บทที่ 1
รัชศกหยวนชิ่งปีที่สิบห้า
ตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงตงจื้อแต่กลับมีหิมะตกหนักแล้ว ยามกวาดตามองไปทั่วเมืองฉางอันราวกับมีแสงสีเงินปกคลุม หมอกหนาตา ถนนซอกซอยที่เคยคึกคักแต่เดิมเหมือนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นเงียบเหงาเป็นพิเศษ
เวลายามเหม่าสามเค่อหมอกหนายังไม่ถูกแสงยามเช้าปัดเป่าจางไปก็เห็นรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนเหยียบพื้นดังเอียดๆ ตรงไปทางทงอี้ฟาง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามก็มาหยุดอยู่หน้าจวนแห่งหนึ่ง
เสิ่นเจินเหม่อมองประตูแดงของจวนซู่หนิงป๋อที่ปิดสนิท ลังเลอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ยกมือขึ้นใช้ห่วงที่หน้าประตูใหญ่เคาะเบาๆ
ทว่านางเคาะอยู่สามครั้ง ข้างในยังคงไม่มีการตอบรับใด
กินน้ำแกงปิดประตู ต่อเนื่องมาครึ่งเดือน ต่อให้เป็นเสิ่นเจินบุปผางามที่ไม่เคยถูกใครเมินเฉยมาก่อน สุดท้ายก็เข้าใจว่ากำแพงล้มฝูงชนร่วมผลัก ต้นไม้ล้มลิงกระเจิงเป็นอย่างไร
เมื่อต้นเดือนก่อน
อวิ๋นหยางโหวเสิ่นเหวินฉีอยู่ในตำแหน่งเสนาบดีกรมโยธาเพิ่งเต็มสามปี ใกล้จะเลื่อนตำแหน่งเป็นมุขมนตรีฝ่ายตรวจสอบแล้ว แต่คลองเฉิงซีทางตะวันตกของเมืองที่สร้างใหม่กลับพังครืน คลองมีช่วงที่ทำนบพัง ทำให้การลำเลียงน้ำเกิดปัญหา น้ำทะลักออกมา คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ชาวเมืองโอดครวญไปทั่ว เพื่อทำให้เรื่องนี้สงบลง ฮ่องเต้จึงจัดการคนทั้งกรมโยธา
เสิ่นเหวินฉีอยู่ในตำแหน่งสำคัญ ต่อให้ภาพการสร้างคลองไม่ได้ออกมาจากมือของเขา เขาก็ต้องแบกรับความผิดจากการทำหน้าที่ผิดพลาด
ตามกฎหมายของราชวงศ์จิ้น เขาไม่เพียงถูกลดขั้นยึดตำแหน่ง ยังถูกคุมขังอีกสองปี
ข่าวแบบนี้ออกไป บรรดาญาติที่ปกติอยากจะมาเยือนที่จวนทุกวัน วันนี้เห็นคนสกุลเสิ่นแล้ว แต่ละคนก็พากันหลบเลี่ยง กลัวว่าจะเดือดร้อนตามไปด้วย
ที่เรียกว่า ‘ร่วมสุขง่าย ร่วมทุกข์ยาก’ ก็เป็นเช่นนี้เอง
เวลาผ่านไปทีละนิด คนบนถนนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เห็นจวนซู่หนิงป๋อปิดประตูไม่รับแขกตลอด หญิงหลายคนก็มาจับกลุ่มกลุ่มละสองสามคนกระซิบชี้ชวนนินทาเสิ่นเจินกัน
“สตรีนางนั้นคือคุณหนูสามสกุลเสิ่นไม่ใช่หรือ” พอพูดถึงสกุลเสิ่น คนพูดก็ลดเสียงเบาลงทันที
“เป็นนางจริงๆ สองวันก่อนข้าไปซื้อผ้าไหมที่ตลาดตะวันตก ผ่านร้านไป่เซียง บังเอิญเห็นนางอยู่ในนั้นปรุงเครื่องหอมให้จวงฮูหยิน”
“พูดถึงคุณหนูสามก็น่าสงสาร มารดาป่วยตาย บิดาเข้าคุก ตอนนี้บนบ่ายังแบกหนี้ก้อนใหญ่แบบนี้อีก ช่างเป็นหลังคารั่วซ้ำฝนยังตกทั้งคืน* จริงๆ”
มีคนพูดทอดถอนใจออกมาอีก “ดอกเบี้ยต่อเดือนของร้านแลกเงินสกุลจินนั่นสูงจนน่าตกใจ ถ้ายังเป็นดอกทบดอกไปแบบนี้เกรงว่าชาตินี้ก็ฟื้นตัวไม่ได้แล้ว”
“ยังฟื้นตัวอีกหรือ แค่ไม่ต้องขายตัวก็ไม่เลวแล้วกระมัง”
ตอนที่ทุกคนกำลังซุบซิบกันอยู่ ในกลุ่มคนมีหญิงสวมหมวกมีผ้าคลุมหน้าเอ่ยอย่างช้าๆ “พระพุทธองค์ตรัสว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามความเห็นของข้า ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะคนสกุลเสิ่นทำกรรมมากไป จึงได้รับกรรมตามสนอง”
คำพูดนี้ออกมา เสียงวิจารณ์รอบข้างก็เปลี่ยนทิศทางไปในทันที