“อาได้ยินว่าท่านพี่ได้รับโทษโบย เดิมคิดว่าจะส่งเงินจำนวนหนึ่งเข้าไป แต่โจวซู่อันตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่คนปัจจุบันเป็นขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ทั้งยังเป็นคนหัวรั้น เงินที่เอาไป คนเขาไม่รับแม้แต่อีแปะเดียว”
มือของเสิ่นเจินที่วางอยู่บนตักกำแน่น เอ่ยถามเสียงสั่นอย่างทนไม่ไหวว่า “แล้วอาการบาดเจ็บของท่านพ่อ…?”
เสิ่นหลันมองเสิ่นเจินอย่างสงสาร นางถอนหายใจเฮือกหนึ่งและพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ในคุกอากาศเย็น และเจอฤดูหนาวอีก คงยากจะทนรับไหว”
สิ้นเสียงพูด ดวงตาเปล่งประกายกระจ่างใสของเสิ่นเจินคู่นั้นก็มีหยาดน้ำเอ่อมาอย่างห้ามไม่อยู่
ภาพสาวงามหลั่งน้ำตายังคงทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกสงสารได้เป็นพิเศษเสมอ
พูดถึงความงามของเสิ่นเจิน ทุกคนในฉางอันที่เคยเห็นนางส่วนใหญ่ล้วนใช้คำว่า ‘งามล่มเมือง’ มาบรรยาย
รูปโฉมของนางดูไม่ฉูดฉาดบาดตาและเลอเลิศ แต่เป็นดั่งหมอกหนาในหมู่บ้านกลางน้ำเจียงหนานไอหมอกปะทะเข้ามา พร่าเลือนแต่อ่อนโยน ทำให้คนทนไม่ไหวจมลงไปท่ามกลางหมอกนั้น
ขอเพียงนางยิ้มอ่อนหวาน เกรงว่าชายหนุ่มส่วนใหญ่บนโลกนี้คงจะหลงใหลและรักชื่นชมในตัวนาง
หรือจะเป็นตอนนี้ คนงามหลั่งน้ำตาก็ยิ่งดูอ่อนแอน่าทะนุถนอม ต่อให้เป็นชายหนุ่มที่แข็งกร้าวยังต้องใจอ่อน เกิดความรักใคร่สงสารขึ้นมา
เสิ่นหลันมองใบหน้าราวดอกบัวบนน้ำใสนี้แล้วก็แอบทอดถอนใจ ความงามเช่นนี้ ยากจะมีผู้ใดรอดพ้นได้จริงๆ
นางดึงเสิ่นเจินเข้ามาในอ้อมกอดและลูบแผ่นหลังของอีกฝ่ายเบาๆ “เอาล่ะๆ อย่าร้องไห้ให้ตาแดงเลย วันนี้ในเมื่อเจ้ามาหาอา เช่นนั้นในฐานะอาต้องเสนอความคิดให้เจ้าบ้าง”
เสิ่นหลันใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้เสิ่นเจิน จากนั้นก็ย้อนนึกถึงเรื่องในอดีต พูดไปพูดมาขอบตาก็แดงขึ้นมาด้วยเช่นกัน “เจินเอ๋อร์ สกุลเสิ่นหมดอำนาจ ชีวิตของอาในจวนป๋อก็เหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางต่อให้อยากช่วยเจ้า เกรงว่าคงไม่มีความสามารถ แต่โชคดีที่ฟ้ามีทางออกให้คนเราเสมอ บนโลกนี้ยังมีคนผู้หนึ่งสามารถช่วยเจ้าได้”
เสิ่นเจินแววตากระจ่างใสขึ้นทันใด พูดเสียงเบาว่า “ท่านอาพูดมาได้เลยเจ้าค่ะ”
เสิ่นหลันมองตาของนาง ในใจเกิดความลังเล แต่พอคิดถึงคำเตือนที่เซี่ยเฉิงพูดกับตนจึงจำต้องพูดอย่างใจร้ายว่า “อีกสามวันเถิงอ๋องจะจัดการแข่งขันเตะลูกหนัง ครั้งนี้อาจะพาเจ้าไปด้วย ขอเพียงเจ้าไปขอร้องเขา อารับประกันกับเจ้าได้ว่าวันหน้าเขาต้องคุ้มครองเจ้า ไม่ต้องให้เจ้าลำบากอีก”
ไปขอร้องเถิงอ๋อง?
หลังจากเสิ่นเจินเข้าใจความหมายแฝงนี้แล้วก็รู้สึกว่าเลือดในร่างล้วนพุ่งมาที่ทรวงอกของนาง
เถิงอ๋องอายุสี่สิบกว่าปี ภรรยาอนุภรรยาเป็นฝูง โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ลงรอยกับท่านพ่อมาแต่ไหนแต่ไร หากนางเข้าจวนเถิงอ๋อง เทียบกับการฆ่านางด้วยมือแล้วจะแตกต่างอะไรกัน
เสิ่นหลันมองปลายนิ้วที่สั่นเทาของนาง ดูเหมือนได้ยินความคิดในใจของนางกระนั้น ก่อนจะดึงมือของนางมาพลางพูดเสียงเบาว่า “เจินเอ๋อร์ ขอเพียงเจ้าทนได้ ไปก้มหัวสักหน่อย ทางด้านพ่อเจ้ารวมถึงหนี้ที่สกุลเสิ่นติดค้างย่อมมีคนช่วยจัดการให้ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ เจ้าเป็นเพียงหญิง จะต้านเสือสิงห์หมาป่าในเมืองฉางอันนี้ได้อย่างไรกัน”
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ลมหนาวพัดกระทบประตูหน้าต่างภายในห้องเกิดเสียงเอียดอาดดังบ้างเบาบ้าง
เหมือนกับเสียงเต้นของหัวใจเสิ่นเจินในตอนนี้
เหตุใดท่านอาจึงพูดถึงเถิงอ๋อง นางลองคิดอย่างละเอียดจึงเข้าใจ ตอนนี้สกุลเสิ่นที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ล้มแล้ว สถานการณ์ของจวนซู่หนิงป๋ออยู่ในช่วงอึดอัดอย่างมาก พวกเขารีบร้อนจะพึ่งพาคนที่มีอำนาจบารมียิ่งกว่าเพื่อมารักษาชื่อเสียงของจวนป๋อเอาไว้