นางกับเสวียนจีมีฐานะไม่ต่างกันนัก เรียกขานเป็นพี่เป็นน้องเป็นสิ่งที่นางอยากทำมานานแล้ว พี่สาวคือสิ่งที่ชั่วชีวิตนางไม่มีทางมีได้ พี่เสวียนจีทำให้นางรู้สึกอบอุ่นสบายใจยิ่ง
“ตายล่ะ” ใบไม้บนต้นร่วงลงมาหลายใบ เสียงของหนักตกลงพื้นพลันดังมา ทำเอาหรูหมิ่นตกใจจนหดตัวเข้าอ้อมแขนของเสวียนจี นางหน้าแดง สูดดมกลิ่นกระดาษบนตัวเสวียนจี
ช่าง…ดียิ่งนัก!
ที่แล้วมายามอยู่ที่บ้านอันยากจนข้นแค้น นางคือพี่คนโต ดังนั้นจึงต้องแบกรับภาระแทนคนในครอบครัว ตอนนี้มีพี่สาวให้พึ่งพาได้
ช่างดีโดยแท้…
“นายน้อยสิบสอง”
“ข้าเอง…เจ็บยิ่งนัก!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวเด้งตัวขึ้นมา แสยะปากยิงฟันพลางประคองบั้นเอว “ข้ากำลังงีบอยู่ตรงนี้ก็มาเอะอะรบกวนข้า โอ๊ย…ยังไม่รีบมาช่วยนวดเอวให้ข้าอีก เจ็บจะตายอยู่แล้ว…” เขาลังเลเล็กน้อยก่อนว่า “ไม่ๆๆๆ ไม่ต้องนวดแล้ว พวกเจ้ามานี่ มานี่หน่อย” เขาซ่อนตัวกลางดงต้นไม้ หาถ้ำในภูเขาจำลองก่อนกวักมือเรียกพวกนาง
“พวกเจ้าเข้ามา เข้ามาสิ! ข้าไม่ได้จะกินพวกเจ้าเสียหน่อย จริงๆ” เขากระโดดขึ้นก้อนหิน เก็บมือเก็บเท้าไม่ให้ภายนอกมองเห็นตนเองได้
เสวียนจีขมวดคิ้ว “นายน้อยสิบสอง เวลานี้ท่านสมควรอ่านหนังสืออยู่ในห้องจึงจะถูก”
“เอ๊ะ? เจ้าเป็นร่างแยกของพี่สามตั้งแต่เมื่อไร ช่างยุ่งยากจริง” เขายื่นมือมาดึงเสวียนจีที่ตัวเบาเหมือนขนนกเข้าไปในถ้ำ หรูหมิ่นจึงรีบร้อนตามเข้ามา
“นายน้อยสิบสอง พวกเราไม่มีเวลาเล่นเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ ถ้าพี่เสวียนจีกลับไปช้าอาจจะถูกนายน้อยสามดุด่าหรือตีเอาอีก”
“ใครบอกว่าจะให้เล่นเป็นเพื่อน” เนี่ยหยวนเฉี่ยวพูดหยัน “ข้ากำลังหลับสบายอยู่บนต้นไม้ ใครเลยจะรู้ว่าพวกเจ้าสาวใช้เล็กๆ ทั้งสองจะมาคุยกันหงุงหงิง ซ้ำยังสัญญาเป็นพี่เป็นน้องกันอีก ดูอย่างข้าที่มีพี่ชายสิบกว่าคนสิ เหมือนพวงขนมจ้างอย่างไรอย่างนั้น พวงหนึ่งต่อด้วยอีกพวง น่ารำคาญจะตายไป” ยามที่เอ่ยพูดเขาชะโงกหน้ามองข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้างามดูเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย
เสวียนจีสบตากับหรูหมิ่นก่อนถอนหายใจ “นายน้อยสิบสองต้องการให้พวกเราทำอะไรเจ้าคะ”
“ไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนข้า รอคุณหนูสกุลจางนั่นจากไปแล้ว ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปเอง”
“คุณหนูสกุลจางหรือ” หัวคิ้วเสวียนจีขมวดอีกครั้ง หัวใจเหมือนมีอะไรพุ่งชนอย่างไร้สาเหตุ ที่ผ่านมานางอยู่ในบ้านโดยตลอด ไม่รู้ว่าเมืองหนานจิงมีครอบครัวแซ่จางอยู่กี่มากน้อย แต่ที่สามารถเหยียบเข้าคฤหาสน์สกุลเนี่ยได้…น่าจะมีไม่มาก
“ใช่แล้ว ดูเถอะว่าข้าอายุเพิ่งเท่าไรเอง พี่สี่ถึงกับคิดจะคุยเรื่องแต่งงานให้ข้าแล้ว” เขาคอตกด้วยความกลัดกลุ้ม มือล้วงพัดออกมาจากตรงเอว “เสวียนจี เมื่อครู่เจ้าออกมาจากสวนซั่งกู่กระมัง เห็นพี่สี่แล้วหรือไม่ เขาช่างเหี้ยมนัก วันนี้เช้ามาก็ไปขุดข้าขึ้นมาจากหอสือโถว บอกว่าคุณหนูสกุลจางมาเยี่ยม พี่สี่คนชั่วช้าสารเลว นี่เป็นการดูตัวอีกรูปแบบหนึ่งชัดๆ เขาทิ้งข้าให้อยู่ตามลำพังกับคุณหนูสกุลจางในห้องโถง ส่วนตัวเขาก็ดีนัก หนีไปหาพี่สามไม่รู้ทำอะไรกัน!” พูดขึ้นมาก็ขุ่นเคืองใจยิ่งนัก เขาเพิ่งจะสิบเจ็ด จะแต่งงานก็ควรให้พี่สี่แต่งก่อนมิใช่หรือไร ช่างน่าชังนัก!
“สกุลจาง…มิใช่มีความแค้นกับสกุลเนี่ยหรือ” เสวียนจีพึมพำ เรียกให้สายตาแปลกใจของเขามองมา
“หืม? เสวียนจี เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
“เอ่อ…ข้า…ข้าก็แค่ได้ยินมาเจ้าค่ะ”
“อ้อ” เขาไม่สงสัยเป็นอื่น เพียงบ่นขึ้นว่า “ไม่นับว่าเป็นแค้น ก็แค่เคยขัดแย้งกันในเรื่องการค้าเท่านั้น คฤหาสน์สกุลเนี่ยเรามิได้มีแต่กิจการร้านหนังสือ งานขนส่ง สำนักศึกษา งานออกแบบสวน มีกิจการหรือส่วนเกี่ยวข้องอยู่แทบทุกสาขาอาชีพ แน่นอนว่าย่อมเป็นศัตรูคู่แข่งกับกิจการร้านค้าอื่นๆ ในเมืองหนานจิง ส่วนสกุลจางนั้น…ได้ยินว่าผู้เฒ่าจางเสียชีวิตเมื่อไม่นานมานี้ รุ่นเยาว์ในตระกูลมีใจอยากคลายปมขัดแย้งระหว่างกัน จึงเสนอเรื่องการแต่งงานนี้ออกมา ช่างน่าชังจริงๆ”
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความกลัดกลุ้มหงุดหงิด ก่อนจะอุทานสงสัยออกมาเบาๆ “เสวียนจี ไฉนหน้าเจ้าถึงได้ดูขมขื่นยิ่งกว่าข้า หัวคิ้วก็มุ่นลึกยิ่งกว่าข้าด้วย” หรือว่าเป็นห่วงแทนข้า? ฮือ…ซึ้งใจยิ่งนัก!