14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน สาวใช้ประพันธ์รัก
ได้ยินคนแค่นเสียงออกจมูก รอยยิ้มของเนี่ยมี่หยางก็ยิ่งกว้าง เขาพูดต่ออีกว่า “เป็นเขามาหาข้าที่ร้านหนังสือเอง นับตั้งแต่เรื่องคันฉ่องส่องบาปโด่งดังไปทั้งใต้หล้าก็มีพวกหลอกลวงไม่น้อยสวมรอยเป็นบัณฑิตเย้ยโลกมุ่งมาที่ร้าน ตอนแรกข้าก็คิดว่าเป็นพวกสวมรอยอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีหลักฐานยืนยันจำนวนมาก แม้แต่ต้นฉบับที่บัณฑิตเย้ยโลกเพิ่งให้มาใหม่ไม่กี่วันก่อน เขาก็ยังท่องออกมาได้คล่องปาก หากบอกว่าเป็นตัวปลอม…จะสามารถปลอมได้ขนาดนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว”
นางประหลาดใจน้อยๆ ก่อนจะหลุดปากถามออกมาอีก “มีคนสวมรอยจำนวนมาก? บัณฑิตเย้ยโลก…มีชื่อเสียงมากหรือเจ้าคะ”
เนี่ยมี่หยางมองเห็นสีหน้าท่าทางของนางอยู่ในสายตาทั้งหมด “เจ้าไม่รู้หรือ ข้าก็หลงนึกว่าเจ้าชอบอ่านหนังสือและก็เลื่อมใสศรัทธาในตัวบัณฑิตเย้ยโลกผู้นี้ ดังนั้นพี่สามถึงได้พาเจ้ามาเป็นพิเศษ”
เนี่ยเฟิงอวิ๋นทำหน้าเข้ม กำลังจะเอ่ยปากด่าความปากมากของอีกฝ่าย เสียงของเสวียนจีที่ด้านหลังกลับดังขึ้น
“อันที่จริงข้าก็ชอบอ่านหนังสือเจ้าค่ะ เพียงแต่รู้สึกไม่เลวกับเรื่องคันฉ่องส่องบาป แต่ยังไม่ถึงขั้นชื่นชมเลื่อมใสในตัวผู้แต่ง ผู้ที่ข้าชื่นชมเลื่อมใสเป็นอีกคน…”
คำว่า ‘ชื่นชมเลื่อมใส’ ดังเข้าในโสตของเนี่ยเฟิงอวิ๋นแล้วกลับบาดหูไม่น่าฟังเป็นพิเศษ
“อ้อ?” เนี่ยมี่หยางดวงตาสว่างวาบ ในสายตาของเขาเห็นเสวียนจีที่ด้านหลังพี่สามแก้มเรื่อแดง ส่วนพี่สามที่อยู่ข้างหน้านางก็ตัวแข็งน้อยๆ
“ข้ารู้ได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่นชมเลื่อมใสผู้ใด”
“เรื่องนี้…”
“เจ้าลำบากใจที่จะบอกหรือ ก็ถูก” เนี่ยมี่หยางพยักหน้า มุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี เรื่องนี้จะอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า เจ้านายอย่างพวกข้าย่อมไม่อาจถามมากความได้เช่นกัน ใช่หรือไม่พี่สาม ทว่าบอกให้ข้ารู้ได้หรือไม่ว่าคนที่เจ้าชื่นชมเลื่อมใสยัง…มีหรือไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้”
“ได้เจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่”
“อ้อ” ดวงตาเขาแทบจะมีแสงระยิบระยับออกมา “ผู้ที่หญิงสาวชื่นชมเลื่อมใสโดยมากล้วนเป็นชายหนุ่ม ผู้ที่เจ้าชื่นชมเลื่อมใสเป็น…บุรุษ?”
