เรือนผมยาวของนางสยายอยู่ตรงอก มีสองสามช่อลื่นตกลงบนแขนเขาอย่างไม่เชื่อฟัง มองผ่านแสงจันทร์ นางดูบอบบางอ่อนแอเป็นพิเศษ แขนเขามักสัมผัสถูกหน้าอกกลมกลึงของนางโดยไม่ตั้งใจ…ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือโมโหดีที่นางถึงกับซื่อบื้อจนถูกเอาเปรียบแล้วก็ยังไม่รู้ตัวเช่นนี้
ไม่ง่ายเลยกว่าจะพยุงเขาขึ้นมาได้ ซ้ำส่วนใหญ่ยังต้องอาศัยเขาจับขอบเตียงไว้ถึงยันตัวขึ้นมาได้ นางดันเขาขึ้นเตียงด้วยอาการหอบแฮก มือเขาคว้าจับแขนเสื้อนางไว้ ทำให้นางพลอยล้มลงเตียงไปด้วย
“สวรรค์!” นางคล้ายว่าชอบถูกชนถูกกระแทกจนวิงเวียนหัวหมุนเป็นประจำ
“คนที่ควรร้องหาสวรรค์คือข้า สาวใช้สมควรตาย!”
“ถ้านายน้อยสามยอมตอบตกลง สองขาย่อมจะมีโอกาสรักษาหาย ไม่ต้องมาอาศัยเสวียนจีคอยพยุงแล้ว” นางพูดกระซิบ เสียงไม่ดัง แต่เพียงพอที่เขาจะได้ยิน
เขาไม่ต้องเสียเวลาคิดก็รู้ว่าใครเป็นคนบอกเรื่องนี้แก่นาง “สาวใช้สมควรตายอย่างเจ้าชอบยุ่งเรื่องคนอื่นนักหรือไร”
ราตรีเย็นดุจสายน้ำ กลิ่นหอมโชยมาอบอวลเป็นพิเศษ กลิ่นหอมของกระดาษบนตัวนางคล้ายว่ากลายเป็นกลิ่นกายนางไปแล้ว เขาถูกกลิ่นนี้รบกวนทั้งคืนถึงได้พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ
เขาคิดว่ากลิ่นหอมของกระดาษนี้สามารถทำให้อารมณ์เขาสงบลง ถึงตอนนี้กลับค้นพบว่ามันปลุกอารมณ์ปรารถนาของเขาขึ้นมาแล้ว
นางปูที่นอนบนพื้น แม้จะสวมใส่เรียบร้อยมิดชิดเหมือนเวลากลางวัน แต่เรือนผมยาวที่ปล่อยสยายกับใบหน้ายามหลับที่สงบนิ่งก็ดึงดูดใจอยู่บ้าง…
สมควรตาย! ไม่ได้ใกล้ชิดสตรีมาสามปีแล้ว เขาต้องการสตรี ทว่าไม่ถูกใจหลินอันที่ซีเซิงจัดมาอยู่ข้างกายเขาเป็นพิเศษ แต่กลับต้องการสตรีที่มีรูปโฉมปานกลางนางนี้แทน
“นี่ข้ามิได้ยุ่งเรื่องคนอื่น” ริมฝีปากนางเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ หยาดเหงื่อดูราวเป็นแก้วผลึก โปร่งใสแวววาวยิ่ง
“มิได้ยุ่งเรื่องคนอื่น? เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไรกับข้า” เขาพ่นหัวเราะออกจมูก
“ข้ามิได้เป็นอะไรกับนายน้อยสาม แต่…แต่…” นางพูดอ้ำอึ้งเป็นครั้งแรก
พอมองผ่านแสงจันทร์ถึงกับมองเห็นบนแก้มขาวผ่องของนางมีสีแดงเรื่อขึ้นมา…บางทีเขาอาจจะมองผิดไปกระมัง
ความขวยเขินเล็กๆ ของนางได้เปลี่ยนแปลงใบหน้าที่เย็นชามาโดยตลอด ทำให้ดูตราตรึงใจและ…ชวนหลงใหลอยู่บ้าง หน้าอกเขามีหินก้อนใหญ่กดทับ ความคิดความปรารถนายิ่งรุนแรงขึ้น
เป็นเพราะทัศนะความงามของเขาเกิดปัญหาหรือเพราะห่างสตรีมานานเกินไปกันแน่ ถึงได้ทำให้เขาเกิดภาพหลอน ถึงกับรู้สึกว่าบุคลิกของนางทำให้นางงดงามขึ้นมา
“เจ้าอ้ำๆ อึ้งๆ นี่กำลังจะพูดเรื่องสำคัญอะไรกันแน่” เขาเหน็บแนม
“สำหรับนายน้อยสามมิได้สำคัญอะไร แต่สำหรับข้ากลับเป็นเรื่องใหญ่ชั่วชีวิตเจ้าค่ะ” สีหน้าท่าทางนางเคร่งขรึมจริงจัง เหมือนกำลังครุ่นคิดพิจารณาว่าควรพูดหรือไม่
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็จ้องเขาตรงๆ อย่างเหมือนว่าตัดสินใจได้แน่วแน่แล้ว
นัยน์ตาดำของนางดูลึกซึ้งทั้งยังชวนให้คนประทับใจอย่างมาก ทว่าคำพูดถัดมาของนางทำให้เขามองผ่านดวงตานางไป
“ข้าเคยบอกว่าข้ามีคนที่ชื่นชมเลื่อมใส และความชื่นชมเลื่อมใสนี้ก็ยืนยาวมาถึงเกือบสิบปี”
“เรื่องนี้เจ้าเก็บไว้พูดให้บุรุษที่เจ้าชื่นชมเลื่อมใสฟังก็ได้ ไม่ต้องมาพล่ามต่อหน้าข้า” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ตรงหน้าข้า ก็คือท่าน…เนี่ยเฟิงอวิ๋น”