดออกไปได้ว่ารอยยิ้มของเขาทำให้นางนึกถึงภาพเหตุการณ์ยามได้พบเขาที่ร้านหนังสือเมื่อสามปีก่อน นั่นเป็นความหลังที่ล้ำค่าที่สุดในใจนางมาโดยตลอด ถ้าถามว่าบนโลกนี้มีความหลังเกี่ยวกับคนอะไรที่ควรค่าให้นางหวงแหน คำตอบก็มีเพียงเขา…
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ หูหนวกไปแล้วหรือ” ยามนี้น้ำเสียงของเขามีแววไม่ชอบใจจางๆ
“บ่าวลืมไป…”
“ลืมกินหรือว่าลืมว่าข้ากำลังพูดอะไร? เจ้ามันทึ่มทื่อนัก” ผอมจนเหมือนพอก้าวออกประตูไปก็จะถูกลมหอบขึ้นฟ้าจริงๆ ที่ซีเซิงให้นางไปติดกระดาษนี่เจตนาแกล้งนางอย่างนั้นหรือ
เขาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แต่กลับโมโหไม่ออก มองนางพลางเอ่ยออกมาว่า “เจ้าไปอุ่นกับข้าวเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
“แล้วก็ไปยกข้าวของเจ้าเองมาด้วย ข้ายังไม่อยากให้วันดีคืนดีในหอซั่งกู่มีสาวใช้หิวตาย”
“เจ้าค่ะ…” เสวียนจีก้มหน้า ถอยออกไปด้วยความประหลาดใจ นี่คือความห่วงใยอีกรูปแบบหนึ่งอย่างนั้นหรือ เขาอยากดูนางกินข้าว? เรื่องนี้มีผลดีอะไรต่อเขากัน
นางตื่นตระหนกอยู่บ้าง สงสัยอยู่บ้าง แต่ยังคงไปห้องครัวเช่นเดิม มิใช่เพื่ออย่างอื่น แค่เพื่อให้เขายอมกินข้าว นางก็ยินดีจะกินเป็นเพื่อนเขา
อารมณ์เขาคล้ายจะดีอยู่พอสมควร แต่ต้องมิใช่เพราะนางแน่ เช่นนั้นเป็นเพราะเมื่อเช้านายน้อยสี่นำข่าวดีมาให้? ข่าวดีอะไรถึงทำให้เขาออกมาก็หาตัวนาง ซ้ำยังทำให้อารมณ์เขาเปลี่ยนจากโมโหเป็นยิ้มแย้มได้อีก
นั่นจะต้องเป็นข่าวดีใหญ่หลวงแน่นอน
หอซั่งกู่เงียบสงัด หน้าต่างยังคงเปิดอยู่ บุรุษที่ด้านในกำลังครุ่นคิดตรึกตรอง นิ้วมือไล้ริมฝีปากไปมาเบาๆ
นางคิดว่านางชนถูกแก้มเขา…ความจริงมิใช่เช่นนั้น
ริมฝีปากนางทั้งเย็นทั้งอ่อนนุ่ม ยังคงมีกลิ่นเฉพาะตัวนางเช่นเดิม เพียงแต่คราวนี้มีกลิ่นของเขาผสมเพิ่มเข้าไป เป็นกลิ่นรสที่ไม่เลวเลย