14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน สาวใช้ประพันธ์รัก
บทที่ 5
ข่าวดีใหญ่หลวงฟาดลงบนตัวนางอย่างแรงปานฟ้าผ่า ยากจะขยับเขยื้อนได้
นางถลึงตามองบุรุษร่างผอมสูงผู้นั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าจะเป็นข่าวดีพรรค์นี้
เขาอายุราวสามสิบต้นๆ หน้าตาหล่อเหลาหมดจด เสื้อผ้าเก่าเล็กน้อย มองออกได้ว่าเขาเคยมีชีวิตลำเค็ญ
มิน่าถึงเห็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นอารมณ์ดีมาถึงเช้า น้อยนักที่จะเห็นเขาอารมณ์ดีข้ามคืน แม้แต่เมื่อวานขณะกินข้าวเป็นเพื่อนเขา เขาก็ยังอารมณ์ดีจนถึงขั้นวิจารณ์นิยายเป็นครั้งคราว
ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้นาง…สำราญยิ่ง แทบจะหวังให้เนี่ยเฟิงอวิ๋นเป็นเช่นนี้ตลอดกาล เขาไม่รู้หรอกว่าเวลาเขาวิจารณ์หนังสือนั้นสีหน้าของเขาดึงดูดใจคนมากเพียงไร ความรู้อันเต็มเปี่ยมของเขานั้นทำให้นางเลื่อมใสมากเพียงไร นางพูดต่อคำเขาบ้างอย่างหาได้ยาก มีทั้งโต้แย้งมีทั้งเห็นด้วย เขาล้วนไม่ถือสา
นั่นทำให้นาง…ใจเต้นระรัวไม่หยุด คล้ายว่าต้นอ่อนแห่งความชื่นชมเลื่อมใสในวันวานได้รับน้ำหล่อเลี้ยงจนเติบโตแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง
แต่ทว่า คาดอย่างไรก็คาดคิดไม่ถึงว่าข่าวดีสำหรับเขาจะเหมือนเป็นภูตผีโผล่มาหลอกหลอนสำหรับนาง ที่เขาต้องการให้นางตามติดเขาทุกฝีเท้าก็เพื่อให้นางร่วมแบ่งปันความสุขจากข่าวดีพรรค์นี้ไปกับเขา?
“ท่านก็คือบัณฑิตเย้ยโลก?” เสียงของเนี่ยเฟิงอวิ๋นดังขึ้น สายตากวาดมองบุรุษในห้องโถงรวมถึงเนี่ยมี่หยางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
ในห้องโถงมีคนเพียงไม่กี่คน น่าจะเป็นความต้องการของบุรุษที่อ้างว่าตนคือบัณฑิตเย้ยโลกผู้นี้ นอกจากเนี่ยมี่หยางแล้วก็มีแค่หยวนเจาเซิงกับเสวียนจีที่ด้านหลังเขา
นางน่าจะดีใจที่ได้รับเกียรติให้สามารถมาเห็นผู้แต่งคันฉ่องส่องบาปกับตาตนเองได้ ถึงจะไม่ได้บอกอย่างชัดเจน แต่ก็มองออกได้จากอากัปกิริยาของนางว่านางรักหนังสือถึงขั้นลุ่มหลง ดังนั้นเขาจึงพานางมาด้วย
ทว่ายามนั้นเองเขาหรี่ตา…สังเกตเห็นสายตาของเนี่ยมี่หยางทอดข้ามเขาไปมองเสวียนจีที่อยู่ด้านหลัง
“ใช่แล้ว ผู้น้อยก็คือผู้เขียนเรื่องคันฉ่องส่องบาป” บุรุษผู้นั้นรูปร่างผอมสูง ทั้งร่างคล้ายว่ามีความหยิ่งทะนงอยู่สูงลิบจนดูแข็งทื่อ
“อ้อ?” สายตาเขาเลื่อนกลับมา ทำนองของน้ำเสียงไม่หนักไม่ยืดยาน “โปรดอภัยที่ข้าไร้มารยาท ท่านมีหลักฐานพิสูจน์หรือไม่”
“หลักฐาน? คุณชายสี่น่าจะเคยเอ่ยกับคุณชายสามแล้ว ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งมอบต้นฉบับตำนานพญาหงส์ให้หลิ่วหมินไป บนนั้นยังมีตราประทับของข้าอยู่ด้วย นั่นเป็นรอยจากตราประทับดินเผา” เขาสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ตราประทับอันประณีตงดงามก็ไหลออกมา
หยวนเจาเซิงรับตราประทับมายื่นให้เนี่ยเฟิงอวิ๋นเทียบดู
ถูกต้อง รอยสลักตรงกันกับตราที่อยู่บนเรื่องคันฉ่องส่องบาปและเรื่องตำนานพญาหงส์ ลายมือของเขาเองก็ผ่านการเทียบพิสูจน์จากเนี่ยมี่หยางก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากที่ขาดพยานบุคคลมีน้ำหนักอย่างหลิ่วหมินที่เดินทางไปเป่ยจิงไปหนึ่งคน บุรุษผู้นี้พิสูจน์ตัวตนได้เกือบแน่ชัดแล้ว
