“ข้า?” ดวงตาเขาหรี่ลงน้อยๆ
“ใช่แล้ว ข้าชื่นชมเลื่อมใสท่าน” นางกล่าวตามจริง ทุกประโยคที่พูดออกมา นางล้วนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนว่าเป็นผลิตผลจากการตรึกตรองอย่างตั้งใจแต่ก็ไม่เต็มใจในทุกทาง “บางทีข้าอาจจะยังชอบท่านอยู่สักหน่อยด้วย” นางพูดอย่างไม่มั่นใจนัก
“อ้อ นั่นช่างเป็นเรื่องเกินจะคาดฝันโดยแท้” เขาพูดกึ่งเหน็บแนม
ชอบ? ชอบเขาตรงใด ชื่นชมเลื่อมใสเขาในจุดใด แม้แต่ตัวนางเองยังมีสีหน้าไม่แน่ใจ แล้วจะกล่อมให้ผู้อื่นเชื่อได้อย่างไร
นางดูคล้ายไม่รู้สึกถึงเสน่ห์ดึงดูดของตนเองโดยสิ้นเชิง ขยับเข้าใกล้เขา เรือนผมยาวเลยสะโพกของนางป่ายปัดบนตัวเขาอีกครั้ง
เนี่ยเฟิงอวิ๋นยกมือคว้าเส้นไหมดำช่อเล็กไว้ สัมผัสนุ่มลื่นทำให้เขาต้องสูดหายใจเบาๆ
“ท่านไม่เชื่อ? ข้าชื่นชมเลื่อมใสท่าน เพราะว่าท่านคือเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เขียนบทส่งท้าย บางทีท่านคงลืมไปแล้ว แต่ข้ายังจำตอนที่ได้พบท่านในปีนั้นได้ สิ่งที่ถืออยู่ในมือท่านก็คือหรูอี้จวินจ้วน…”
“สวนซั่งกู่ตลอดปีไม่เคยพบเห็นคนนอก เจ้าเคยพบข้าปีไหนกัน” เสียงเขาแหบแห้ง กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นบีบคั้นคน เหมือนดั่งกลิ่นกายสาวพรหมจารี…
ช่วงที่ผ่านมานี้ ถึงจะอยู่ในฐานะสาวใช้ แต่บุคลิกลักษณะพิเศษจำเพาะของนางก็ยังหลุดลอดออกมารางๆ กลิ่นของนางผสานกับอากัปกิริยาของนางออกมาเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจ ใช่เคยมีใครค้นพบด้านนี้ของนางหรือไม่ มองข้ามรูปโฉมของนางไป อาศัยเพียงประสาทสัมผัสของบุรุษเพศขุดค้นเสน่ห์แห่งความเป็นหญิงของนางออกมา
“สามปีก่อนในร้านหนังสือเฟิงอวิ๋น ข้าเคยมีโชคได้คุยกับท่านหลายคำ” ลมหายใจที่พ่นรดใบหน้าเขาของนางดูเย็นเฉียบและอ่อนระรวย
แต่ทว่าถ้อยคำของนางได้ย้ำเตือนเขาว่าผู้ที่นางชื่นชมเลื่อมใสก็คือเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เคยมีมือเท้าสมบูรณ์ เขาในตอนนี้นับเป็นอะไร บุรุษที่เดินไม่ได้ผู้หนึ่ง! คนที่นางหลงใหลเป็นแค่ภาพลวงตา เนี่ยเฟิงอวิ๋นตัวจริงในตอนนี้เป็นบุรุษที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องให้ผู้อื่นทำแทนผู้หนึ่ง
“นายน้อยสาม?” นางทำท่าจะยันตัวขึ้น พบว่าแขนของเขากักเอวนางไว้ นางเงยหน้าและแสดงสีหน้างุนงงออกมา
แม้เขาจะไม่อาจเดินเหิน แต่ยังคงมีเรี่ยวแรงดี นัยน์ตาดำของนางหรี่ลง
“เจ้าว่าเจ้าชื่นชมเลื่อมใสข้า?”
“ใช่แล้ว”
“เป็นหนึ่งไม่มีสอง?”
“ในใจข้ามีเพียงหนึ่งเดียว”
“เมื่อก่อนมีหญิงสาวมากมายเพียงไรชื่นชมเลื่อมใสเนี่ยเฟิงอวิ๋น คนที่เฝ้าอยู่นอกร้านหนังสือเพื่อแค่ให้ได้เห็นหน้าตาของข้าใช่ว่าไม่มี แต่ตอนนี้ไม่มีสตรีแม้แต่ผู้เดียวที่มองเห็นข้าแล้วจะหน้าแดงใจเต้น”
นางขมวดคิ้ว สิ่งที่นางชื่นชมเลื่อมใสหาใช่หน้าตาของเขา ตอนที่นางคิดว่าเนี่ยเฟิงอวิ๋นเป็นชายชราก็หลงรักในความสามารถด้านวรรณศิลป์ของเขาอย่างสุดหัวใจแล้ว นางอยากจะอธิบาย กลับรู้สึกว่าแขนที่โอบเอวนางอยู่รั้งตัวนางไปใกล้ นางเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง ตัวนางแนบติดกับร่างกายอุ่นร้อนและให้ความรู้สึกของบุรุษเพศของเขาโดยมีเพียงเสื้อผ้ากั้น
“เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรให้เห็นว่าเจ้าชอบข้า ชื่นชมเลื่อมใสข้าจริงๆ”
“หา?” ราวกับได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัว นี่เป็นเสียงหัวใจของนางหรือว่าของเขากัน “นายน้อยสาม…ท่านต้องการให้ข้า…พลีกาย?” พูดออกไปแล้วถึงได้พบว่าเสียงของตนเองแหบแห้งยิ่ง
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” ใบหน้าเขาห่างจากนางเพียงหนึ่งชุ่น* ดวงตาเขาหลุบลงครึ่งๆ สิ่งที่เผยออกมาจากนัยน์ตาดำคือความปรารถนาที่คล้ายว่าเคยรู้จัก
นางเข้าใจ ขณะอยู่ในตระกูลนางก็เคยเห็นแววตาเช่นนี้ นางรังเกียจดวงตาเช่นนี้ เต็มเปี่ยมด้วยกามารมณ์และความลามก ทว่าดวงตาของเขามิได้ทำให้นางมีความรู้สึกสะอิดสะเอียน แต่กลับเป็นเหมือนถ้ำดำมืดอันลึกล้ำ ดึงดูดทุกผู้ที่มองเขาเข้าไป
นางจ้องเขาตาไม่กะพริบ “ท่าน…ต้องการข้า?”
“ข้าต้องการสตรี” เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าซับซ้อนอ่านยาก สิ่งเดียวที่มองออกคือความปรารถนาของเขา
นั่นหมายความว่าขอแค่เป็นสตรี จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้นหรือ คำพูดไร้หัวใจเช่นนี้ทำร้ายจิตใจนางอยู่บ้างจริงๆ นางหลุบตาลงตรึกตรอง กลิ่นของเขาผสมกับนาง ทั้งคุ้นและไม่คุ้นเคย แต่นางกลับชอบกลิ่นเช่นนี้เข้าแล้ว
ขณะนางช้อนตาขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “ถ้าหากว่า…ถ้าหากว่าท่านยอมรักษาขา เช่นนั้น…เช่นนั้น…ข้าก็…ก็…”