เสวียนจีหลุบตาลงด้วยใบหน้าเรื่อแดง
“เจ้าจะพูดมากเกินไปแล้วจริงๆ” เนี่ยเฟิงอวิ๋นแค่นเสียงเบาๆ “เสวียนจี เข็นข้าไปห้องหนังสือ”
“พี่สาม คุณชายเหวินเป็นผู้ที่ข้าเชื้อเชิญมาที่คฤหาสน์ ท่านจะเมินเฉยคนเขาไม่ได้นะ ข้าคิดจะตีพิมพ์เรื่องคันฉ่องส่องบาปใหม่เร็วๆ นี้ เพิ่มภาพเข้าไปอีกยี่สิบกว่าภาพ ไม่นานมานี้มีแม่ม่ายนางหนึ่งส่งภาพพิมพ์ของนางมาที่ร้านเพื่อหาเงินเลี้ยงตัว ข้าเห็นงานของนางงามละเอียดหรูหรายิ่งยวด เข้ากับเรื่องคันฉ่องส่องบาปได้อย่างเหมาะเจาะพอดี”
“ดี พิมพ์เสร็จแล้วเจ้าก็เอามาให้ข้าดูด้วย”
เนี่ยมี่หยางยิ้มพลางพยักหน้า สิ่งเดียวที่พี่สามเป็นห่วงในร้านหนังสือก็มีเพียงเรื่องคันฉ่องส่องบาป ที่มันได้ออกชิมลางในท้องตลาดตอนนั้น พี่สามนับว่าเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าเป็นการจัดเรียงสีหมึกพิมพ์หรือการออกแบบห่อบรรจุล้วนแต่ได้พี่สามวางแผนทั้งสิ้น บัดนี้ได้พบเหวินหรงหลาง เขาไม่อาจไม่พูดว่าคล้ายจะผิดหวังอยู่เล็กๆ ซึ่งแม้แต่พี่สามก็เป็นเช่นกัน เช่นนั้นก็มิใช่เขาความรู้สึกไวเกินไปแล้ว
เหวินหรงหลางดียิ่ง กิริยาท่าทางเหมาะสม จุดที่ควรค่าแก่การชื่นชมที่สุดคือเขามิได้เสเพลหยำเปเหมือนบัณฑิตคนอื่นๆ แต่ก็คล้ายว่าขาดเงาของบัณฑิตเย้ยโลกที่พวกเขาคาดหวังไว้ในก้นบึ้งหัวใจไปเล็กน้อย
เขาพูดยิ้มๆ “ข้ายังวางแผนจะทำกล่องไม้ให้คนซื้อกลับไปสะสมได้ด้วย นี่นับว่าไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ข้าคิดว่าบัณฑิตมีเงินน่าจะซื้อกัน นอกจากเพื่ออ่านแล้วอาจจะมีคนซื้อเพิ่มสองสามชุดกลับไปวางประดับ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็สลักชื่อคันฉ่องส่องบาปลงไปบนกล่องด้วย ทั้งสามารถช่วยรักษาหนังสือและยังสามารถเติมเต็มใจที่อยากโอ้อวดของพวกเขาได้”
เนี่ยเฟิงอวิ๋นจ้องเขา “นับวันเจ้ายิ่งมีกลิ่นอายของพ่อค้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“นี่ย่อมแน่นอน ข้าไม่ได้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์มากเท่าพี่สาม จึงได้แต่หากลิ่นเงินมาพรมตัวแล้ว” เนี่ยมี่หยางชะงักไปเล็กน้อย สายตามองไปที่เสวียนจีอีกครั้ง คราวนี้ส่อแววร้ายกาจจนทำให้นางตื่นตัวระแวดระวัง “พูดถึงกลิ่นเงินข้าก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เสวียนจี ไม่กี่วันมานี้ล้วนค้างคืนอยู่ในห้องหนังสือหรือ”
“หา?!” ประเด็นเปลี่ยนกะทันหัน ทำให้นางนึกหาคำตอบไม่ทัน
“เจ้าว่าอะไรนะ ใครค้างคืนในห้องหนังสือ”
“ยังจะมีใคร ก็สาวใช้ที่ด้านหลังท่านอย่างไร สองวันก่อนข้าเดินผ่านสวนซั่งกู่ คิดจะเข้าไปดูว่าท่านหลับหรือยัง ขณะเดินผ่านห้องหนังสือจี๋กู่กลับพบว่าข้างในยังมีแสงเทียนอยู่ ท่านทายดูว่าผลคือข้าเห็นอะไร ข้าเห็นสาวใช้นางหนึ่งใช้ห้องหนังสือต่างเตียงนอน!”
“นายน้อยสี่…” จบกัน! คิดไม่ถึงว่าจะถูกเนี่ยมี่หยางจับได้ นางคิดว่าดึกดื่นแล้วคงจะไม่มีใครมาที่สวนซั่งกู่
“เจ้าหมายความว่าดึกดื่นเที่ยงคืนเจ้ายังเห็นสาวใช้ของข้าอยู่ในห้องหนังสือโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากข้า?”
“ถูกต้อง!” เขาโบกพัด แสร้งพูดเหมือนไม่เจตนา “กลางคืนอากาศเย็น ท่านก็ใช่จะไม่รู้ นางนอนอยู่ที่นั่น บนตัวก็ไม่ได้เอาอะไรคลุมรักษาความอบอุ่น ข้าล่ะกลัวจริงๆ ว่านางจะเป็นหวัดจนไม่อาจปรนนิบัติท่านได้”
เนี่ยมี่หยางจงใจราดน้ำมันบนกองไฟ เสวียนจีถลึงมองเขา ไม่เข้าใจว่าเขาแกล้งให้นางเดือดร้อนไปจะได้ประโยชน์อะไรกันแน่
“เสวียนจี เจ้าเดินมาหน้าข้า” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพูดเสียงเข้ม ได้ยินแล้วชวนให้ขนลุกซู่
นึกว่าอารมณ์ของเขาจะยังดีต่อไปได้เสียอีก