“ได้ยินว่าต้นฉบับเพียงหนึ่งเดียวที่คุณชายสามอ่านหลังได้รับบาดเจ็บที่ขาก็คือเรื่องคันฉ่องส่องบาป ด้วยชื่อเสียงระดับคุณชายสาม ยอมเขียนบทส่งท้ายให้เรื่องคันฉ่องส่องบาปของผู้น้อย ผู้น้อยก็ซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้”
ท่าทางมีมารยาท ไม่ยโสโอหังเกินไป ตามหลักแล้วควรจะเป็นนิสัยที่เขาชื่นชม แต่เขากลับรู้สึกว่าท่าทางดูไม่เข้ากับบัณฑิตเย้ยโลกผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
เป็นเพราะในใจยกบัณฑิตเย้ยโลกไว้สูงเกินไป ทำให้ไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นแม้แต่กระผีกเดียวอย่างนั้นหรือ
“พูดได้ดีๆ” เนี่ยมี่หยางเห็นเขาคล้ายว่าไม่ได้ยินก็ชิงตอบแทน “เจาเซิง เจ้าไปทำความสะอาดห้องหนึ่งในสวนซั่งกู่ให้คุณชายเหวิน ให้นายน้อยสามสามารถไปสนทนากับเขาได้ทุกเวลา” เขาหันไปหาเหวินหรงหลางพลางกล่าวยิ้มๆ “คุณชายเหวิน ท่านอยู่พักที่นี่สักหลายวันเถิด”
“นี่นับว่าเป็นเกียรติของผู้น้อย” เหวินหรงหลางกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจก่อนเดินตามหยวนเจาเซิงจากไป
“ดูพวกท่านสองคนสิ คนหนึ่งทำท่าเหมือนมองเห็นปีศาจ อีกคนก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” เนี่ยมี่หยางยิ้มบางๆ กางพัดออกและขยับยกเท้าขึ้นไขว่ห้าง “ข้าอุตส่าห์หาตัวบัณฑิตเย้ยโลกมาได้แล้ว พี่สามท่านสมควรดีใจจึงจะถูก เสวียนจีก็มิใช่ชอบอ่านหนังสือเหมือนกันหรือไร บัณฑิตเย้ยโลกเป็นบุคคลลึกลับปริศนาในไม่กี่ปีมานี้เชียวนะ สามารถได้เห็นโฉมหน้าเขาก็เป็นโชคดีของพวกเราแล้วมิใช่หรือ”
เนี่ยเฟิงอวิ๋นมองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นเยียบ “ถ้าข้าจำไม่ผิด ปกติเจ้าไม่พูดมาก”
เนี่ยมี่หยางยักไหล่ “ข้าจนใจนี่นา คิดดูว่าข้าต้องลากสังขารป่วยๆ ไปทำงานที่ร้านหนังสือทั้งวัน ยุ่งจนวิงเวียนตาลายไปหมด ซ้ำยังต้องไปหอโคมเขียวเที่ยวเชยชมหญิงงามเป็นเพื่อนบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถอีก จะสุขภาพร่างกายอ่อนแอก็มิใช่ไม่มีเหตุผล ถ้าไม่ถือโอกาสตอนนี้พูดอะไรสักหน่อย หรือต้องรอลงโลงก่อนค่อยพูด” สีผิวของเขาขาวผ่อง แม้จะหล่อเหลาสุภาพเรียบร้อย แต่เมื่ออยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ก็มักดูอิดโรยกะปลกกะเปลี้ยอยู่บ้าง
เขาขี้โรคมาตั้งแต่เกิด เป็นเด็กคนเดียวในบรรดาพี่น้องสิบสองคนที่ต้องได้รับการดูแลเป็นสองเท่ากว่าจะอยู่มาถึงอายุยี่สิบได้
เนี่ยเฟิงอวิ๋นเม้มปาก อารมณ์ดีหมดไปแล้ว ที่ฝากร้านหนังสือให้มี่หยางดูแลเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ สองขาของเขาไม่อาจก้าวเดิน หรือจะให้เขานั่งรถเข็นไปร้านให้ผู้อื่นชมดู
“นายน้อยสี่ ท่านทราบได้อย่างไรเจ้าคะว่าคุณชายเหวินคือบัณฑิตเย้ยโลก” ในที่สุดเสวียนจีก็เอ่ยถามเป็นประโยคแรกนับตั้งแต่เข้าห้องโถงมา
“เจ้าได้สติกลับมาแล้วหรือ” เนี่ยมี่หยางยิ้ม “ข้าเห็นเจ้ามีสีหน้าใจลอย ยังนึกว่าเจ้าถูกเหวินหรงหลางดูดวิญญาณไปแล้วเสียอีก”